เคทลินกลับมาแก้แค้นเพื่อนรักอย่างซูซานที่ขโมยผลงานของเธอจนตัวเองโด่งดัง ในเมื่อผลงานเปรียบเสมือนกับลูกของเธอเคทลินจึงได้ขโมยลูกของซูซานเป็นการแก้แค้น
แฟนตาซี,ดราม่า,ผจญภัย,พารานอมอล,ครอบครัว,เวทมนตร์,แฟนตาซี,นักเวท,เวทมนต์,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูดเคทลินกลับมาแก้แค้นเพื่อนรักอย่างซูซานที่ขโมยผลงานของเธอจนตัวเองโด่งดัง ในเมื่อผลงานเปรียบเสมือนกับลูกของเธอเคทลินจึงได้ขโมยลูกของซูซานเป็นการแก้แค้น
เพราะการแก้แค้นนั้นหอมหวานและทำให้คนคนหนึ่งยอมเปลี่ยนตัวตนเพื่อการแก้แค้นอดีตเพื่อนรัก หากแต่การแก้แค้นของเคทลินนั้นทำให้ใครอีกคนได้ค้นพบการดำเนินชีวิตแบบใหม่ที่เขาเองก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อน การอยู่ร่วมกันของเคทลินและนิคนั้นจะเป็นเหมือนแม่เหล็กคนละขั้วที่แตกต่างแต่ก็ดึงดูดเข้าหากันเสมอ
เมื่อนิคได้เข้ามาในโลกของนักเวทก็เกิดสิ่งที่ไม่คาดฝันมากมาย แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อเขาเป็นคนเลือกที่จะเดินทางนี้เอง และเขาไม่ได้โดดเดี่ยวเพราะมีคนคอยดูแลอย่างเคทลินแห่งเลควูดคอยตามเป็นห่วงอยู่ไม่ห่าง และดูเหมือนจะมีเรื่องวุ่นๆ หลายอย่างรอทั้งสองอยู่เบื้องหน้า
ลมหนาวของปลายปีที่มาเยือนทำให้ผู้คนที่เดินขวักไขว่กันตามท้องถนนแต่งตัวด้วยชุดที่หนาขึ้น ภายในร้านค้าเริ่มเปิดฮีตเตอร์ให้ความอบอุ่นแข่งกับอากาศที่หนาวจัดข้างนอก ในร้านกาแฟที่คุ้นเคยมีหญิงสองคนนั่งอยู่ ทั้งสองมีสีหน้าที่แสดงออกมาว่าไม่พอใจกันแต่ก็จำเป็นที่จะต้องมานั่งคุยกันแบบนี้เสียทุกครั้ง
"นิคเอาจริงเหรอเนี่ย ฉันเสียดายความสามารถของเขาจริง ๆ นะ" ซูซานเอ่ยพลางทัดผมที่เริ่มยาวประบ่า แทบทุกเดือนเคทลินจะรักเธอออกมาคุยเรื่องของลูกชายเพื่อถามไถ่สารทุกข์สุกดิบของเขา
"เอาจริงสิ เธอต้องมาเห็นตอนที่นิคนอนคาหนังสือนะ น่าตีจริง ๆ เล่นอ่านหนังสือจนไม่นอนแบบนั้น"
"นั่นเป็นเรื่องดีไม่ใช่เหรอที่เขาอ่านหนังสือเยอะแบบนั้น"
"ไม่ดีเลยต่างหาก นี่เธอจะให้ลูกทำตัวแบบเธอรึไงกัน ฉันก็เคยเตือนไปแล้วนะว่าการพักผ่อนน่ะสำคัญ"
"เป้าหมายต่างหากล่ะสำคัญที่สุด ดูฉันตอนนี้สิ มีเงินก็เอามารักษาสุขภาพตัวเองได้"
"ก็เธอเล่นเอางานของฉันไปหากินแบบนั้นไม่รวยก็บ้าแล้ว เธอน่ะบ้านรวยเป็นทุนเดิมวงสังคมก็กว้าง ทำอะไรก็คล่องตัวไปหมด" เคทลินถลึงตาใส่อดีตเพื่อน เธอกัดฟันพูดเพื่อให้เสียงจากความโกรธนั้นเบาลงไม่เช่นนั้นเธอคงจะแผดเสียงออกไปแน่
"ก็ช่วยไม่ได้นี่ เธอมันฝีมือไม่เอาไหนเองเพราะงั้นชั้นถึงต้องช่วยต่อยอดไงล่ะ" ซูซานพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยอย่างไม่รู้สึกผิดใด ๆ "อีกอย่างเธอเอาทั้งแบบร่างกับแนวคิดมาคุยกับฉันก็ควรจะรับมือกับความเสี่ยงนะว่างานตัวเองจะถูกฉกไปน่ะ"
"พอเถอะ" เคทลินพูดปราม เธอไม่ควรยกเอาเรื่องนี้มาพูดด้วยเลยเพราะมีแต่จะผิดใจกันเสียเปล่า
"เธอเริ่มก่อน"
"ใช่ฉันผิดเอง" เคทลินยอมรับผิด เธออยากให้เรื่องนี้จบไปเสียทีเพราะตอนนี้เธอเองก็ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับวงการศิลปะเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่ดูเหมือนความแค้นในใจเธอพร้อมจะปะทุขึ้นมาได้ตลอดเวลา
"ชีวิตคู่เป็นไงบ้างล่ะ"
"ถามแปลกนะวันนี้" ซูซานเลิกคิ้วอย่างสงสัย "ก็ปกติดี เรารักกันดี"
"อาร์โนลเคยนอกใจฉันไปหาเธอ ฉันไม่ได้จะสร้างความร้าวฉานระหว่างพวกเธอหรอกนะแต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรก ฉันขอเตือนเธอด้วยความหวังดี"
"ขอบใจแต่ฉันมั่นใจว่าเขารักแค่ฉันเท่านั้น"
เคทลินส่ายหน้าให้กับท่าทีของซูซาน เธอทอดสายตามองออกไปข้างนอกพลางนึกใครบางคนที่รอเธออยู่ที่บ้าน
"นิค นายนี่เหมือนหมากำลังรอเจ้าของกลับบ้านเลยนะ" เสียงของเรเวนเอ่ยขึ้น หัวฟักทองที่แสดงออกเพียงใบหน้ายิ้มจากการแกะสลักฝีมือเคทลินนั้นมองเขามาสักพักแล้ว
