เคทลินกลับมาแก้แค้นเพื่อนรักอย่างซูซานที่ขโมยผลงานของเธอจนตัวเองโด่งดัง ในเมื่อผลงานเปรียบเสมือนกับลูกของเธอเคทลินจึงได้ขโมยลูกของซูซานเป็นการแก้แค้น

Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด - บทที่ 3 บทที่ 3 โดย s.BlackSheep @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,ดราม่า,ผจญภัย,พารานอมอล,ครอบครัว,เวทมนตร์,แฟนตาซี,นักเวท,เวทมนต์,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ดราม่า,ผจญภัย,พารานอมอล,ครอบครัว

แท็คที่เกี่ยวข้อง

เวทมนตร์,แฟนตาซี,นักเวท,เวทมนต์

รายละเอียด

เคทลินกลับมาแก้แค้นเพื่อนรักอย่างซูซานที่ขโมยผลงานของเธอจนตัวเองโด่งดัง ในเมื่อผลงานเปรียบเสมือนกับลูกของเธอเคทลินจึงได้ขโมยลูกของซูซานเป็นการแก้แค้น

ผู้แต่ง

s.BlackSheep

เรื่องย่อ

เพราะการแก้แค้นนั้นหอมหวานและทำให้คนคนหนึ่งยอมเปลี่ยนตัวตนเพื่อการแก้แค้นอดีตเพื่อนรัก หากแต่การแก้แค้นของเคทลินนั้นทำให้ใครอีกคนได้ค้นพบการดำเนินชีวิตแบบใหม่ที่เขาเองก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อน การอยู่ร่วมกันของเคทลินและนิคนั้นจะเป็นเหมือนแม่เหล็กคนละขั้วที่แตกต่างแต่ก็ดึงดูดเข้าหากันเสมอ

เมื่อนิคได้เข้ามาในโลกของนักเวทก็เกิดสิ่งที่ไม่คาดฝันมากมาย แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อเขาเป็นคนเลือกที่จะเดินทางนี้เอง และเขาไม่ได้โดดเดี่ยวเพราะมีคนคอยดูแลอย่างเคทลินแห่งเลควูดคอยตามเป็นห่วงอยู่ไม่ห่าง และดูเหมือนจะมีเรื่องวุ่นๆ หลายอย่างรอทั้งสองอยู่เบื้องหน้า

สารบัญ

Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 0 บทที่ 0,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 1 บทที่ 1,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 2 บทที่ 2,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 3 บทที่ 3,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 4 บทที่ 4,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 5 บทที่ 5,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 6 บทที่ 6,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 7 บทที่ 7,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 8 บทที่ 8,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 9 บทที่ 9,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 10 บทที่ 10,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 11 บทที่ 11,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 12 บทที่ 12,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 13 บทที่ 13,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 14 บทที่ 14,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 15 บทที่ 15,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 16 บทที่ 16,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 17 บทที่ 17,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 18 บทที่ 18,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 19 บทที่ 19,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 20 บทส่งท้าย,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 21 ตอนพิเศษ

เนื้อหา

บทที่ 3 บทที่ 3

"งานวิจัยถึงไหนแล้ว" เสียงทุ้มของชายคนหนึ่งดังขึ้นจากข้างหลังของเคทลิน เธอหันกลับไปมองก็เห็นชายร่างบางคนหนึ่งในเชิ้ตขาวและกางเกงที่เข้ารูป มือขวาของเขากำลังจัดผมสีดำปลายบลอนด์ให้เข้าทรงขณะที่กำลังเดินตรงมาทางเธอ 

"ถึงไหนแล้วงั้นเหรอ ผ่านมาเกือบปีนึงแล้วก็ไม่มีอะไรที่เวทของเราจะทำได้เลย ยอมรับเสียเถอะว่าการมีลูกยากคือคำสาปของเรา" เคทลินเอนหลังกับพนักพิงเก้าอี้พลางผายมือให้ผู้มาใหม่นั่งลงบนเก้าอี้ข้างกัน

"งั้นก็เหลือวิธีทางวิทยาศาสตร์สินะ" 

"ทดลองใช้ยีนจากเผ่าพันธุ์อื่นน่ะเหรอ" เคทลินบีบนวดไหล่ที่ตึงของตัวเอง ช่วงนี้เธอส่งต่อการปรุงยาให้คนอื่นทำแทนแล้วมาทำงานวิจัยที่น่าจะเบากว่าแทน แต่พอได้มาทำจริง ๆ มันก็แทบไม่ต่างกันเลย

"ใช่แล้ว ดูอย่างพวกแวมไพร์สิ พวกนั้นมีลูกดกจะตาย อ้อ! ฉันได้ข่าวว่าเธอเคยกุ๊กกิ๊กกับแวมไพร์ด้วยจริงเหรอ" 

"ลูซิเฟอร์ นายไปได้ข่าวลือนั้นมาจากไหนกันน่ะ" เคทลินมองเพื่อนนักเวทอย่างเหนื่อยหน่าย พักหลังมาเธอเริ่มจะปล่อยวางกับข่าวลือพวกนั้นแล้ว ไม่ว่าเธอจะทำอะไรก็ถูกจับตาไปหมด เพียงเพราะเธอเป็นนักเวทที่เคยเป็นมนุษย์มาก่อนในรอบทศวรรษ แค่เธอทำอะไรที่ขัดต่อขนบเก่า ๆ ก็ทำให้ข่าวลือแพร่สะพัดไปได้ง่าย

"เกว็นบอกฉันมาอีกที แต่พวกฉันน่ะไม่เชื่อข่าวลือพวกนั้นง่าย ๆ หรอกนะถึงได้มาถามเธอก่อนไง" 

"รู้อะไรมั้ยลูซิเฟอร์ การที่นายถามนั่นหมายความว่าฉันมีสิทธิ์ในการเลือกที่จะตอบหรือไม่ตอบก็ได้ เพราะงั้นฉันขอเลือกที่จะไม่ตอบคำถามเกี่ยวกับข่าวลือใด ๆ ทั้งนั้น แล้วก็รีบส่งเอกสารในมือได้แล้ว ฉันจะได้รีบทำรีบกลับบ้าน" 

"โอ๊ะ! หรือว่าข่าวลือนั้นก็เป็นจริง ที่ว่าเธอได้เด็กมนุษย์มาบำเรอไว้ที่บ้านทำให้ช่วงนี้เธอไม่ค่อยออกล่า --" ลูซิเฟอร์รีบปิดปากสวย ๆ ของตัวเองลงเมื่อสายตาที่คมราวกับมีดของเคทลินมองมาที่เขา

"ใครมันกล้าพูดถึงนิคแบบนั้นฉันจะจับตัดลิ้นให้หมด" 

ก๊อก ๆ ๆ

เสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อมกับหญิงสาวคนหนึ่งในชุดกระโปรงสไตล์โกธิคยาวคลุมเข่า เธอกวาดสายตามองไปทั่วห้องก่อนจะหยุดที่เคทลินซึ่งกำลังทำหน้าไม่พอใจเป็นอย่างมากและดูพร้อมที่จะกระชากคอเสื้อลูซิเฟอร์เสียเดี๋ยวนั้น แต่ไม่รอให้เขาถูกกระชากคอเสื้อเธอกลับดึงคอเสื้อของเขาแล้วลากไปอีกมุมห้องแทน

"เกว็น ใจเย็น ๆ สิ อย่าดึงคอเสื้อแบบนั้นฉันหายใจไม่ออก" 

"นายควรจะหุบปากของนายก่อนที่ลิ้นในปากจะหายไปนะ" เกว็นขู่ก่อนจะปล่อยคอเสื้อเขาแล้ววางกระเป๋าสะพายข้างของตนลงทำงานบนโต๊ะซึ่งเต็มไปด้วยเวทวัตถุหลากหลายชิ้น เธอหยิบซองกระดาษอันหนึ่งขึ้นมาก่อนจะนำมันไปให้เคทลินที่กำลังง่วนอยู่กับการชั่งตวงของบางอย่างอยู่

"คุณเคทลินคะ เมื่อครู่เบื้องบนบอกให้นำเอกสารนี้มาส่งคุณค่ะ" 

เคทลินทำเพียงโบกมือให้วางเอกสารนั้นลงบนโต๊ะ เมื่อทำหน้าที่เดินเอกสารเสร็จเกว็นก็กลับไปนั่งที่โต๊ะของเธอแล้วเริ่มเก็บกวาดของบนโต๊ะเพื่อนำกลับไปไว้ที่ห้องทำงานของเธอเอง เดิมทีนักเวทที่ตำแหน่งสูง ๆ จะมีห้องส่วนตัวเป็นของตัวเอง แต่ในกรณีนี้พวกเขาต้องใช้ห้องวิจัยเพื่อที่จะต้องทำงานร่วมกัน

"นั่นเธอเก็บของทำไมน่ะ" เคทลินเอ่ยถามเมื่อเงยหน้าขึ้นมาเห็นสิ่งที่เกว็นกำลังทำ

"ลองอ่านเอกสารดูก่อนสิคะ แล้วคุณจะเข้าใจสถานการณ์เอง" 

เคทลินหยิบซองเอกสารแล้วหยิบกระดาษในนั้นทั้งสองแผ่นขึ้นมาอ่าน คิ้วของเธอขมวดเข้าหากันเมื่ออ่านไปได้สักครู่ เธอเงยหน้าขึ้นมาอ้าปากค้างราวกับลืมสิ่งที่จะพูดไปชั่วขณะ สายตาของเธอกำลังร้องถามเกว็นว่านี่เป็นเอกสารฉบับจริงใช่ไหม

