เคทลินกลับมาแก้แค้นเพื่อนรักอย่างซูซานที่ขโมยผลงานของเธอจนตัวเองโด่งดัง ในเมื่อผลงานเปรียบเสมือนกับลูกของเธอเคทลินจึงได้ขโมยลูกของซูซานเป็นการแก้แค้น

Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด - บทที่ 1 บทที่ 1 โดย s.BlackSheep @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,ดราม่า,ผจญภัย,พารานอมอล,ครอบครัว,เวทมนตร์,แฟนตาซี,นักเวท,เวทมนต์,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ดราม่า,ผจญภัย,พารานอมอล,ครอบครัว

แท็คที่เกี่ยวข้อง

เวทมนตร์,แฟนตาซี,นักเวท,เวทมนต์

รายละเอียด

เคทลินกลับมาแก้แค้นเพื่อนรักอย่างซูซานที่ขโมยผลงานของเธอจนตัวเองโด่งดัง ในเมื่อผลงานเปรียบเสมือนกับลูกของเธอเคทลินจึงได้ขโมยลูกของซูซานเป็นการแก้แค้น

ผู้แต่ง

s.BlackSheep

เรื่องย่อ

เพราะการแก้แค้นนั้นหอมหวานและทำให้คนคนหนึ่งยอมเปลี่ยนตัวตนเพื่อการแก้แค้นอดีตเพื่อนรัก หากแต่การแก้แค้นของเคทลินนั้นทำให้ใครอีกคนได้ค้นพบการดำเนินชีวิตแบบใหม่ที่เขาเองก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อน การอยู่ร่วมกันของเคทลินและนิคนั้นจะเป็นเหมือนแม่เหล็กคนละขั้วที่แตกต่างแต่ก็ดึงดูดเข้าหากันเสมอ

เมื่อนิคได้เข้ามาในโลกของนักเวทก็เกิดสิ่งที่ไม่คาดฝันมากมาย แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อเขาเป็นคนเลือกที่จะเดินทางนี้เอง และเขาไม่ได้โดดเดี่ยวเพราะมีคนคอยดูแลอย่างเคทลินแห่งเลควูดคอยตามเป็นห่วงอยู่ไม่ห่าง และดูเหมือนจะมีเรื่องวุ่นๆ หลายอย่างรอทั้งสองอยู่เบื้องหน้า

สารบัญ

Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 0 บทที่ 0,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 1 บทที่ 1,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 2 บทที่ 2,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 3 บทที่ 3,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 4 บทที่ 4,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 5 บทที่ 5,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 6 บทที่ 6,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 7 บทที่ 7,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 8 บทที่ 8,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 9 บทที่ 9,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 10 บทที่ 10,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 11 บทที่ 11,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 12 บทที่ 12,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 13 บทที่ 13,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 14 บทที่ 14,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 15 บทที่ 15,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 16 บทที่ 16,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 17 บทที่ 17,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 18 บทที่ 18,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 19 บทที่ 19,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 20 บทส่งท้าย,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 21 ตอนพิเศษ

เนื้อหา

บทที่ 1 บทที่ 1

"นิค" เสียงหวาน ๆ ของใครบางคนดังขึ้นตามมาด้วยเสียงฝีเท้าที่เบาแต่ก็ยังสามารถที่จะได้ยินผ่านประสาทรับฟังที่ดีเยี่ยมของเขา เสียงฝีเท้านั้นใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ และมันก็เริ่มที่จะฟังดูกระแทกแดกดันตามอารมณ์ของเจ้าของฝีเท้าคู่นั้น

"นิค!" เสียงหวานนั้นแปรเปลี่ยนเป็นเสียงตะโกนที่แหลมจนแสบแก้วหูกำลังร้องเรียกชื่อคนที่อยู่บนเตียงตามมาด้วยเสียงประตูที่ถูกเปิดออกอย่างแรง "รีบย้ายตูดของแกออกมานี่เดี๋ยวนี้!"

นิคผู้นอนอยู่บนเตียงได้แต่คิดว่าการที่เขาตัดสินใจหนีออกจากบ้านนั้นคงเป็นความคิดที่ผิดมหันต์ ตั้งแต่วันนั้นที่เขาถูกพาตัวมา ถ้าพูดให้ถูกก็คือพวกเขาวางแผนไว้แล้วว่าจะหนีไปด้วยกันโดยจัดฉากให้ดูเหมือนเคทลินเป็นคนลักพาตัวเขามา ถึงการอยู่กับแม่และพี่สาวจะเหมือนอยู่ในนรกแต่การอยู่กับเคทลินเองก็เหมือนอยู่ในโรงงานนรกเช่นกัน ทุกเช้าเขาต้องตื่นมากรอกยาที่เคทลินปรุงไว้ใส่ขวด ไหนจะต้องช่วยชั่งตวงวัตถุดิบในการปรุงยาต่าง ๆ อีกมากมาย นี่คือสิ่งที่นิค เนลสันในวัยสิบแปดปีต้องทำทุกวัน

"อย่าพูดจาเกินไปหน่อยเลยน่า เธอเพิ่งจะมาอยู่นี่ได้แค่อาทิตย์เดียว คิดเป็นตุเป็นตะไปได้" เคทลินที่ยืนพิงประตูจ้องเขาอยู่เอ่ยขึ้นราวกับอ่านใจได้

