ใครเลยจะรู้ว่า นักแสดงตัวประกอบอย่างเหยาซื้อจะประสบอุบัติเหตุมาอยู่ในร่างของสตรีที่ชื่อเดียวกันแต่อยู่ในปี1980

เมื่อตัวประกอบทะลุมิติมาเป็นคุณแม่เลี้ยงก็ดี่ยวยุค80's - ตอนที่17 คุณพ่ออย่าดิ้อ โดย เพลงมีนา @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,ย้อนยุค,ผู้ใหญ่,จีน,ครอบครัว,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

เมื่อตัวประกอบทะลุมิติมาเป็นคุณแม่เลี้ยงก็ดี่ยวยุค80's

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,ย้อนยุค,ผู้ใหญ่,จีน,ครอบครัว

แท็คที่เกี่ยวข้อง

รายละเอียด

ใครเลยจะรู้ว่า นักแสดงตัวประกอบอย่างเหยาซื้อจะประสบอุบัติเหตุมาอยู่ในร่างของสตรีที่ชื่อเดียวกันแต่อยู่ในปี1980

ผู้แต่ง

เพลงมีนา

เรื่องย่อ

สารบัญ

เมื่อตัวประกอบทะลุมิติมาเป็นคุณแม่เลี้ยงก็ดี่ยวยุค80's-ตอนที่1 ลืมตา,เมื่อตัวประกอบทะลุมิติมาเป็นคุณแม่เลี้ยงก็ดี่ยวยุค80's-ตอนที่2 ไม่ง่ายเลยนะ,เมื่อตัวประกอบทะลุมิติมาเป็นคุณแม่เลี้ยงก็ดี่ยวยุค80's-ตอนที่3 สวนสนุก,เมื่อตัวประกอบทะลุมิติมาเป็นคุณแม่เลี้ยงก็ดี่ยวยุค80's-ตอนที่4 หลินเหยาซื่อ,เมื่อตัวประกอบทะลุมิติมาเป็นคุณแม่เลี้ยงก็ดี่ยวยุค80's-ตอนที่5 นิ้วมือเล็กๆ,เมื่อตัวประกอบทะลุมิติมาเป็นคุณแม่เลี้ยงก็ดี่ยวยุค80's-ตอนที่6 ถ้าคุณหน้าตาดีโลกนี้จะใจดีกับคุณ,เมื่อตัวประกอบทะลุมิติมาเป็นคุณแม่เลี้ยงก็ดี่ยวยุค80's-ตอนที่7 คุณพ่อกลับมาแล้ว,เมื่อตัวประกอบทะลุมิติมาเป็นคุณแม่เลี้ยงก็ดี่ยวยุค80's-ตอนที่8 ไม่ใช่ภรรยาผู้ว่านอนสอนง่าย,เมื่อตัวประกอบทะลุมิติมาเป็นคุณแม่เลี้ยงก็ดี่ยวยุค80's-ตอนที่9 ใจที่เต้นแรง,เมื่อตัวประกอบทะลุมิติมาเป็นคุณแม่เลี้ยงก็ดี่ยวยุค80's-ตอนที่10 พี่น้อง,เมื่อตัวประกอบทะลุมิติมาเป็นคุณแม่เลี้ยงก็ดี่ยวยุค80's-ตอนที่11 อย่าดื้อ,เมื่อตัวประกอบทะลุมิติมาเป็นคุณแม่เลี้ยงก็ดี่ยวยุค80's-ตอนที่12 ทำไมรู้ทัน,เมื่อตัวประกอบทะลุมิติมาเป็นคุณแม่เลี้ยงก็ดี่ยวยุค80's-ตอนที่13 ผู้ชายคนนี้เซ็กซี่ชะมัด,เมื่อตัวประกอบทะลุมิติมาเป็นคุณแม่เลี้ยงก็ดี่ยวยุค80's-ตอนที่14 คุณแม่อย่าดื้อ,เมื่อตัวประกอบทะลุมิติมาเป็นคุณแม่เลี้ยงก็ดี่ยวยุค80's-ตอนที่15 ทำไมหน้าหนาแบบนี้นะ,เมื่อตัวประกอบทะลุมิติมาเป็นคุณแม่เลี้ยงก็ดี่ยวยุค80's-ตอนที่16 ทำงานวันแรก,เมื่อตัวประกอบทะลุมิติมาเป็นคุณแม่เลี้ยงก็ดี่ยวยุค80's-ตอนที่17 คุณพ่ออย่าดิ้อ,เมื่อตัวประกอบทะลุมิติมาเป็นคุณแม่เลี้ยงก็ดี่ยวยุค80's-ตอนที่18 ดีไซน์เนอร์คนใหม่,เมื่อตัวประกอบทะลุมิติมาเป็นคุณแม่เลี้ยงก็ดี่ยวยุค80's-ตอนทึ่19 นอนเตียงเดียวกันจะเป็นไร,เมื่อตัวประกอบทะลุมิติมาเป็นคุณแม่เลี้ยงก็ดี่ยวยุค80's-ตอนที่20 รู้แค่ว่า...,เมื่อตัวประกอบทะลุมิติมาเป็นคุณแม่เลี้ยงก็ดี่ยวยุค80's-ตอนที่21 หรือถ่านไฟเก่าจะคุขึ้นมา,เมื่อตัวประกอบทะลุมิติมาเป็นคุณแม่เลี้ยงก็ดี่ยวยุค80's- ตอนที่ 22. มากกว่าจูบได้ไหม,เมื่อตัวประกอบทะลุมิติมาเป็นคุณแม่เลี้ยงก็ดี่ยวยุค80's-ตอนที่ 23. คุณพร้อมจะฟังเรื่องทั้งหมดใช่ไหม,เมื่อตัวประกอบทะลุมิติมาเป็นคุณแม่เลี้ยงก็ดี่ยวยุค80's-ตอนที่ 24. เท่าที่จำได้ ก็ไม่เคยแย่งของใครนะคะ,เมื่อตัวประกอบทะลุมิติมาเป็นคุณแม่เลี้ยงก็ดี่ยวยุค80's-ตอนที่ 25. ครอบครัว ,เมื่อตัวประกอบทะลุมิติมาเป็นคุณแม่เลี้ยงก็ดี่ยวยุค80's-ตอนที่ 26 ซ่อนเร้น ,เมื่อตัวประกอบทะลุมิติมาเป็นคุณแม่เลี้ยงก็ดี่ยวยุค80's-ตอนที่ 27. วันเสาร์ ,เมื่อตัวประกอบทะลุมิติมาเป็นคุณแม่เลี้ยงก็ดี่ยวยุค80's-ตอนที่ 28. ไล่ล่า ,เมื่อตัวประกอบทะลุมิติมาเป็นคุณแม่เลี้ยงก็ดี่ยวยุค80's-ตอนที่ 29. ตื่นพบความจริง ,เมื่อตัวประกอบทะลุมิติมาเป็นคุณแม่เลี้ยงก็ดี่ยวยุค80's-ตอนที่ 30. ความจริง ,เมื่อตัวประกอบทะลุมิติมาเป็นคุณแม่เลี้ยงก็ดี่ยวยุค80's-31 ตอนพิเศษ