"หมดหน้าที่ของฉันแล้วต้องขอตัวก่อนนะคะ" เกวนที่เก็บกวาดโต๊ะของตนเสร็จรีบเดินออกไปจากห้องก่อนที่ระเบิดอารมณ์ของเคทลินจะถูกปลดปล่อยออกมา 

"ยู-ริ-เอล!" เคทลินตะโกนชื่อเจ้าของเอกสารนั่นออกมาเสียงดัง ใบหน้าของเธอดูตึงเครียดขึ้นในทันตา ลูซิเฟอร์ที่ยังคงอยู่ในห้องนั้นรีบพุ่งตัวเข้ามาและถือวิสาสะหยิบเอกสารนั้นขึ้นมาอ่าน 

"นี่มันโยนขี้กันชัด ๆ" ลูซิเฟอร์พูดขึ้นแต่เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมาเคทลินก็ได้อันตรธานไปแล้ว


"ฉันขอพบยูริเอลหน่อย" เคทลินพูดขึ้นในทันทีเมื่อเธอมาปรากฏตัวอยู่ในห้องทำงานของเฟรย์ 

นักเวทมือขวาของยูริเอลถอนหายใจ เขาชินกับการที่อยู่ ๆ เคทลินก็มาปรากฏตัวอยู่ในห้องเขาเสียแล้ว โดยไม่รอให้เคทลินพูดต่อเขารีบขัดขึ้นเสียก่อน

"ยูริเอลไม่อนุญาตให้ใครเข้าพบทั้งนั้น" ใบหน้าที่ปรากฏรอยย่นตามอายุของเฟรย์นั้นเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมา เขารู้อยู่แล้วว่าหากบอกเรื่องนี้กับเคทลินเธอจะต้องมาขอเข้าพบยูริเอลแน่นอน

"ถ้านายรู้อยู่แล้วทำไมไม่ห้ามเขาบ้างล่ะ นายก็รู้อยู่ --"

"ฉันรู้อยู่แล้วว่าเธอจะต้องไปเจรจาเรื่องนี้ แต่อย่าลืมสิว่าเธอไปในฐานะตัวแทนของนักเวท ไม่ได้ไปในนามเคทลิน" เฟรย์พูดขัด เขารู้ดีว่าเธอมีความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยดีกับบุคคลที่ต้องไปเจรจาด้วยแต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ดูจะเหมาะสมที่สุดที่จะให้ไปในนามเคทลินแห่งเลควูด ไม่ใช่เคทลิน โจนส์

เคทลินนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง เธอไม่ได้ไปในฐานะของตัวเธอเองก็จริง แต่อย่างไรการพบหน้ากับอีกฝ่ายก็ทำให้เธออึดอัดอยู่ดี

"ขอกำหนดการที่ต้องไปด้วย" 

"มันไม่ได้เขียนอยู่ในหนังสือที่ส่งให้เธอหรอกเหรอว่าคำสั่งนั้นมีผลเดี๋ยวนี้ เพราะการประชุมจะเริ่มในช่วงค่ำวันนี้ และตอนนี้ก็..." เฟรย์หันไปมองนาฬิกาที่ติดผนังห้องไว้ แต่เมื่อหันกลับมาอีกทีเคทลินก็ไม่อยู่เสียแล้ว 

"ตอนนี้ก็หนึ่งทุ่มแล้วล่ะ" เฟรย์ถอนหายใจก่อนจะก้มหน้าทำเอกสารที่ค้างต่อ


"นิค! ไปจัดกระเป๋าเดินทางเร็วเข้า เราต้องออกเดินทางเดี๋ยวนี้" เคทลินบอกกับเด็กหนุ่มทันทีที่ปรากฏตัวตรงหน้าเขา เธอรีบจ้ำอ้าวไปยังห้องของตนเพื่อจัดกระเป๋าในทันทีโดยไม่รอให้นิคได้ตั้งตัว

"เคทลิน ผมก็อยากไปช่วยคุณอยู่หรอกแต่ว่าผมต้องอ่านหนังสือเตรียมสอบนะครับ" นิคพูดขึ้นเมื่อเคทลินกลับมาพร้อมกับกระเป๋าใบหนึ่ง เธอมองนิคพร้อมกับทำหน้าตาราวกับวิญญาณของเธอไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว 

"เธอไม่ไปได้ไง ฉันไม่อยากเจอเขาคนเดียวนะ" เคทลินบ่นพึมพำเสียงเบา

"คุณจะไปที่ไหนงั้นเหรอ" นิคปิดหนังสือในมือแล้วถามกับเคทลิน

"นอคเทอนา เมืองข้าง ๆ นี้น่ะ อยู่ทางตะวันตกของเมืองนี้ โอย ให้ตายสิฉันละไม่อยากไปเลยจริงๆ" 

"ให้คนอื่นไปไม่ได้เหรอครับ" 

"คนอื่นไปได้ฉันคงไม่ต้องมาโอดโอยแบบนี้หรอก เธอก็พยายามเข้าล่ะ แล้วฉันจะกลับมาในอีกสองสัปดาห์" 

"สองสัปดาห์เลยงั้นเหรอครับ" ทันทีที่นิคพูดจบเคทลินก็หายไปในทันตา


"ไหนล่ะนักเวทที่นัดเราไว้" หญิงผิวขาวซีดที่นั่งหัวโต๊ะเอ่ยขึ้นเมื่อเธอมองนาฬิกาที่บอกเวลาหนึ่งทุ่มครึ่ง เธอเสยผมสีบลอนด์ยาวที่ปรกหน้าขึ้นแล้วก้มมองเอกสารในมือ เมื่อชั่วโมงก่อนมีนกเรเวนมาส่งหนังสือนัดหมายนี่กับเธอ การนัดหมายอย่างกระชั้นชิดแบบนี้นับว่าเสียมารยาทมากพอแล้วแต่อีกฝ่ายก็ยังไม่มาตามเวลานัดหมายอีก

"ขออภัย" เสียงของเคทลินดังขึ้นขัดความคิดของประธานประชุม การที่เธอปรากฏตัวในห้องนี้ทันทีเป็นเรื่องที่เสียมารยาท แต่เพื่อการรักษาเวลาคงจำเป็นที่จะต้องทำแบบนี้ 

"ขอเอกสารประกอบการประชุมด้วย" หญิงคนเดิมเอ่ยขึ้น เคทลินเดินนำเอกสารไปให้เธอทั้งสองสบตากันก่อนจะมีเสียงหนึ่งดังขึ้นในหัว 

'หลังประชุมเสร็จขอคุยด้วยหน่อย มาเจอที่ห้องฉันเหมือนเดิม' 

"เอาล่ะหัวข้อในวันนี้คือการวิจัยเรื่องการปฏิสนธิเทียมของนักเวทเนื่องจากปริมาณของประชากรที่ลดลงงั้นเหรอ" ดวงตาสีโกเมนเหลือบมองไปทางเคทลินเพื่อขอคำยืนยันเกี่ยวกับการวิจัยนี้

"ค่ะ เนื่องจากในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาปริมาณของประชากรลดลงอย่างรวดเร็วจนน่าใจหาย แต่เดิมเผ่าพันธุ์เราก็มีประชากรอยู่เพียงหยิบมืออยู่แล้ว หากไม่หาวิธีแก้ไขอาการมีบุตรยากของเราก็อาจเสี่ยงต่อการล่มสลายของเผ่าพันธุ์ได้" 

"แล้วเธอต้องการอะไรจากพวกเรากัน" 

"เราต้องการที่จะตรวจสอบไข่และสเปิร์มของผู้เข้าร่วมวิจัยเพื่อนำไปทดลองต่อไปค่ะ" 

"เพราะเผ่าของเราสามารถมีบุตรได้ง่ายสินะ เอาล่ะมีใครอยากร่วมการวิจัยบ้าง" 

เสียงถกเถียงจากห้องประชุมยังคงดำเนินต่อไปอีกราวสองชั่วโมงก่อนจะมีการนัดหมายใหม่อีกครั้งในคืนถัดไป


"ไงโอฟีเลีย มีอะไรจะคุยกันฉันงั้นเหรอ" เคทลินเปิดประตูเข้าห้องของคนที่นัดเธอไว้หลังจากที่ตามคนในคฤหาสน์ไปเก็บข้าวของที่ห้องรับรอง 

"พวกเธอจนปัญญาถึงขั้นยอมก้มหัวให้กับพวกเราเลยงั้นเหรอ มันคงเข้าขั้นวิกฤติแล้วสินะ" หญิงสาวผมบลอนด์รินของเหลวสีแดงเข้มลงในแก้วทรงสูง ก่อนจะยกมันขึ้นจิบ 

"วิกฤตงั้นเหรอ เหอะ พวกเราแทบจะสูญพันธุ์อยู่แล้ว เทคโนโลยีเริ่มเข้ามา การมีตัวตนของเราก็เริ่มน้อยลง บางคนเลิกใช้เวทแล้วใช้ชีวิตแบบมนุษย์ข้างนอกนั่น" เคทลินยักไหล่ เธอค่อนข้างคุ้นชินกับโอฟีเลีย การนัดเจอกันหลังประชุมนี้ก็เป็นเพียงแค่การถามไถ่สารทุกข์สุกดิบแค่นั้น 

"แต่เธอกลับเป็นมนุษย์ธรรมดาที่มีพรสวรรค์ทางด้านเวท โอ้ ให้ตาย ทุกอย่างมันกลับตาลปัตรไปหมด" โอฟีเลียยกแก้วขึ้นดื่มอีกครั้ง แล้วจึงหันไปทางเคทลินที่ยืนกอดอกพิงผนังห้องอยู่

"แล้วเธอกับไมเคิล..." 

