ใครเลยจะรู้ว่า นักแสดงตัวประกอบอย่างเหยาซื้อจะประสบอุบัติเหตุมาอยู่ในร่างของสตรีที่ชื่อเดียวกันแต่อยู่ในปี1980

เมื่อตัวประกอบทะลุมิติมาเป็นคุณแม่เลี้ยงก็ดี่ยวยุค80's - ตอนที่10 พี่น้อง โดย เพลงมีนา @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,ย้อนยุค,ผู้ใหญ่,จีน,ครอบครัว,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

เมื่อตัวประกอบทะลุมิติมาเป็นคุณแม่เลี้ยงก็ดี่ยวยุค80's

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,ย้อนยุค,ผู้ใหญ่,จีน,ครอบครัว

แท็คที่เกี่ยวข้อง

รายละเอียด

ใครเลยจะรู้ว่า นักแสดงตัวประกอบอย่างเหยาซื้อจะประสบอุบัติเหตุมาอยู่ในร่างของสตรีที่ชื่อเดียวกันแต่อยู่ในปี1980

ผู้แต่ง

เพลงมีนา

เรื่องย่อ

สารบัญ

เมื่อตัวประกอบทะลุมิติมาเป็นคุณแม่เลี้ยงก็ดี่ยวยุค80's-ตอนที่1 ลืมตา,เมื่อตัวประกอบทะลุมิติมาเป็นคุณแม่เลี้ยงก็ดี่ยวยุค80's-ตอนที่2 ไม่ง่ายเลยนะ,เมื่อตัวประกอบทะลุมิติมาเป็นคุณแม่เลี้ยงก็ดี่ยวยุค80's-ตอนที่3 สวนสนุก,เมื่อตัวประกอบทะลุมิติมาเป็นคุณแม่เลี้ยงก็ดี่ยวยุค80's-ตอนที่4 หลินเหยาซื่อ,เมื่อตัวประกอบทะลุมิติมาเป็นคุณแม่เลี้ยงก็ดี่ยวยุค80's-ตอนที่5 นิ้วมือเล็กๆ,เมื่อตัวประกอบทะลุมิติมาเป็นคุณแม่เลี้ยงก็ดี่ยวยุค80's-ตอนที่6 ถ้าคุณหน้าตาดีโลกนี้จะใจดีกับคุณ,เมื่อตัวประกอบทะลุมิติมาเป็นคุณแม่เลี้ยงก็ดี่ยวยุค80's-ตอนที่7 คุณพ่อกลับมาแล้ว,เมื่อตัวประกอบทะลุมิติมาเป็นคุณแม่เลี้ยงก็ดี่ยวยุค80's-ตอนที่8 ไม่ใช่ภรรยาผู้ว่านอนสอนง่าย,เมื่อตัวประกอบทะลุมิติมาเป็นคุณแม่เลี้ยงก็ดี่ยวยุค80's-ตอนที่9 ใจที่เต้นแรง,เมื่อตัวประกอบทะลุมิติมาเป็นคุณแม่เลี้ยงก็ดี่ยวยุค80's-ตอนที่10 พี่น้อง,เมื่อตัวประกอบทะลุมิติมาเป็นคุณแม่เลี้ยงก็ดี่ยวยุค80's-ตอนที่11 อย่าดื้อ,เมื่อตัวประกอบทะลุมิติมาเป็นคุณแม่เลี้ยงก็ดี่ยวยุค80's-ตอนที่12 ทำไมรู้ทัน,เมื่อตัวประกอบทะลุมิติมาเป็นคุณแม่เลี้ยงก็ดี่ยวยุค80's-ตอนที่13 ผู้ชายคนนี้เซ็กซี่ชะมัด,เมื่อตัวประกอบทะลุมิติมาเป็นคุณแม่เลี้ยงก็ดี่ยวยุค80's-ตอนที่14 คุณแม่อย่าดื้อ,เมื่อตัวประกอบทะลุมิติมาเป็นคุณแม่เลี้ยงก็ดี่ยวยุค80's-ตอนที่15 ทำไมหน้าหนาแบบนี้นะ,เมื่อตัวประกอบทะลุมิติมาเป็นคุณแม่เลี้ยงก็ดี่ยวยุค80's-ตอนที่16 ทำงานวันแรก,เมื่อตัวประกอบทะลุมิติมาเป็นคุณแม่เลี้ยงก็ดี่ยวยุค80's-ตอนที่17 คุณพ่ออย่าดิ้อ,เมื่อตัวประกอบทะลุมิติมาเป็นคุณแม่เลี้ยงก็ดี่ยวยุค80's-ตอนที่18 ดีไซน์เนอร์คนใหม่,เมื่อตัวประกอบทะลุมิติมาเป็นคุณแม่เลี้ยงก็ดี่ยวยุค80's-ตอนทึ่19 นอนเตียงเดียวกันจะเป็นไร,เมื่อตัวประกอบทะลุมิติมาเป็นคุณแม่เลี้ยงก็ดี่ยวยุค80's-ตอนที่20 รู้แค่ว่า...,เมื่อตัวประกอบทะลุมิติมาเป็นคุณแม่เลี้ยงก็ดี่ยวยุค80's-ตอนที่21 หรือถ่านไฟเก่าจะคุขึ้นมา,เมื่อตัวประกอบทะลุมิติมาเป็นคุณแม่เลี้ยงก็ดี่ยวยุค80's- ตอนที่ 