"ทำไมต้องรอด้วยล่ะ คุณเคทลินแค่ไปทำธุระเอง เดี๋ยวก็กลับน่า" นิคที่กำลังเหม่อมองประตูบ้านหันขวับกลับมาพูดกับเจ้าหัวฟักทองช่างจ้อประจำบ้าน
"เ-ป็-น-ห่-ว-ง สะกดแบบนี้นะ ตั้งแต่เคทลินบาดเจ็บกลับมานายก็ห่วงเธอตลอดเวลาออกไปไหนมาไหนคนเดียว คราวหลังไม่ตามออกไปด้วยเลยล่ะ"
นิคเงียบใส่เรเวน ที่เขาพูดมามันก็ไม่ผิดเพราะตั้งแต่ครั้งนั้นเขาก็เป็นห่วงเธอทุกครั้ง ปกติเคทลินจะดูเป็นคนที่แข็งแกร่งตลอดเวลาไม่ทันคิดว่าเธอเองก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งมีพลาดท่ากันได้เหมือนกัน
"เรเวน ผมขอถามอะไรหน่อยสิ"
หัวฟักทองขยับหงึก ๆ เป็นเชิงบอกให้นิคพูดต่อ
"คุณเคยอยากออกไปจากบ้านนี้บ้างมั้ย"
"ไม่อะ" เรเวนตอบทันควัน เขาส่ายหน้าไปมาจนหัวฟักทองนั้นแทบจะหลุดจากไม้ที่ยึดไว้
"อันที่จริงเคทเองก็เคยถามฉันแบบนี้เหมือนกันและเธอก็พาฉันออกไปข้างนอกด้วย แต่ว่าโลกข้างนอกนั่นไม่ใช่โลกของฉันหรอก"
นิคเอียงคอฟังด้วยความสนอกสนใจ เขาสงสัยมาตลอดว่าการที่เรเวนอยู่บ้านตลอดเวลาเขาไม่เบื่อหรืออยากออกไปจากบ้านนี้แบบที่นิคเองเคยหนีออกจากบ้านของเขาบ้างเลยหรืออย่างไร
"นิค คนเราน่ะมีพื้นที่ที่ทำให้สบายใจไม่เหมือนกัน อย่างของนายเองก็ดูจะสบายใจที่ได้ออกมาจากบ้านแล้วมาอยู่บ้านของคนที่แทบจะไม่รู้จักกันเลย ส่วนฉันน่ะสบายใจที่ได้อยู่บ้านทำสวน ดีกว่าออกไปเจอสายตาที่ทำเหมือนฉันเป็นตัวประหลาด"
"เรเวน คุณเป็นสิ่งที่เคทลินสร้างขึ้นมาใช้มั้ย" นิคมองอีกฝ่ายด้วยสายตาที่ทึ่งในคำพูด
"ใช่สิ ทำไมเหรอ"
"คุณดูมีความรู้สึกซับซ้อนเหมือนมนุษย์เลย"
เรเวนนั่งเงียบครู่หนึ่ง ใบหน้าที่ไร้อารมณ์ใด ๆ ของเขานั้นทำให้นิคคาดเดาได้ยากว่าในหัวฟักทองนั้นกำลังคิดอะไรอยู่
"บางทีฉันอาจจะเคยเป็นมนุษย์มาก่อนก็ได้นะ บางครั้งฉันมักจะคิดถึงเหตุการณ์นึงอยู่บ่อยครั้งแต่ฉันก็ลงรายละเอียดไม่ได้ว่ามันคืออะไร"
"จริงเหรอครับ" นิคเบิกตากว้างอย่างตื่นเต้นในเรื่องที่คาดไม่ถึง
"ว่าไปนั่น ฉันมีความทรงจำเก่าๆ ได้ซะที่ไหนล่ะ ฉันมันแค่หุ่นไล่กาตัวนึงเท่านั้น" เรเวนยักไหล่พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงยียวน ทำเอาตาที่เป็นประกายด้วยความอยากรู้อยากเห็นของนิคหม่นแสงลงในทันที
"โอ๊ย ให้ตาย" เสียงสบถของใครบางคนดังขึ้นพร้อมกับร่างที่ปรากฏตรงหน้านิคและเรเวน
"ไงเคท ไปหงุดหงิดมาจากไหนอีกล่ะ" เรเวนโบกมือทักทายเธอ เศษฟางจากถุงมือที่โบกไปมานั้นร่วงใส่นิคเสียจนเขาต้องจับมือของเรเวนให้หยุดนิ่งก่อนฟางจะร่วงลงมาหมด
"เงียบไปเลยเรเวนเดี๋ยวฉันจะหงุดหงิดใส่นายแทน" เคทลินทิ้งตัวนั่งลงข้างนิคที่กำลังเอาเศษฟางที่หล่นยัดกลับเข้าไปในถุงมือของเรเวน
"นิคฉันมีอะไรจะสารภาพ"
"ว่าไงครับ"
"ฉันไปเจอแม่เธอมา" เคทลินหันไปดูสีหน้าของนิค คิ้วที่ขมวดเข้าหากันได้ถามคำถามแทนเขาไปหมดแล้ว
"ฉันไม่ได้จะส่งนายกลับหรอกนะ แค่ไปรายงานว่านายยังอยู่ดีกินดีและไปรับฟังความเห็นจากอีกฝ่ายด้วย" เคทลินยกมือขึ้นปราบความคิดในหัวของนิค เขามักแสดงสีหน้าที่อ่านออกง่ายอยู่เสมอต่อให้เธอไม่อ่านใจก็พอเดาได้ว่าประโยคต่อไปที่เขาจะพูดคืออะไร ทางเรเวนเองเมื่อเห็นว่าเรื่องที่คุยกันเป็นเรื่องส่วนตัวก็ขอปลีกตัวออกไปข้างนอกทิ้งให้ทั้งสองอยู่กันตามลำพัง
"แล้วทำไมถึงเลือกที่จะบอกผมตอนนี้ล่ะ" นิคพูดเสียงสั่นเขาไม่เข้าใจว่าทำไมทั้งสองถึงต้องแอบมานัดเจอกันลับหลัง เขากำมือแน่นเมื่อนึกถึงช่วงเวลาที่ผ่านมาแม่และพี่สาวไม่เคยที่จะติดต่อเขามาเลยแม้แต่ครั้งเดียวแต่กลับเลือกที่จะติดต่อทางเคทลินแทนเสียอย่างนั้น อีกทั้งเธอยังปิดเงียบไว้ไม่บอกเขาเลยแม้แต่นิดเดียว
"ฉันรู้ว่าเธอโกรธแต่ฟังฉันก่อน มันมีเหตุผลที่แม่ของเธอไม่ให้ฉันบอกเธอเรื่องนี้"
นิคนิ่งเงียบรอฟังเคทลินต่อแต่ในขณะเดียวกันก้อนเนื้อในอกของเขากำลังเต้นรัว เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเต้นด้วยเหตุผลใด ดีใจที่รู้ว่าแม่ยังคงเป็นห่วงเขาหรือโกรธที่เคทลินไม่เคยจะบอกเขาเลยว่าแม่ติดต่อผ่านเธอมาตลอด เขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมต้องรู้สึกอะไรกับเรื่องนี้ด้วยทั้งที่เขาเองก็พยายามที่จะหนีออกมาจากแม่ด้วยตัวเอง แต่ก็แอบน้อยใจทุกครั้งที่คิดว่าแม่ไม่สนใจที่จะติดต่อเขาหรือในความคิดของแม่ไม่มีเขาอยู่ในนั้นแม้แต่น้อย