"เธอก็รู้อยู่ หลังจากวันนั้นเราก็ไม่เจอกันอีก และฉันเองก็หวังว่าจะไม่เจอเขาที่นี่" 

"เขาถอนตัวจากงานวิจัยทันทีที่มีหนังสือมาว่าจะมีการวิจัยร่วมกับนักเวท" 

"แหงสิ เขาคงไม่อยากเจอฉันนักหรอก" เคทลินพูดพลางปิดปากหาว การเดินทางที่กะทันหันทำให้เธอไม่ได้เตรียมตัวด้านการนอนมา ที่นอคเทอนาเมืองแห่งแวมไพร์นี้หลับนอนกันยามพระอาทิตย์ขึ้นและตื่นยามพระอาทิตย์ตก จึงไม่น่าแปลกที่เคทลินจะมีอาการง่วงนอนหลังจากประชุมเสร็จ

"ฉันว่าเธอไปนอนก่อนดีกว่านะ เธอยังอยู่ที่นี่อีกหลายวัน เรายังคงมีเวลาคุยด้วยกันอีกเยอะเลย" 

เคทลินพยักหน้ารับก่อนจะขอตัวกลับไปยังห้องของตน ห้องของเธออยู่ในชั้นเดียวกันจึงเดินไม่นานมากนักก็ถึง แต่ระหว่างทางเดินนั้นค่อนข้างมืดเธออาศัยเพียงแสงจันทร์และแสงไฟจากเทียนระหว่างทาง แวมไพร์เป็นเผ่าพันธุ์ที่อยู่มานานแต่พวกเขานั้นค่อนข้างอนุรักษนิยมจึงไม่ค่อยเปิดรับเทคโนโลยีใหม่ๆ เสียเท่าไหร่ เช่นการส่งหนังสือประชุมในวันนี้เฟรย์เองก็ส่งเรเวนของเขามานัดหมาย เมื่อใกล้ถึงห้องของเธอเคทลินสังเกตเห็นร่างที่คุ้นตายืนพิงผนังอยู่ที่หน้าห้อง

"ไมเคิล" 

ชายหน้าคนนั้นหันตามเสียงเรียก แสงจันทร์ส่องให้เห็นใบหน้าที่สวยงามราวกับรูปสลักของเขา ประกอบกับผมสีบลอนด์ที่ยาวประบ่า บนใบหน้ามีหนวดเคราเล็กน้อยแต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความงามของคนคนนี้ลดลงเลยแม้แต่น้อย

"ไง เคท" 

"ไง ไม่ได้เจอกันนาน" เคทลินเอ่ยทัก เธอยืนกอดอกเว้นระยะห่างจากไมเคิลพอควร เธออุตส่าห์ดีใจที่ไม่เจอหน้าเขาในที่ประชุมแล้ว แต่สุดท้ายดันมาเจอกันเสียได้

"ฉันขอคุยด้วยหน่อยสิ" 

เคทลินเหลือบมองซ้ายขวา ในยามวิกาลเช่นนี้คงไม่ดีนักที่จะคุยกันข้างนอกเพราะอาจจะมีใครผ่านมาพบเห็นได้ ครั้นจะให้ไปคุยกันในสวนก็คงจะถูกจับตามองแน่นอน

"เชิญ" เคทลินเปิดประตูให้อีกฝ่ายเดินเข้าไปในห้องก่อนแล้วจึงเดินตามเข้าไป เธอเดินไปยืนอยู่ข้างไมเคิลที่นั่งบนโซฟาโดยทิ้งระยะห่างไว้พอสมควร 

"มีอะไรก็รีบพูดมาฉันต้องรีบนอน" 

"เคทฉันอยากให้เธอลองคิด..." 

"ถ้าเรื่องนั้นละก็ไม่ ไมเคิลฉันบอกนายแล้วว่าเราจะไม่เป็นอะไรแบบนั้นเด็ดขาด ฉันไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวกับการเมืองของที่นี่ แล้วอีกอย่าง..." เคทลินวางมือลงบนหน้าท้องที่แบนราบของตนพลางผ่อนลมหายใจออกเบา ๆ เพื่อให้ตัวเองใจเย็น 

"ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอก ฉ้นรู้ว่าเธอคงไม่ยอมพูดด้วยแน่ ก็แค่มาทักทายน่ะ อีกอย่างจะมาพูดเรื่องงานวิจัยนั่นด้วย เธอก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ เธอลองคิดถึงความเป็นไปได้ของมันสิ เราสองคนยังเข้ากันไม่ได้ แล้วคนอื่นจะเป็นไปได้เหรอ" 

"พูดจบยัง" เคทลินเอ่ยขัดขึ้น "นายทำเหมือนกับว่าอสุจิของตัวเองดีที่สุดงั้นแหละ ใช่ เราสองคนเคยลองมาแล้ว แล้วไง มันก็แค่เราสองคน ประชากรของเรามีเท่าไหร่กัน งานวิจัยนี้คือความหวังของเหล่านักเวทนะไมเคิล และฉันก็มาในนามของตัวแทน ฉันคือความหวังเล็ก ๆ จากหลายความหวังที่ทุกคนกำลังไขว่คว้า อย่าให้ฉันต้องล้มเลิกเพียงแค่อสุจิของนายทำให้ฉันท้องไม่ได้เหอะ" 

"ถ้าทำไปแล้วมันก็สำเร็จขึ้นมา เธอจะกลับมาหาฉันมั้ย" ไมเคิลเอื้อมมือไปคว้าแขนของเคทลินให้ก้มลงมองตาเขา นัยน์ตาสีโกเมนนั่นกำลังเว้าวอนเธออยู่ 

"รู้อะไรมั้ย พี่สาวนายพูดถูกเผงเลยว่าฉันไม่ควรเข้าใกล้นายเพราะเสน่ห์ของฉันเป็นอันตรายกับนายเกินไป" เคทลินขยิบตาให้กับอีกฝ่ายในขณะที่ใบหน้ากำลังประชิดกัน ลมหายใจอุ่น ๆ จากเคทลินปะทะกับผิวที่เย็นเฉียบของอีกฝ่าย นั่นทำให้ไมเคิลถึงกับเบือนหน้าหนี 

ใช่แล้ว โอฟีเลียพูดถูกเรื่องเคทลินกับเขา ไมเคิลรู้สึกเหมือนถูกเสน่ห์ของเธอดึงดูดครั้งแล้วครั้งเล่า เขารู้อยู่แล้วว่าเคทลินนั้นขึ้นชื่อในเรื่องเสน่ห์ แต่สิ่งที่เขาเชื่อคือเขาไม่เพียงตกหลุมเสน่ห์ของเธอเท่านั้น เขายังตกหลุมรักเธออีกด้วย เขาคิดมาตลอดว่าเคทลินเองก็คิดเหมือนกับเขา แต่สุดท้ายแล้วเธอก็เป็นฝ่ายบอกเลิกและหนีหายไปนานนับปี

"เอาเหอะ นายคงไม่ได้มาเพราะเรื่องแบบนั้นอยู่แล้ว เพราะงั้น..." เคทลินเบิกตาโตเมื่ออีกฝ่ายรั้งเอวเธอให้ประชิดกับตัวเขา

ไมเคิลจูบลงบนริมฝีปากของเธอ ความร้อนจากตัวของเคทลินจุดราคะในตัวเขาให้ร่างที่เย็นเฉียบนี้ร้อนราวกับมีไฟสุม เขาเริ่มใช้ลิ้นรุกล้ำเข้าไปในปากของเธออย่างไม่รอช้าเมื่อเคทลินจูบตอบ ทั้งคู่นัวเนียกันอยู่พักใหญ่บนโซฟาก่อนที่ไมเคิลจะอุ้มร่างของเคทลินวางลงบนเตียงแล้วเริ่มถอดเสื้อผ้าของเธอออก

"เดี๋ยวก่อน ฉันว่าทำแบบนี้มันไม่ดีนะ" เคทลินพูดขัดขึ้นเธอดันออกอีกฝ่ายออกไปให้ห่างจากเธอ

"ครั้งนี้ฉันก็มีอุปกรณ์ป้องกันด้วย" ไมเคิลชูกล่องที่เขาพูดถึงขึ้นมาให้เคทลินดู

"เราจบกันแล้วและอีกอย่างฉันมาที่นี่เพื่อทำงาน" 

"แล้วทำไมเมื่อกี้เธอถึงจูบตอบฉันล่ะ" 

เคทลินเลือกที่จะไม่ตอบคำถาม เธอลุกขึ้นจากเตียงและแต่งตัวให้เหมือนเดิม เธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม ทั้งที่ก่อนจะมาที่นี่เธอเองก็กลัวการเจอเขาแทบตาย ไมเคิลเป็นคนที่สองที่เธอยอมมีความสัมพันธ์แบบจริงจังด้วยเพราะงั้นการจะให้กลับมาสานสัมพันธ์อีกครั้งจึงเป็นเรื่องยากสำหรับเธอด้วยเช่นกัน

"ถ้านายไม่ได้มาคุยเรื่องวิจัยละก็ออกไปเถอะ"

