เคทลินกลับมาแก้แค้นเพื่อนรักอย่างซูซานที่ขโมยผลงานของเธอจนตัวเองโด่งดัง ในเมื่อผลงานเปรียบเสมือนกับลูกของเธอเคทลินจึงได้ขโมยลูกของซูซานเป็นการแก้แค้น

Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด - บทที่ 5 บทที่ 5 โดย s.BlackSheep @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,ดราม่า,ผจญภัย,พารานอมอล,ครอบครัว,เวทมนตร์,แฟนตาซี,นักเวท,เวทมนต์,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ดราม่า,ผจญภัย,พารานอมอล,ครอบครัว

แท็คที่เกี่ยวข้อง

เวทมนตร์,แฟนตาซี,นักเวท,เวทมนต์

รายละเอียด

Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด โดย s.BlackSheep @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

เคทลินกลับมาแก้แค้นเพื่อนรักอย่างซูซานที่ขโมยผลงานของเธอจนตัวเองโด่งดัง ในเมื่อผลงานเปรียบเสมือนกับลูกของเธอเคทลินจึงได้ขโมยลูกของซูซานเป็นการแก้แค้น

ผู้แต่ง

s.BlackSheep

เรื่องย่อ

เพราะการแก้แค้นนั้นหอมหวานและทำให้คนคนหนึ่งยอมเปลี่ยนตัวตนเพื่อการแก้แค้นอดีตเพื่อนรัก หากแต่การแก้แค้นของเคทลินนั้นทำให้ใครอีกคนได้ค้นพบการดำเนินชีวิตแบบใหม่ที่เขาเองก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อน การอยู่ร่วมกันของเคทลินและนิคนั้นจะเป็นเหมือนแม่เหล็กคนละขั้วที่แตกต่างแต่ก็ดึงดูดเข้าหากันเสมอ

เมื่อนิคได้เข้ามาในโลกของนักเวทก็เกิดสิ่งที่ไม่คาดฝันมากมาย แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อเขาเป็นคนเลือกที่จะเดินทางนี้เอง และเขาไม่ได้โดดเดี่ยวเพราะมีคนคอยดูแลอย่างเคทลินแห่งเลควูดคอยตามเป็นห่วงอยู่ไม่ห่าง และดูเหมือนจะมีเรื่องวุ่นๆ หลายอย่างรอทั้งสองอยู่เบื้องหน้า

สารบัญ

Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 0 บทที่ 0,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 1 บทที่ 1,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 2 บทที่ 2,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 3 บทที่ 3,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 4 บทที่ 4,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 5 บทที่ 5,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 6 บทที่ 6,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 7 บทที่ 7,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 8 บทที่ 8,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 9 บทที่ 9,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 10 บทที่ 10,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 11 บทที่ 11,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 12 บทที่ 12,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 13 บทที่ 13,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 14 บทที่ 14,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 15 บทที่ 15,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 16 บทที่ 16,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 17 บทที่ 17,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 18 บทที่ 18,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 19 บทที่ 19,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 20 บทส่งท้าย,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 21 ตอนพิเศษ

เนื้อหา

บทที่ 5 บทที่ 5

ในตัวเมืองนูวิลล์ เมืองที่มีแต่ความทันสมัยและความก้าวหน้ากว่าเมืองไหน ๆ สองข้างทางนั้นเต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่องทั้งขนาดใหญ่และเล็กประปรายกันไป ในเวลานี้ตามท้องถนนเริ่มตกแต่งของเพื่อต้อนรับเทศกาลเฉลิมฉลองที่ใกล้เข้ามาในวันหยุดเช่นนี้ทุกคนต่างก็ออกมาซื้อของไปประดับตกแต่งบ้านเรือน บ้างก็หอบหิ้วกล่องของขวัญที่ผูกโบสีแดงสดเต็มมือไปเสียหมด ขณะที่ข้างนอกกำลังคึกคักด้วยบรรยากาศวันหยุดแต่ในร้านกาแฟแห่งนี้กำลังมีบรรยากาศที่เย็นยะเยือกแผ่ซ่านออกมาจากโต๊ะที่นั่งติดฝั่งถนน ตัวร้านที่เป็นกระจกใสทำให้สามารถมองเห็นบรรยากาศภายนอกได้อย่างชัดเจน 