22. มากกว่าจูบได้ไหม,เมื่อตัวประกอบทะลุมิติมาเป็นคุณแม่เลี้ยงก็ดี่ยวยุค80's-ตอนที่ 23. คุณพร้อมจะฟังเรื่องทั้งหมดใช่ไหม,เมื่อตัวประกอบทะลุมิติมาเป็นคุณแม่เลี้ยงก็ดี่ยวยุค80's-ตอนที่ 24. เท่าที่จำได้ ก็ไม่เคยแย่งของใครนะคะ,เมื่อตัวประกอบทะลุมิติมาเป็นคุณแม่เลี้ยงก็ดี่ยวยุค80's-ตอนที่ 25. ครอบครัว ,เมื่อตัวประกอบทะลุมิติมาเป็นคุณแม่เลี้ยงก็ดี่ยวยุค80's-ตอนที่ 26 ซ่อนเร้น ,เมื่อตัวประกอบทะลุมิติมาเป็นคุณแม่เลี้ยงก็ดี่ยวยุค80's-ตอนที่ 27. วันเสาร์ ,เมื่อตัวประกอบทะลุมิติมาเป็นคุณแม่เลี้ยงก็ดี่ยวยุค80's-ตอนที่ 28. ไล่ล่า ,เมื่อตัวประกอบทะลุมิติมาเป็นคุณแม่เลี้ยงก็ดี่ยวยุค80's-ตอนที่ 29. ตื่นพบความจริง ,เมื่อตัวประกอบทะลุมิติมาเป็นคุณแม่เลี้ยงก็ดี่ยวยุค80's-ตอนที่ 30. ความจริง ,เมื่อตัวประกอบทะลุมิติมาเป็นคุณแม่เลี้ยงก็ดี่ยวยุค80's-31 ตอนพิเศษ

เนื้อหา

ตอนที่10 พี่น้อง

ชายหนุ่มลงจากรถแท็กซี่แล้วเดินเข้าไปในบ้านสกุลกั๋ว คนรับใช้ถึงกับยืนตะลึงหลายนาทีก่อนจะรีบไปรายงานคุณนายใหญ่ กั๋วคังเหรินได้เม้มริมฝีปากแน่นจนเรียบตึง เขาเดินเข้าไปโดยไม่ต้องรอให้คนรับใช้เชื้อเชิญ  ร่างสูงโปร่งเดินตรงไปที่ห้องหนังสือ ปลายนิ้วกั๋วคังเหรินนอนหลับสนิทอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แรกทีเดียวเขาก็ไม่คิดว่าตัวเองจะนอนหลับได้ แต่เมื่อหัวถึงหมอนกลับหลับลึกแทบจะทันที เขาตื่นเช้าเป็นปกติ ชีวิตเหมือนไม่ได้จากบ้านหลังนี้ไปไหน หลังจากอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว ก็เดินออกมาจากห้องนอน แต่กลับพบว่ามีร่างเล็กๆ ยืนแหงนหน้ามองเขาดู
           ‘เด็กๆตื่นเช้าเหมือนกันเหรอ’
           “คุณพ่อ..” เด็กหญิงพูดขึ้นก่อนแต่ผลักน้องชายให้เดินมาข้างหน้า 
           ชายหนุ่มยิ้มอ่อนโยนแล้วเป็นฝ่ายเดินเข้าไปหา เมื่อวานเด็กๆ ตื่นเต้นที่พบเขา หยิบของเล่นมาอวดจูงมือเขาไปรอบบ้าน พาไปดูไก่ที่เลี้ยง ด้านหลังยังมีแปลงผักขนาดเล็กที่ปลูกพืชผักหลากหลาย เขาแอบสังเกตว่าเหมือนสิ่งตรงหน้าจะเพิ่งเปลี่ยนแปลงไม่นานมานี้เอง เขาไม่ได้โกรธที่หลินเหยาซื่อทำกับบ้านแบบนี้ เธออาจจะเพิ่งตัดใจเรื่องของเขาได้ หรือไม่ก็เพราะอาการความจำเสื่อมของเธอเอง น่าแปลกที่เธอจำเขาไม่ได้ แต่กลับจำทักษะการวาดภาพ ออกแบบและตัดเย็บที่เขาเคยเห็นเธอทำอยู่ระยะหนึ่งแล้วจู่ๆ ก็เลิกไป นั้นน่าจะเป็นตอนที่เธออายุแค่สิบสี่หรือสิบห้า  หลินเหยาซื่อเป็นชอบงานศิลปะมาแต่ไหนแต่ไร เคยปักผ้าเช็ดหน้าและยื่นให้เขาด้วยท่าทีประหม่าขืนอาย คุณพ่อของเธอคือผู้มีพระคุณของเขา แต่เขาก็เห็นเธอเป็นน้องสาว และรู้ดีว่าในวันที่เรียนจบจะกลับมาทำงานตอบแทนบุญคุณท่านประธานที่ช่วยเขาและแม่
           แต่ไม่คาดคิดว่าจะถูกยื่นเงื่อนไขให้รับตำแหน่งลูกเขย 
