ใครเลยจะรู้ว่า นักแสดงตัวประกอบอย่างเหยาซื้อจะประสบอุบัติเหตุมาอยู่ในร่างของสตรีที่ชื่อเดียวกันแต่อยู่ในปี1980
รัก,ย้อนยุค,ผู้ใหญ่,จีน,ครอบครัว,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ดวงตาคมหรี่ลงเล็กน้อย กั๋วคังเหรินแน่ใจว่าเมื่อครู่เขาเห็นแววตารื่นเริงของหญิงสาวตรงหน้า แม้จะแค่เสี้ยววินาทีก็ตาม เพราะนั่งประจันหน้ากัน เธออยู่ตรงข้ามกับเขา กั๋วคังเหรินจึงโน้มตัวไปข้างหน้าและยื่นหน้าไปใกล้
“คุณอยากให้พิสูจน์หรือเปล่าล่ะ”
เพราะลมหายใจอุ่นร้อนที่ปะทะใบหน้าทำให้หลินเหยาซื่อตัวเกร็งไปเล็กน้อยแต่ยังบังคับไม่ให้เอนหลังถอยหนี หรือเขาก็ ‘รู้สึก’ว่าเธอไม่ใช่ภรรยาผู้แสนว่านอนสอนง่ายคนนั้น
ทั้งสองประสานสายตากันอย่างไม่มีใครยอมใคร
ก่อนที่จะทันได้ ‘พิสูจน์’ ว่าคนตรงหน้าคือ ‘สามี’ ตัวจริง หางตาก็เห็นเงาร่างเล็กๆ ที่มุมห้อง ดวงตาสองคู่แอบมองอยู่ กั๋วคังเหรินก็รู้เช่นกัน เขาย้ายสายตากลับไปมองเด็กน้อยทั้งสองด้วยแววตาอ่อนโยน คล้ายทุกสิ่งมันตรงข้ามกับที่เขาคิด หลินเหยาซื่อไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟายหรือแม้แต่ทุบตีเขา แต่เธอกลับใช้ ‘สายตา’ไม่เชื่อใจจ้องมอง จนเขาไม่อาจประเมินสถานการณ์เช่นนี้ได้
เด็กสองคนเห็นรอยยิ้มของผู้ชายที่เหมือนในรูปที่ติดผนังห้องเป๊ะ! ก็ยิ้มตอบ แต่พอเห็นสายตาดุๆ ของแม่ก็หดคอกลับไปทันที
กั๋วคังเหรินกลัวหญิงสาวจะดุลูกจึงยื่นมือไปจับมือที่วางอยู่บนโต๊ะเป็นเชิงห้าม เธอหันมามองเขาแวบหนึ่งก่อนจะหันไปฉีกยิ้มให้ลูกทั้งสอง เป็นจังหวะที่ป้าฮุ่ยชิวรีบเดินมาจูงมือเด็กน้อยเข้าไปในครัว เธอจึงหันมาสบตากับเขา
“คิดว่าฉันจะดุลูกหรือไง” เธอแยกเขี้ยวใส่ “ว่าแต่คุณหายไปไหนมา”
เขาเลิกคิ้วขึ้น ไม่คิดว่านี้จะเป็นประโยคที่เขาไม่คิดว่าจะได้ยินจากภรรยาที่อ่อนโยน ตั้งแต่เขารู้จักหลินเหยาซื่อ จะมีดวงตาคู่หนึ่งลอบมองเขาอย่างอ่อนหวานและหากเขาสบตาก็จะพบแววตาประหม่าเขินอาย ต่อให้แต่งงานกันแล้ว ก็ยังเป็นเช่นนั้นอยู่
หรือเพราะวันเวลาที่เขาไม่อยู่ ทำให้เธอกลายเป็นแบบนี้
