ใครเลยจะรู้ว่า นักแสดงตัวประกอบอย่างเหยาซื้อจะประสบอุบัติเหตุมาอยู่ในร่างของสตรีที่ชื่อเดียวกันแต่อยู่ในปี1980
รัก,ย้อนยุค,ผู้ใหญ่,จีน,ครอบครัว,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
อากาศในเดือนมีนาคมนับว่าเย็นสบายดียิ่ง เหมาะกับการพาเด็กๆออกไปเดินเล่นนอกบ้าน หลินเหยาซื่อจับตัวเด็กแฝดมาแต่งตัวด้วยชุดที่เธอตัดเย็บด้วยตัวเอง ทั้งสามใส่เสื้อผ้าลายเดียวกันเป็นเซ็ตแม่-ลูกฝาแฝดสุดน่ารัก ป้าฮุ่ยชิวถึงกับอุทานออกมา นางรู้อยู่แล้วคุณนายเป็นคนสวยและงามสง่ารวมทั้งลูกชายหญิงฝาแฝด แต่ปกติแต่งกายเรียบง่าย ทว่าวันนี้ใส่เสื้อผ้าแปลกตา สีสันสดใส ราวกับบ้านที่เคยอึมครึมด้วยความเศร้าถูกละลายไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของเด็กๆ
“ป้าไม่คิดว่าคุณนายจะตัดเย็บเสื้อผ้าออกมาได้สวยขนาดนี้ใช่ไหม”
หลินเหยาซื่อหัวเราะเสียงใส
“อุ้ย!ป้าไม่ได้...”
“ช่างเถอะ” มือเรียวหยิบหมวกมาสวมให้เด็กทั้งสอง “ฉันเห็นลังเก็บผ้ากับเศษผ้าชิ้นเล็กชิ้นน้อยเลยเอามาต่อกัน ต่อไปต่อมาได้ผ้าผืนใหญ่เลยทำชุดได้ทั้งสามคนแบบนี้ เอาไว้คราวหน้าฉันทำให้ป้าด้วยนะ”
“ไม่เป็นไรค่ะคุณนาย”
“ได้ยังไง เราผ่านร้อนผ่านหนาวมาด้วยกัน ป้าไม่ได้เป็นแค่แม่บ้านแต่เป็นเหมือนญาติผู้ใหญ่ของฉันด้วย”
“คุณนาย”
“วันนี้ไปเที่ยวกัน” เธอรีบพูดขึ้นก่อนที่ป้าฮุ่ยชิวจะน้ำตาร่วง “พาเด็กๆไปเที่ยวสวนสนุกใกล้ๆนี่กันนะ”
“ไปเที่ยว...”
ตั้งแต่คุณผู้ชายหายไป คุณนายไม่เคยไปเที่ยวที่ใดเลย แต่ละวันก็ทุ่มเทกับการดูแลลูกทั้งสองกับติดตามข่าวคราวของคุณผู้ชาย หรือบางทีคุณนายอาจทำใจได้แล้ว
หลินเหยาซื่อไม่รู้ความคิดของป้าฮุ่ยชิว หญิงสาวมองเด็กสองคนแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ เด็กวัยสามขวบอยู่ในวัยอยากรู้อยากเห็นและมีจินตนาการ เริ่มสำรวจสิ่งต่างๆ มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และเป็นช่วงที่จะได้ยินคำว่า 'ทำไม' จากปากของเด็กๆ หลังจากที่ทำใจได้แล้วว่าตัวเองจะต้องอยู่ในร่าง ‘หลินเหยาซื่อ’ และรับมอบการดูแลเด็กฝาแฝดทั้งสองในฐานะ ‘แม่’ เธอก็ตั้งใจว่าจะดูแลเด็กทั้งสองให้ดีที่สุด เธอไม่มีประสบการณ์การเป็นแม่คน