"นิค ฉันอยากให้เธอรู้ไว้นะว่าซูซานเป็นห่วงเธอ ถึงแม้ความคิดในบางเรื่องของเธอจะยังไม่เปลี่ยนแปลงก็เถอะ ที่ฉันมาบอกเธอนี่ซูซานเองก็ไม่รู้เรื่องด้วยหรอก แต่ถ้าไม่บอกเธอเสียทีฉันกลัวว่าเธอจะมีอคติกับแม่ของเธอ นิค ซูซานน่ะรักเธอนะ เพียงแต่การแสดงความรักของซูซานออกจะทำให้เธอลำบากใจ แต่เธอลองที่จะติดต่อฝั่งนั้นไปดูก่อนมั้ย" เคทลินรัวคำพูดที่เธอคิดว่าจะทำให้อคติของนิคที่มีต่อซูซานนั้นหายไป
แต่เดิมการที่เธอพานิคมาที่บ้านก็เป็นเพราะอยากแก้แค้นซูซานที่ทำกับเธอแต่กลับกลายเป็นว่านิคอยากที่จะออกมาจากบ้านหลังนั้นอยู่แล้วเธอจึงยอมให้เขามาอยู่อาศัยด้วย เธอคิดว่าเพียงแค่เธอใช้งานเขาหนัก ๆ ไม่กี่วันก็คงจะหนีกลับไปที่บ้านเหมือนเดิมแต่ก็ไม่เป็นอย่างที่เธอคิด นิคติดหนึบอยู่ที่บ้านของเธอจากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี จนเธอเริ่มรู้สึกว่าความสัมพันธ์ของสองแม่ลูกคู่นี้เธอคงต้องเป็นคนเข้ามาช่วยไกล่เกลี่ยแทนเสียแล้วก่อนที่มันจะกลายเป็นความค้างคาในใจแบบเธอ
"แม่คงไม่อยากให้ผมติดต่อไปหรอกครับ"
ปึด
เสียงบางอย่างดังขึ้นในหัวของเคทลิน คิ้วของเธอขมวดเข้าหากันอย่างเลี่ยงไม่ได้ เธอบีบไหล่ทั้งสองข้างของนิคแล้วออกแรงเขย่าตัวเขาไปมา
"พวกแกจะปากแข็งเหมือนกันเลยรึไง ขอร้องล่ะคุยกันดี ๆ ไม่ได้รึไงฉันก็อยู่ตรงนี้มีอะไรก็บอกกันสิฉันเต็มใจช่วยพวกเธออยู่แล้ว"
"ไม่เอาผมไม่คุย ผมหนีออกมาจากที่นั่นแล้วผมจะไม่กลับไปอีก" นิคปฏิเสธเสียงแข็ง เขาปัดมือของเคทลินออกแล้วลุกขึ้นเพื่อจะหนีเข้าห้องแต่ก็ถูกเคทลินรั้งข้อมือไว้
"เอาล่ะนิค ฉันจะเล่าเรื่องของฉันให้ฟังประกอบการตัดสินใจของเธอเอามั้ย"
นิคหยุดนิ่งด้วยความลังเลอยู่ครู่หนึ่งเขามองหน้าสบตากับเคทลินก็เห็นแววตาเว้าวอนของเธอจึงใจอ่อนแล้วนั่งลงตามเดิม
"ขอบคุณที่รับฟังคำขอของฉันนะ เรื่องที่ฉันจะเล่าเกี่ยวกับตัวฉันเองนี่เป็นเพียงเพื่อประกอบการตัดสินใจของเธอเอง ถ้าฉันเล่าจนจบแล้วเธอจะทำอย่างไรต่อก็ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของตัวเอง"
นิคทำเพียงพยักหน้าตอบรับ
"ที่ฉันแนะนำให้เธอคุยทำความเข้าใจกับแม่เพราะฉันเองก็เคยเป็นแบบเธอ ไม่ใช่แค่ครั้งเดียวแต่เป็นถึงสองครั้ง ครั้งแรกคือตอนที่หนีออกจากบ้าน ครั้งที่สองฉันทะเลาะกับสามีแล้วหลบหน้าเขา"
"ไม่ยักรู้นะว่าคุณเคยแต่งงาน" นิคพูดขัดขึ้นด้วยความสนใจ เคทลินที่เห็นท่าทีของเขาก็หัวเราะในลำคอเบา ๆ ก่อนจะเล่าต่อ
"ตอนที่ฉันเห็นเธอหนีออกจากบ้านในคืนนั้นมันทำให้นึกถึงฉันตอนวัยเท่าเธอ" เคทลินนึกย้อนไปประมาณสามคืนก่อนวันแต่งงานของซูซาน เธอตั้งใจที่จะไปพูดปรับความเข้าใจกับอดีตเพื่อนแต่กลับเจอนิคกำลังเดินออกจากบ้านพร้อมกระเป๋าใบใหญ่ด้วยท่าทีลับ ๆ ล่อ ๆ
"ฉันเองก็มีปัญหากับทางบ้าน แม่ไม่อยากให้ฉันเรียนต่อด้านศิลปะ ท่านเกลียดมันเข้าไส้เลย ฉันเองก็ไม่รู้สาเหตุที่ท่านเกลียดมันหรอกนะ แต่จุดที่ทำให้ฉันตัดสินใจหนีออกมาเพราะว่าวันนั้นแม่เผางานและอุปกรณ์วาดรูปของฉันจนหมด" เคทลินเล่าพลางยิ้มเจื่อน ๆ ให้กับอดีตของตน
"ตกดึกวันนั้นฉันก็เลยย่องออกจากบ้านมาทั้งตัวเปล่ากับกระเป๋าตัง เพราะของสำคัญของฉันได้หายไปหมดแล้ว วันนั้นฉันสาบานกับตัวเองว่าจะไม่กลับไปเหยียบบ้านหลังนั้นอีก สุดท้ายฉันก็เลือกที่จะกลับไปที่บ้านอีกครั้งเพราะอยากให้ทุกคนได้เห็นว่าฉันทำได้ดีขนาดไหน แต่พอถึงบ้านที่นั่นกลับไม่มีใครอยู่เลย ป้ายติดประกาศขายก็จริงแต่พอโทรไปก็ไม่มีใครรับสายเลย ราวกับไม่มีใครรอให้ฉันกลับไป ทั้งพ่อ แม่ น้องชาย ไม่มีใครเลย นั่นทำให้ฉันรู้สึกเสียใจที่สุดท้ายก็ไม่ได้ปรับความเข้าใจกัน ใช่ว่าฉันจะหายโกรธแม่นะที่ทำแบบนั้นกับฉันแต่..."