"ก็ได้ ฉันออกไปก่อนก็ได้ แล้วเจอกันนะเคทลิน" ไมเคิลมีท่าทีผิดหวังปรากฏขึ้นบนใบหน้าแต่ก็ยอมถอยไปอย่างว่าง่าย

"แล้วเจอกัน...งั้นเหรอ" เคทลินพึมพำกับตัวเองหลังจากที่อีกฝ่ายออกไป เธอเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนจะล้มตัวลงบนเตียงเข้าสู่ห้วงนิทรา


"ลูซ ฉันเห็นภาพบางอย่างด้วยล่ะ" เกว็นเอ่ยขึ้นขณะเหม่อมองไปในกระจก ข้างหลังเธอเป็นลูซิเฟอร์กำลังทำผมให้เธออยู่

"เห็นอะไรงั้น" ร่างสูงเอ่ยพลางเอื้อมหยิบริบบิ้นสีเขียวเข้มจากลิ้นชักโต๊ะเครื่องแป้งมาผูกให้เธอ

"พูดไปแล้วอย่าไปบอกใครอีกล่ะ" เกว็นพูดแกมดุให้กับความปากมากของอีกคนที่ทำให้เธอเดือดร้อนอยู่เป็นประจำ

"ดูเหมือนว่าเคทจะคืนดีกับแฟนเก่าล่ะ" 

"คนไหน" ลูซิเฟอร์เริ่มเรียงรายชื่อบรรดาแฟนเก่าและคู่เดตของเคทลินไว้ในหัวแล้วไล่นึกถึงความเป็นไปได้ก่อนจะถูกขัดความคิดโดยคำพูดของเกว็น 

"คนที่เธอไปทำงานวิจัยด้วย" 

"โอ้ ตายล่ะ ไอ้หมอนั่นที่ตามตื๊อขอเธอแต่งงานน่ะเหรอ" เมื่อได้ยินคำตอบริบบิ้นสีเขียวเข้มที่อยู่ในมือของเขาก็ร่วงลงไปกองกับพื้น 

"ใช่ เราคงจะต้องเห็นหน้าเขาไปอีกสักพัก ฉันรู้สึกได้" 

"ฉันเกลียดไอ้หมอนั่นที่ชอบทำตัวเกาะแกะเคทลินเหลือเกิน แต่สิ่งที่ฉันเกลียดที่สุดก็คือทรงผมรก ๆ นั่น"

เกว็นเลิกคิ้วราวกับต้องการให้เขาขยายความถึงความเกลียดที่มีต่อทรงผมของไมเคิล และลูซิเฟอร์ก็ไม่รอช้าเขาเริ่มบรรยายถึงทรงผมที่เขาเกลียดนักเกลียดหนา

"ไมเคิลน่ะโครงหน้าดูดีก็จริงแต่ช่วงหน้าเขาน่ะสั้นและกว้างใช่มั้ยล่ะเพราะงั้นเขาควรจะตัดผมสั้นเพื่อให้ช่วงหน้าดูยาวขึ้น และทำให้บุคลิกเขาไม่ดูอึมครึม"

"ลูซ นั่นก็รสนิยมของเขา..." 

"ใช่ ฉันรู้ แต่ทรงผมนั่นมันขัดลูกตาฉันจริงๆ นะ" 

"นั่นก็สิทธิ์ของเขา"

"ให้ตายเหอะ ถ้าเธอเห็นคนใส่เสื้อแขนกุดในหน้าหนาวเธอไม่รู้สึกแปลกบ้างเหรอ" 

"นั่นไม่เหมือนกัน" 


เคทลินลืมตาตื่นบนเตียงในห้องมืด เธอหยิบนาฬิกาข้อมือที่วางไว้บนโต๊ะหัวเตียงขึ้นมาดู แสงจันทร์ที่ลอดผ่านม่านเข้ามาส่องให้เห็นหน้าปัดที่บอกเวลาตีหนึ่ง เคทลินลุกขึ้นจากเตียงถอดเสื้อคลุมออกแล้วหยิบชุดที่ถูกพับไว้ขึ้นมาสวมใส่ ยามวิกาลเป็นเวลาที่เหล่าแวมไพร์ใช้ชีวิตกัน เธอจึงถือโอกาสนี้ท่องราตรีให้หนำใจก่อนที่จะต้องเจอกับงานหนักในช่วงค่ำ เธอลืมเสียสนิทเลยว่าจะถามถึงสาเหตุที่เขาออกจากทีมวิจัย

"หวังว่าคงไม่ได้เป็นเพราะฉันหรอกนะ" เธอบ่นพึมพำกับตัวเองพลางเอื้อมมือรูดซิปหลัง แต่กลับมีมือเย็นๆ ของบางคนช่วยรูดซิปให้เธอ 

"เรื่องอะไรงั้นเหรอ"

เคทลินหันหลังกลับมามองเขาด้วยความตกใจเสียจนเผลอแสดงออกทางสีหน้า เดิมทีเธอก็คุ้นชินกับฝีเท้าที่เงียบเชียบของไมเคิลแต่เมื่อไม่ได้อยู่ด้วยกันนานแล้วเขาโผล่มาแบบนี้ก็แอบตกใจไม่น้อย จู่ ๆ เธอก็เข้าใจความรู้สึกของนิคขึ้นมาที่เธอเที่ยวเทเลพอร์ตเข้าบ้านแล้วเจอนิคทำหน้าเหวอทุกครั้งที่เห็นเธอปรากฏตัว

"งานวิจัย นายถอนตัวทันทีที่มีหนังสือขอความร่วมมือทำงานวิจัยร่วม" เคทลินตอบ เธอจัดแจงเสื้อผ้าและผมของตัวเองให้เรียบร้อยพลางมองดวงตาสีโกเมนของอีกฝ่ายอย่างคาดคั้นคำตอบ 

"โอฟีเลียบอกเธองั้นเหรอ" 

"ไม่สำคัญหรอก" เคทลินเลี่ยงที่จะตอบ เธอไม่อยากเป็นตัวจุดชนวนให้พี่น้องต้องตีกัน เพราะพวกเขาคงไม่จบกันแค่ตบตีแบบมนุษย์ปกติ เธอเคยเห็นมากับตาว่าพลังของพวกเขานั้นมากมายขนาดไหน

"ฉันอยากจะออกอยู่แล้ว พอมีจดหมายจากทางนักเวทมาฉันก็มีข้ออ้างให้ออกจากทีมนั้นได้ทันที" 

"นายใช้ฉันเป็นข้ออ้างงั้นเหรอ" เคทลินย้อนถามอย่างไม่พอใจ

"ก็ไม่เชิง แค่บอกว่าไม่อยากทำงานร่วมกับนักเวท ใคร ๆ ก็รู้ว่าพวกเราไม่ชอบทำงานร่วมกับนักเวทหรอกนะ ไม่มีใครพาดพิงเธอหรอก" 

"ใช่ และใคร ๆ ก็รู้ว่าฉันมีชื่อเสียงแบบไหน หมายถึงชื่อเสียงในเชิงลบนั่นน่ะ ก่อนจะมานี่ฉันยังถูกถามเรื่องนายอยู่เลย" 

"เรื่องของเรามันไปถึงเมืองเธอเลยเหรอ" 

"แหงแซะ ตอนนี้ฉันก็เลยถูกคนพูดถึงประมาณว่า โอ้! นั่นมันเคทลินที่เอากับแวมไพร์นี่ หรือไม่ก็นั่นมันเคทลินที่ล่อลวงแวมไพร์นี่" เคทลินพูดน้ำเสียงล้อเลียนคนที่มักพูดนินทาเธอลับหลังก่อนจะกลอกตาและถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย

"แต่ตอนนั้นเราก็คบกันจริง แล้วทำไมเธอต้องถูกนินทาแบบนั้นด้วยล่ะ" 

"ฉันจะไปรู้มั้ยล่ะ! แต่ช่างมันเถอะ ตอนนี้ฉันอยากจะไปลั้นลาก่อนที่จะต้องกลับมาเครียดกับงานวิจัยอีก" 

"ทำไมเธอต้องหมกมุ่นกับการมีลูกด้วยล่ะ"

"ไม่ใช่ฉัน พวกเขา ฉันน่ะไม่สนใจอะไรแบบนั้นอยู่แล้ว เพราะงั้นที่ฉันเลิกกับนายก็ไม่ได้มีเรื่องนี้มาเกี่ยวด้วย ตกลงนะ งั้นบาย" 

ไม่แม้แต่ที่ไมเคิลจะได้บอกลาเคทลินก็หายวับไปเสียแล้ว


"เธอบอกว่าอยากได้อสุจิของพวกเรางั้นเหรอ" เสียงคร่ำครวญของชายคนหนึ่งในห้องดังขึ้น 

"นี่มันบ้าไปแล้ว ฉันบอกแล้วไงว่าทำวิจัยกับพวกนักเวทน่ะมีแต่ปวดหัว ดูอย่างไมเคิลสิชิงถอนตัวไปทันทีที่ได้หนังสือขอร่วมงาน" เสียงผู้หญิงอีกคนดังตามกันมา 

เคทลินก็พอรู้อยู่ว่าคนที่นี่หัวโบราณขนาดไหน เพราะตอนที่เธอกับไมเคิลถูกโอฟีเลียจับได้ว่ามีอะไรกันโอฟีเลียแทบจะจับพวกเธอแต่งงานเสียเดี๋ยวนั้น แต่กับนักวิจัยพวกนี้นี่สิ เธอไม่คิดว่าคนที่ทำงานเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์จะกลายเป็นแบบนี้ไปได้ หรือเธอต้องเรียกให้เฟรย์มาช่วยร่ายเวทใส่คนพวกนี้ให้พูดง่ายขึ้นดี