แต่ช่วงเวลาที่เติบโตมาจากบ้านเด็กกำพร้าทำให้เธอรู้ว่าต้องดูแลเด็กเล็กๆ อย่างไร คนที่ไม่มีใครต้องการอย่างเธอ ทำได้แค่ดูแลคนอื่นๆ ยืนมองแต่ละคนมีคนมารับไปอยู่ในครอบครัวใหม่ แต่เติบโตอย่างโดดเดียวจนเรียนจบมัธยมปลาย เธอสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้จึงย้ายออกมา แม้จะมีเงินสนับสนุนจากบ้านเด็กกำพร้ามาเป็นค่าเทอม แต่เธอก็ทำงานหาเลี้ยงตัวเองมาตลอด
เรื่องดีอีกเรื่องที่ทำให้หลินเหยาซื่อพอใจกับร่างนี้ก็คือใบหน้าที่งดงามและรูปร่างอรชรทั้งที่คลอดลูกแล้วแต่ยังหุ่นดีอยู่ หากเธอในปี2023 ได้ครอบครอบความงามเช่นนี้ การได้เป็นดาราคงไม่ใช่แค่ความฝัน บางครั้งเธอก็คิดว่าจะไปสมัครเป็นนักแสดงดีหรือไม่ อายุแค่ยี่สิบสองยังไม่แก่เกินไปสำหรับการเข้าวงการบันเทิง แต่เสียดายที่เจ้าของร่างมีลูกแล้ว ในยุคนี้ไม่มีใครเปิดเผยเรื่องส่วนตัว ถ้าแต่งงานมีลูกแล้วความนิยมจะลดลงทันที จำได้ว่าดาราดังหลายคนแม้แต่งงานมีลูกแล้วแต่ต้องปิดบังสุดชีวิต เธอมองหน้าเด็กฝาแฝดแล้วก็ทำใจไม่ได้ เด็กในวัยนี้กำลังสร้างความทรงจำระหว่างแม่ลูก ไม่มีพ่อก็แล้วไปเถอะ อย่าให้มีแม่แล้วเรียกแม่ไม่ได้เลย เธอรู้ดีว่าการเป็นเด็กกำพร้าเจ็บปวดเพียงใด นั้นคือเหตุผลที่ยอมทิ้งความฝันเพื่อเล่นบทบาทที่ยิ่งใหญ่ นั้นก็คือเป็นแม่ของเด็กแฝดทั้งสองคนนี้
“ของป้าฮุ่ยซิวก็มีนะ” หลินเหยาซื่อหยิบหมวกทรงฟักทองส่งให้ “เอาไว้คราวหน้าจะเย็บเสื้อผ้าชุดใหม่ให้นะคะ”
“ไม่ต้องลำบากหรอกค่ะ”
“ลำบากอะไรกันค่ะ” หญิงสาวหัวเราะร่า “เราเป็นครอบครัวเดียวกันนี่น่า วันนี้ไปเที่ยวกันค่ะ”
ป้าฮุ่ยซิวยกไม้ยกมือปฏิเสธแต่ถูกเด็กแฝดชายหญิงวิ่งเข้าไปเกาะขาส่งสายตาอ้อนวอน เด็กสองคนแทบไม่ได้ออกไปไหน นานทีจะมีโอกาสได้ไปเที่ยวเล่นนอกบ้าน หากคุณนายไปคนเดียวก็เกรงว่าจะดูแลเด็กสองคนไม่ไหว นางจึงตัดสินใจพยักหน้ารับ
“ป้าปิดบ้านสักประเดี๋ยวนะคะ”
“ค่ะ”
ที่โรงรถมีรถเก๋งอยู่หนึ่งคัน แต่ฝุ่นจับเขรอะไปหมด เรื่องขับรถ เธอขับเป็นอยู่แล้วเพราะตอนสถานสงเคราะห์ก็ได้หัดขับรถ เวลามีกิจกรรมเธอก็ขับรถตู้พาเด็กๆไปพิพิธภัณฑ์หรือไปสวนสัตว์ เท่าที่เธอพอจะรู้ ‘หลินเหยาซื่อ’ในปี1980 เรียนจบมัธยมปลายและไม่ได้เรียนต่อ ทั้งที่บ้านมีฐานะดี