เนื้อหา

ตอนที่17 คุณพ่ออย่าดิ้อ

หลินเหยาซื่อไม่ต้องเข้าออฟฟิศทุกวัน แต่ก็ต้องเข้าอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งเพื่อคุยกับทีมงานและแจ้งความคืบหน้าของงาน งานของเธอคือการออกแบบลายผ้าและดีไซด์เสื้อผ้าที่จะวางจำหน่ายในฤดูใบไม้ผลิ  เธอไม่มีวุฒิการศึกษาด้านนี้โดยเฉพาะเหมือนดีไซเนอร์คนอื่นๆ คนอื่นมองว่าเธอเป็น “เด็กเส้น” ที่มาดามหวังฝากงานให้ทำในตำแหน่งนี้ แน่นอนว่ามันกลายเป็นความกดดันให้เธอต้องทำงานออกมาให้เป็นที่ยอมรับให้ได้


           หญิงสาวนั่งอ่านเอกสารทางการตลาดและเปิดนิตยสารแฟชั่นจนเมื่อยตัวไปหมด เธอรู้ดีว่ากำลังกดดันตัวเองมากไป จนตอนนี้เธอคิดอะไรไม่ออก กลัวว่าจะถูกสายตาดูแคลน กลัวว่าจะทำออกมาได้ไม่ดี กลัวไปถึงขั้นต่อให้มาดามหวังเลือกเสื้อผ้าที่เธอออกแบบแล้วผลิตออกมาขายไม่ได้ เธอจะทำให้บริษัทและโรงงานของมาดามเจ๊งไปด้วย


         “คุณแม่ขา”


           “คุณแม่ครับ”


           เด็กแฝดสองคนวิ่งมาหาขณะที่หลินเหยาซื่อกำลังขยำกระดาษเป็นก้อนกลมๆ เพราะไม่ถูกใจแบบร่างเสื้อผ้าที่ตัวเองวาดไปเมื่อครู่


           แต่ไม่ว่าจะหงุดหงิดเรื่องงานแค่ไหน เธอก็จำเป็นต้องฉีกยิ้มและห้ามพูดจาหยาบคายกับเด็กและห้ามใส่อารมณ์เด็ดขาด!