เคทลินเว้นช่วงครู่หนึ่ง เธอถอนหายใจออกมาเสียงเบาก่อนจะพูดต่อ
"ฉันน่ะยังรู้สึกว่าเขายังคงเป็นครอบครัวอยู่ อาจจะเพราะความผูกพันที่สร้างด้วยกันมา ที่ฉันให้เธอคุยกับแม่ไม่ได้หมายความว่าให้เธอกลับไปอยู่ที่บ้านหลังนั้น ถ้าเธออยู่แล้วไม่สบายใจที่นี่ก็ยังเป็นบ้านของเธออยู่เสมอ ฉันรู้จักซูซานพอตัวจึงพอเข้าใจได้ว่าเธอไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้นหรอกนะ"
"แต่แม่ของผมทำให้คุณเจ็บปวด"
"นั่นก็ใช่" เคทลินหัวเราะแห้ง "แต่ฉันพอจะรู้เหตุผลที่แม่เธอทำแบบนั้นแล้วล่ะ"
นิคเอียงคอมองด้วยความสงสัย เขาพอจะรู้เรื่องที่แม่ขัดแย้งกับเคทลินเรื่องงานแต่ไม่ได้รู้ลึกมากเท่าไหร่
"ช่วงเรียนแม่ของเธอท้องพี่สาวอยู่ใช่มั้ยล่ะ ฉันเป็นคนช่วยเลี้ยงซานาเองเพราะซูซานยืนกรานกับทางครอบครัวที่จะเก็บเด็กไว้ช่วงนั้นเธอเลยโดนตัดขาดกับทางครอบครัวแล้วมาอาศัยอยู่กับฉันที่ห้องเช่าเล็ก ๆ แทน ซึ่งมันก็ค่อนข้างขัดสนเมื่อเทียบกับชีวิตตอนที่ซูซานอยู่ในครอบครัว ลองเดาดูสิว่าเธอทำยังไงต่อ"
"พยายามถีบตัวเองให้กลับไปอยู่ในตำแหน่งเดิมเหรอครับ"
เคทลินดีดนิ้วดังเป๊าะเมื่อนิคกล่าวจบ เธอเหยียดยิ้มแห้ง ๆ พลางเล่าต่อ
"ใช่แล้ว ซูซานทนอยู่ในสภาพนั้นอีกหนึ่งปีหลังจากที่คลอดซานาแล้วก็ขโมยแบบร่างของฉันไปสร้างชื่อเสียงให้ตัวเองได้สำเร็จและได้รับการยอมรับจากทางครอบครัวให้กลับเข้าไปอีกครั้ง ในตอนนั้นฉันไม่ทันได้ฉุกคิดเรื่องนี้เลยได้แต่โกรธแค้นเธอมานานนับปีจนมาเจอกับสามีที่เปลี่ยนความคิดฉัน"
แววตาของเคทลินดูเศร้าครู่หนึ่งก่อนที่จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมแต่นิคเองก็สังเกตได้
"แล้วอีกเรื่องนึงล่ะครับ"
"อ๋อ เรื่องสามีของฉันน่ะเหรอ"
ก๊อก ๆ ๆ
เสียงเคาะประตูดังขึ้นขัดจังหวะ เรเวนเปิดประตูเข้ามาพร้อมกับเอ่ยขอโทษที่ขัดจังหวะทันใดนั้นก็มีเสียงที่คุ้นเคยดังตามมา
"ไงเคท ไม่เจอกันนานคิดถึงฉันบ้างรึเปล่า"
เคทลินขมวดคิ้วเข้าหากันทันทีที่เห็นคนที่เธอไม่ค่อยอยากเจอเท่าไหร่ เธอหันไปบอกนิคให้กลับเข้าไปในห้องก่อนเมื่อจัดการธุระเสร็จแล้วจะเรียกมาคุยต่อ
"ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเธอ คิดให้ดี ๆ ล่ะ" เคทลินพูดทิ้งท้ายเธอมองส่งนิคที่กำลังเดินขึ้นไปชั้นบนก่อนจะหันขวับมาส่งสายตาคาดโทษคนที่เข้ามาขัดเธอ
"มีธุระอะไร"
"โว้ว ใจเย็นก่อนฉันไม่ได้จะมาหาเรื่องเธอนะ ทางผู้อาวุโสให้มาแจ้งกับเธอเฉย ๆ ว่าในอีกสองวันจะมีประชุมสภา" ไมเคิลถอดแว่นกันแดดและหมวกออกก่อนจะทิ้งตัวลงบนโซฟาโดยมีเรเวนนั่งประกบข้างอยู่
"แล้วนายเกี่ยวอะไรด้วยล่ะ ตัดสินใจทิ้งเขี้ยวแล้วมาเข้าทางเวทแทนงั้นเหรอ" เคทลินยืนกอดอกมองคนตรงหน้าที่ทำตัวสบายราวกับอยู่บ้านตัวเอง
"ฉันเป็นตัวแทนน่ะ เรามีแผนจะทำการจับคู่คนของสองเผ่าพันธุ์เพื่อความคงอยู่ของพวกนักเวท"
"หา บ้าไปแล้ว ถ้านักเวทจะหายไปก็ปล่อยให้มันหายไปเหอะน่า สมัยนี้อะไรหลาย ๆ อย่างก็ใช้แทนเวทมนตร์ได้หมดแล้วนะ"
"แต่พวกผู้อาวุโสเขาไม่คิดอย่างงั้นหรอกนะ เขาโตมากับเวททั้งชีวิต จะให้ทั้งชีวิตของเขาหายไปต่อหน้าต่อตาคงปวดใจน่าดู"
"ทำสนองความต้องการของตัวเองล่ะสิไม่ว่า" เคทลินบ่นอุบอิบ เธอเหลือบเห็นเรเวนมีท่าทีอยากจะจับแวมไพร์ข้างตนออกไปข้างนอกเสียเหลือเกิน ซึ่งเธอเองก็อยากจะให้เขาทำแบบนั้นเพราะการที่ไมเคิลมาบอกเรื่องการประชุมนั้นคงมีผลพลอยได้คือเธอนั่นเอง แค่เรื่องประชุมอีกเดี๋ยวก็คงจะมีสายโทรเข้าจากคนในสภา
หวืด ๆ ๆ
ไม่ทันขาดคำเสียงโทรศัพท์ของเคทลินก็ดังขึ้น เธอยกมันขึ้นมาดูและเห็นชื่อลูซิเฟอร์ปรากฏอยู่บนหน้าจอ
"ไง"