แต่เดาว่าเจ้าของร่างนี้สุขภาพไม่แข็งแรงนัก ป้าฮุ่ยซิวเองยังเคยพูดว่า แค่คลอดลูกแฝดได้อย่างปลอดภัยก็นับว่าเธอยังมีบุญอยู่มากแล้ว คงเพราะแบบนี้ถึงรีบแต่งงานตั้งแต่อายุสิบแปด พ่อคงสบายใจที่ลูกสาวมีคนดีๆ ดูแล แต่ไม่คิดว่าหลังบิดาตายจากไปไม่กี่เดือน สามีของเธอก็หายสาบสูญไปอีกคน คนสวยชะตาอาภัยจริงๆ ที่เธอมีแรงใจอยู่มาได้ก็เพราะในท้องมีชีวิตน้อยๆอยู่
ตอนนี้เธอได้รับปันผลกำไรจากบ้านใหญ่เดือนละหนึ่งหมื่นหยวน ตอนนี้อาจจะพอใช้ แต่ถ้าเด็กๆ เข้าโรงเรียน ก็ต้องใช้เงินเพิ่มขึ้น แถมยังต้องคูณสองด้วย ทีแรกเธอก็คิดขายบ้าน แต่ป้าฮุ่ยซิวเล่าทั้งน้ำตาว่าบ้านหลังนี้เป็นมาอย่างไร จะว่าไปเธอก็เสียดายเหมือนกัน ยังไงเธอต้องมีหนทางหาเงินได้อยู่สิน่า
ป้าฮุ่ยซิวเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ และปิดบ้านเรียบร้อย มือเหี่ยวย่นยกขึ้นแตะทรงผมแก้เขิน เด็กๆหัวเราะชอบใจ หลินเหยาซื่อเดินไปเรียกรถแท็กซี่หน้าบ้าน เอาไว้เธอลองเช็กรถยนต์ที่บ้านก่อนแล้วจะลองเอาออกมาขับดู ทั้งหมดเดินทางด้วยรถแท็กซี่ใช้เวลาราวๆ สี่สิบนาทีก็ถึงที่หมาย
“ยังจำที่เราตกลงกันได้ใช่ไหมจ๊ะ” หลินเหยาซื่อพูดกับเด็กฝาแฝดที่ทำหน้าตาตื่นเต้น ทั้งสองพยักหน้าหงึกหงัก เธอลอบถอนหายใจแต่ก็ฝืนยิ้มออกมา “เมื่อคืนแม่สอนให้พูดว่าอะไรนะ”
เด็กสองคนเม้มปากแล้วมองหน้ากันก่อนค่อยพูดออกมา
“ต้องจับมือแม่กับป้าฮุ่ยซิวไว้ตลอดเวลา” จางหย่งพูดขึ้นก่อน
“ห้ามไปกับคนแปลกหน้า” จางลี่พูดขึ้นบ้าง
“ถ้าผลัดหลงกันให้อยู่กับที่ แม่จะมาหาเอง” เธอยิ้มแล้วหันไปหยิบของในกระเป๋าสะพายออกมา เป็นบัตรป้ายชื่อที่เมื่อคืนทำไว้แล้วคล้องคอให้เด็กทั้งสอง “ป้ายชื่อมีชื่อของลูกกับที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์รวมทั้งชื่อของแม่ “
“เข้าใจแล้วค่ะ/ครับ”
เด็กๆ อายุสามขวบแล้ว แต่ยังพูดไม่ค่อยเป็นประโยคเท่าไหร่ เธอกลัวเรื่องพัฒนาการช้าจึงพยายามหาทางให้พวกเขาพูดเป็นประโยคมากขึ้น แต่ก่อนชอบเอาแต่พยักหน้ากับส่ายหน้า ตอนนี้เริ่มพูดเป็นประโยคแล้ว ทั้งหมดเดินไปซื้อตั๋วเข้าสวนสนุก เห็นเครื่องเล่นแล้วก็นึกอยากเป็นเด็กเสียเอง ตัวเองในวัยเด็กก็ไม่เคยได้ไปสวนสนุกบ่อยนัก แทบจำไม่ได้ว่าเคยไปหรือไม่ ที่นี่เป็นสวนสนุกขนาดเล็ก แต่ในวันหยุดกลับมีผู้คนมาค่อนข้างหนาตา หลินเหยาซื่อซื้อไอศกรีมจางหย่งและจางลี่คนล่ะแท่งแล้วพาไปนั่งม้าหมุ่น ป้าฮุ่ยซิวประกบจางลี่ที่ขี่ม้ายูนิคอร์สสีรุ้ง ส่วนหลินเหยาซื่อยืนข้างม้าหมุ่นสีขาวที่จางหย่งนั่ง ป้าฮุ่ยซิวซวนเซเล็กน้อยแต่ประคองตัวได้ ในขณะที่หลินเหยาซื่อทรงตัวได้ดี เธอหยิบกล้องถ่ายรูปมาถ่ายรูปลูกทั้งสองคน หลังจากครบรอบแล้ว ทั้งหมดก็หาเป้าหมายต่อไป เสียงหวีดร้องผสานเสียงหัวเราะดึงดูดสายตาของเด็ก พวกเขาแหงนหน้ามอง ‘เรือเหาะ’ ที่เหวี่ยงไปมา
“เล่นอันนี้ไม่ได้ เอาไว้ลูกๆโตกว่านี้ค่อยมาเล่น เราไปนั่งรถรางกันเถอะ”
หลินเหยาซื่อจูงมือเด็กๆให้เดินไปที่รถรางที่มีหน้าเหมือนรถไฟ จากแผนที่ในสวนสนุกสามารถนั่งรถรางไปชมบริเวณจุดแสดงสัตว์เลี้ยงหายาก ใบหน้าน้อยๆ มีรอยยิ้ม แก้มสองข้างแดงปลั่ง เหงื่อซึมออกมาบ้าง ป้าฮุ่ยซิวรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อให้คุณหนูคุณชาย
“ฉันนี่แย่จริงๆ เป็นแม่ยังไงลืมเช็ดเหงื่อให้ลูก” หลินเหยาซื่อตำหนิตัวเองไม่จริงจังนักแต่ป้าฮุ่ยซิวส่ายหน้ารัวๆ
“คุณยายอย่าตำหนิตัวเองแบบนั้นสิคะ คุณนายเป็นแม่ที่ดีสำหรับคุณหนูคุณชายแล้วค่ะ”
หลินเหยาซื่อไม่อยากทำให้เสียบรรยากาศจึงไม่ได้พูดอะไรต่อ ระหว่างเธอเธอถ่ายรูปเด็กทั้งสองเยอะมากจนเกือบลืมไปว่าตัวเองใช้กล้องฟิลม์อยู่ ซึ่งต้องนำฟิลม์ไปล้างอีก นั้นหมายถึงเธอต้องใช้เงินอีกแล้ว รถรางพามาถึงบริเวณแสดงสัตว์เลี้ยง กวางตัวน้อยเดินไปมาน่ารักน่าเอ็นดู ลิงตัวใหญ่ใส่เสื้อผ้าราวกับเด็กสิบขวบยืนรอถ่ายรูปกับนักท่องเที่ยว หลินเหยาซื่อจูงมือเด็กทั้งสองแล้วคอยอธิบายสัตว์แต่ละชนิดอย่างใจเย็น
“กวาง”
“กระต่าย
“แพะ”
“เต่า”
จางหย่งจางลี่พูดตามที่มารดาสอน
“หย่งหย่ง ลี่ลี่เก่งที่สุด” หลินเหยาซื่อเอ่ยชมลูกทั้งสอง “หิวกันหรือยัง วันนี้ไปกินเบอร์เกอร์กัน”
“เบอร์เกอร์!”
เด็กๆ อาจไม่เข้าใจอะไรมากนัก แต่พวกเขารู้ว่า เขาชอบที่แม่เป็นแบบนี้มากกว่าแม่ที่เอาแต่ทำหน้าเศร้าตลอดเวลา บางครั้งก็ได้ยินเสียงร้องไห้ จางหย่งจางลี่จับมือมารดากันคนละข้าง ภายในใจนั้นได้แต่บอกว่า พวกเขาจะไม่มีวันปล่อยให้แม่ที่ร่าเริงเช่นนี้หายไปอีกแล้ว
................