คงเป็นเพราะเขาถึงทำให้ทุกอย่างมาถึงจุดนี้สินะ
เห็นแววตาอ่อนล้าของเขาแล้ว หลินเหยาซื่อรู้สึกผิดขึ้นมา เขาคือคนที่คุณพ่อเชื่อใจและไว้ใจให้แต่งงานด้วย จู่ๆ กลับหายไป คงมีเรื่องจำเป็นถึงกลายเป็นแบบนี้ หลินเหยาซื่อกระแอมไอพลางคิดว่าต้องพูดใหม่ ต้องงัดวิชายุทธ์ที่เคยเรียนการแสดงออกมา เธอต้องเป็นหลินเหยาซื่อที่อ่อนแอ
“ขอโทษที่ทำให้ลำบาก”
ยังไม่ทันจะปั้นสีหน้า หลินเหยาซื่อก็ได้ยินเสียงทุ้มต่ำดังขึ้นมาก่อน เธอเงยหน้าสบตากับแววตาที่รู้สึกผิดซึ่งเธอมั่นใจว่าเขาไม่ได้เสแสร้ง
“เอ่อ...” เธออึกอักไปครู่หนึ่ง จะพูดกับคนที่ไม่เจอกันสามปีหกเดือนยังไงดี
“กลับมาก็ดีแล้วค่ะ” คราวนี้เธอพูดเบาลง
“ผมไม่รู้ว่าคุณท้อง...”
‘ถ้ารู้แล้วจะหายไปไหมล่ะ?’
หลินเหยาซื่อกลืนคำประโยคของตัวตัวเองลงท้อง ยังไม่อยากสร้างรอยร้าวขึ้นในเวลานี้
“ตอนนั้นฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน” เธอพูดไปตามที่อ่านในไดอารี่ของหลินเหยาซื่อ “ถ้าไม่มีพวกเขา ฉันก็คงไม่มีกำลังใจอยู่มาถึงตอนนี้”
‘ส่วนประโยคนี้เธอคิดอย่างนั้นจริงๆนะ จู่ๆ เธอก็ฟื้นในร่างของผู้หญิงที่ชื่อเดียวกันแต่ในปี1980 แถมมีลูกแฝดด้วย แต่เพราะเจ้าเด็กแฝดนั้นแหละ ที่ทำให้เธออยากมีชีวิตอยู่ต่อไป’
‘นั้นสินะ ถ้าเขารู้...เขาคงหาทางกลับมาได้เร็วกว่านี้’
“เราค่อยๆคุยเรื่องพวกนี้กันเถอะนะ” หลินเหยาซื่อรีบพูดออกไป เธอเอง จู่ๆมีลูกก็ใช้เวลาทำใจอยู่หลายวัน ตอนนี้จู่ๆสามีก็โผล่มาอีก ไม่รู้จะมีเจ้ากรรมนายเวรที่ไหนโผล่มาอีกไหม
“อืม” เขาพยักหน้ารับ “ผมขอเข้าห้องตัวเองได้ไหม”
“ค่ะ” เธอพยักหน้าหงึกหงัก “ป้าฮุ่ยชิวทำความสะอาดเป็นประจำ เผื่อคุณกลับมาก็ใช้ห้องนั้นได้ทันที”
เขาชะงักไปเล็กน้อย เกือบสี่ปีที่หายไป เธอคงหวังให้เขากลับมาเสมอเลยสินะ กั๋วคังเหรินหลุบตาลงแล้วลุกขึ้นยืน เดินในบ้านที่คุ้นเคย มันคือบ้านหลังเดิมที่เขารู้จักมานานกว่าสิบปี ตั้งแต่เขายังเป็นนักศึกษา ท่านประธานหลินให้ทุนการศึกษากับเขามาตลอด เรียนจบก็กลับมาทำงานรับใช้ท่าน ที่ผ่านมาเขารู้ว่าสายตาของหลินเหยาซื่อมองเขาด้วยความรู้สึกมากกว่าพี่ชาย แต่ตัวเขาไม่เคยคิดเกินเลย จนกระทั่งคำขอของท่านประธานทำให้เขาแต่งงานกับเธอ