"เคท ผมบอกแล้วไงว่าอย่าอ่านใจผม" นิคตอบเสียงอู้อี้จากใต้ผ้าห่มที่เขาคลุมโปงไว้

"คุณเคทลิน" เธอแก้คำพูดที่ผิดให้พลางโบกมือไปในอากาศพลันผ้าห่มของนิคก็ถูกเปิดออกเผยให้เห็นเด็กหนุ่มที่กำลังหลบซ่อนเธออยู่ "เธอก็แต่งตัวแล้วนี่ ทำไมไม่มาช่วยกรอกยาล่ะ เธอก็รู้นี่ว่าฉันมีรายการต้องทำเยอะขนาดไหน"

บางทีเขาก็คิดนะว่าที่เธอยอมให้เขามาอยู่ด้วยนี่เป็นเพราะต้องการลูกมือหรืออย่างไร แต่ก็ต้องยอมรับว่าอยู่ที่นี่สุขภาพจิตดีกว่าอยู่ที่บ้านเป็นไหน ๆ ถึงเคทลินจะปากเสียบ้างในบางครั้งก็เถอะ แต่เขาเพิ่งจะมาอยู่ที่นี่ได้แค่สัปดาห์เดียวเองนะ เขายังปรับตัวไม่ได้เลย

"เดี๋ยวนายก็ปรับตัวได้เองแหละน่า ถ้าอยากได้วันหยุดละก็ฉันให้นายได้อยู่แล้ว แต่นายดันมาช่วงจังหวะที่งานล้นมือพอดี"

"หยุดอ่านใจผมได้แล้ว" นิคพูดเสียงฟึดฟัดพลางลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินไปทางเคทลินที่ยืนมองเขาอยู่ "ผมจะยอมให้คุณสับโขกแค่ช่วงนี้เท่านั้นแหละ หากหลังจากนี้คุณยังทำแบบนี้อีกผมจะหนีไปอยู่ที่อื่น"

"เธอนี่หนีเก่งจริง ๆ แต่ก็ตามใจเธอเถอะจะทำอะไรก็ทำฉันคงห้ามอะไรเธอไม่ได้" เคทลินผายมือทั้งสองข้างออกพร้อมกับยักไหล่ เธอมองเด็กหนุ่มตรงหน้าพลางคิดถึงบางอย่างในหัว ก่อนจะหมุนตัวและหายตัวไปต่อหน้านิค

"มีเวทมนตร์นี่มันขี้โกงจริง ๆ" เขาบ่นพลางเดินไปยังห้องปรุงยาที่อยู่ชั้นใต้ดิน ภายในห้องมีพืชตากแห้งแขวนตามผนัง ตู้ไม้ขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่มุมห้องเองก็เต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตดองอยู่ในขวดโหล ครั้งแรกที่เห็นเขาสาบานได้เลยว่าเห็นงูในโหลดองขยับไปมาอยู่ข้างในนั้น

"นี่เป็นชุดสุดท้ายแล้ว หลังจากชุดนี้นายก็จะได้พักสมใจอยากแล้ว ส่วนเรื่องส่งสินค้าฉันจะไปส่งเอง" เคทลินเอ่ยขึ้นจากโต๊ะยาวที่เต็มไปด้วยขวดและโหลวัตถุดิบมากมายวางระเกะระกะเต็มไปหมด อีกทั้งยังมีขวดยาที่แปะป้ายไว้ว่ายาชูกำลังวางเกลื่อนไปทั่วทั้งโต๊ะ เธอกำลังง่วนอยู่กับการชั่งวัตถุดิบในการปรุงยาชุดสุดท้าย

"ครับ ๆ คุณเคทลิน" นิคพูดเน้นท้ายประโยคอย่างประชดประชัน เขาเดินไปยังหม้อต้มยาแล้วเริ่มกรอกยาใส่ขวดใบจิ๋ว ปิดฝาแล้วแปะฉลากสรรพคุณของมันลงไปบนตัวขวด ขวดแล้วขวดเล่าจนในที่สุดยาทั้งหมดก็ถูกบรรจุใส่ขวดเสร็จสมบูรณ์ นิคเอนหลังพิงกับพนักเก้าอี้อย่างเหนื่อยอ่อน สายตากวาดมองบรรดาขวดยาทั้งหลายที่วางเรียงรายเต็มโต๊ะตัวยาว

"ขอบใจเธอมาก เดี๋ยวฉันจะเอาของพวกนี้ไปส่งเอง เธอไปพักผ่อนตามที่ต้องการเถอะ" เคทลินโบกมือไล่เด็กหนุ่มเมื่อหมดหน้าที่ของเขาแล้วหลังจากที่ทำงานมาค่อนวัน เธอลำเลียงขวดยาทั้งหมดเข้าไปในกระเป๋าใบยักษ์ มันใหญ่กว่าแผ่นหลังของเคทลินเสียอีก

"คุณจะเอามันไปหมดได้ไง มีเยอะขนาดนี้" นิคลุกขึ้นเดินไปดูกระเป๋าใบใหญ่ด้วยความสงสัยว่าเคทลินจะสามารถขนกระเป๋าใบนี้คนเดียวได้อย่างไร

"อยากช่วยงั้นเหรอ" เคทลินเหยียดยิ้มให้นิคอย่างเจ้าเล่ห์แล้วยื่นมือออกไปหาเขา "ส่งมือมานี่สิ"