"เคทลิน พรุ่งนี้มีประชุมตอนเก้าโมงนะ ต้องเข้าประชุมให้ได้ห้ามโดดประชุมอีกนะ"
"ฉันรู้แล้วล่ะ ขอบใจที่โทรบอก"
"เกว็น จริงอย่างที่เธอบอกเลยว่าเห็นเคทอยู่กับแฟนเก่า" เสียงของลูซิเฟอร์พูดกับเกว็นดังเข้ามาอย่างชัดเจน
เคทลินถอนหายใจออกมา หลายครั้งแล้วที่ลูซิเฟอร์มักหลุดพูดอะไรออกมาแบบนี้ซึ่งมันทำให้เธอรำคาญใจอยู่เสมอ
"ฉันได้ยินนะ แล้วถ้าพวกนายรู้แล้วทำไมยังไม่ช่วยเอาไอ้หมอนี่ออกไปจากบ้านฉันเสียที"
"โอ๊ะ โทษทีฉันมีธุระด่วนแล้วเจอกันพรุ่งนี้นะ" ลูซิเฟอร์รีบตัดสายเพื่อจบบทสนทนาในทันที
เคทลินถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะหันมามองหน้าคนที่นั่งยิ้มขบขันกับบทสนทนาเมื่อครู่ของเธอ
"นายคงไม่ได้คิดที่จะนอนนี่หรอกใช่มั้ย" เคทลินเอ่ยถาม ไมเคิลไม่เคยที่จะเข้ามาในบ้านของเธอเลยแม้แต่ครั้งเดียว ครั้งนี้จึงนับว่าเขากล้ามากที่จะมารุกล้ำพื้นที่ส่วนตัวของเธอโดยไม่นัดหมายก่อนล่วงหน้า
" ลองเดาดูสิ"
"เรเวน ฉันรู้ว่านายอยากทำสิ่งนี้มาตลอดตั้งแต่ไอ้หมอนี่เข้ามาในบ้าน"
เรเวนเงยหน้ามองเคทลินราวกับพร้อมที่จะลงมือในทันทีที่เคทลินสั่งเขา
"โยนไมเคิลออกไปจากบ้านฉัน"
"เย้ย!" ไมเคิลหลุดอุทานออกมาเมื่อเรเวนที่มีร่างสูงกว่าคว้าตัวเขาไว้ แต่ทันใดนั้นไมเคิลก็กลายร่างเป็นค้างคาวตัวจิ๋วเพื่อให้หลุดพ้นจากการจับกุมของเรเวน
"ขอร้องล่ะเคท แค่คืนเดียวเท่านั้น" เสียงของไมเคิลดังออกมาจากร่างค้างคาวตัวจิ๋ว ดวงตาสีดำขลับนั่นสามารถทำให้เคทลินใจอ่อนได้แต่ไม่ใช่กับไมเคิล
"โรงแรมมีตั้งเยอะแยะทำไมถึงเลือกที่จะนอนบ้านฉันล่ะ หรือว่านายทะเลาะกับพี่สาวจนโดนยึดเงินทั้งหมดกันล่ะ"
"ฉันแค่อยากนอนที่นี่ ขอร้องล่ะเคท เธอก็รู้นี่ว่าถ้าไม่คุ้นที่ฉันจะนอนไม่หลับ"
"พูดอย่างกับว่าเคยมานอนบ้านฉันงั้นแหละ"
"แค่มีเธอฉันก็อุ่นใจแล้ว ฉันเชื่อว่าเธอสามารถฟาดคนที่จะมาก่อกวนฉันได้สบาย ๆ"
"ก็ได้ ๆ แต่นายคงต้องนอนที่ห้องรับแขกแล้วแหละเพราะไม่มีห้องว่างที่จะให้นายนอนได้"
เมื่อพูดจบประโยคไมเคิลก็กลับมาอยู่ในร่างคนปกติอีกครั้ง เขามีทีท่าจะพุ่งกอดเคทลินแต่ก็ถูกเรเวนรั้งไว้ก่อน
"ผมนอนห้องรับแขกแทนก็ได้นะครับแล้วให้คุณไมเคิลไปนอนในห้องผมแทน" เสียงนิคดังมาจากชั้นบน เมื่อเคทลินเงยหน้ามองไปตามเสียงก็เห็นเขานั่งอยู่ที่ขั้นบันได
"จะให้นายนอนข้างนอกได้ไง อากาศหนาวขนาดนี้เดี๋ยวก็ป่วยกันพอดี"
"นี่เธอไม่ห่วงฉันเลยเหรอ"
เคทลินทำเป็นหูทวนลมไม่สนใจสิ่งที่ไมเคิลพูดออกมา
"เอางี้ละกัน"
นิคพลิกตัวไปมาบนเบาะปูพื้น ห้องของเขาถูกยกให้ไมเคิลเป็นที่เรียบร้อย เขาไม่หวงห้องของตัวเองเสียเท่าไหร่เพราะมันมีเพียงหนังสือไม่กี่เล่มกับอุปกรณ์ที่ใช้ในการเรียนเท่านั้น แต่ทันทีที่ไมเคิลออกไปจากห้องเขาจะรีบเอาผ้าปูที่นอนกับผ้าห่มไปซักทันที
"นอนไม่หลับงั้นเหรอ" เสียงเคทลินดังขึ้นเมื่อเธอเดินเข้ามาในห้อง กลิ่นสมุนไพรที่ติดตัวบ่งบอกว่าเธอเพิ่งเสร็จจากการปรุงยา
"นิดหน่อยครับ" นิคตอบ
"งั้นฉันเล่าเรื่องที่ค้างไว้กล่อมนอนดีไหม"
เคทลินล้มตัวนอนลงบนเตียง เธอมองแผ่นหลังของนิคผ่านแสงไฟหัวเตียงที่สลัว เขาเงียบไม่ตอบอะไร ไม่รู้ว่าทำไมเธอจึงอยากเล่าเรื่องนี้ให้เขาฟัง บางทีการอยู่กับนิคนั้นทำให้เธอสบายใจเสียจนอยากจะเล่าระบายทุกเรื่องที่เธอเจอมากับเขา
"เรื่องสามีฉันน่ะ นาธาน เขาเป็นคนที่เปลี่ยนความคิดของฉันเรื่องซูซาน ตอนแรกฉันมองสิ่งที่ซูซานทำด้วยอคติมาตลอดจนในที่สุดนาธานก็ได้อธิบายเรื่องทุกอย่างให้ฉันเข้าใจ ในตอนแรกฉันคิดว่าสิ่งที่นาธานเล่ามานั้นเป็นเพียงการอนุมานของเขา ฉันจึงยังคงมีอคติกับซูซานอยู่บ้าง จนวันหนึ่ง..."
เคทลินกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้น
"ฉันได้มารู้ว่าที่ผ่านมานาธานกับซูซานแอบนัดเจอกันทุกเดือนเหมือนที่ฉันทำอยู่ เป้าหมายเดียวกันที่ฉันกับนาธานทำแบบนี้ก็เพื่อพยายามรื้อฟื้นความสัมพันธ์ให้ดีขึ้น ในวันนั้นฉันโกรธมากเลยที่เขาทำไปโดยไม่บอกฉัน แค่คิดว่าคนที่ตัวเองรักแอบไปเจอกับอริความคิดแย่ ๆ ก็ถาโถมเข้ามาในหัวฉัน ฉันไม่ฟังข้อแก้ตัวใด ๆ จากนาธานเลยแม้แต่น้อยอีกทั้งยังวิ่งหนีออกมาจากบ้านและนั่นก็เป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันได้เห็นหน้าเขาตอนยังมีชีวิตอยู่ แล้วฉันก็เพิ่งจะมารู้ความจริงหลังจากที่เขาตายไปแล้ว มันรู้สึกแย่มากนะที่เราไม่สามารถปรับความเข้าใจกันได้อีกตลอดกาล"
เคทลินพลิกตัวหันหลังให้นิคเพื่อซ่อนน้ำตาที่กำลังปริ่มออกมา
"เพราะงั้นฉันเลยบอกแบบนั้นกับเธอ แต่ทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเธอเอง ฉันเคารพทุกการตัดสินใจ"
"ขอบคุณที่เล่าเรื่องพวกนี้ให้ฟังนะครับ" นิคเอ่ยขึ้น เขามองรูปของชายคนหนึ่งบนชั้นวางเครื่องประดับในห้อง นั่นคงเป็นนาธานสามีของเคทลิน นิคเองก็ต้องขอบคุณเขาที่ทำให้เคทลินยังคงอยู่ช่วยเหลือเขาในทุกวันนี้
"ผมตัดสินใจได้แล้ว"
"เคท ตื่นได้แล้ว" เสียงทุ้มของคนที่คุ้นเคยปลุกเธอที่นอนอยู่บนโซฟาให้ตื่นขึ้น
"คุณเองเหรอ ไปไหนมาเนี่ยทำไมเสื้อผ้าเปียกแบบนั้นล่ะ" เคทลินยื่นมือออกไปเช็ดหยดน้ำที่บนใบหน้าของเขา
"เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอกนะนาธาน"
"คุณน่ะแหละที่จะไม่สบาย ลมหนาวกำลังมาแล้วแต่คุณยังนอนเปิดพุงอยู่อีกแน่ะ ส่วนผมไม่เป็นไรหรอก แต่ผมมีเรื่องบางอย่างต้องบอกคุณ" นาธานจับมือที่อบอุ่นของเคทลินอย่างแผ่วเบา ดวงตาสีน้ำตาลเข้มนั้นมองเธอด้วยความรักที่เอ่อล้นออกมามากมาย
"เรื่องอะไรกัน หรือคุณหาวิธีท้องแทนฉันได้แล้วงั้นเหรอ" เคทลินพูดขำ ๆ แต่สีหน้าของอีกฝ่ายดูจะไม่ขำเหมือนเธอ
"เคท เราจะไม่พูดถึงเรื่องนั้นแล้ว แค่มีคุณอยู่ผมก็มีความสุขมากพอแล้ว"
"ปากหวาน แล้วมีเรื่องอะไรล่ะ"
"ผมว่าถ้าผมบอกไปคุณต้องโกรธแน่ ๆ เพราะงั้นจะให้โอกาสคุณได้โกรธผมก่อน"
เคทลินคว้าตัวของนาธานให้ขยับเข้ามาใกล้เธอก่อนจะประทับจูบลงบนริมฝีปากของเขา ทั้งคู่กอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เคทลินจะถอนรีบฝีปากออกมาแล้วพูดกระซิบที่ช้างหูของนาธาน
"ฉันระบายความโกรธเสร็จแล้ว ไหนลองพูดมาซิว่าเรื่องอะไรที่จะทำให้ฉันโกรธได้"
นาธานเงียบไปครู่หนึ่ง เขาถอยออกมานั่งจัดแจงตัวเองถอนหายใจหนหนึ่ง เขาจับมือของเคทลินมากุมไว้แน่นราวกับกลัวว่ามันจะหายไป
"ผมไปเจอซูซานมา ไม่ใช่เจอสิ อันที่จริงนัดเธอไว้...ทุกเดือน"
เคทลินขมวดคิ้วเข้าหากัน เมฆทะมึนเหมือนอากาศข้างนอกกำลังด่อตัวอยู่ในใจของเธออย่างฉับพลันทันทีที่ได้ยินชื่อของอริ
"ทำไม"
"เราคุยกันเรื่องของคุณ"
"เรื่องของฉัน แต่คุณเอาไปพูดกับซูซาน" เคทลินดึงมือออกมาจากการเกาะกุมของนาธาน นัยน์ตาของเธอฉายแววโกรธออกมาอย่างที่สามีของเธอว่าไว้
"เดี๋ยวฉันกลับมา" เคทลินลุกพรวดออกไปนอกบ้านในทันที
เวลาผ่านไปราวยี่สิบนาที ตอนนี้เคทลินกำลังนั่งอยู่ท่ามกลางสายฝนที่เริ่มโปรยปรายลงมา เธอกำลังหนาวสั่นเพราะไม่ได้หยิบเสื้อโค้ตออกมาด้วยตอนที่วิ่งออกมา เมื่อนึกถึงนาธานขึ้นมาความรู้สึกผิดก็กัดกินในใจเธอ
เคทลินหันหลังเดินกลับไปยังบ้านของเธอ ขณะนั้นเองก็ได้ยินเสียงไซเรนจากรถฉุกเฉินดังขึ้น นั่นทำให้เธอรู้สึกไม่ดี เธอเร่งฝีเท้าให้ไวขึ้น จากเดินกลายเป็นวิ่ง เธอวิ่งเร็วอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทิศทางที่รถฉุกเฉินขับไปนั้นเป็นทิศทางของบ้านเธอ เคทลินได้แต่ภาวนาให้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น และรถก็หยุดลงก่อนที่จะถึงบ้านของเธอ เธอถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เมื่อเดินผ่านจุดเกิดเหตุเธอเห็นผู้บาดเจ็บยังคงนอนอยู่กับพื้นข้างทาง ใกล้กันเป็นรถกระบะที่คาดว่าน่าจะชนเข้ากับคนเดินเท้า แต่สิ่งที่ทำให้เธอสนใจคือเสื้อโค้ตสีชมพูที่ตกอยู่ข้างกัน เธอรีบพุ่งตัวเข้าไปหาคนเจ็บในทันที เธอรู้สึกเหมือนหัวใจหยุดเต้นไปชั่วขณะทันทีที่เห็นว่าผู้บาดเจ็บคือใคร