           แม้เป็นการแต่งงานที่จำใจแต่ง แต่เขาก็ไม่เคยทำร้ายหลินเหยาซื่อ ยังคงดูแลเธออย่างดี ไม่เคยให้เธอต้องลำบากทำงานแต่อย่างใด มีเพียงเรื่องหัวใจที่ไม่สามารถบังคับได้ หากไม่เพราะคืนนั้น เขาดื่มเหล้าไปมาก เป็นคืนเดียวที่เขามีความสัมพันธ์ทางร่างกายของภรรยาที่ถูกต้องแม้แต่งงานกันมานานนับปีหลังจากสร่างเมา เขากลับโกรธที่เธอปล่อยตัวเองให้มาอยู่ใกล้เขายามที่เขาไม่อาจควบคุมตนเองได้ สีหน้าซีดเผือดของเธอทำให้เขารู้สึกผิด แต่ทิฐิทำให้เขาปั้นปึ่งเย็นชาใส่ ชีวิตคู่จึงดูเลวร้ายยิ่งกว่าเดิม 
           “คุณพ่อ” 
         เสียงเด็กชายตัวน้อยยังพูดไม่ชัดนักแต่เรียกกั๋วคังเหรินให้ตื่นจากภวังค์ ยังไม่ทันเอ่ยปากพูดอะไร ป้าฮุ่ยชิวก็เดินเร็วๆ ตรงมาทางเขา 
           “ขอโทษค่ะคุณผู้ชาย คุณหนูกับคุณชายน้อยไปรบกวนหรือเปล่าเจ้าคะ”
           “ไม่หรอก” เขาตอบแล้วยกมือวางบนศีรษะของเด็กทั้งสอง “ทำไมเด็กๆ ตื่นเช้ากันจัง”
           “คุณหนูกับคุณชายน้อยตื่นพร้อมป้าเจ้าค่ะ” นางพูดเพราะกลัวว่าคุณผู้ชายจะเข้าใจผิดว่านางดูแลเด็กไม่ดีให้ตื่นไม่เป็นเวลา “ปกติป้านอนห้องเดียวกับคุณๆ ส่วนคุณผู้หญิงทำงานดึกนอนไม่เป็นเวลา เกรงว่าจะรบกวนเวลานอนของลูกเลยแยกไปนอนอีกห้อง แต่เพิ่งแยกห้องนอนไม่นานนี่นะเจ้าคะ ปกติคุณนายดูแลคุณหนูทั้งสองดีมาก ต้องอ่านนิทานให้ลูกฟัง กล่อมจนกว่าจะหลับถึงจะออกไปทำงาน”
           ชายหนุ่มพยักหน้าอย่างเข้าใจ เขาไม่มีสิทธิตำหนิหลินเหยาซื่อด้วยซ้ำ 
           “ก่อนหน้านี้คุณผู้หญิงล้มป่วยหมดสติไปเจ็ดวัน คุณหนูทั้งสองกลัวคุณผู้หญิงจะไม่ตื่นจึงชอบมาปลุกด้วยตัวเอง เอ่อ...ประเดี๋ยวป้าพาคุณหนูคุณชายลงไปชั้นล่างเองเจ้าค่ะ”
           “ไม่เป็นไร ผมพาไปเอง ป้าไปทำอาหารเช้าเถอะ เหยาซื่อตื่นมาจะได้กินข้าวเช้าด้วยกัน”
           “ค่ะๆ” ป้าฮุ่ยชิวยิ้มกว้าง นางหวังใจว่าคุณหนูกับคุณชายจะช่วยเป็นกาวประสานใจให้คนทั้งสองได้ครองรักกันเช่นคู่สามีภรรยาทั่วไป 
           ป้าฮุ่ยชิวเดินลงบันไดไปแล้ว เขาก้มมองลูกฝาแฝดทั้งสอง เด็กๆ จูงมือเขาไปที่ห้องนอนของหลินเหยาซื่อ ตั้งแต่แต่งงานกันก็แย่งห้องนอนมาตลอด เขาลังเลครู่หนึ่งก่อนค่อยๆ หมุดลูกบิดเปิดประตูเข้าไป เด็กทั้งสองปล่อยมือเขาแล้วถลาไปเกาะที่เตียงนอนของมารดาแต่กลับไม่กล้าแตะตัว ได้แต่นั่งจ้องมองใบหน้าที่หลับตาอย่างเหนื่อยล้า เขานึกถึงเรื่องที่ป้าฮุ่ยชิวพูด เด็กๆต้องอยู่ด้วยความรู้สึกอย่างไรนะ พ่อก็อยู่ในรูปถ่ายส่วนแม่ก็หมดสติหลับนอนนิ่งอยู่หลายวัน กั๋วคังเหรินค่อยๆ นั่งลงริมเตียง ก้มมองใบหน้าที่คุ้นเคย  ใบหวานระบายยิ้มทั้งที่ดวงตาพริ้มหลับ เขามองอย่างหลงใหลก่อนที่มือเรียวเล็กจะยื่นออกมาจากผ้าห่มมาประกบใบหน้าของเขาอย่างแม่นยำแล้วยื่นริมฝีปากมาจุ๊บแก้มเขาแรงๆ
           หลินเหยาซื่อประหลาดใจที่ไม่ใช่แก้มนุ่มๆ ของลูก เธอจึงลืมตาขึ้นแล้วพบว่าเป็น...
           “คุณ...” 