นิคไม่ตอบอะไรเพียงแต่ส่งมือไปจับกับมือของเคทลินพลันเขาก็รู้สึกเหมือนมีลมวูบหนึ่งปะทะเข้าที่หน้าอย่างแรงเสียจนเขาต้องหลับตา เมื่อลืมตาขึ้นมาเขาก็ได้อยู่หน้าร้านขายยาขนาดใหญ่ของเมืองเลควูดแล้ว

เคทลินเดินนำเข้าไปในร้านโดยใช้ประตูข้างสำหรับพนักงาน บนหลังของเธอมีกระเป๋าใบยักษ์ที่บรรจุยาจำนวนมากไว้ในนั้น ทางนิคเองเมื่อเห็นขนาดกระเป๋าก็รีบปรี่เข้าไปช่วยยกแต่มันกลับเบาหวิวราวกับขนนก

"เวทต้านแรงโน้มถ่วงน่ะ" เคทลินตอบ เธอเคาะประตูก่อนจะเดินเข้าในห้องพักพนักงานแล้วหันมาพูดกับนิคที่อยู่ข้างหลัง

"เธออยู่นี่ เดี๋ยวฉันมา"

นิคมองแผ่นหลังของเคทลินที่มีกระเป๋าใบใหญ่แบกอยู่บนบ่าเดินออกไปจากห้อง เขาทรุดตัวลงกับเก้าอี้ไม้แข็ง ๆ พลางมองสำรวจห้องที่ว่างเปล่านี้ มันดูเหมือนไม่ได้ใช้งานมานานแต่กลับสะอาดเอี่ยมอ่องไม่มีแม้แต่ฝุ่น ในขณะที่กำลังนั่งเหม่อรอให้เคทลินกลับมานั้นอยู่ๆ ก็มีชายร่างสูงคนหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้า นิคเริ่มชินกับการที่อยู่ ๆ มีคนปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าแล้ว แต่ชายคนนี้กลับแผ่กลิ่นอายบางอย่างที่ทำให้นิคเกิดสนใจขึ้นมา ชายผู้มาใหม่มีผมสีดำสนิทที่ถูกมัดรวบพาดบ่าไว้ ใบหน้าดูเรียบเฉยจนไม่อาจจินตนาการได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ แค่มองปราดเดียวก็พอเดาได้ว่าเขาไม่ใช่คนธรรมดา

พลันสายตาของชายตรงหน้าเองก็เหลือบมองมาที่นิคราวกับรู้ว่ากำลังถูกนิคพิจารณาอยู่ เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วจึงเดินออกไปทางเดียวกับที่เคทลินเพิ่งเดินไปเมื่อครู่

เวลาผ่านไปครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงของเคทลินดังมาจากหน้าประตูกำลังพูดคุยกับใครบางคน ซึ่งก็น่าจะเป็นชายคนเมื่อกี้นี้ที่โผล่มาเมื่อครู่ และเมื่อประตูเปิดออกภาพตรงหน้าก็ได้ยืนยันถึงความคิดของนิคในทันที

"คนนี้น่ะเหรอที่เธอพูดถึง" ชายที่ดูท่าทางเคร่งขรึมคนนั้นเอ่ยถามเคทลินที่อยู่ใกล้ตัว

"ใช่แล้ว ขยันใช้ได้เลย ช่วยให้ฉันประหยัดเวลาไปเยอะ" เคทลินพูดพลางเหยียดแขนบิดขี้เกียจ "อ้อจริงสิ นิคนี่เฟรย์นะ เขาเป็นอาจารย์ --"

"เพื่อนน่ะ" เฟรย์พูดขัด พลางปรายตามองไปทางนิค นั้นทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกสำรวจอย่างไรอย่างนั้น

"ไว้เจอกันใหม่ที่สภานะเฟรย์ วันนี้ฉันคงไปต่อไม่ได้ พอดีต้องพาพ่อหนุ่มคนขยันนี่กลับไปพักผ่อนให้สมกับที่ทำงานหนักหน่อย" เคทลินยกมืออย่างขอโทษขอโพยที่ไม่สามารถไปต่อกับเฟรย์ได้อย่างทุกครั้ง

ทางเฟรย์มองก็ทำเพียงยักไหล่ตอบรับก่อนจะหายวับไปกับตา

'ทำไมเขาดูเหมือนไม่พอใจที่ผมเป็นก้างขวางคอพวกคุณกันล่ะเนี่ย' นิคคิดพลางขมวดคิ้วเขาหากันอย่างงุนงง

"เขาไม่ได้ว่าอะไรหรอกน่า เราไม่ได้เป็นอะไรแบบนั้นกันซะหน่อย"

'นี่ยังไม่เลิกอ่านใจผมอีกงั้นเหรอ!'

"โทษที เห็นนายคิ้วขมวดขนาดนั้นฉันก็เลยสงสัยว่าคิดอะไรอยู่"

"มันเสียมารยาทนะครับ เลิกมาอ่านความคิดเสียที" นิคเปิดปากพูดในที่สุดพลางมองไปทางเคทลินอย่างคาดโทษ

"ก็ได้ ๆ งั้นเรากลับบ้านกันเลยมั้ย" เคทลินยื่นออกมารอให้อีกฝ่ายที่กำลังตั้งท่าจะโกรธยื่นมือมาจับ

"หวังว่ากลับไปแล้วจะไม่มีงานอะไรเพิ่มอีกนะครับ" นิคยื่นมือไปจับมือของเคทลินที่กำลังรอเขาอยู่

"สำหรับวันนี้ไม่มีแล้วล่ะ"

"ห้ะ!"