"นาธาน" เคทลินเรียกด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาราวกับเสียงของเธอนั้นถูกสายลมหนาวที่พัดมาฉกฉวยไป
นาธานค่อย ๆ ลืมตามองเธอก่อนจะส่งยิ้มให้
"ขอโทษนะ ดันทำโค้ตตัวโปรดของเธอเปื้อน"
"มันใช่เรื่องที่ต้องขอโทษมั้ย นาธาน อย่าตายนะ คุณต้องไม่เป็นอะไร" เคทลินจับมือของเขาเอาไว้โดยมีคนช่วยยกเขาขึ้นเปลไปบนรถฉุกเฉิน
เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้วเคทลินเองก็ไม่รู้ เธอนั่งอยู่กับความเงียบงัน มือไม้ของเธอสั่นไปหมด เธอช็อกเกินกว่าที่น้ำตาจะไหลออกมาได้ เธอมองคนตรงหน้าที่นิ่งไม่ไหวติ่งเลยแม้แต่น้อย เธอกุมมือที่เย็นเฉียบของเขา แต่ครั้งนี้มือของเขาไม่ได้กุมมือของเธอกลับเหมือนทุกครั้ง
ในตอนนั้นเองหยดน้ำตาที่หายไปของเธอกลับไหลออกมาไม่ขาดสายราวกับห่าฝนข้างนอกที่เทลงมา ร่างทั้งร่างสั่นเทิ้มด้วยความเศร้าที่เข้าเกาะกุมจิตใจของเธอ
คนที่เธอรักมากที่สุดได้จากเธอไปแล้ว
เคทลินได้แต่โทษตัวเองที่เป็นสาเหตุทำให้เขาต้องเป็นแบบนี้หลากหลายเรื่องถาโถมดข้ามาในหัวน้อยๆ ของเธอ ความมืดเริ่มกัดกินจิตใจของเธอ ภายในหัวของเธอกำลังร้องว่าเธอไม่ได้เป็นคนผิดเสียทีเดียว เคทลินสลัดความคิดสกปรกนั่นออกไปจากหัวแต่เสียงนั้นก็ยังคงดังก้องอยู่
ทั้งหมดเป็นความผิดของซูซาน
เสียงความคิดนั้นดังกึกก้องอยู่ในหัวของเธอ และเธอก็รู้ตัวดีว่าความคิดแบบนั้นมันไม่ดีแต่มันก็ช่วยให้ความรู้สึกผิดต่อตัวเองน้อยลงได้
"เฟรย์!" เคทลินตะโกนเรียกเพื่อนเพียงคนเดียวที่เธอเหลืออยู่
พลันร่างของชายที่ถูกเรียกก็ปรากฏตัวขึ้น ใบหน้าที่มักเรียบเฉยอยู่ตลอดเวลาฉายความตกใจบนใบหน้า เขามองร่างไร้วิญญาณสลับกับเพื่อนที่กำลังร้องไห้ราวกับคนไร้สติเข้าไปทุกขณะ
"ขอร้องล่ะ ช่วยนาธานด้วย" เคทลินยังคงจับกุมมือของสามีไม่ปล่อย
เฟรย์เองเมื่อเห็นสภาพของเพื่อนตนเองก็อดสงสารไม่ได้ เพียงแต่...
"นาธานจากเราไปแล้ว เวทมนตร์ก็ไม่อาจเรียกคนตายกลับมาได้นะ"
"ขอร้องล่ะ ให้แลกด้วยชีวิตฉันก็ได้ ช่วยนาธานด้วย"
ในบ้านหลังเดิมที่เงียบสงบแต่วันนี้กลับเงียบสงัด เคทลินทิ้งตัวลงบนโซฟา เมื่อไม่กี่ชั่วโมงบ้านหลังนี้ยังมีความอบอุ่นจากทั้งสองคนอยู่เลย แต่ในตอนนี้กลับมาแต่ความเย็นเยือก
ในขณะที่กำลังนั่งเหม่อนั้นสายตาของเคทลินก็เห็นกระดาษแผ่นนึงวางไว้บนโต๊ะ เธอหยิบกระดาษที่มีลายมือเป็นระเบียบของนาธานขึ้นมาอ่าน
'ฉันซื้อไอศกรีมสตรอเบอรี่ที่เธอชอบมาด้วย ถ้ากลับมาแล้วก็กินให้หนำใจก่อนแล้วค่อยคุยกันต่อนะ'
ในตู้เย็นนั้นมีไอศกรีมรสสตรอเบอรี่ถ้วยใหญ่จากร้านประจำที่มักซื้ออยู่ในนั้น เคทลินหยิบมันออกมานั่งกินอย่างเงียบเชียบในความมืด ทั้งที่เธอชอบมันมากแท้ ๆ แต่วันนี้มันกลับไม่อร่อยเสียเลย
"ซื้อมาถ้วยใหญ่ขนาดนี้ฉันจะกินหมดคนเดียวได้ไง"
เวลาดำเนินไปจากหนึ่งวัน หนึ่งสัปดาห์ หนึ่งเดือน เคทลินยังคงเก็บตัวอยู่แต่ในบ้านไม่ทำอะไร ในบางวันก็จะมีเฟรย์มาค่อยตรวจสอบว่าเธอยังมีชีวิตอยู่หรือไม่พร้อมกับคอยเติมอาหารและของอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ให้
"เคท เธอต้องเดินต่อไปข้างหน้าสิอย่ามัวแต่จมอยู่กับอดีตแบบนี้" เสียงที่ไม่ได้ยินมานานดังแว่วมากับสายลมที่พัดเข้ามาจากหน้าต่างที่ถูกแง้มไว้
เคทลินหันกลับไปมองตามเสียงนั้นแต่ก็ไม่มีใครอยู่ตรงนั้น เธอมองแสงที่ลอดผ่านเข้ามาในห้องที่มืดทะมึนแห่งนี้ ราวกับเสียงนั้นต้องการให้เธอลุกขึ้นมองหาแสงสว่างให้กับตัวเธอเอง เคทลินลุกขึ้นจากเตียงเดินไปเปิดม่านรับแสงที่นานครั้งจะโผล่ออกมาทักทายในวันที่อากาศหนาวเช่นนี้