           เสียงเด็กๆ หัวเราะคิกคักแล้วกระโดดกอดหลินเหยาซื่อ หญิงสาวได้สติรีบปล่อยมือแล้วหันมากอดเด็กๆ แล้วหอมแก้มแก้เขิน 
           “หย่งหย่ง ลี่ลี่เป็นเด็กดี เด็กดีต้องตื่น” เธอพูดกับลูกแฝดไม่กล้าสบตากับผู้ชายที่ยังนั่งนิ่งอยู่ริมเตียง 
           “หย่งหย่งเป็นเด็กดี”
           “ลี่ลี่ก็เป็นเด็กดี”
         “ถูกแล้วๆ เด็กดีตื่นเช้า” เธอจับแก้มนุ่มๆ ของลูกแล้วก็หันมามองชายหนุ่มที่สายตายังจ้องเธออยู่ หญิงสาวรู้สึกตัวจึงก้มมองแล้วพบว่า กระดุมชุดนอนเปิดอยู่ เผยให้เห็นทรวงอกกลมกลึงที่ไร้ชุดชั้นใน ก็เธอไม่ชอบใส่บราเซียนอนนี่น่า แล้วก็นอนคนเดียวจนชินแล้ว
           กั๋วคังเหรินบังคับสายตาให้มองไปทางลูกฝาแฝดที่ยังกอดแม่อยู่ เขายื่นมือออกไป เด็กๆ ก็โผเข้าหาอ้อมกอดของเขาทันที
           “คุณตื่นแล้วก็จัดการตัวเองให้เรียบร้อย ผมจะพาลูกไปชั้นล่างเอง”
           “ค่ะ” 
เธอพยักหน้ารับอย่างขัดเขิน มือเรียวยกขึ้นปิดหน้าอกอย่างรวดเร็ว ทว่าภาพที่เห็นทำสะกดสายตาเธอเอาไว้ กั๋วคังเหรินอุ้มลูกสาวมือซ้าย ลูกชายมือขวา เด็กสองคนกอดคอพ่อหัวเราะเสียงใส 
เขาแข็งแรงมากขนาดนี้เลยเหรอ…
“แม่มาเร็วๆ” จางลี่เร่งมารดา
“แม่หม่ำๆ” จางหย่งก็พูดขึ้นบ้าง
“จ๊ะๆ เดี๋ยวแม่ลงไปนะ ไปนั่งรอดีๆ อย่ารบกวนคุณพ่อกับป้าฮุ่ยชิว”
“คับ/ค่ะ” 
อาจเป็นเพียงแค่เสี้ยวนาที หลินเหยาซื่อเห็นรอยยิ้มที่มุมปากของผู้ชายคนนั้น แต่เขาก็อุ้มลูกเดินออกไปก่อนแล้ว เธอแตะแก้มตัวเองเบาๆ แล้วรีบลุกขึ้นจัดการตัวเองให้พร้อมเจอหน้า ‘สามี’
ป้าฮุ่ยชิวเห็นกั๋วคังเหรินอุ้มเด็กทั้งสองลงมาจากชั้นบนก็อดยิ้มไม่ได้ 
“คุณผู้ชายรับกาแฟกับขนมปังหรือจะเป็นโจ๊กดีเจ้าคะ”
“โจ๊กกับกาแฟดำได้ไหมครับ”
“ได้สิเจ้าค่ะ ทำไมต้องพูดเกรงใจแบบนี้ คุณผู้ชายผอมไปมาก ต้องบำรุงเยอะๆนะคะ”
ชายหนุ่มมองเห็นเก้าอี้เด็กสองตัว เขาเลื่อนเก้าอี้แล้วอุ้มลูกขึ้นนั่ง เด็กๆ ยิ้มร่าจนดวงตาหยีเล็ก เมื่อวานแทบจะเอาแต่จ้องเขาจ้องผล็อยหลับไป ป้าฮุ่ยชิววางถาดอาหารลง กั๋วคังเหรินเห็นว่าเวลานี้มีเพียงป้าฮุ่ยชิวที่ทำงานทุกอย่างในบ้าน เขาจึงยกชามอาหารลงวาง 
“คุณผู้ชาย!”
“ไม่เป็นไร ผมทำเอง” เขายิ้มบางๆ “ตอนนี้มีแค่เรา ตอนที่ผมไม่อยู่ ป้าฮุ่ยชิวก็ดูแลลูกและเมียให้ผม เรื่องแค่นี้ให้ผมทำเองเถอะครับ”
“คุณผู้ชาย...” ป้าฮุ่ยชิวกลั้นน้ำตาแล้วยิ้มออกมา “ค่ะๆ รีบกินข้าวเถอะเจ้าค่ะ”
“ไม่ต้องรอเหยาซื่อเหรอครับ” เขาถามอย่างแปลกใจ 
“ไม่เป็นไรค่ะ คุณผู้หญิงปกติจะลงมาช้าและเคยสั่งไว้ว่าให้คุณผู้ชายกินก่อนได้เลย”
กั๋วคังเหรินพยักหน้ารับ เขาหันไปทำท่าจะป้อนข้าวให้เด็กๆ แต่จางหย่งจางลี่จับช้อนตักโจ๊กฟักทองแล้วเป่าจนแก้มป่องก่อนจะส่งเข้าปาก คนเป็นพ่อดูประหลาดใจไม่น้อยแต่ก็ยิ้มออกมา 
“เก่งจัง กินข้าวได้เองไม่ต้องป้อนด้วย”
“ลี่ลี่เป็นคนเก่งค่ะ” จางลี่พูดขึ้น
“หย่งหย่งก็เป็นคนเก่งคับ” จางหย่งรีบพูดขึ้น แต่โจ๊กเลอะมุมปาก จางลี่จึงหยิบผ้าเช็ดปากมาเช็ดให้จางหย่ง กั๋วคังเหรินมองลูกที่คอยช่วยเหลือกันแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ 
“เหยาซื่อเลี้ยงลูกได้ดีจริงๆ”
“ค่ะ คุณนายดูแลคุณหนูกับคุณชายอย่างดี ให้ดูรูปของคุณผู้ชายทุกวันจนทั้งสองจำหน้าคุณพ่อได้ทันทีที่ได้พบ”
กั๋วคังเหรินไม่ได้เอ่ยอะไรอีก เขากินโจ๊กในชามตัวเองแล้วคอยดูลูกๆ กินข้าว เสียดายที่ไม่ได้อยู่ตอนที่พวกเขาเกิด ไม่ได้อุ้มตอนที่พวกเขายังแบเบาะ ต่อไปนี้เขาจะชดเชยเวลาที่ขาดหายไปให้ดีที่สุด และเอาทุกสิ่งที่ควรเป็นของหลินเหยาซื่อกลับคืนมา 
“ลูกแม่เก่งมากๆ” 