           “ว่าไงคะ”  


           มือน้อยๆ ประคองผลเขือเทศสีแดงสดยื่นให้ ดวงตากลมโตสองคู่จ้องมองพร้อมรอยยิ้มตื่นเต้น


           “มะเขือเทศของลี่ลี่ค่ะ”


           “ของหย่งหย่งต่างหากล่ะ” 


           เด็กสองคนแย่งกันพูด หลินเหยาซื่อหยิบมะเขือเทศจากมือน้อยๆ ของลูกสาว มะเขือเทศใช้เวลา


ประมาณ70วันถึงจะเริ่มเก็บผลได้ ก่อนหน้านี้ป้าฮุ่ยชิวปลูกในกระถางเล็กๆ เธอเห็นว่าน่ารักดีและเข้ากับแปลงผักสวนครัวจึงของมาปลูก รวมทั้งปลูกเพิ่มอีกหลายต้นและยังมีผักอีกหลายชนิด เธอดูมะเขือเทศลูกนั้นพลางทบทวน นี่เธอมาใช้ชีวิตที่นี่ได้สองเดือนแล้วเหรอ?  เธอยังจำครั้งแรกที่ลืมตาในโลกใบนี้ได้ ตอนนั้นเธอยังหวังว่าทุกอย่างจะเป็นเพียงความฝัน ขอแค่เธอหลับตาและลืมตาอีกครั้งก็จะกลับไปสู่ปี ค.ศ.2023 แต่ตอนนี้เธอกลับลืมตามาเพื่อพบว่ามีเจ้าลูกลิงน้อยรออยู่


         “ไปดูแปลงผักหลังบ้านกันค่ะ”


         เด็กสองคนพยักหน้ารับด้วยท่าทางดีอกดีใจเพราะอยากชวนคุณแม่ไปเล่นกัน หลินเหยาซื่อหยิบผ้ากันเปื้อนลายเดียวกันแล้วสวมให้ลูก จางลี่จางหย่งช่วยกันผูกปมเชือกที่ด้านหลัง เธอสอนเด็กๆ ให้ช่วยเหลือกัน เธอเองสวมผ้ากันเปื้อนตอนทำงานอยู่แล้วเพราะเกรงว่าเวลาลงสีที่ภาพจะเลอะเสื้อผ้า เมื่อชุดพร้อมเด็กทั้งสองก็จูงมือแม่ไปที่แปลงผักหลังบ้าน  หลายวันก่อนเพิ่งเอาชิงช้ามาตั้งไว้ วันนี้คนสวนกำลังลงเถาองุ่น เธอไม่รู้ขั้นตอนการปลูกองุ่น เคยเห็นแต่ผลในซุปเปอร์มาเก็ต แต่ยังไงก็ช่างเถอะ ตอนนี้แปลงผักของเธอกลายเป็นสวนหย่อมน่ารักไปแล้ว


           “คุณผู้หญิง” ลุงจวงผู้ดูสวนทักด้วยท่าทีนอบน้อม


           “เหนื่อยหน่อยนะคะ”


หลินเหยาซื่อยิ้มรับเดินตามมือน้อยๆ ที่จูงไปที่แปลกผัก   ผักกาดหอมสีเขียวสดพร้อมถูกกลายเป็นสลัดจานโปรด เธอนั่งลงพร้อมเด็กๆ ที่ชี้ชวนให้ดูผักในแปลงผักเล็กๆ ตรงหน้า


           “ความจริง พวกเราไม่ควรทิ้งคุณผู้หญิงไปเลย” ลุงจวงพูดอย่างรู้สึกผิด “นายท่านดูแลพวกเราและครอบครัวอย่างดีมาตลอด พอมีปัญหาพวกเราก็พากันทิ้งคุณผู้หญิงไปกันหมด”


           “เรื่องมันผ่านมาแล้วอย่าคิดมากเลยค่ะ” เธอตอบด้วยรอยยิ้มมองมือน้อยๆ จิ้มๆ ไปที่ดินชื้นๆ


           “คุณผู้หญิงรักคุณผู้ชายมากจริงๆ หากเป็นคนอื่นจะทนรับข่าวแย่ๆ พวกนั้นได้อย่างไรกัน”


           “ข่าวแย่ๆ?” หลินเหยาซื่อเงยหน้าขึ้น


           “ข่าวที่คุณผู้ชายมีบ้านเล็กบ้านน้อย...”