"นึกว่ายัยนั่นจะมาคุยเรื่องอะไรเสียอีกที่แท้ก็แกหรอกเหรอ" เสียงเอ็ดตะโรของซูซานดังขึ้นหลังจากที่ทั้งคู่นั่งเงียบกันมานาน เธอออกมาเพราะเคทลินบอกว่ามีเรื่องสำคัญจะคุยกับเธอแต่ทันทีที่เห็นหน้ากันอีกฝ่ายก็ดันบอกว่ามีประชุมด่วนแล้วทิ้งให้นิคอยู่กับเธอ 

"ใช่ผมเอง" นิคเงยหน้าขึ้นสบตากับผู้เป็นแม่ เขาสังเกตเห็นใบหน้าที่ซูบลงของอีกฝ่าย ริมฝีปากที่ใช้ลิปสติกสีเข้มกว่าปกตินั้นคงปิดบังร่องรอยจากการสูบบุหรี่ของเธอ

"ผมอยากจะคุยปรับความเข้าใจด้วย"

"จะปรับอะไรอีกล่ะ แกเล่นเดินออกไปจากบ้านด้วยตัวเองนี่ ทำไมล่ะ อยู่กับยัยนั่นลำบากสิท่าถึงอยากจะมาขอปรับอะไรแบบนี้" 

"ไม่ใช่หรอกครับ" นิคตอบกลับด้วยความใจเย็น

เคทลินบอกว่าแม่ของเขานั้นเป็นคนอารมณ์ร้อน หากไปร้อนตามก็มีแต่จะปรับเข้ากันไม่ได้ ให้เขาลองใจเย็นแล้วค่อย ๆ คุยกัน ตัวเธอนั้นเป็นคนอารมณ์ร้อนอยู่แล้วเมื่อมาเจอกับคนที่ร้อนกว่าอย่างซูซานก็ทำให้คุยกันได้ยาก อีกทั้งทิฐิของซูซานนั้นสูง การจะดึงให้อีกฝ่ายมาคุยในระดับเดียวกันนั้นต้องค่อยเป็นค่อยไป

นิคเองก็รู้เรื่องนี้ดี ที่ผ่านมาเขามองแม่ด้วยอคติมาตลอด นั่นทำให้ทั้งเขาและแม่นั้นยิ่งห่างเหินกันมากทุกวัน ส่วนซูซานเองเมื่ออีกฝ่ายไม่ติดต่อมาก่อนเธอก็ถือว่าตนเองไม่มีเหตุจำเป็นที่จะต้องง้อ นั่นทำให้ทั้งคู่ไม่ได้คุยกันเสียที 

"ผมต้องขอโทษที่วันนั้นเลือกที่จะเดินออกมาแล้วทิ้งให้แม่ทุกข์อยู่แบบนั้น มันเป็นการตัดสินใจที่ค่อนข้างเห็นแก่ตัว แต่ผมเองก็อยากให้แม่เข้าใจว่าผมเองก็อยากได้ความเป็นตัวเองมากกว่าที่จะมีคนคอยควบคุมอยู่" 

"ฉันไม่ได้ควบคุม ฉันแค่ชี้นำทางให้แกเท่านั้นนะนิค" 

"แต่สิ่งที่แม่ชี้นำมันไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากเป็น ตลอดเวลาที่อยู่กับแม่ผมไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองอยากเป็นอะไร ผมพยายามทำตัวเป็นเด็กดีทดแทนสิ่งที่พี่ทำไว้ ผมเห็นแม่เหนื่อยผมจึงไม่อยากที่จะขัดใจแม่ แต่ในขณะเดียวกันผมเองก็เริ่มรู้สึกต่อต้านสิ่งที่แม่พยายามจะให้ผมเป็น" นิคเริ่มอธิบายความในใจออกมา ไม่รู้ทำไมน้ำตาของเขามันจึงได้ซึมออกมา เขาพยายามคุมเสียงตัวเองไว้ ไม่อยากดูอ่อนแอในสายตาของแม่โดยเฉพาะในตอนนี้ 