หลินเหยาซื่อพูดขึ้นเมื่อเห็นลูกกินข้าวได้เองแต่พร่องไปเกือบหมดชามแล้ว กั๋วคังเหรินกวาดตามองภรรยาตัวเล็กที่สวมเสื้อผ้าแปลกตา ที่ผ่านมาเขาเห็นเธอมักสวมกระโปรงแต่งกายเรียบร้อยอยู่เสมอแม้จะอยู่บ้านก็ตาม แต่ตอนนี้เธอสวมเสื้อเชิ้ตคอจีนแบบพอดีตัว แต่เป็นแบบเสื้อแขนกุด อวดเรียวแขนขาวผ่อง กับกางเกงทรงประหลาด ดูคล้ายเป็นกางเกงสแล็คของผู้ชายแต่ตัดให้พอดีกับรูปร่าง ผ้าสีครีมทำให้เธอดูอ่อนนุ่มไปทั้งตัว ผมยาวถูกรวบขึ้นอย่างง่ายๆ รับกับผมม้าน่ารัก 
“คุณแม่หม่ำๆ” จางลี่พูดแล้วยิ้มกว้าง
“คุณแม่กินข้าว” จางหย่งไม่ยอมแพ้ 
“จ๊ะๆ แม่กินข้าวด้วยนะ” เพียงหลินเหยาซื่อนั่งลง ป้าฮุ่ยชิวก็ยกโจ๊กมาให้เธอ “ขอบคุณค่ะ” 
“ขอบคุณค่ะ” จางลี่พูดเลียนแบบแม่
“ขอบคุณค่ะ” จางหย่งรีบพูดขึ้นบ้าง
หลินเหยาซื่อหัวเราะเบาๆ “หย่งหย่งต้องพูดว่าครับ ลี่ลี่พูดว่าค่ะ”
“คับ/ค่ะ”
ถึงจะพูดไม่ชัดนัก แต่ก็นับว่ามีความพยายาม หลินเหยาซื่อพยักหน้าอย่างพอใจแต่นึกขึ้นได้จึงหันไปมองกั๋วคังเหรินที่กินโจ๊กไปได้แค่ครึ่งชาม
“ไม่ถูกปากหรือคะ เอาอะไรเพิ่มไหม?”
“อ้อ! ไม่หรอก ผมดูลูกกินข้าวอยู่” เขารู้สึกผิดขึ้นมาวูบหนึ่ง 
“ฟักทองมีเบต้าแคโรทีน  สร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย เหมาะกับเด็กๆค่ะ”  เธอคิดไปเองว่าเขาอาจจะไม่พอใจที่เห็นเด็กแฝดกินโจ๊กฟักทองแบบนี้ 
เขาแค่พยักหน้ารับ ลอบมองหญิงสาวที่นั่งใกล้เขาไม่ได้ แล้วก็ย้ายไปมองลูกทั้งสอง ที่แต่งตัวคล้ายกันมาก แค่คนหนึ่งใส่กระโปรง อีกคนใส่กางเกง ‘เด็กๆถูกจับแต่งตัวเป็นตุ๊กตา’ น่ารักไม่น้อย
“กินข้าวแล้วผมออกไปธุระข้างนอกสักหน่อยนะ”
“คะ?” หลินเหยาซื่อย้ายสายตาจากเด็กฝาแฝดมามองผู้ชายที่นั่งหัวโต๊ะ 
“ผมไปธุระ ตอนเย็นจะกลับ” เขาไม่อาจอธิบายรายละเอียดได้ “ไม่ต้องกลัว ครั้งนี้ผมไม่หายไปไหนอีกแล้ว”
น้ำเสียงราบเรียบแต่หลินเหยาซื่อรู้สึกเหมือนได้ยินคำมั่นสัญญา แววตาอ่อนโยนที่ทอดมองทำให้หัวใจเธอเต้นแรงขึ้นมา เอ่อ...นี่เป็นเพราะร่างกายของหลินเหยาซื่อมีปฏิกิริยากับกั๋วคังเหรอใช่ไหม
เธอไม่ได้หวั่นไหวกับเขาเลยสักนิดเดียว
บนสันหนังสือเล่มหนาที่เรียงอัดแน่นบนชั้นไม้ที่จัดวางอย่างเป็นระเบียบ
           เสียงฝีเท้าหนักๆที่ก้าวเร็วๆ จนเกือบจะเป็นวิ่งตรงเข้ามาในห้องหนังสือ กั๋วซีฮันหยุดที่ประตูแล้วปรับลมหายใจครู่หนึ่งก่อนฉีกยิ้มออกมา 
           “คังเหริน? ใช่คังเหรินจริงๆหรือนี่” กั๋วซีฮันเดินตรงไปหาหมายจะโอบกอดน้องชายแสดงความคิดถึงและห่วงใย ทว่ากั๋วคังเหรินแค่ใช้หางตามอง เขาหยิบหนังสือที่ต้องการออกมาจากชั้นแล้วหมุนตัวมาเผชิญหน้า  เอนหลังพิงชั้นหนังสือด้วยท่าทีสบายๆ ราวกับไม่เคยหายไปไหน 
           “พี่ใหญ่” เขายิ้มมุมปาก แต่รอยยิ้มไม่ไปถึงดวงตา 
           ระหว่างกั๋วคังเหรินกับกั๋วซีฮัน คือพี่น้องที่ผู้อื่นมองว่ารักใคร่ปรองดอง แต่ภายในบ้านสกุลกั๋ว กั๋วคังเหรินเป็นลูกชายที่เกิดจากฮูหยินรอง ส่วนกั๋วซีฮันเกิดจากฮูหยินใหญ่ และยังมีลูกสาวอีกสองคน กั๋วคังเหรินควรนับพวกเธอเป็นน้อง แต่สายตาคนเหล่านั้นไม่เคยนับเขาเป็นพี่-น้อง สกุลกั๋วเป็นตระกูลเก่าแก่และร่ำรวยในสายตาผู้อื่น การมีลูกมากกว่าหนึ่งคนจึงไม่ใช่เรื่องยากอะไร แต่ในความเป็นจริง สถานะทางการเงินย่ำแย่เต็มที หากไม่มีหลินซือซง บิดาของหลินเหยาซื่อยื่นมือเข้าช่วย เขาคงไม่ได้เรียนต่อถึงระดับปริญญาโท 
           แต่สิ่งที่สกุลกั๋วต้องการคือให้กั๋วซีฮันแต่งงานกับหลินเหยาซื่อ และให้เธอเข้ามาในสกุลกั๋วจากนั้นก็โยกย้ายทรัพย์สินจากสกุลหลินมาให้หมด 
           แต่เขาทำไม่ได้ และไม่มีวันทำ! 