ยังไม่ทันที่จะสิ้นเสียงอุทานร่างของทั้งสองก็ได้หายไปในพริบตา รู้ตัวอีกทีทั้งคู่ก็มาอยู่บริเวณสวนหลังบ้านแล้ว

"ไหนว่าไม่มีงานแล้วไงครับ" นิคโวยวายเมื่อเขากวาดตามองเหล่าพืชสมุนไพรที่เคทลินปลูกไว้กำลังออกดอกออกผลกันเต็มที่ราวกับกำลังรอให้มีคนมาเก็บเกี่ยวมันไป

"ใช่ งานของเธอหมดแล้ว เธอก็เข้าบ้านไปสิตรงนี้ฉันจัดการเอง" เคทลินพูดพลางดันหลังนิคพร้อมกับกระเป๋าใบใหญ่ที่ว่างเปล่าไปทางประตูหลังบ้าน

"โอเค งั้นผมไปพักผ่อนแล้วนะ อย่ามาบ่นทีหลังก็แล้วกัน" นิคทำท่าทีฟึดฟัดแล้วปิดประตูลง

เคทลินยกมุมปากขึ้นยิ้มเล็กน้อยให้กับท่าทีของเด็กหนุ่ม เธอวาดมือไปในอากาศพลันหมวกสีดำปีกกว้างใบโปรดของเธอก็ปรากฏขึ้น เธอสวมมันแล้วเดินไปหยิบตะกร้าใบใหญ่ที่อยู่ใกล้กับหุ่นไล่กามาแล้วลงมือเก็บสมุนไพรและพืชที่เป็นวัตถุดิบในการปรุงยา หลังจากที่เก็บไปได้สักพักก็มีเงาหนึ่งพาดผ่านตัวเธอที่กำลังก้มเก็บหัวของต้นดองดึงอยู่

"เรเวน ฉันไม่ตกใจหรอกนะ" เคทลินเอ่ยขึ้นพลางแหงนหน้ามองเจ้าหุ่นไล่กาที่เมื่อครู่ยังยืนนิ่งอยู่กลับที่แต่บัดนี้กลับเดินไปมาได้ราวกับมีชีวิต

"โธ่เคท เธอช่วยแกล้ง ๆ ตกใจหน่อยจะได้ไหม ไม่ว่าฉันจะทำอย่างไรเธอก็ไม่เคยจะตกใจเลย" เจ้าหุ่นไล่กาโบกมือไปมาประกอบการพูดอย่างแรงเสียจนฟางที่ยัดอยู่ในแขนเสื้อนั้นหลุดออกมา

เคทลินมองเศษฟางที่ร่วงออกมาพลางคิดว่าคนที่ต้องเก็บกวาดเอาเศษฟางพวกนั้นยัดกลับเข้าไปในตัวเรเวนก็คือเธอคนนี้เอง คิดจบก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะหันไปสนใจการขุดสมุนไพรต่อ

"นายจะทำให้ฉันตกใจไปทำไมในเมื่อหน้าที่ของนายก็คือการทำให้พวกกากลัวต่างหากไม่ใช่ฉันเสียหน่อย"

"ก็แหม พวกกาน่ะขี้ตกใจอยู่แล้ว แต่ปฏิกิริยาของพวกมันไม่น่าดูเท่ามนุษย์นี่นา" เรเวนพูดพลางลดตัวลงข้างๆ เธอแล้วช่วยเก็บสมุนไพรดังเช่นทุกครั้ง

เธอละอยากจะอ่านใจเจ้าหุ่นไล่กาตัวนี้จริงๆ ว่าในหัวฟักทองของเขาคิดอะไรอยู่ แต่ความสามารถด้านการอ่านใจเองก็มีข้อจำกัด มันไม่สามารถที่จะอ่านใจสิ่งไม่มีชีวิตได้ มันอาจจะฟังดูโหดร้ายไปหน่อยที่ต้องเหมารวมเรเวนว่าเป็นสิ่งไม่มีชีวิตทั้งที่เขาสามารถที่จะขยับร่างกายหรือนึกคิดได้เหมือนมนุษย์ แต่การที่เธออ่านใจไม่ได้นั้นเป็นเครื่องยืนยันว่าเรเวนไม่มีชีวิตนั่นเอง

ปึง

เสียงปิดประตูจากข้างหลังดังขึ้นพร้อมกับฝีเท้าที่เดินเข้ามาใกล้เคทลิน เธอไม่ต้องเดาก็รู้ว่านี่เป็นใคร

"ไงพ่อหนุ่มคนขยัน สนใจจะมาช่วยกันแล้วเหรอ" เคทลินลุกขึ้นมองไปทางนิคที่กำลังเดินเข้ามา

"ก็แค่ไม่มีอะไรทำเลยเบื่อๆ" ทันใดนั้นร่างของนิคก็สะดุ้งโหยงเมื่อเห็นหุ่นไล่กากำลังโบกมือที่ถูกยัดด้วยฟางไปมาและเขาก็เห็นเศษฟางบางส่วนหลุดร่วงออกมาจากมือนั่นด้วย