ซูซานที่สังเกตเห็นน้ำตาของนิคก็ใจอ่อนลงในทันที เธอนิ่งไม่พูดอะไร ที่นิคพูดมานั้นก็ถูก ที่เธอทำไปนั้นก็เพื่อผลประโยชน์ของนิคและของเธอเองด้วย เพราะเธอเห็นพรสวรรค์ของเขามาตั้งแต่ยังเด็ก ยิ่งโตขึ้นพรสวรรค์ของเขาก็ยิ่งเฉิดฉายจากการขัดเกลาที่เธอจัดหามาให้เขา นั่นทำให้เธอเกิดความโลภในชื่อเสียง เธออยากให้ลูกของเธอมีชื่อเสียงต่อจากเธอ เป็นเหมือนการล้างมลทินที่เธอทำไว้กับเพื่อนสนิท เธอจะให้นิคมีชื่อเสียงอย่างใสสะอาดไม่ต้องมีข่าวฉาวแบบเธอ 

"แล้วแกอยากทำอะไรล่ะ" ท่าทีของซูซานดูอ่อนลง เธอประสานมือไว้ใต้คางรอฟังคำตอบของนิคอย่างตั้งใจ 


"ฉันขอค้าน!" เสียงฝ่ายค้านคนเดิมเอ่ยเสียงดัง 

"ผมเองก็เห็นด้วยกับเคทลิน" คนที่นั่งข้างกันพูดเสริม 

เคทลินทนนั่งฟังแผนการบ้า ๆ ที่จะทำให้เผ่าพันธุ์ของนักเวทคงอยู่ต่อไปอยู่นานเป็นชั่วโมง และเธอก็รีบพูดแย้งขึ้นทันทีที่มีโอกาส สิ่งที่เธอได้กลับมาจากนักเวทอีกฝ่ายคือสายตาที่ไม่พอใจกับความเห็นต่างของเธอนัก ยูริเอลผู้เป็นประธานสภานั้นมีสีหน้าเรียบเฉียบ เขามองมาทางเคทลินรอคำอธิบายจากสิ่งที่เธอและเฟรย์ค้าน 

"ฉันว่าสิ่งที่เราพบเจออยู่มันก็เป็นคำตอบอยู่แล้วว่าเราควรทำอย่างไรต่อ ในเมื่อเราไม่สามารถทำอะไรได้ก็ปล่อยมันไปเสียสิ จะไปยื้อให้เสียเวลาทำกินอยู่ทำไม" 

เฟรย์พยักหน้าเห็นด้วยอยู่ข้างกัน ถึงเขาจะเป็นสายเลือดนักเวทบริสุทธิ์ก็ใช่ว่าจะไม่มีปัญหาอะไร เขาถูกบังคับให้แต่งงานตั้งแต่สมัยหนุ่มหลังจากที่แต่งงานไปได้ห้าปีเขาก็ถูกภรรยาขอหย่าเนื่องจากทั้งคู่ไม่สามารถมีลูกด้วยกันได้ แม้แต่สายเลือดบริสุทธิ์ยังมีลูกไม่ได้เลือดผสมก็แทบจะไม่มีหวัง นอกเสียจากจะมีคนที่มีพรสวรรค์แบบเคทลินโผล่ขึ้นมา ซึ่งโอกาสเกิดขึ้นนั้นมีน้อยมาก ตั้งแต่เคทลินโผล่มีก็ไม่มีมนุษย์ธรรมดาคนไหนที่มีพลังเวทโผล่มาอีกเลย

"จากที่ประชุมกันมาหลายต่อหลายครั้งในรอบปีนี้ฉันเองก็เริ่มจะเห็นด้วยกับเคทลินไม่น้อย" ยูริเอลเอ่ยขึ้น มือลูบหนวดสีขาวโพลนของตนอย่างพินิจความเป็นไปได้ในแบบต่าง ๆ 