แม้แต่งงานกัน แต่แยกห้องนอน เขามีห้องส่วนตัวบนชั้นสองของบ้าน แม้บ้านก็ยังคงเป็นบ้านหลังเดิม เพียงแต่บรรยากาศต่างไป อาจเพราะมีเด็กเล็กๆ อยู่ในบ้าน ความสดใสจึงละลายความหมองหม่นที่ปกคลุมมานาน
หลินเหยาซื่อเดินตามแผ่นหลังของเขา เพียงอยากสังเกตว่าเขาจำข้าวของของตัวเองได้หรือไม่ ดูเหมือนเขาจะเดินตรงไปที่ห้องของตัวเองจริงๆ ห้องของเขาไม่ได้ล็อกไว้ ในบ้านตอนนี้มีแค่ป้าฮุ่ยชิว เธอกับลูกแฝด ไม่มีคนอื่น จึงไม่จำเป็นต้องล็อกประตูห้อง
ในห้องแทบไม่มีฝุ่นผง ความรู้สึกปวดใจขุมหนึ่งแล่นขึ้นมา ชายหนุ่มกวาดตามองในห้อง ทุกอย่างยังอยู่ที่เดิม ราวกับเขาไม่ได้เดินออกจากบ้านนี้ไป
“คุณ...เอ่อ..จัดการธุรส่วนตัวก่อนก็แล้วกันนะ ฉันต้องทำงานก่อน”
เธอไม่รู้จะคุยอะไรกับเขา ตอนนี้เธอก็อยากตั้งหลักตั้งสติเหมือนกัน
“ทำงาน?” เขาหันมามองอย่างแปลกใจ
“ค่ะ อ้อ! ฉันเพิ่งรับงานออกแบบเสื้อผ้า ใช้ห้องนั่งเล่นเป็นที่ทำงาน รับรองว่าจะไม่รบกวนคุณแน่ๆ”
“ออกแบบเสื้อผ้า?” เขางุนงง “เงินกงสีไม่พอใช้หรือ?”
“คือ...เด็กๆ ก็โตขึ้นทุกวัน เงินเดือนละหนึ่งหมื่นหยวนอยู่กันสี่ปากสี่ท้องก็ไม่ค่อยพอเท่าไหร่” เธอพูดพลางยิ้มน้อยๆ กลัวว่าเขาจะเป็นผู้ชายหัวเก่าไม่ยอมให้เมียออกไปทำงานนอกบ้าน “แต่ไม่ต้องห่วงนะ ฉันไม่ทำเรื่องเสื่อมเสียแน่นอน”
เขาขมวดคิ้ว “หนึ่งหมื่นหยวน?”
หลินเหยาซื่อพยักหน้ารับ
“ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ก็ตั้งแต่คุณไม่อยู่นั้นแหละ”
‘คือก่อนหน้านี้ก็ไม่รู้นะ เพราะฉันเพิ่งมาอาศัยร่างนี้อยู่’
“เข้าใจแล้ว” กั๋วคังเหรินยกมือขึ้นนวดขมับ “เรื่องผมกลับมาอย่าเพิ่งบอกคนอื่น”
“ค่ะ” เธอพยักหน้าอีกครั้ง
“คุณเห็นสมุดบัญชีผมไหม”
“เอ่อ... อยู่ในลิ้นชักหรือเปล่าคะ” เธอไม่แน่ใจแต่เดินไปที่โต๊ะทำงานในห้องนอนของเขา ทว่ามือของเธอก็ถูกคว้าไว้ก่อน
“มีอะไรคะ” เธอมองเขาอย่างงุนงง
“คุณไม่รู้หรือว่าของสำคัญแบบนั้นอยู่ที่ไหน?”