         แม้ไม่ได้รักหลินเหยาซื่อ แต่ก็ไม่อาจทอดทิ้งให้เธอต้องเผชิญกับครอบครัวสูบเลือดสูบเนื้อของเขาไม่ได้
           “หายไปไหนมา รู้ไหมทุกคนเป็นห่วง” กั๋วซีฮันเดินเข้ามาตบไหล่ของน้องชายต่างมารดา แม้ใบหน้าแย้มยิ้มแต่ดวงใจเจ็บเหมือนถูกมีดกรีดจนหลั่งเลือดอยู่ภายใน
           “มีคนเป็นห่วงผมด้วยเหรอ” เขาปรายตามองนิ้วมือที่จับไหล่อยู่
           รอยยิ้มแข็งค้างบนใบหน้าของกั๋วซีฮัน แต่เขายังคงฝืนทำเป็นไม่เข้าใจในสิ่งที่กั๋วคังเหรินพูด 
           “พูดอะไรแบบนั้น” เขาปล่อยมือจากไหล่ข้างนั้น รู้สึกว่าน้องชายที่เคยก้มหัวยอมให้เขาโขกสับมาตลอดเปลี่ยนไป กล้าสบตา กล้าต่อปากต่อคำ และที่สำคัญ เขารู้สึกว่าแขนนั้นแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม 
           ‘มันหายไปทำอะไรมา? ทำไมมันไม่หายไปจากโลกนี้ซะ!’
           “อยู่กินข้าวเที่ยงด้วยกันสิ จะได้คุยกัน แล้วนี่เจอน้องเหยาซื่อหรือยัง”
           “ผมแค่มาเอาของ จะกลับแล้ว”
           กั๋วคังเหรินชูหนังสือปกแข็งในมือ มันเป็นหนังสือตำราพิชัยสงครามซุนวู ที่เขาอ่านตอนที่ยังอยู่ที่บ้านหลังนี้ 
           “หนังสือนั้นนะรึ” กั๋วซีฮั่นประหลาดใจ 
           “ผมควรจะหยิบไปตอนย้ายเข้าสกุลหลิน แต่ดันลืมเสียได้” เขาลูบปกหนังสืออย่างทะนุถนอม “หนังสือเล่มนี้แม่ของผมซื้อให้ ยังไงก็ต้องขอบคุณคนตระกูลกั๋วที่เก็บไว้ให้อย่างดี”
           “คังเหริน”
           กั๋วซีฮั่นใช้น้ำเสียงกำราบ แต่อีกฝ่ายยกมือแตะไหล่เบาๆ ก่อนเดินออกไปหน้าตาเฉย หญิงสาวสองคนวัยไล่เลี่ยกันก้าวเร็วๆ เข้ามาแต่ไม่ทันได้มองหน้าคนที่เข้ามาได้ถนัดชัดเต็มตา คนตัวสูงก็ก้าวออกไปแล้ว
           “พี่ใหญ่ นั้น...คังเหรินเหรอ?”
           กั๋วซีฮั่นพยักหน้ารับ รอยยิ้มบนใบหน้าหายไปทันที 
           “มันยังไม่ตายเหรอ!”
กั๋วซูฉีและกั๋วซูซ่านพูดขึ้นแทบพร้อมกัน แล้วก็รีบยกมือขึ้นปิดปาก ชายหนุ่มถอนหายใจหนักๆ กับความปากไวของน้องสาว เมื่อไหร่จะมีคนมาสู่ขอน้องสาวทั้งสองคนออกเรือนไปเสียที ไม่ขยันเรียนแล้วยังหาเรื่องให้ปวดหัวตลอด 
           “คุณแม่อยู่ไหน”
           “ไปเล่นไพ่นกกระจอกยังไม่กลับค่ะ” กั๋วซูซ่านตอบ 
           “โทรตามคุณแม่กลับมา เรามีเรื่องต้องคุยกัน”
           “ค่ะ” สองสาวตอบรับพร้อมกันแล้วเดินออกไปทันที
           กั๋วซีฮั่นปรายตามองไปที่ชั้นหนังสือแล้วโคลงศีรษะไปมาอย่างไม่เข้าใจ ทำไม ‘มัน’ ยังกลับมาอีก และดูเหมือนครั้งนี้ ‘มัน’ เปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลยทีเดียว
...........