"ตัวแทนจากเผ่าพันธุ์อื่นมีความเห็นว่าอย่างไรบ้าง" ยูริเอลผายมือไปฝั่งตัวแทนของเผ่าพันธุ์อื่นที่นั่งเรียงกันอยู่ซึ่งมีไมเคิลรวมอยู่ในนั้นด้วย

"พลังของเวทนั้นมีดีก็จริงแต่เราเองก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าของเหล่านั้นถูกทดแทนด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่เสียแล้ว" หญิงวัยกลางคนในชุดสูทดำและผมสีน้ำตาลรวบตึงยกมือเอ่ยขึ้น คำพูดของเธอดูมีระเบียบเหมือนกับการแต่งตัวสุดเนี้ยบของเธอ "ในตอนนี้พลังเวทเป็นเหมือนมือถือตกรุ่น พอมีรุ่นใหม่ออกมาทดแทนรุ่นเก่า ๆ ก็จะถูกทิ้งไป แต่ถึงอย่างนั้นก็จะมีคนกลุ่มน้อยที่สนใจในของเก่าอยู่ แต่หากให้พูดในเปอร์เซ็นต์ส่วนใหญ่แล้วนักเวทแทบจะไม่มีบทบาทอะไรกับเผ่าพันธุ์มนุษย์เลย" 

"เห็นด้วยกับเผ่าพันธุ์มนุษย์" เสียงผู้แทนมนุษย์หมาป่าพูดขึ้น 

"เห็นด้วยเช่นกัน" คราวนี้เป็นเสียงของไมเคิลผู้แทนแวมไพร์

"ฉันไม่เห็นด้วย เทคโนโลยีอะไรนั่นของพวกมนุษย์กำลังรุกล้ำเราอยู่ ธรรมชาติกำลังถูกทำลายโดยสิ่งประดิษฐ์ทั้งหลายของมนุษย์" ผู้แทนนางไม้เอ่ยค้าน 

ผู้คนที่เหลือเมื่อเห็นว่าเสียงแตกออกเป็นสองฝั่งก็เกิดเสียงซุบซิบกันดังระงมห้องประชุม 

"ถ้างั้นการประชุมของวันนี้เราพอกันแค่นี้ก่อน แล้ววันพรุ่งนี้เราจะมาคุยกันต่อ" ยูริเอลประกาศเสียงดังก่อนที่จะเกิดเหตุชุลมุนขึ้น

การประชุมจบลงผู้คนก็เริ่มทยอยออกไปจากห้อง รวมถึงเคทลินและคณะด้วยเช่นกัน ระหว่างที่เธอกำลังเดินออกไปด้วยสีหน้าคร่ำเครียดนั้นก็มีมือของใครบางคนคว้าเอวเธอไว้ และไม่ต้องเดาว่าเป็นใครเธอจึงเทเลพอร์ตตัวเองให้ออกจากอ้อมแขนของเขาทันที 

"ว้า ทีเผลอก็ไม่ได้แฮะ" ไมเคิลแสร้งทำน้ำเสียงเศร้าสร้อย 

"ให้มันน้อยหน่อยเหอะ"

ฝ่ายลูซิเฟอร์ที่สังเกตเห็นเหตุการณ์ก็รีบหันไปสบตากับเกว็นก่อนจะอมยิ้มให้เธอในเรื่องที่ทั้งสองรู้กันอยู่ แต่เขาก็ถูกพี่สาวมองค้อนกลับ

"วันนี้ฉันต้องไปนอนที่อื่นแล้วนี่ แค่อยากกอดเธอให้หายคิดถึง" 

"ช่วยหุบปากหน่อยจะได้มั้ย สิ่งที่คุณทำอยู่อาจทำให้เกิดข่าวลือเสีย ๆ หาย ๆ กับเคทลินได้อีก" เฟรย์ที่เดินนำไปก่อนหยุดเดินแล้วหันมาตำหนิไมเคิลที่กำลังวอแวกับเคทลิน 