           “บ้านน้อยบ้านเล็กคืออะไรคะ” จางลี่ถามทันทีตามประสาเด็กช่างสงสัย


         “บ้านเล็กบ้านน้อยต่างหากล่ะ” จางหย่งพูดแก้


           หลินเหยาซื่อกระแอมไอเบาๆ ทำให้ลุงจวงก้มหน้างุดนึกอยากตบปากตัวเองแต่คงไม่ทันแล้ว “ลุงจวงหมายถึงบ้านหลังเล็กๆค่ะ”


           เอาเถอะ วัยขนาดนี้อย่าเพิ่งเข้าใจอะไรเลย เธอเป็นผู้ใหญ่ยังไม่พร้อมจะรับฟังเลย


           “ลุงไปดูต้นไม้ทางโน้นก่อนนะครับ” ลุงจวงรีบถอยออกไปทันที “คุณผู้ชายบอกว่าปลูกต้นเก๊กฮวยริมรั้ว ลุงขอไปเตรียมดินก่อนนะครับ”


เด็กๆ ได้แต่เอียงคอมอง แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มของแม่แล้วก็ไม่ถามอะไร แม้ใบหน้าเปื้อนยิ้มแต่ในใจยังมีเคลือบแคลงสงสัย เธอรู้ว่าคนอื่นๆ ก็อยากรู้เช่นกัน แต่เจ้านายไม่พูด ก็ไม่มีใครกล้าปริปากพูด เธอเองยังยอมรับเลยว่า ยังไม่ได้เตรียมใจไว้รอฟังคำตอบในคำถามที่อยากรู้ หากเขาพูดออกมาแล้ว เธอจะเชื่อคำพูดเขาเต็มร้อยหรือไม่? ซึ่งแน่นอนว่าเธอยังไม่เชื่อใจเขา นั้นจึงเป็นเหตุผลที่เธอไม่เคยถามเขา


ในเมื่อใจของเธอยังไม่พร้อม...แล้วเธอจะถามไปทำไม  


แต่ถึงอย่างไร เธอต้องเตรียมใจรับมือ หากวันหนึ่ง... เขาไม่ได้ดีอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้


อยากจะเชื่อใจใครสักคนแต่เชื่อได้ไม่สุดใจนี้มันก็หงุดหงิดไม่น้อยเหมือนกันนะ


หลินเหยาซื่อสะบัดหน้าไปมาไล่ความคิดฟุ้งซ่านในหัว เด็กสองคนเห็นแล้วก็สะบัดหน้าไปมาเลียนแบบมารดา หญิงสาวหัวเราะเสียงใส แล้วสอนจางหย่งจางลี่ให้เรียกชื่อผักในแปลกเล็กๆ


“ผัก-กาด-หอม”


“ผัก-กวาง-ตุ้ง”


“มะ-เขือ-เทศ”


เด็กทั้งสองต่างส่งเสียงพูดกันเสียงดัง หลินเหยาซื่ออดยิ้มไม่ได้ แล้วก็นึกขึ้นมาได้


“เราปลูกผักกันเยอะๆ ปีหน้าเทศกาลชิวฉิก เราก็ได้กินผักที่ตัวเองปลูกดีไหมคะ”


“เทด-สะ-กาน-ชิว-ฉิก” เด็กแฝดออกเสียงแล้วก็เอียงคอไปมาอย่างไม่เข้าใจ


“วันที่เจ็ดของเทศกาลตรุษจีนเป็นวันกินผักเจ็ดอย่าง หัวไชเท้า, ตั่วฉ่าย, ผักคะน้า, ผักขึ้นฉ่าย ,


ผักโขม, เก๋าฮะฉ่าย ,และต้นกระเทียม”


           พูดถึงผักเด็กก็ทำหน้าแหย หลินเหยาซื่อยิ้มกว้างแล้วพูดต่อ “ใครกันนะ เป็นเด็กดี เด็กดีต้องกินผัก”


           “หย่งหย่งเป็นเด็กดี ชอบกินผัก” จางหย่งรีบพูดก่อน เพราะตัวเขาชอบกินผัก แต่จางลี่ชอบขโมยกินเนื้อในจานข้าวของเขาทุกที