"จริงสิ เธอยังไม่เคยเจอเรเวนนี่ เขาเป็นหุ่นไล่กาของฉันที่ค่อยช่วยดูแลสวนและเก็บสมุนไพรให้ ที่ผ่านมาเขาไปทำธุระเรื่องพืชสมุนไพรให้อยู่น่ะ และเขาอยู่ภายใต้การควบคุมโดยเวทมนตร์ของฉันเพราะงั้นไม่มีอะไรต้องกลัวหรอก" เคทลินอธิบายพลางทอดสายตามองนิคที่กำลังเดินเข้ามาใกล้และทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าใกล้ ๆ กัน

"ยังมีอะไรที่ผมต้องเรียนรู้อีกเยอะ ต้องขอรบกวนคุณด้วยนะครับ"

คำพูดที่แผ่วเบาของนิคทำให้เคทลินหยุดชะงัก เธอพินิจดูว่าเด็กหนุ่มตรงหน้ากำลังคิดอะไรอยู่แต่เธอก็หยุดอ่านใจเขาไปเพราะนึกถึงที่สัญญากันไว้หลายต่อหลายครั้ง

"โลกนี้ยังมีอีกหลายอย่างที่เธอต้องเรียนรู้ ฉันเองก็ด้วย" เคทลินละสายตาจากเด็กหนุ่มและก้มหน้าก้มตาเก็บสมุนไพรต่อไปโดยมีนิคและเรเวนค่อยช่วยเหลืออยู่

"จริงสินิคพรุ่งนี้มีรายการใหม่เข้ามาอีกแล้ว เพราะงั้นเตรียมตัวได้เลย"

"ห้ะ!!" นิคอ้าปากพะงาบๆ อย่างตกใจ เขาเพิ่งจะได้พักเพียงไม่กี่นาทีก่อนแต่ก็ดันมีงานให้เขาทำอีกแล้วเหรอเนี่ย

"ฉันถึงได้บอกให้เธอไปพักไง แต่เธอกลับเสนอตัวเองงั้นก็ขอบคุณนะ" เคทลินเหยียดยิ้มเจ้าเล่ห์เช่นทุกที นั่นทำให้นิคถึงกับขนลุกซู่เพราะเธอไม่ได้พูดเล่น


"เคทลิน เคทลิน เคทลิน" เสียงทุ้มของใครบางคนเอ่ยชื่อเดิมซ้ำไปซ้ำมาราวกับกำลังทวนความจำในอดีต

"อะไรทำให้นายเสนอชื่อเคทลินขึ้นมาล่ะเฟรย์" ชายสูงวัยที่นั่งอยู่หัวโต๊ะเอ่ยถามจอมเวทผมดำหลังจากที่เขาเสนอชื่อของคนคนหนึ่งขึ้นมาในที่ประชุม จากที่ลองทบทวนความทรงจำดูแล้วเคทลินเองก็เป็นบุคคลที่มีความสามารถคนหนึ่งซึ่งเหมาะกับตำแหน่งที่ว่างอยู่พอดิบพอดี เพียงแต่...

ดวงตาสีอำพันปรายตามองไปยังเก้าอี้ข้างเฟรย์ที่ว่างเปล่า เคทลินมักไม่ค่อยเข้าประชุมสภาเสียเท่าไหร่ เดิมทีเธอก็ไม่ได้เป็นสมาชิกของสภานี้แต่อย่างใดวันหนึ่งเฟรย์ได้พาเธอมาแนะนำกับทุกคน ในตอนนั้นเธอคุกรุ่นไปด้วยความแค้นที่ฝังรากลึกไปจนถึงจิตใจ นั่นเป็นสาเหตุที่เธอหันมาพึ่งเวทมนตร์เพื่อใช้ในการแก้แค้นใครบางคนถึงสุดท้ายเธอก็ไม่ได้ทำมันลงไปแต่เธอก็ได้สร้างวีรกรรมอื่นขึ้นมาแทนและนั่นทำให้เธอเป็นที่เลื่องชื่อขึ้นมา เพียงแค่เอ่ยชื่อเคทลินแห่งเลควูดในบรรดานักเวททั้งหลายใคร ๆ ก็ต้องร้องอ๋อ

"ยูริเอล คุณเองก็น่าจะรู้อยู่แก่ใจว่าทำไมผมถึงได้เสนอชื่อของเคทลิน" เฟรย์เอ่ยขึ้น เขามองไปทางเก้าอี้ที่ว่างเปล่าของเคทลินเช่นเดียวกับประธานในที่ประชุม คนอื่นอาจจะคิดว่าเธอเป็นคนไม่เอาอ่าว เป็นถึงสมาชิกสภาแต่ก็ไม่ค่อยเข้าประชุมเหมือนกับสมาชิกคนอื่น ๆ แต่ทุกคนก็รู้ดีว่าเธอมีความสามารถขนาดไหน

ปึง

เสียงปิดประตูห้องบานใหญ่ดังขึ้นพร้อมกับสายตาคมกริบของเคทลินที่มองไปทางยูริเอลและเฟรย์

"เหมือนจะมีคนพูดถึงฉันนะ" เคทลินเอ่ยขณะที่กำลังเดินนวยนาดไปยังเก้าอี้ของตนท่ามกลางสายตานับสิบคู่และเสียงซุบซิบที่ไม่ต้องให้เดาก็รู้ได้ว่ากำลังพูดถึงเธอกันอยู่