           หลินเหยาซื่อยุ่งกับการเย็บชุดตัวอย่าง เธออยากทำงานให้เสร็จก่อนเวลาเพื่อต้องปรับเปลี่ยนแก้ไขให้ถูกใจลูกค้า โชคดีที่เด็กฝาแฝดเป็นเด็กดีไม่ดื้อไม่ซนจนเกินไป เวลาที่เธอทำงานก็จะอยู่กับป้าฮุ่ยชิวเสมอ 
           หญิงสาวยืดตัวแล้วบิดเอวไปมาขับไล่ตงามเมื่อยขบ สายตามองไปที่นอกหน้าต่าง ตรงจุดที่เธอนั่งอยู่มองเห็นโรงจอดรถพอดี เธอแปลกใจที่เห็นร่างของกั๋วคังเหรินกลับเข้ามาทั้งที่เพิ่งจะบ่ายกว่าๆ แต่เขาไม่ได้ตรงเข้ามาในบ้าน แต่ไปที่โรงจอดรถ ด้วยความอยากรู้ หญิงสาวลุกขึ้นแล้วเดินออกไปทางประตูครัว เดินไปที่โรงจอดรถที่เปิดประตูทิ้งไว้อยู่แล้ว เธอชะงักไปเล็กน้อย สายตาปะทะกับร่างสูงโปรงที่กำลังถอดเสื้อเชิ้ตออก เหลือเพียงเสื้อกล้ามสีขาวเห็นแขนเพรียวที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม
           เอ...ผู้ชายของ ‘หลินเหยาซื่อ’ ไม่ใช่รูปร่างผอมบางเหมือนคุณชายไม่เคยถูกแดดถูกลมหรอกรึ? หรือว่าเขาเป็นคนอื่นสวมรอยมาเป็น ‘กั๋วคังเหริน’
         ชายหนุ่มแขวนเสื้อเชิ้ตกับตะขอที่ผนังห้องแล้วหันมาเจอดวงตากลมโตที่จ้องมองเขาอยู่ กั๋วคังเหรินยกมือขึ้นกอดอกแล้วเอนกายพิงผนังโรงรถ ราวกับจะยืนให้เธอมองเต็มตา
           “อ๊ะ...เอ่อ...” 
           “จะมองอีกก็ได้ ผมไม่ว่าอะไรหรอก” เขาพูดยิ้มๆ 
           หลินเหยาซื่อเบ้ปากใส่แล้วเชิดใบหน้าขึ้น “คุณบอกจะกลับมาตอนเย็นไง”
           “ทำธุระเสร็จเร็ว” เขาพูดแล้วหันไปค้นหากุญแจรถในตู้เก็บอุปกรณ์ 
หญิงสาวยืนมองแล้วก็ลอบถอนหายใจเบาๆ เขาคงเป็นตัวจริง จริงๆนั้นแหละ เพราะดูคุ้นเคยกับทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นเธอเสียอีกที่กว่าจะรู้ว่าอะไรอยู่ตรงไหนก็ต้องคอยถามป้าฮุ่ยชิวตลอด
“คุณจะทำอะไรเหรอ” เธอถามแล้วเดินเข้าไปใกล้ 
“ลองสตาร์ทรถดู” เขาพูดแล้วพยักเพยิดให้ “คุณหลบไปหน่อย ฝุ่นเยอะมาก ผมจะเอาผ้าคลุมรถออก”
กั๋วคังเหรินเห็นร่างบอบบางขยับไปด้านหลังของเขาแล้วก็อมยิ้ม ยื่นมือไปค่อยๆ ดึงผ้าคลุมรถที่เต็มไปด้วยฝุ่นออกไปกองไว้ด้านข้าง หลินเหยาซื่อยกมือโบกไปมา แม้จ้างคนมาทำความสะอาดเดือนละครั้งก็ยังมีฝุ่นเกาะอยู่มาก  ริมฝีปากสีแดงสดอ้าปากค้าง รถตรงหน้าเป็นรถเก๋งสีบอร์นเงินสี่ประตู เธอรู้ว่ามีรถยนต์ในบ้านแต่ไม่รู้ว่าเป็นรถแบบไหน สำหรับคนในยุคนี้ ไม่ใช่ว่าทุกบ้านจะมีรถยนต์ ในประวัติศาสตร์บอกไว้ว่าช่วงยุค 1980 เป็นการเปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจ และทำการเปิดประเทศ มีบริษัทต่างชาติเข้าไปลงทุนมากมาย รวมถึงบริษัทรถยนต์ 
“ผมไม่อยู่ คงไม่มีใครแตะรถคันนี้เลยสินะ”
“น่าจะเป็นแบบนั้น” เธอเดินเข้าไปดูใกล้ๆ เธอเคยเล่นเป็นตัวประกอบในซีรีย์ย้อนยุค มีการนำรถยนต์เก่ามาประกอบฉาก แต่ก็ยังไม่ดูสวยเท่ารถตรงหน้า 
“คุณซ่อมได้ไหม?”
“จะลองดู” เขายิ้ม แล้วยกมือขึ้นเกี่ยวไรผมทัดใบหูให้เธอ “คุณไม่ถามเหรอ”
“ถาม?...ถามเรื่องอะไรคะ?” เหมือนจุดที่โดนปลายนิ้วของเขาจะทำให้เธอรู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมานิดๆ 
“ผมไปไหนมา...ทำไมทิ้งคุณ...”
หลินเหยาซื่อพยักหน้าอย่างเข้าใจ
“อยากถามแต่กลัวคำตอบไงคะ” เธอยิ้มทะเล้น “แต่ถ้าคุณอยากเล่า ฉันก็จะฟัง”
เขายิ้มบางๆ “ผมต้องเล่าแน่ แต่ขอเวลาหน่อย มีเรื่องที่ต้องสะสาง แต่สัญญาจะไม่ทำให้คุณกับลูกต้องเดือดร้อน”
“ฉันไม่ได้กลัวเดือดร้อน” มนุษยเป็ดอย่างหลินเหยาซื่อมีอะไรให้กลัวเล่า “ฉันแค่ไม่รู้ว่า การที่คุณมีฉันจะอยู่จะสร้างความลำบากใจให้คุณหรือเปล่า”
ถ้อยคำของเธอทำให้กั๋วคังเหรินที่กำลังเปิดประตูรถชะงักไป 
“คุณหมายความว่ายังไง”
“ก็...” เธอลูบปลายจมูกตัวเอง “ฉันรู้ว่าการแต่งงานของเราเป็นเรื่องที่ฝืนใจคุณ ตอนนี้คุณพ่อก็จากไปแล้ว คุณไม่จำเป็นต้องฝืนใจอยู่ที่นี่ต่อไปก็ได้” 
ร่างสูงใหญ่เดินตรงมาทางหญิงสาว ไม่รู้เพราะเหตุใด หลินเหยาซื่อถอยหลังหนีไปที่ละน้อย จนแผ่นหลังไปชิดผนังด้านหนึ่งของโรงรถ
“คุณต้องการพูดอะไรกันแน่” 
“เอ่อ...ก็...ก็...เผื่อคุณอยากจะหย่า...อุ๊บ!”