"เอานี่ไปสิ" เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นมาจากข้างหลังทำเอาเธอสะดุ้งโหยงอีกครั้ง เธอรับขวดขนาดเล็กที่บรรจุของเหลวสีขาวขุ่นไว้ 

"ผมจะกลับมาร่วมทีมอีกครั้ง พอดีพี่สาวผมบอกให้มาดูแลแขกน่ะ"

เหล่าแวมไพร์เมื่อได้ยินไมเคิลเอ่ยถึงโอฟีเลียต่างก็หุบปากในทันที บ้างก็กระซิบกระซาบกัน แต่ถึงอย่างนั้นกลับไม่มีใครคัดค้านแม้แต่คนเดียว

'คิดจะทำอะไรน่ะ นายใช้อำนาจของพี่สาวแบบนี้จะดีเหรอ' เคทลินรีบส่งโทรจิตไปยังไมเคิลทันที 

'ไม่เป็นไรหรอก เพราะนี่เป็นคำสั่งของพี่เขาจริงๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็มีคนไม่น้อยที่เกลียดขี้หน้าโอฟีเลียเพราะเธอเป็นผู้หญิงที่อยู่ในตำแหน่งสูงสุดของแวมไพร์ แต่ดูนี่สิทุกคนกลับกลัวเมื่อฉันพูดชื่อของพี่ขึ้นมา' ใบหน้าไมเคิลนั้นดูขึงขังผิดกับน้ำเสียงที่เขาส่งมาให้เธอที่ฟังดูสนุกสนานกับสถานการณ์ในตอนนี้ เคทลินสงสัยเสียจริง ๆ ว่าเขาทำแบบนั้นได้อย่างไรโดยไม่หลุดความรู้สึกภายในออกมา 

'ยังไงก็ขอบคุณสำหรับไอ้นี่ละกัน อุตส่าห์ใช้เวททำให้อุณหภูมิพอเหมาะเสียด้วย' 

"เอาล่ะงั้นเรามาเริ่มกันเลยมั้ยครับ" 


"นิค หลังสอบเสร็จพอจะมีเวลาว่างหรือเปล่า" เสียงใส ๆ ของใครบางคนเอ่ยขึ้นจากทางขวามือของชายหนุ่มที่กำลังบิดขี้เกียจจากการนั่งนิ่งมาเป็นชั่วโมง 

"อาจจะว่าง...แหละมั้ง" นิคพูดพลางนึกถึงใครบางคนที่กำลังทำงานอยู่ในต่างเมือง เมื่อเขากลับบ้านทีไรก็มีแต่เรเวนหุ่นไล่กาที่วัน ๆ เอาแต่พูดมากเสียจนอยากเอาฟางที่หลุดลุ่ยออกมายัดเข้าไปในปากให้เงียบเสีย เขาไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าเคทลินทนเจ้าหุ่นไล่กาช่างจ้อนี่ไปได้อย่างไร 

"งั้นเราไป..." 

"โทษที ฉันคงไม่ว่างแล้ว" นิคพูดจบก็กวาดเอาข้าวของบนโต๊ะใส่กระเป๋าแล้วเดินออกมาจากร้านกาแฟ ในมือกดโทรศัพท์ค้นหาเส้นทางไปยังนอคเทอนาด้วยวิธีที่ง่ายที่สุด 

"อะไรกัน ทำไมไม่มีรถไฟฟ้าไปถึงเมืองนั้นล่ะ" นิคบ่นอุบอิบเมื่อเส้นทางที่จะไปยังเมืองนั้นได้มีเพียงรถบัสรอบเช้ากับรอบค่ำเท่านั้น อยู่ ๆ เขาก็เกิดความคิดที่จะทำให้เคทลินประหลาดใจกับการปรากฏตัวของเขา เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไปทำไมแต่มันดูน่าสนุกดี หรือบางทีอาจเป็นเพราะเขาเบื่อเจ้าหุ่นไล่กานั่นก็ได้ เพราะงั้นวันนี้เขาถึงได้ออกมาอ่านหนังสือที่ร้านกาแฟแทนที่จะเป็นที่บ้านที่มีแต่เสียงเพลงแหบแห้งจากหัวฟักทองของเรเวน


"เอ๊ะ! ทำไมผมถึงเข้าเมืองไม่ได้ล่ะ ขอร้องล่ะผมแค่มาหาคนคนหนึ่งแค่นั้นเอง" 

ใครจะไปคิดล่ะว่าการเข้าเมืองนอคเทอนาจะยากเย็นขนาดนี้ เขามาที่เมืองด้วยบัสรอบค่ำเพราะเขาไม่อยากที่จะต้องรอให้ถึงวันรุ่งขึ้น เพราะงั้นทันทีที่เขาสอบเสร็จก็รีบตรงไปยังจุดรอรถและมาที่เมืองนี้ทันที

"ถ้าจะเข้าเมืองต้องมีเอกสารขอเข้าเมืองด้วยนะเจ้าหนู นี่แกคิดว่าเมืองนี้เข้าออกกันง่ายๆ หรืออย่างไร สมัยนี้ก็มีอินเทอร์เน็ตแล้วหาข้อมูลก่อนเดินทางหน่อยสิ" เจ้าหน้าที่ด่านคนเข้าเมืองพูดด้วยน้ำเสียงขึงขัง เขาโบกมือไล่ให้นิคกลับไปเสีย 

"ผมแค่มาหาเคทลินเท่านั้นนะ เคทลินแห่งเลควูดคนนั้นน่ะ" นิคเริ่มโวยวาย เขาไม่ชอบที่จะหันหลังกลับในเมื่อมีความตั้งใจที่จะทำสิ่งนั้นแล้ว

"เคทลินแห่งเลควูดน่ะไม่มีเพื่อนคนอื่นนอกจากเฟรย์ ซัลลิแวนหรอกนะ อย่าเอาชื่อของเธอคนนั้นมาอ้างเสียให้ยาก" 

"นี่หนุ่มน้อย" ชายผมบลอนด์คนหนึ่งที่ยืนคุยธุระอยู่ข้างหลังเจ้าหน้าที่มาตั้งแต่เมื่อครู่หันมามองเขาก่อนจะเอ่ยเรียกเมื่อได้ยินชื่อที่นิคอ้างถึง 

"ถ้าเป็นเคทลินคนนั้นฉันพอจะรู้จักอยู่ ฉันพานายไปหาเธอได้นะ เราทำวิจัยด้วยกัน เพราะงั้นนายเชื่อใจฉันได้" 


'เคท ตอนนี้สะดวกหรือเปล่า' เสียงเสียงหนึ่งดังขึ้นในหัวของเคทลินที่กำลังจดบันทึกการวิจัยอยู่ เธอเลือกที่จะเงียบและเขียนบันทึกจนจบแล้ววางปากกาลงบนโต๊ะดังปังก่อนจะตอบกลับไปยังปลายทางที่โทรจิตหาเธอ

'นี่อยู่ในเวลางานนะ เพิ่งจะเริ่มงานด้วยซ้ำ ถ้าไม่ใช่เรื่องด่วนอะไรก็กลับไปทำงานส่วนของนายซะ'

สิ้นสุดประโยคของเคทลินก็มีเสียงเปิดประตูดังขึ้นตามมาด้วยฝีเท้าของคนสองคน เคทลินหันไปมองตาขวางใส่ผู้มาใหม่ แต่ทันทีที่เห็นว่าคนข้างหลังเป็นใครก็ทำให้เธอตกใจเป็นอย่างมาก เธอวางแท็บเล็ตในมือลงก่อนจะพุ่งตัวผ่านไมเคิลไปแล้วหยุดอยู่ตรงหน้านิค

"นิค มาได้ไง ไหนเธอบอกว่ามีสอบ แล้วทำไมไม่บอกก่อนว่าจะมา..."

นิครีบยกมือห้ามสารพัดคำถามของเคทลินก่อนที่เธอจะเริ่มต้นบ่น หรือถามอะไรไปมากกว่านี้

"ฉันเจอเขาตรงทางเข้าเมืองระหว่างไปเอาบันทึกนี่น่ะ เอ้า เอาไปสิ บันทึกสายพันธุ์ประชากรของเรา" ไมเคิลหันกลับมาทางเคทลินพร้อมยื่นแฟ้มเอกสารให้เธอ

"ระบบของที่นี่ทำให้ฉันต้องเสียเวลาจริงๆ" เคทลินถอนหายใจพลางรับแฟ้มมาเปิดดูข้อมูลข้างใน ช่วยจดจำนวนพวกลูกครึ่งมาให้ฉันหน่อย อ้อ เดี๋ยว" เคทลินหยุดพูดแล้วเดินกลับไปหยิบแท็บเล็ตของเธอมาส่งให้ไมเคิลดูข้อมูลในนั้น

"ช่วยวิเคราะห์ความเกี่ยวข้องกันของข้อมูลพวกนี้ด้วย ส่วนของที่ส่งไปให้ทางห้องแล็บจะได้ผลในเที่ยงคืนนี้ เดี๋ยวได้ผลแล็บมาเมื่อไหร่ฉันจะเรียกนายเอง ส่วนตัวไฟล์เดี๋ยวฉันจะส่งไปให้ นายยังเก็บแท็บเล็ตที่ฉันซื้อให้อยู่สินะ"