"หรือว่าคราวนี้มีเผ่าไหนที่ต้องการให้ฉันไปสานสัมพันธ์ด้วยอีกล่ะ หรือเมืองไหนอยากได้ยาคุณภาพดีในราคาถูก หรือว่า..." เคทลินเงียบลงเมื่อเฟรย์ยกมือขึ้นปรามการคาดเดาต่างๆ ของเธอ

"ไม่ใช่อะไรทำนองนั้นเพียงแต่เรา..." เฟรย์หันไปมองหน้ายูริเอลที่ดูจะไม่เห็นชอบความคิดเขาเสียเท่าไหร่ "ฉันคิดว่าเธอควรจะเป็นสมาชิกอาวุโสเหมือนอย่างที่ฉันเป็น"

เคทลินรับฟังพลางเหยียดยิ้มและหัวเราะหึในลำคอ เมื่อครู่เธอได้ยินเขาเปลี่ยนคำสรรพนาม คาดว่าคงจะมีแค่เขาเท่านั้นแหละที่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ แต่ไหนแต่ไรก็ไม่มีใครจะชอบหน้าเธอเสียเท่าไหร่เพราะข่าวลือของเธอไม่เป็นที่พอใจแก่สภาเสียเท่าไหร่ ต่อให้เธอทำดีมาแค่ไหนเพียงแค่มีข่าวเสียๆ หายๆ หลุดออกมาทุกคนก็พร้อมใจที่จะไม่ชอบเธอในทันที

"นายคิดอย่างงั้นเหรอ" เคทลินถาม เธอเอนตัวพิงพนักเก้าอี้พลางใช้นิ้วม้วนผมสีไวน์แดงตัวเองเล่นอย่างไม่ใส่ใจกับคำพูดเสียเท่าไหร่

เฟรย์ถอนหายใจเมื่อเห็นท่าทีของเคทลินที่ดูจะไม่แยแสกับสภาหรือตำแหน่งผู้อาวุโสแม้แต่น้อย สาเหตุที่เขาอยากให้เคทลินขึ้นมานั่งในตำแหน่งผู้อาวุโสด้วยเป็นเพราะเธอนั้นมีความสามารถที่โดดเด่นในหลายเรื่อง ทั้งการปรุงยา การใช้เวทมนตร์ หรือแม้แต่การทูต หากได้เธอมาเป็นฝ่ายเดียวกันในการประชุมผู้อาวุโสคงจะดีไม่น้อย เพียงแต่ตอนนี้ทุกคนรู้จักเธอในด้านนักล่าผู้ชายและคนที่ไม่ตรงต่อเวลาในการประชุมสภา

แต่ข่าวลือทั้งหมดนั่นก็ล้วนเป็นความจริงทั้งนั้น...

"ก็ใช่ คุณสมบัติของเธอมีพร้อมเพียงแต่..." เฟรย์ยกมือขึ้นก่ายหน้าผาก เห็นทีการเสนอให้เคทลินขึ้นเป็นผู้อาวุโสคงจะยากเสียแล้ว

"ยังไงเสียข่าวลือพวกนั้นก็เป็นเรื่องจริงล่ะนะ แต่ว่า" เคทลินลดเสียงลงก่อนจะส่งโทรจิตไปในหัวของเฟรย์ 'เรื่องผู้ชายนี่มันก็ปกติมั้ยล่ะ ฉันไม่ได้นอนแบบไม่เลือกเสียหน่อย ครั้งก่อนพวกสภาบีบให้ฉันเข้าไปเจรจากับเมืองแวมไพร์เองก็ช่วยไม่ได้นี่นา'

'เคท นั่นมันแค่ผลพลอยได้จากการเจรจาของเธอ' เฟรย์เอ่ยเสียงนิ่งในหัว ข่าวฉาวส่วนใหญ่ของเคทลินคงไม่พ้นเรื่องเปลี่ยนคู่นอนนั่นทำให้คนมักพูดกันว่าที่การเจรจาของเธอสำเร็จทุกครั้งเป็นเพราะเรื่องบนเตียง ซึ่งมันไม่จริงเลย เขาเคยไปเจรจากับเธอหลายต่อหลายครั้ง เคทลินมีวาทศิลป์ที่ดี เธอสามารถโน้มน้าวใจอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย ถึงแม้หลังจากที่เจรจากันเสร็จเธอมักจะไปต่อก็เถอะ แต่เธอเป็นคนที่สามารถแยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวออกจากกันได้ ซึ่งมันทำให้เขามั่นใจว่าเรื่องผู้ชายของเธอนั้นไม่เกี่ยวกับเรื่องงานอย่างแน่นอน

'ว่าแต่นายเคยได้ยินข่าวลือนั่นมั้ย ที่ว่าเพราะฉันเคยคั่วนายเราเลยตัวติดกันเป็นตังเมอย่างนี้'

'เพ้อเจ้อ' เฟรย์รีบตอบทันควัน

'ใช่มั้ยล่ะ มีแต่พวกเพ้อเจ้อทั้งนั้น'

"อะแฮ่ม"