ยังไม่ทันพูดจบประโยค ริมฝีปากของเขาก็ปิดปากเธอไว้สนิท มือข้างหนึ่งประคองท้ายทอยเธอไว้ไม่ให้หลบหนี เขาฉวยจังหวะที่ริมฝีปากเผยออยู่ก่อนแล้วแทรกลิ้นเข้ามาในโพรงปากสาว หลินเหยาซื่อยกมือขึ้นดันแผงอกแกร่ง แต่เขากลับกอดรัดแน่นขึ้นจนเธอขยับตัวไม่ได้ เรียวลิ้นบุกรุกอย่างอุกอาจและร้อนแรงจนใจสั่นไหว ดวงตาของเขาวาวโรจน์ทำให้เธอต้องหลับตาลง ทว่ากลับรู้สึกได้ถึงทุกสัมผัสที่เขามอบให้ ลมหายใจผ่าวร้อนลวกผิวแก้มของหญิงสาว เธอเกือบจะเป็นลมเพราะลืมหายใจทางจมูก เขาจึงยอมผละริมฝีปากสวยที่ตอนนี้บวมเจ่อขึ้นเล็กน้อย หากไม่มีมือของเขาประคองไหล่เธอไว้ ร่างบอบบางคงทรุดฮวบลงไปกองกับพื้นแล้ว
“คะ...คุณ...คุณ...” 
“ห้ามพูดเรื่องหย่าอีก” เขาทำตาดุใส่แต่สายตามองที่ริมฝีปากหวานที่เพิ่งลิ้มรส “ระหว่างคุณกับผมจะไม่มีเรื่องนั้นเกิดขึ้นอย่างแน่นอน”
“ถ้าคุณมีคนอื่นล่ะ!” 
เธอเถียงแล้วอดยกมือแตะริมฝีปากตัวเองไม่ได้ 
ตาบ้า! จูบแรกของฉันนะ เอ่อ หมายถึง ฉันที่เป็นหลินเหยาซื่อในปี2023 
“คุณรู้ไว้แค่ว่า ตอนนี้ผมมีแค่คุณกับลูกก็พอ”
เรื่องในอดีตมันจบไปแล้ว เขาไม่อยากพูดถึงอีก การที่เธอความจำเสื่อมลืมบางเรื่องไปนั้น อาจเป็นสิ่งที่สรรค์มอบโอกาสให้เขาได้แก้ไขในสิ่งผิดพลาดก็ได้
พวงแก้มแดงปลั่งกับแววตารื้นหยดน้ำดูเย้ายวนจนเขาอยากโน้มหน้าลงไปจูบกลีบปากหวานอีกสักครั้ง ทว่าหางตาเห็นเงาร่างเล็กๆ ยืนแหงนหน้ามองเขาสลับกับหลินเหยาซื่อที่ยังไม่ได้สติดีนัก 
“คุณแม่หน้าแดง” จางลี่พูดแล้วเอียงคอมองอย่างสงสัย 
“คุณแม่ไม่สบาย” จางหย่งพูดบ้าง 
หลินเหยาซื่อรู้สึกตัวทันทีที่ได้ยินเสียงลูกสาวกับลูกชายตัวน้อย แต่เธอกลับหน้าแดงหนักขึ้นกว่าเดิม 
“แม่...แม่สบายดี” เธออึกอัก “อากาศมันร้อนจ๊ะ หน้าแม่เลยแดง”
“แล้ว...คุณพ่อกัดปากคุณแม่ทำไมค่ะ” จางลี่เด็กช่างพูดถามจนได้
“ไม่มี!” 
ให้ตายสิ ทำไมอีตาบ้าไม่ช่วยพูดอะไรสักหน่อยล่ะ
“คุณพ่อกัดปากคุณแม่จริงๆนะ”  จางหย่งพูดขึ้นยืนยันสิ่งที่เห็น 
“คุณแม่ดื้อ คุณพ่อเลยลงโทษ” กั๋วคังเหรินพูดยิ้มๆ แล้วอุ้มลูกชายลูกสาวขึ้นพร้อมกัน “แต่วิธีนี้พ่อทำกับแม่ได้เท่านั้น ลูกเป็นเด็กห้ามทำเด็ดขาด”
“ลี่ลี่เป็นเด็กดีไม่ดื้อเหมือนคุณแม่ค่ะ” จางลี่พยักหน้ายืนยัน
“หย่งหย่งก็ไม่ดื้อ เป็นเด็กดีครับ” จางหย่งก็ยืนยันอีกเสียง
“อืม ลูกๆเป็นเด็กดีจริงๆ” เขายิ้มอ่อนโยน “เด็กดีอยู่กับป้าฮุ่ยชิวก่อนนะครับ พ่อขอซ่อมรถก่อน ตรงนี้ฝุ่นเยอะ ประเดี๋ยวลูกจะจามเพราะฝุ่น”
เขาปรายตามองภรรยาสาวที่ขึงตาใส่เขา กั๋วคังเหรินยิ้มยั่วแล้วอุ้มลูกเข้าไปส่งที่บ้าน ปล่อยให้หลินเหยาซื่อกระทืบเท้าไม่พอใจอยู่ตรงนั้น
“เด็กพวกนี้นี่! พอมีพ่อก็ลืมแม่ไปหมดเลย!”