คำถามเหมือนจับผิดทำให้หลินเหยาซื่อเค้นยิ้มออกมา
“ขอโทษด้วย ก่อนหน้านี้ฉันป่วยหนักไข้ขึ้นสูงจนหมดสติไปนานนับสัปดาห์ พอฟื้นขึ้นมาความทรงจำก็ขาดๆหายๆไป หมอบอกว่าสมองขาดออกซิเจนไปชั่วขณะ ความจำเสื่อมชั่วคราว ตอนนี้ฉันก็จำได้บ้างไม่ได้บ้าง”
“แล้วตอนนี้...” เขาคว้าไหล่เธอไว้ ใช้สายตาสำรวจทั่วร่าง ทำเอาใบหน้าหวานแดงเรื่อขึ้นมาทันที
“ก็ค่อยๆ ทบทวนความทรงจำอยู่ค่ะ” เธอรู้สึกแปลกๆ ร่างกายเหมือนจะโหยหาความรู้สึกบางอย่างที่เธอไม่รู้จัก ใช่สิ! ก็ยัยมนุษย์เป็ดเหยาซื่อไม่เคยมีแฟนหรือคนรัก จะเคยรู้จักรสชาติวาบหวามใจอะไรได้เล่า!
“มิน่า คุณถึงจำผมไม่ได้”
“เอ๊ะ! เราเคยเจอกันมาก่อนเหรอคะ” เธอเบิกตากว้างขึ้น แล้วก็นึกได้ว่าคลับคล้ายคลับคลาว่า ...“คงไม่ใช่ผู้ชายที่ฉันให้ซื้อเค้กให้หรอกนะ”
คราวนี้เขาเข้าใจทุกอย่างแล้ว มือใหญ่รั้งร่างเล็กเข้ามาในวงแขน หลินเหยาซื่อตัวเกร็งขึ้นมาทันที ชายหนุ่มย่อมรู้ถึงปฏิกิริยาของเธอได้จึงค่อยๆ คลายวงแขนออก
“คนอื่นๆในบ้านล่ะ”
“ต้องลดค่าใช้จ่ายเลยให้ลาออกไปค่ะ” เธอขยับตัวออกจากวงแขนของเขา “แต่ป้าฮุ่ยชิวอยู่มานานและไม่มีญาติพี่น้องที่ไหน ป้าเองก็ยินดีช่วยเลี้ยงหย่งหย่งกับลี่ลี่ เราอยู่กันแบบครอบครัวไม่ใช่คนรับใช้ เพราะฉะนั้นคุณต้องดีกับป้าฮุ่ยชิวด้วย”
“เข้าใจแล้ว...ที่ผ่านมาลำบากคุณจริงๆ”
ฝ่ามืออุ่นลูบใบหน้าเธอเบาๆ ต่อให้เธอผ่านคอร์สการแสดงมาแล้วแต่ก็ไม่รู้ว่าควรแสดงปฏิกิริยาโต้ตอบอย่างไร
“คุณ...คุณ...เอ่อ...ฉัน..ฉันลงไปข้างล่างนะคะ”
ร่างเล็กหมุนตัวเดินออกไปแล้ว ในห้องเหลือเพียงเจ้าของห้องยืนอยู่ เขาสูดลมหายใจลึก แล้วเดินไปเปิดประตูตู้เสื้อผ้า เขาถอดเสื้อโปโลออกทางศีรษะแล้วมองเงาร่างของตนที่กระจกที่ติดอยู่ที่ประตูตู้เสื้อผ้า บนแผลหลังยังเหลือรอยแผลเป็นขนาดใหญ่ แต่เดิมเขาไม่ใช่คนเจ้าคิดเจ้าแค้น แต่ผู้อื่นเอาเปรียบเช่นนี้ คงต้องใช้วิธี ‘ตาต่อตา ฟันต่อฟัน’ แล้ว