ยูริเอลกระแอมเพื่อเรียกความสนใจ เพียงแค่มองปราดเดียวก็รู้ได้ว่าเคทลินและเฟรย์กำลังส่งโทรจิตกัน เนื่องด้วยการโทรจิตเป็นเวทขั้นสูง น้อยคนนักที่จะทำได้ การที่สองคนนี้ซึ่งเป็นผู้ใช้เวทขั้นสูงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งคงเพราะโทรจิตหากันอยู่แน่ ๆ เขาเองก็รู้อยู่แก่ใจอย่างที่เฟรย์ว่า เพียงแต่คนส่วนใหญ่ในสภาไม่ชอบเคทลินนัก หากเขาผู้ซึ่งเป็นประธานสภาออกตัวว่าเห็นชอบด้วยจะทำให้ดูไม่เป็นกลางจึงต้องสงวนท่าทีไว้

"เรื่องนั้นค่อยว่ากัน ตอนนี้มีเรื่องที่ใหญ่กว่านั้นอีก ที่ฉันเรียกประชุมวันนี้เพราะว่าจำนวนผู้ใช้เวทนั้นมีน้อยลงทุกที ทุกวันนี้คนที่อยากเป็นจอมเวทนั้นมีน้อยลงเนื่องด้วยเทคโนโลยีต่าง ๆ น้อยคนนักที่จะเดินเข้ามาบอกว่าอยากเป็นจอมเวทแบบเคทลิน"

ยูริเอลกลั้วหัวเราะกับประโยคสุดท้ายเมื่อนึกถึงวันวานสมัยเคทลินยังเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งที่กล้าเข้ามาต่อรองถึงในสภา

"และอย่างที่รู้กันว่าเรานั้นแลกบางอย่างกับการมีเวทมนตร์ในตัวซึ่งก็คือภาวะมีบุตรยาก เวทมนตร์สามารถสืบต่อทางสายเลือดได้ก็จริง แต่น้อยคนนักที่จะใช้เวทมนตร์ได้ นอกเสียจากการมีลูกในหมู่นักเวทด้วยกัน เพราะงั้นฉันอยากสนับสนุนให้ทุกคนมีครอบครัวและมีลูกเสีย"

สิ้นเสียงของยูริเอลก็มีเสียงกระซิบกระซาบดังอื้ออึงไปทั่วห้องประชุม

"นี่คุณจะบอกให้เราเป็นปศุสัตว์งั้นเหรอ" เสียงจอมเวทคนหนึ่งในที่ประชุมดังขึ้นแล้วตามมาด้วยอีกหลายเสียง

เป็นไปตามคาด ยูริเอลกวาดสายตามองไปทั่วทั้งที่ประชุม ทุกคนดูจะแตกตื่นกับเรื่องที่เขาพูด แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่จริง ๆ ในปัจจุบันจำนวนจอมเวทลดน้อยลงอย่างมากเสียจนน่าตกใจ ในเมืองหนึ่งมีผู้ใช้เวทเพียงแค่หยิบมือเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรในแต่ละเมือง เลควูดนั้นเป็นศูนย์กลางของผู้ใช้เวทและเมืองข้างเคียงเองก็มีหลากหลายเผ่าพันธุ์รายล้อมเมืองไว้ ผู้ใช้เวทต่างมากระจุกกันอยู่ในเมืองนี้แต่จำนวนเมื่อเทียบกับประชากรทั้งหมดนั้นก็ยังคงเป็นเปอร์เซ็นต์ที่น้อยอยู่ดี ยูริเอลเหลือบไปมองสองจอมเวทที่นั่งนิ่งมาครู่หนึ่งและไม่มีท่าทีจะเดือดร้อนอะไรกับสิ่งที่เขาพูดเลย

'นู่นแน่ะ มองมาทางเราแล้ว คงจะคิดว่าที่เราเงียบคือเห็นด้วยล่ะสิท่า' เคทลินส่งโทรจิตไปหาเฟรย์ที่กำลังนั่งเหม่ออยู่

'ที่เขาพูดมันก็จริงอยู่หรอกแต่อยู่ๆ จะให้ทำแบบนั้นมันก็ออกจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ปกติเราก็มีลูกยากกันอยู่แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสายเลือดบริสุทธิ์ นั่นน่ะยิ่งหายากไปอีก' เฟรย์ตอบพลางถอนหายใจ เขาเบื่อที่จะต้องทนฟังเสียงถกเถียงที่ดังอื้ออึงเต็มทน หากจะให้ออกจากที่ประชุมกะทันหันมันก็กระไรอยู่

'สายเลือดบริสุทธิ์ก็นั่งอยู่ข้างฉันคนหนึ่งนี่ไง' เคทลินส่งสายตามองเฟรย์หนหนึ่งก่อนจะยิ้มอย่างมีเลศนัย

'แล้วไง จะให้ฉันเป็นพ่อพันธุ์งั้นเหรอ'

'พูดเป็นเล่น นายยังไม่มีสาวคนไหนให้ควงเลยจะเป็นพ่อพันธุ์ได้ไง'

'นั่นเพราะเธออยู่ข้าง ๆ ฉันตลอดไงคนอื่นก็เลยไม่กล้าที่จะเข้าหาฉัน'

'ความผิดฉันอีก'