           “ลี่ลี่ก็...ชอบ...กินผักค่ะ”  แม้จะพูดไม่เต็มเสียง แต่ก็กลัวน้อยหน้าน้องชายฝาแฝดจึงต้องแย่งพูดขึ้นมา


           สามคนแม่ลูกหัวเราะสนุกสนานจึงไม่ทันสังเกตว่ามีใครเดินเข้ามาใกล้ๆ กั๋วคังเหรินยืนมองด้วยแววตาเหม่อลอย เขาพลาดช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดไป ไม่ได้เห็นลูกตั้งแต่อยู่ในท้อง ไม่อยู่ข้างๆ ตอนที่เธอคลอด และช่วงเวลาที่ทั้งสองเติบโต แต่หลินเหยาซื่อก็ยังให้เด็กทั้งสองรู้จักเขาในฐานะ ‘พ่อ’ เพียงครั้งแรกที่เด็กน้อยเรียกเขาว่า ‘พ่อ’ หัวใจของเขาก็สั่นไหวรุนแรง


           “คุณพ่อ!” 


           เสียงจางหย่งจางลี่พูดขึ้นพร้อมกัน ทำให้หลินเหยาซื่อเงยหน้าขึ้นมอง เขายืนนิ่งเหมือนรูปปั้นสีหน้าปวดใจครู่หนึ่งก่อนยิ้มออกมา เด็กๆ ทำท่าจะโผเข้ากอดเช่นทุกวัน แต่หลินเหยาซื่อดึงคอเสื้อของทั้งสองไว้ทัน


           “ไม่ได้ค่ะ”


           ลูกลิงหันกลับมามองแม่พร้อมกันด้วยแววตาสงสัย


           “ลูกมือเปื้อน ประเดี๋ยวทำเสื้อผ้าคุณพ่อเลอะ” หลินเหยาซื่ออธิบาย “เช็ดมือกับผ้ากันเปื้อนก่อนค่ะ”


           “ค่ะ/ครับ” เด็กทั้งสองทำตามที่มารดาสอน


           “ไม่เป็นไรหรอก” กั๋วคังเหรินอยากให้ลูกกอดใจแทบขาด เขาเดินเข้าไปหาแล้วค่อยๆ นั่งลงบนส้นเท้า


           “ไม่ได้ค่ะ เสื้อผ้าเลอะจะซักยาก” เธอทำปากยื่นใส่ “ถ้าไม่ล้างมือก็ต้องเช็ดมือก่อน”


           “คุณเข้มงวดไปไหม?” เขาพูดพลางส่ายหน้าไปมา เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เอง แค่เลอะดินนิดๆหน่อยๆจะเป็นไรไป


           “คุณพ่ออย่าดื้อกับคุณแม่สิค่ะ” เธอฉีกยิ้มแววตาเจ้าเล่ห์ และลูกสองคนก็ยืนอยู่ฝั่งเธอด้วยการพูดซ้ำประโยคเดียวกัน


           “คุณพ่อย่าดื้อกับคุณแม่สิค่ะ/ครับ”


           กั๋วคังเหรินอ้าปากค้างไม่คิดว่าจะถูกแม่และลูกแฝดรุมแบบนี้ แต่เขากลับชอบใจและหัวเราะในลำคอ


           “ครับๆ เข้าใจแล้ว พ่อจะไม่ดื้อกับแม่ครับ”


           “ดีค่ะ” หลินเหยาซื่อแอบแลบลิ้นทะเล้นใส่เขา “งานที่บริษัทเป็นไงบ้างคะ”


           “ไม่มีอะไรให้เป็นห่วง” เขาทำให้เธอลำบากมาเกือบสี่ปี ต้องจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยที่สุด “อ้อ! ผมทำบัตรเครดิตกับบัตรATM ไว้ให้คุณแล้วนะ ส่วนเงินสดจะเข้าบัญชีทุกเดือน ค่าใช้จ่ายในบ้านเดือนละสองแสนหยวน”


           หลินเหยาซื่อคิดว่าตัวเองฟังผิดไป “อะไรนะคะ สองหมื่นหรือสองแสน”


           “สองแสน...ไม่พอเหรอ ต้องใช้เท่าไหร่ผมจะเพิ่มให้”


           “ไม่ใช่ๆ ฉันแค่...” 