"แน่นอน มันยังอยู่ดี เดี๋ยวของพวกนี้ฉันจัดการให้เอง แล้วก็อย่าลืมนี่ล่ะ" ไมเคิลตบไหล่ของนิคก่อนจะเดินออกไปจากห้องทำงานของเคทลิน

"แล้ว...มาอยู่นี่ได้ไง" เคทลินลากเก้าอี้อีกตัวมาให้นิคก่อนที่เธอจะทรุดตัวลงนั่งยังที่ของตัวเอง

"ผมนั่งรถบัสมา"

"สอบเสร็จหมดแล้วงั้นเหรอถึงมาอยู่นี่ได้" เคทลินปลดผมรุงรังที่หนีบไว้ให้ยาวสยายก่อนจะใช้มือสางมันอย่างหยาบ ๆ

"เสร็จหมดแล้วครับ แล้วผมก็รำคาญเรเวนด้วย เขาเอาแต่พูดตลอดทั้งวัน ไม่รู้จะรับมืออย่างไรดี โทรหาคุณเคทลินก็ไม่ติด"

"เธอก็เลยมาหาฉันที่นี่เสียเลย" เคทลินสรุป เธอพกโทรศัพท์มาก็จริงแต่สัญญาณที่นี่อ่อนมากเสียจนแทบไม่ได้ใช้มันจึงวางทิ้งไว้ในห้องตลอดทั้งวันจนลืมไปเลยว่าเอามันมาด้วย

"รู้ใช่มั้ยว่าเมืองนี้มันเป็นเมืองอะไร" เคทลินยกมือขึ้นนวดหว่างคิ้วคลายความปวดตึงหลังจากที่โหมงานมาหลายคืน "ที่นี่เป็นเมืองแวมไพร์ ต่อให้โลกจะหมุนไปขนาดไหนแวมไพร์ก็ยังคงดื่มเลือด แน่นอนว่ามีเลือดวางขายเป็นอาหารให้กับพวกเขา แต่ว่าพวกแวมไพร์ไร้บ้านน่ะ ถ้าวันไหนมันเกิดขาดเลือดจนคลั่งขึ้นมาเธอจะเป็นเหยื่อชั้นดีเลยล่ะ"

สิ้นสุดประโยคทั้งห้องก็มีแต่ความเงียบ นิคที่นั่งสำนึกผิดอยู่ตรงหน้าเธอเองก็นิ่งเงียบเช่นกัน เขาเองก็ไม่ทันคิดถึงสถานการณ์ที่เคทลินพูดมา หากเกิดอะไรขึ้นมาเขาก็คงมีแต่จะเป็นภาระให้คนอื่น

"วันนี้อยู่ในห้องนี้ไปก่อน นี่เป็นห้องวิจัยส่วนตัวของฉัน ฉันไม่ให้คนอื่นเข้ามาก็จริงแต่คนอื่นก็ยังสามารถเข้าห้องนี้ได้เพราะงั้นล็อกประตูไว้ตลอดเวลาที่ฉันไม่อยู่ และอย่าไว้ใจใครคนไหนเด็ดขาด คนที่พาเธอมาเมื่อกี้เองก็ด้วย" เคทลินเดินไปล็อกประตูห้องก่อนจะเทเลพอร์ตหายไปจากตรงนั้นทิ้งให้นิคอยู่ภายในห้องคนเดียว


"ไงเคท พ่อหนุ่มคนนั้นเป็นใครกัน" ไมเคิลเห็นเคทลินกำลังเดินอยู่บริเวณทางเดินก็เอ่ยทักขึ้น อันที่จริงแล้วเขายืนรอเธออยู่ตรงนี้มาตลอดเพราะรู้สึกตงิดใจกับเด็กคนนั้นที่มาหาเธอ

"คนของฉัน นายไม่ต้องมายุ่ง" เคทลินเอ่ยเสียงเรียบพลางโยกตัวหลบไมเคิล

"อะไรกัน หวานใจคนใหม่งั้นเหรอ แล้วฉันล่ะเป็นอะไร" ไมเคิลพูดด้วยน้ำเสียงยียวนเสียจนเคทลินอดไม่ได้ที่จะเตะขาของเขาไปทีนึงด้วยความหมั่นไส้ที่พุ่งเข้ามาตะครุบเธอ

"ลูกชายฉันเอง อย่ามายุ่งกับเขา"

ไมเคิลอ้าปากค้างเมื่อได้รับคำตอบที่ไม่คาดคิด เขาเพียงแค่หยอกเธอเล่นแต่ไม่นึกว่าเธอจะตอบกลับแบบจริงจังเสียอย่างนั้น

"แต่เธอ..."

"ฉันไปขโมยเขามา"

"!!!"


"นิค"

"ครับ ผมตื่นแล้ว ผมอ่านหนังสืออยู่" ชายหนุ่มสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อแต่เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาเขาไม่ได้อยู่ในบ้านของตนหรือบ้านของเคทลิน แต่เป็นห้องทำงานที่นอคเทอนาของเคทลิน

"ช่วงสอบเธอได้นอนบ้างมั้ยเนี่ย เรียนขนาดนี้จะจบหรือจะตายก่อนล่ะ" เคทลินบ่นอุบอิบ เธอเก็บข้าวของใส่กระเป๋าก่อนจะบอกให้เขาเดินตามเธอไป

"นอนในห้องนี้ไปก่อน พรุ่งนี้เราจะอยู่ที่นี่อีกคืนก็กลับแล้ว" เคทลินพูดพลางไขกุญแจเข้าห้องนอนของตน เธอเปิดประตูให้นิคเข้าไปก่อนแล้วจึงเดินตามเข้าไป เธอวาดมือไปยังเชิงเทียนที่ติดตั้งอยู่ตามห้องแล้วจึงปรากฏเปลวไฟตามเชิงเทียน

"ดูเหมือนนายจะเนื้อหอมน่าดู ฉันเห็นพวกแวมไพร์นักวิจัยเดินด้อม ๆ มอง ๆ อยู่หน้าห้อง น่าขนลุกเป็นบ้าเลย" เคทลินถอดสร้อยที่มีจี้ขวดเล็ก ๆ บรรจุของเหลวสีเหลืองที่เปล่งประกายยามต้องแสงเทียนออกมาใส่ในมือของนิค

"พกนี่ติดตัวไว้ มันจะช่วยกลบกลิ่นเลือดหอม ๆ ของเธอได้"

"แล้วคุณล่ะครับ"

"คิดว่าแวมไพร์พวกนั้นจะทำอะไรฉันได้รึไง อีกอย่างมีกฎหมายบัญญัติถึงการดื่มเลือดมนุษย์โดยไม่ยินยอมอยู่ด้วย ใครหน้าไหนคิดจะมาเจาะคอสวย ๆ ของฉันละก็ฉันจะถลุงเงินพวกมันออกมาให้หมดเลย" เคทลินกล่าวพลางขนผ้าห่มและหมอนของตนมาวางกองบนโซฟา แล้วทิ้งตัวลงนอนในทันที

"คุณเคทลินครับ"

"ว่าไง เป็นห่วงฉันงั้นเหรอ" เคทลินที่นอนยาวอยู่บนโซฟาหันกลับมาตามเสียงเรียก

"คุณยังไม่ได้อาบน้ำนะครับ อยู่ ๆ ล้มตัวลงนอนแบบนั้นมันสกปรกนะครับ"

"..."


"สรุปแล้วก็มีโอกาสเพียงแค่ไม่กี่เปอร์เซ็นต์สินะที่การปฏิสนธิของแวมไพร์กับนักเวทจะเข้ากัน" ไมเคิลเอ่ยขึ้น เขานั่งอยู่บนโต๊ะอ่านเอกสารสรุปที่อยู่ในมือพลางทอดสายตามองเคทลินเป็นพักๆ

"ดูท่านักเวทคงจะต้องถูกกลืนไปกับมนุษย์ทั่วไปแล้วล่ะ"

"ก็พวกเธอเล่นไปอาศัยอยู่ท่ามกลางมนุษย์เสียขนาดนั้น ก็ไม่น่าแปลกใจที่จะค่อยๆ หายไป ต้องเป็นแบบพวกฉันนี่สิ ไม่หลงมัวเมาไปกับเทคโนโลยีใหม่ ๆ และซ่อนตัวอย่างเงียบเชียบไม่ให้ใครรู้ว่าเราเป็นใคร" ไมเคิลยิ้มเยาะอย่างผู้ชนะ ทางเคทลินเองก็ได้แต่ส่ายหน้าให้กับความขี้เล่นของอีกฝ่าย

"ไงเฟรย์ อื้อ เสร็จแล้วล่ะ เดี๋ยวจะกลับพรุ่งนี้เลย" เคทลินตอบรับปลายสายที่โทรเข้ามาได้จังหวะที่ทำให้เธอไม่ต้องต่อบทสนทนากับไมเคิล

เคทลินเงียบฟังเฟรย์อยู่ครู่หนึ่งเธอกลอกตาเมื่อได้ยินว่ามีงานรอให้เธอสะสางทันทีที่กลับไป

"ฉันขอใช้วันลาวันนึง พรุ่งนี้เลย" โดยไม่รอให้อีกฝ่ายได้ตอบตกลงเธอก็รีบกดวางสายในทันที

"จะใช้เวลาอยู่กับฉันต่องั้นเหรอที่รัก"

เคทลินได้ยินคำลงท้ายก็หันขวับมามองค้อนอีกฝ่ายในทันที ไมเคิลเองก็ดูจะชอบท่าทีของเธอนั่นทำให้เขาหัวเราะเสียยกใหญ่