"อะแฮ่ม" ยูริเอลกระแอมเพื่อให้ทุกคนสงบลงก่อนจะพูดต่อ "ที่พูดมาก็ไม่ได้มีกฎบังคับอะไร เพียงแค่ส่งเสริมให้ทุกคนมีบุตรไว้สืบทายาทต่างหาก และแน่นอนหากมีบุตรเราจะมีสวัสดิการให้ครอบครัวนั้น ๆ อย่างแน่นอน และระหว่างตั้งครรภ์ก็จะได้รับยาสำหรับบำรุงแก่มารดาและบุตรซึ่งปรุงโดยเคทลินแห่งเลควูดผู้นี้อย่างไรล่ะ"

เคทลินถลึงตาใส่ยูริเอลที่กำลังยิ้มอย่างมีเลศนัยมาทางเธอ แค่ปกติเธอก็หัวหมุนกับการเป็นคนปรุงยาของสภาที่ต้องส่งออกไปยังจุดจำหน่ายต่าง ๆ แล้วยังจะมาโยนหน้าที่ให้เธอเพิ่มอีก หากเธอไม่ได้นิคมาช่วยก็คงจะหัวหมุนอยู่คนเดียวเพราะไม่มีใครอยากที่จะปรุงยาร่วมกับเธอเลยทั้งหมดนั่นเป็นเพราะข่าวลือพวกนั้นแท้ ๆ

'ยินดีด้วยล่ะที่ได้งานเพิ่ม'

เคทลินมองค้อนไปทางเพื่อนของตน หากไม่ได้อยู่ในสภาเธอคงจะดึงผมยาวสีดำขลับของอีกฝ่ายจนหัวโยกแน่

'ให้ตายเหอะ ฉันอยากกลับบ้านแล้ว วันนี้ฉันมาทำอะไรที่นี่เนี่ย!'


"ฮัดเช้ย" นิคมีปฏิกิริยาเกสรของดอกไม้ในสวนหลังบ้านที่เล็ดลอดเข้ามายังในตัวบ้านได้ หากบอกเคทลินให้ร่ายเวทป้องกันไม่ให้เกสรเข้าบ้านได้คงจะดีไม่น้อย นิควางหนังสือในมือลงพลางมองไปยังประตูบ้านราวกับรอให้ใครกลับมา เขาไม่เคยคิดที่จะรอให้ใครกลับบ้านแบบนี้มาก่อน ทั้งที่เคทลินใช้แรงงานเขาเยอะเสียขนาดนั้นแต่ก็ไม่ได้รู้สึกเกลียดเธอแต่อย่างใด บางทีเขาก็คิดภาพตอนไม่มีเขาอยู่ว่าเคทลินจะหัวหมุนขนาดไหนที่ต้องปรุงยาจำนวนมากในแต่ละวัน อย่างเมื่อเช้าเธอก็บ่นพึมพำว่าต้องไปเข้าประชุมอะไรสักอย่างแต่ต้องเฝ้าหม้อยาให้ได้ที่ก่อนจึงจะไปได้ไม่เช่นนั้นยาที่อยู่ในหม้ออาจจะเสียคุณภาพได้หากไม่เฝ้ามันไว้

ปึง!

เสียงกระแทกประตูดังขึ้นเสียจนนิคสะดุ้งโหยง เขามองไปทางประตูที่เพิ่งละสายตาไปก็เห็นเคทลินเดินเข้ามาในบ้านและตามมาด้วยเฟรย์ จอมเวทสาวมีสีหน้าบูดบึ้งอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับเพื่อนของเธอที่มีสีหน้าเรียบเฉยอยู่เสมอ

"รออยู่ตรงนี้เดี๋ยวนะ" เคทลินพูดกับเฟรย์ก่อนจะเดินปึงปังไปยังห้องของตนที่อยู่ไม่ไกล เสียงข้าวของหล่นดังโครมครามประสานกับเสียงกรีดร้องอย่างอารมณ์เสียราวกับกำลังบรรเลงบทเพลงแห่งความโกรธเกรี้ยวอย่างไรอย่างนั้น

"เราไม่เข้าไปห้ามจะดีเหรอครับ" นิคหันไปถามเฟรย์ที่นั่งรอเคทลินอยู่ข้างเขา จอมเวทหนุ่มมองหน้าเด็กหนุ่มหนหนึ่งก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธไปมือก็หยิบส้มในจานบนโต๊ะมาแกะเปลือกกินราวกับว่าสิ่งที่เคทลินกำลังทำเป็นเรื่องปกติสำหรับเขา

ผ่านไปครู่หนึ่งเคทลินก็เดินออกมาจากห้อง เสื้อผ้าหน้าผมของเธอนั้นเรียบร้อยราวกับสิ่งที่เธอทำก่อนหน้าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

"นิค เธอยังอยากจะอยู่ที่นี่อีกมั้ย" เคทลินเอ่ยถามพลางทรุดกายลงบนโซฟาตัวนุ่มฝั่งตรงข้ามกับนิคและเฟรย์

"อยู่ครับ"

"ถ้ามีงานเยอะขึ้นเท่าตัวละ ยังจะอยากอยู่อีกมั้ย"

"อยู่ครับ!" นิคตอบอย่างหนักแน่น นั่นทำให้เคทลินเลิกคิ้วอย่างสงสัยแต่ก็หัวเราะหึในลำคอ

"อะไรกัน เธอหลงเสน่ห์ฉันอยู่งั้นเหรอ" เคทลินเสยผมที่ปรกหน้าขึ้นพลางเหยียดยิ้มเจ้าเล่ห์ให้เด็กหนุ่ม

"ไม่ครับ!"