           “ที่ผ่านมาทำให้คุณกับลูกต้องลำบาก ผมขอโทษจริงๆ”


           “ช่างเถอะค่ะ อย่าพูดเรื่องนี้ต่อหน้าลูกเลย” เธอรีบเปลี่ยนเรื่อง


           “แล้วงานคุณเป็นไงบ้าง ให้ผมช่วยอะไรไหม”


           เธอส่ายหน้าไปมา แล้วก็นึกขึ้นได้ “ได้ช่วยแน่ค่ะ เสื้อสูทที่สั่งตัดไว้ใกล้เสร็จแล้ว คุณต้องเป็นไม้แขวนเสื้อให้ฉัน”


           “ไม้-แขวน-เสื้อ” เด็กๆพูดตามที่ได้ยิน


           “ทำไมคุณพ่อต้องเป็นไม้แขวนเสื้อด้วยคะ” จางลี่ขี้สงสัยอดถามไม่ได้


           “ก็คุณพ่อหล่อไงค่ะ”  


           “คุณพ่อหล่อจริงๆด้วย” จางหย่งพยักหน้าหงึกหงัก


“จางหย่งหล่อเหมือนพ่อ”


           หลินเหยาซื่อพูดแบบไม่คิดอะไร แต่พอเห็นรอยยิ้มกว้างได้ใจของเขาแล้วก็นึกโกรธตัวเองที่ไม่คิดก่อนพูด ตอนนี้เธอได้แต่กลอกตามองบนไม่อยากเห็นหน้าคนหลงตัวเอง


           “ไปล้างมือกันค่ะ” เธอบอกกับเด็กๆ “คุณๆ ช่วยเปิดก๊อกน้ำให้หน่อย” 


           กั๋วคังเหรินเดินไปเปิดก๊อกน้ำ หลินเหยาซื่อจับสายยางให้เด็กๆ ล้างมือให้สะอาด แอบออกมาพักผ่อนใจแล้วก็ต้องกลับไปลุยงานต่อ แค่คิดความกดดันก็แล่นกลับมาแทนที่จนรู้สึกปวดกระเพาะขึ้นมา


           “แม่ครับๆ เก็บมะเขือเทศให้คุณพ่อชิมด้วย”


           “จ๊ะๆ” เธอพูดแล้วเอื้อมมือไปเด็ดมะเขือเทศอวบอ้วนสีแดงปลั่ง


           กั๋วคังเหรินเห็นลูกๆ ล้างมือเสร็จแล้วจึงปิดก๊อกน้ำ แต่หลินเหยาซื่อยังยืนมองมะเขือเทศในมืออยู่ ท่าทางแปลกๆ ของเธอทำให้เขาก้าวเท้าเข้าไปใกล้แล้วก้มมองในมือของเธอ


           “นึกออกแล้ว!”  จู่ๆ หลินเหยาซื่อก็ร้องขึ้นอย่างตื่นเต้น “ฉันคิดเรื่องงานได้แล้วค่ะ!”


           ด้วยความดีใจจนลืมตัว หรือเพราะใกล้ชิดกันมากขึ้น หลินเหยาซื่อยื่นหน้าไปหอมแก้มเขาเร็วๆ ทีหนึ่ง ทำเอาชายหนุ่มตัวแข็งทื่อไปทันที ครู่ต่อมาจึงได้สติ สายตามองเห็นเธอก้มหน้าหอมแก้มลูกฝาแฝดทั้งสองคนแล้วแทบจะวิ่งถลาเข้าบ้านไปจนลืมทั้งลูกและสามีไว้ที่แปลงผัก


           “คุณแม่เป็นอะไร?” 


           จางหย่งถามจางลี่ที่ทำหน้างงไม่แพ้กัน


           “เข้าบ้านกันลูก” เขาหัวเราะ แล้วชวนลูกๆ เข้าบ้าน


           “ขี่คอ” จางหย่งรีบพูดก่อน


           “ลี่ลี่ก็อยากขี่คอด้วย”


           “ขี่คอพร้อมกันสองคนไม่ได้ แต่พ่ออุ้มไปสองคนพร้อมกันได้นะ”


           “อุ้มๆ”


           เด็กๆ กระโดดไปมา เขาย่อตัวลงอุ้มลูกชายหญิงขึ้นมาแล้วหอมแก้มนุ่มๆ ของลูกเบาๆ


           เอ่อ...รู้สึกเหมือนเมื่อกี้ขาดทุนอยู่นะ ให้หอมแก้มอยู่ฝ่ายเดียว เดี๋ยวคืนนี้ค่อยหาทางเอาคืนก็แล้วกัน