"เดี๋ยวฉันไปดูนิคก่อน บางทีเขาอาจจะเบื่อที่ต้องอยู่ในห้องนาน ๆ"

เคทลินที่กำลังลุกขึ้นถูกร่างของไมเคิลขวางไว้ แขนทั้งสองข้างนั้นกักเธอไว้ไม่ให้หนีไปไหนได้ ใบหน้าที่งามดั่งรูปสลักนั้นเหยเกด้วยความไม่พอใจ

"ทำไมต้องสนใจเด็กคนนั้นด้วยล่ะ ลูกเธอก็ไม่ใช่ ตอนนี้เราอยู่ด้วยกันสองคนทั้งทีมาคุยกันก่อนจะดีกว่ามั้ย" ไมเคิลพูดเสียงกระซิบใบหน้าของเขาเข้ามาใกล้เธอเสียจนรู้สึกได้ลมหายใจที่รดต้นคอ

"นายคงลืมไปแล้วว่าฉันทำแบบนี้ได้"

เป๊าะ

สิ้นเสียงดีดนิ้วเคทลินก็หายไปในพริบตาทิ้งให้ไมเคิลค้างอยู่ท่าเดิมคนเดียว ไม่นานเขาก็ทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ตามเดิมก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาราวกับคนเสียสติ

"ให้ตายสิ นี่ฉันตกกระป๋องแล้วงั้นเหรอเนี่ย"


"นิค อยากไปเดินเล่นข้างนอกรึเปล่า" เคทลินร้องเรียกอยู่หน้าประตูห้อง แต่ก็ไม่มีเสียงจากอีกฟากของประตูตอบรับมา 

"ฉันขอเข้าไปนะ" 

ทันทีที่เปิดประตูเข้ามาเธอก็เบิกตากว้างอย่างตกใจ ในห้องนั้นว่างเปล่าไม่มีเด็กหนุ่มอยู่ในห้อง

'นิค! อยู่ไหนน่ะ' เคทลินโทรจิตหาอีกฝ่ายแต่ก็ไม่มีการตอบรับแต่อย่างใด 

'ถ้าได้ยินก็ตอบกลับมาหน่อยสิ นิค!' เคทลินเริ่มรู้สึกวิงเวียน เธอนั่งพักครู่หนึ่งก่อนจะพยายามส่งโทรจิตอีกครั้งแต่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับมาแต่อย่างใด 


"ไง กลับมาไวดีนะ" ไมเคิลเอ่ยทักเมื่อเห็นเคทลินปรากฏตัวในห้อง

"นิคหายไป" เคทลินพูดขึ้น เธอตรงไปจับคอเสื้อของไมเคิลแล้วกระชากอย่างแรงเพื่อให้เขาลุกขึ้น สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความกังวลและโกรธเกรี้ยวอย่างที่ไมเคิลไม่เคยเห็นมาก่อน

"นายเอาเขาไปซ่อนไว้ไหน!" 

"โว้ว ใจเย็น ฉันเองก็รู้ตอนที่เธอบอกนี่แหละว่าเขาหายไป" แวมไพร์หนุ่มตอบพลางแกะมือของเคทลินออกจากคอเสื้อที่ยับยู่ยี่ของตน

"นายไม่ได้เล่นตุกติกอะไรใช่มั้ย" เคทลินเท้าสะเอว คิ้วทั้งสองขมวดเข้าหากัน เธอไม่สามารถอ่านใจของแวมไพร์ตรงหน้าได้เนื่องจากเขามีพลังที่สูงจึงสามารถที่จะปิดกันความคิดของตนจากผู้ที่อ่านใจได้

"เฮ้ ตอนนี้เราไปออกตามหาเขาก่อนดีกว่าไหม ตัวคนเดียวแบบนั้นน่าจะโดนหิ้วไปง่ายด้วย" 

"ที่นี่ไม่มีกล้องวงจรปิดเลยสินะ" 

"โทษที แต่เธอก็น่าจะรู้ว่าเราอนุรักษนิยมขนาดไหน" 

"ให้ตายสิไมค์ นี่มันสถานที่ราชการนะ จะอนุรักษ์ไปถึงไหนกันนายรีบบอกพี่สาวนายให้จัดการเรื่องนี้โดยด่วนเลยนะ" เคทลินเอ่ยทิ้งท้ายก็จะหายไปในพริบตา

"แต่ฉันมีของที่เจ๋งกว่าไอ้กล้องนั่นอีกนะ" ไมเคิลพูดขึ้นแต่ก็ไม่ทันเคทลินที่ไวกว่าเขา


"นิค!" เคทลินพยายามเพ่งจิตมองเขาแต่เธอไม่ได้มีสมาธิมากพอที่จะมองหาเข้าได้จึงได้แต่คิดหาวิธีอื่น 

'เคท เธอกลับมานี่ก่อน ฉันมีวิธีที่จะช่วยเธออยู่' 

สิ้นเสียงของไมเคิลเคทลินก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเขาในทันที ท่าทีร้อนรนของเธอทำให้ใจเขาเองก็ร้อนรุ่ม แต่มันไม่ได้ร้อนรุ่มเพราะความทุกข์ของเธอ มันร้อนจากไฟริษยาที่ก่อขึ้นในใจของเขาว่าทำไมเคทลินจึงต้องใส่ใจเด็กคนนี้ขนาดที่ทำให้เธอเสียสมาธิจนเพ่งจิตไม่ได้

"ใจเย็นก่อน ฉันจะให้เธอดูนี่" ไมเคิลวาดมือไปยังเชิงเทียนบนโต๊ะ ทันใดนั้นแสงเทียนก็สว่างว่างเกิดเป็นภาพนิมิตนับสิบปรากฏอยู่ตรงหน้า เคทลินไม่ได้รู้สึกแปลกใจกับเรื่องนี้นักเพราะเกว็นเองก็สามารถสร้างภาพนิมิตเช่นนี้ได้เหมือนกัน

"นี่คือตำแหน่งห้องนอนของเธอ"

มือใหญ่วาดไปบนเปลวไฟอีกครั้งจากภาพที่มีขนาดเล็กนับสิบก็ปรากฏเป็นภาพเดียวที่มีขนาดใหญ่ขึ้น เคทลินจ้องมองภาพนั้นอย่างไม่วางตาทันใดนั้นเธอก็เห็นนิคเปิดประตูออกมาจากห้อง เขาเดินออกไปตามทางเดินจนสุดขอบภาพแล้วก็ตัดไปยังอีกมุมหนึ่งที่นิคยังคงเดินไปเรื่อยๆ ตามทางเดิน ลงบันไดไปยังชั้นล่างและออกไปยังสวนกุหลาบราตรีที่อยู่หน้าคฤหาสน์

"ขอบคุณมากไมเคิล" พูดจบเธอก็หายวับไปในพริบตาโดยไม่รอให้อีกฝ่ายได้ตอบรับแต่อย่างใด 

"ไม่สมกับเป็นเธอเลยนะที่เธอขอบคุณฉันน่ะ" ไมเคิลเอ่ยกับความเงียบในห้อง เขาวาดมือไปบนภาพนิมิตอีกครั้งก่อนจะชะงักมือและสบถออกมา


"นิค!" เคทลินเทเลพอร์ตมายังสวนกุหลาบราตรีพร้อมกับตะโกนเรียกสุดเสียง 

'คุณเคทลิน! ช่วยผมด้วย!' เสียงของนิคดังแทรกเข้ามาให้หัวของเคทลิน เธอพยายามควบคุมสมาธิอีกครั้งและเพ่งจิตไปยังต้นเสียง ทันทีที่ทราบตำแหน่งเธอก็รีบเทเลพอร์ตไปยังจุดที่เด็กหนุ่มอยู่ในทันที

'นิค ฉันไม่เห็นเธอเลย' 

ทันทีที่พูดจบประโยคเธอก็สบตากับนิคที่หมอบอยู่กับพื้น

"ข้างหลังคุณ! เคทลิน ข้างหลัง!"

เคทลินเหลือบมองหลังไปเห็นนักวิจัยคนหนึ่งวิ่งมาทางเธอราวกับคนเสียสติแต่ร่างกายของเธอนั้นดันไวกว่าความคิด เคทลินรีบถลาตัวเข้ากันไม่ให้นักวิจัยคนนั้นเข้าใกล้นิคได้เพียงชั่วพริบตาเธอก็สัมผัสได้ถึงคมเขี้ยวที่ไหล่ของเธอในเสี้ยววินาทีนั้นเองความรู้สึกปวดแปล๊บก็เข้าเล่นงานเธอพร้อมกับของเหลวสีแดงที่ไหลออกมา เธอไม่รีรอที่จะหันหลังกลับไปดูต้นเหตุของความเจ็บปวด ปากของเธอพึมพำเวทบางอย่างออกมาก่อนที่จะเกิดเปลวเพลิงสีฟ้าลุกท่วมตัวของแวมไพร์ลอบกัดจนเขาต้องถอนเขี้ยวและลงไปนอนดิ้นทุรนทุรายอยู่กับพื้น 

"เคท!" เสียงทุ้มของใครบางคนดังขึ้นจากค้างคาวที่อยู่ไม่ไกลกัน พลันค้างคาวนั้นก็เปลี่ยนเป็นร่างของไมเคิล เขามีท่าทีตกใจกับเลือดของเคทลินที่ไหลไม่หยุด ไมเคิลพยายามเบือนหน้าหนีและปิดจมูกของตนเพื่อไม่ให้ได้กลิ่นเลือดที่หอมหวานของเธอ 