ใช่แล้วเธอต้องมุ่งเข้าหาแสงสว่างแล้วเติมเต็มแสงนั้นให้กับตัวเธอเองที่กำลังดำดิ่งสู่ความมืดมิด
"ลาก่อนนาธาน แล้วเจอกันใหม่นะ" เธอกล่าวกับสายลมที่พัดเข้ามาปะทะกับใบหน้าอย่างอ่อนโยน สายลมส่งเสียงหวีดหวิวอย่างแผ่วเบาราวกับตอบรับเธอ
"ไงเคท วันนี้ตื่นเช้าจังเลยนะ" เรเวนเอ่ยทักทายเมื่อเห็นเคทลินเดินออกมาที่เรือนกระจกหลังบ้าน
"ไม่อยากตื่นเวลาปกติแล้วเจอใครบางคนน่ะ" เคทลินยืนกอดอกมองสำรวจบรรดาต้นไม้ที่ปลูกเอาไว้ อากาศที่เริ่มหนาวทำให้ต้นไม้บางต้นทิ้งใบและรอวันที่จะผลิบานอีกครั้ง
"อ่า ไมเคิลสินะ เธอไม่น่าไปตอบตกลงเขาเลย" เรเวนนึกย้อนถึงตอนที่เคทลินกลับบ้านมาบอกเขาว่าเธอกับไมเคิลคบกันแล้ว เพราะตามปกติเธอมักจะไม่คบกับใครจริงจังนั่นทำให้เรเวนเองก็รู้สึกแปลกใจจนต้องถามหาสาเหตุจากเธอ
"ก็ช่วยไม่ได้นี่ เขาเล่นตามตื๊อฉันหนักมากจนฉันต้องยอมตอบตกลงไป" เคทลินหรี่เสียงลงพลางหันซ้ายขวามองดูว่าคนที่กำลังถูกนินทาไม่ได้อยู่แถวนี้อีกอย่างพวกแวมไพร์เองก็ไวต่อเสียง เธอกลัวว่าบางทีเธออาจจะพลั้งพูดอะไรที่ไม่ระรื่นหูออกไป
"ว่าแต่นายเถอะ ได้ข่าวว่าช่วงนี้มีความทรงจำแวบเข้ามาในหัวอยู่บ่อย ๆ ให้ฉันช่วยอะไรมั้ย"
"โอ้ ไม่มีปัญหาหรอก มันแค่บางครั้ง"
"แต่ช่วงนี้เป็นบ่อยใช่ไหมล่ะ" เคทลินยกมือขึ้นตรงหน้าเรเวนพลันวงเวทสีฟ้าขนาดเล็กก็ปรากฏขึ้น
"ดูเหมือนนายจะเผลอไปปลดล็อกความทรงจำบางอย่างเข้า เฮ้อ" เคทลินถอนหายใจเมื่อรู้ถึงสาเหตุ "ความผิดฉันเองแหละที่ตอนสร้างนายดันมีสมาธิไม่ดีจนเผลอเอาความรู้สึกบางอย่างใส่ไปด้วย"
"ช่วยไม่ได้นะ ฉันเป็นแค่คนเดียวที่เธอสร้างไว้แก้เหงารองได้สำเร็จลงมาจากหัวฟักทองตัวก่อนหน้าที่เธอทำให้มันพูดได้แค่ห้าประโยคแล้วมันก็จากเธอไป แถมเธอยังจะพยายามสร้างตัวต่อ ๆ ไปอีกทั้งที่มีฉันอยู่แล้ว"
"และใช่ ขอบคุณที่ฉันไม่เก่งเรื่องการปลูกชีวิตสิ่งของ ไม่งั้นฉันคงต้องเอาขวานจามหัวใครสักคนก่อนแน่ถ้ามันพูดมากแบบนายน่ะ"
"นะ...นี่เธอคิดแบบนี้มาตลอดเลยเหรอเนี่ย" เรเวนกุมหัวฟักทองของตัวเองไว้แน่นและถอยห่างจากเคทลินไปประมาณสองก้าวซึ่งสองก้าวของเรเวนก็ค่อนข้างไกลพอตัว
"ระวังหัวฟักทองของนายไว้ให้ดีล่ะ" เคทลินแสยะยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ก่อนจะพูดวกกลับมาเรื่องเดิม
"แล้วนายอยากให้ฉันเอาความทรงจำนั้นออกให้มัน ฉันว่าตอนนี้ฉันน่าจะมีเวทที่ดีพอที่จะดึงมันออกมาได้แล้วล่ะ"
"ไม่ดีกว่า เก็บไว้แบบนี้ก็เหมือนได้กุมความลับของเธอดี ไว้ฉันจะเอาไปบอกนิคทีหลัง" เรเวนเอามือถูกันอย่างเจ้าเล่ห์เขามักแสดงภาษากายออกมาแทนในเมื่อไม่สามารถแสดงสีหน้าออกมาได้
"โอ๊ะ โทษที แต่นิครู้เรื่องนั้นไปแล้ว"
"เธอรู้ด้วยเหรอว่าฉันหมายถึงเรื่องไหน..."
เรเวนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งราวกับกลัวว่าหากพูดออกไปจะถูกอีกคนฉกชิงความทรงจำที่ล้ำค่าสำหรับเขา
"ฉันพอจะรู้น่าว่าเผลอทำความทรงจำส่วนไหนหายไปในหัวนายบ้าง"
"แต่ฉันไม่อยากให้มันหายไปจากหัวฉัน มันทำให้ฉันกลายเป็นเรเวนอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ สิ่งที่เธอทำหลุดเข้ามาในความทรงจำฉันมันมีทั้งความสุขและความทุกข์ผสมเข้าด้วยกันมันทำให้ฉันรู้สึกเหมือนมีชีวิตจริง ๆ"
เคทลินนิ่งคิดพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง เธอมักไม่ชอบที่ไม่สามารถอ่านความคิดหรือแม้แต่คาดเดาอารมณ์จากเรเวนได้เลย โดยเฉพาะในเวลานี้
"เอางั้นก็ได้ แต่ถ้าหากวันไหนนายเริ่มสับสนเรื่องตัวตนของนายก็รีบมาหาฉัน ไม่งั้นนายอาจสูญเสียความเป็นตัวนายไปได้นะ"
เรเวนไม่ตอบเพียงแต่ใช้แขนแข็ง ๆ ที่ทำจากไม้ของเขาโอบกอดเคทลินแทน
"ขอบคุณที่ไม่ลบความทรงจำของฉันไปนะ"
"งั้นนายต้องระวังหัวฟักทองของนายไว้ให้ดีล่ะเรเวน"