"นิค เอาสร้อยที่ฉันให้มาด้วยรึเปล่า เทของเหลวในขวดนั่นลงบนแผลฉันเดี๋ยวนี้" เคทลินร้องเรียกนิคที่วิ่งมาทางเธออย่างสุดกำลังด้วยสีหน้าตกใจสุดขีด เขารีบถอดจี้ด้วยมือที่สั่นเทาแล้วเทของเหลวข้างในนั้นออกมาราดบนแผลของเคทลิน เธอทำสีหน้าเหยเกเล็กน้อยเมื่อของเหลวสัมผัสกับบาดแผลแต่นั่นดูเหมือนจะช่วยให้กลิ่นเลือดของเธอน้อยลงสังเกตได้จากท่าทีของไมเคิลที่ไม่มีปฏิกิริยากับกลิ่นเลือดแล้ว

"เธอเจ็บตรงไหนรึเปล่า" เคทลินคว้าไหล่ของอีกฝ่ายที่ส่วนสูงพอ ๆ กับเธอเข้ามาใกล้เพื่อตรวจสอบ 

"ผมไม่เป็นไรหรอก แต่คุณน่ะแหละเคทลิน แผลของคุณ" นิคส่ายหน้าปฏิเสธ เขาเก็บมือซ้ายที่มีรอยถลอกตอนวิ่งหลบแวมไพร์คนนั้นไว้ข้างหลังไม่ให้เคทลินเห็น

"ฉันไม่เป็นไรหรอกน่า ไมเคิลจัดการคนของนายด้วย ตาคนนี้ฉันเห็นมาป้วนเปี้ยนรอบ ๆ ตัวนิคตั้งแต่เมื่อวานแล้ว"

"ได้เลย ฉันจะรายงานพี่ให้ว่าหน่วยวิจัยรับคนที่ความอดทนต่ำเข้าทำงาน" ไมเคิลบ่นอุบอิบเมื่อได้งานเข้ามากะทันหัน เขาจับแวมไพร์ที่ลงไปนอนแน่นิ่งบนพื้นขึ้นพาดบ่ากับจะหันมาทางเคทลินอีกครั้ง เขาอ้าปากเหมือนจะเอ่ยอะไรแต่เมื่อเห็นว่าเธอกำลังยุ่งอยู่กับการซักถามนิคก็ทำให้เขาเลือกที่จะเดินออกไป

"วันหลังก็ฟังที่ฉันพูดหน่อยสิ ดีนะครั้งนี้นายไม่ได้บาดเจ็บ" เคทลินพูดจบก็หันไปยังทิศที่ไมเคิลอยู่แต่เขาก็ได้หายไปแล้ว 

"ไอ้หมอนั่นหายไปไหนแล้ว อยู่ ๆ นึกจะไปก็ไปเลยรึไงน่ะ" เคทลินบ่นอุบตามประสาเธอ

"ผมต้องขอโทษอีกครั้งนะครับ" นิคเอ่ยพูดขอโทษต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ทุกครั้งที่เคทลินหันหลังทำให้เขาเห็นรอยแผลลึกบนแผ่นหลังเล็ก ๆ ของเธอที่ได้จากการปกป้องเขา 

"พอเลยไม่ต้องพูดแล้ว รีบพาฉันไปห้องพยาบาลก่อนที่ฉันจะเลือดหมดตัวก่อนเหอะ" 


"คุณคอนสแตนตินฝากมาบอกว่าเคทลินบาดเจ็บครับ" เฟรย์พูดขึ้นตรงหน้าโต๊ะทำงานของยูริเอล เขากำจดหมายในมือแน่น เมื่อเช้าตรู่มีนกแสกส่งจดหมายมาจากนอคเทอนา เนื้อหาภายในเขียนถึงสถานการณ์ของเคทลินตอนนี้ เธอถูกเพื่อนร่วมทีมโจมตีเนื่องจากเอาตัวเองเข้าบังนิคที่ถูกเล็งไว้ ทันทีที่ได้จดหมายจากโอฟีเลียเขาก็รีบมารายงานยูริเอลในทันที

ยูริเอลที่เงยหน้าขึ้นจากเอกสารในมือพลางถอนหายใจหนหนึ่ง เขาเงียบเพื่อรอฟังเนื้อหาเพิ่มเติมจากอีกฝ่ายอยู่

"เด็กของเคทลินถูกเล็งเป้าไว้และเธอก็เอาตัวเองเป็นที่กำบังให้เขา"

"นายควรบอกให้เคทลินเลิกยุ่งกับเด็กคนนั้นเสียที การไปยุ่งกับพวกมนุษย์ที่มีอายุขัยน้อยกว่าเรานั้นมีแต่จะทำให้เราเจ็บปวด" ยูริเอลประสานมือวางบนโต๊ะพลางคำนวณความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะทางไหนมนุษย์ธรรมดาก็เป็นฝ่ายจากไปก่อนเสมอ ส่วนนักเวทนั้นยิ่งมีพลังเวทมากก็ยิ่งมีอายุยืนยาว นั่นเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้นักเวทหลายคนเลือกที่จะละทิ้งความสามารถและอายุที่ยืนยาวเพื่อที่จะได้อยู่กับคนที่รัก 

"ตัดให้ขาดเสียตั้งแต่แรกจะดีกว่ามีความทรงจำร่วมกันแล้วจึงแยกจากกัน" ดวงตาสีอำพันของยูริเอลฉายแววเศร้าเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เขาเองก็รู้ดีจึงต้องเตือนไว้ก่อนที่ความผูกพันจะวกกลับมาทำร้ายในภายหลัง 

"แล้วอีกอย่างครับ" 

"ว่ามา" ยูริเอลเตรียมรับฟังข่าวร้ายต่อมา

"วันนี้เคทลินขอลาหยุดทั้งวันครับ"


นิคหาวปากกว้างทันทีที่กลับมาถึงบ้าน ถึงการไปที่นอคเทอนาจะทำให้เขาได้พักผ่อนแทบจะทั้งวันนั่นก็ไม่อาจทำให้คนติดบ้านแบบนิคหลับได้อย่างสบายใจ ภายในใจของเขาอยากที่จะวิ่งไปยังห้องนอนแล้วซุกตัวเองอยู่ในผ้าห่มอุ่น ๆ ในวันที่อากาศหนาวแบบนี้ แต่เป็นเพราะเคทลินเรียกให้เขาคุยก่อนจึงไม่อาจที่จะทำได้ดังใจอยาก

"ให้ตายเหอะกว่าจะออกจากเมืองนั่นมาได้ คนปกติเวลาเข้าออกกันยากขนาดนั้นเลยเหรอ" เคทลินวางสัมภาระลงกับพื้นพลางบ่นอุบอิบ ขากลับนั้นเธอถูกโอฟีเลียและไมเคิลกำชับให้เดินทางโดยใช้บัสรอบเช้าเนื่องจากสภาพร่างกายนั้นบาดเจ็บอยู่ แต่อาการบาดเจ็บแบบนี้เป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับเธอ แทบจะไม่มีผลต่อการใช้เวทเสียด้วยซ้ำเนื่องจากในตอนนี้สติที่แตกกระเจิงของเธอได้กลับมาอยู่กับตัวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

"รู้ถึงไหนอายถึงนั่นเลยนะพลาดท่าให้โดนกัดแบบนี้น่ะ" เคทลินยกมือลูบบาดแผลที่มีผ้าปิดบาดแผลไว้

"คนเราก็ผิดพลาดกันได้ทั้งนั้นแหละครับ" นิคเสริม

"นี่ เธอน่ะทำไมถึงทำแบบนั้นได้ด้วยล่ะ" 

"ทำอะไรกันครับ" นิคเอ่ยด้วยความสงสัยเมื่ออยู่ๆ เคทลินก็วกออกไปยังหัวข้อใหม่

"ที่เธอคุยโทรจิตกับฉันเมื่อตอนนั้นน่ะ เธอทำได้ยังไงกัน" 

"ตอนไหนกันครับ" นิคขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างครุ่นคิดว่าเขาทำแบบนั้นได้เสียที่ไหน

"เธอไม่รู้ตัวงั้นเหรอ" เคทลินเบิกตากว้างอย่างประหลาดใจ การโทรจิตเป็นการสื่อสารระดับสูง ผู้ที่ร่ำเรียนเวทเท่านั้นที่จะสื่อสารได้แต่นิคนั้นเป็นเพียงคนธรรมดาจึงไม่มีทางที่เขาจะทำได้ นอกเสียจาก...

"เธออยากใช้เวทมนตร์มั้ย" เคทลินเอ่ยถาม เธอย้ายตัวเองมานั่งบนโซฟาอย่างเหนื่อยล้าพลางกอดอกมองนิคที่ยังคงยืนหาวอยู่

"ให้ตายยังไงผมก็ไม่อยากใช้หรอกครับ ดูยุ่งยากจะตาย"

"อืม...งั้นฉันคงหูฝาดไปเอง เธอไปนอนพักผ่อนเถอะ" พูดจบเธอก็โบกมือไล่ให้เขาไปนอนในทันที 

"วันนี้วันหยุด พรุ่งนี้ก็ด้วย" เธอเอ่ยส่งท้ายนิคที่กำลังเดินไปยังชั้นบน

"ไม่ยักรู้นะว่าคุณก็หยุดงานเป็นกับเขาด้วย" 

"ใช่ วันนี้ลาหยุด ส่วนพรุ่งนี้ฉันโดดงาน"

"..."