"ช่างเขาเถอะ เราไปที่บ้านกันดีกว่าฉันมีเรื่องจะคุยด้วย" เคทลินพูดจบก็หายตัวไปในพริบตาก่อนที่เฟรย์จะเทเลพอร์ตตามไปสมทบ 

"อะไรกันไม่มีใครอยากคุยกับฉันหน่อยเหรอ" ไมเคิลกวาดสายตามองเกว็นและลูซิเฟอร์ซึ่งทำสองเองก็เบือนหน้าหนีไม่ต่อบทสนทนาด้วย 

"ให้ตายสิ" 


"มันเป็นไปได้ยากนะ" เฟรย์ลงความเห็นเมื่อเคทลินเล่าเรื่องที่นิคสามารถโทรจิตหาเธอได้โดยที่เขาเองก็ไม่รู้ตัว มีนักเวทอยู่เพียงหยิบมือที่เป็นมนุษย์ธรรมดาแล้วมีความสามารถด้านพลังเวท อีกทั้งโทรจิตยังเป็นเวทขั้นสูง การที่อยู่ ๆ นิคสามารถโทรจิตได้นั้นถือเป็นเรื่องแปลก และหากสภารู้เรื่องเข้าอาจจะถูกเอามาทดลองงานวิจัยได้ 

"นายน่าจะพอเดาได้ว่าถ้าทางสภารู้เรื่องเข้าจะเกิดอะไรขึ้น"

"ชีวิตของเด็กคนนั้นก็จะปั่นป่วนในทันที เขาจะถูกทางสภาที่อยากให้เผ่าพันธุ์คงอยู่รุมทึ้งเพื่อเค้นหาสาเหตุว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นได้เพราะอะไร" 

"แต่หลังจากวันนั้นเขาก็ไม่เคยมีอะไรผิดปกติอีกเลยนะ อีกอย่าง..." เคทลินนิ่งชะงัก อยู่ ๆ ความรู้สึกผิดก็โถมเข้าหาเธอเมื่อลองนึกถึงสาเหตุของเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น "โอย ให้ตายสิ ฉันไม่น่าพาเขามาเกี่ยวข้องด้วยตั้งแต่แรกเลย" เธอทึ้งผมตนเองพลางกล่าวโทษที่เป็นต้นเหตุ

"นี่ไม่ใช่ความผิดเธอ ไม่มีใครรู้ว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้น" เฟรย์พูดปลอบใจเคทลิน เขาตบไหล่เธอเบา ๆ เพื่อไม่ให้เธอคิดมาก 

"เอาล่ะตอนนี้ก็มีเราสองคนแล้วที่รู้เรื่องนี้ คงต้องรูดซิปปากให้มิดชิดไม่อย่างนั้นนิคจะมีเรื่องให้เหนื่อยเพิ่มอีกแน่นอน" 

"นี่ถามจริง พวกเธอไม่เห็นฉันที่นั่งอยู่ตรงนี้เลยรึไง" เรเวนที่นั่งอยู่บนโซฟาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงน้อยใจที่ถูกเมินโดยทั้งคู่

"ก็เพราะฉันจับสัญญาณชีพสิ่งไม่มีชีวิตไม่ได้ไงเล่าถึงไม่รู้ตัวน่ะ" 

"นั่นเจ็บนะเคท" เรเวนยกมือขึ้นกุมบริเวณหัวใจที่ไม่มีอยู่จริงของตน

"นายชักจะมีความรู้สึกแบบมนุษย์เยอะขึ้นแล้วนะเรเวน แน่ใจนะว่าไม่อยากให้ฉันลบความทรงจำพวกนั้นออก" 

"ไม่ล่ะ ขอบใจ"


"อย่างงั้นเหรอ" ซูซานพยักหน้ารับเมื่อได้ยินคำตอบจากลูกชาย ทั้งสองยังคงนั่งอยู่ที่ร้านกาแฟตามเดิม นิคบอกกับเธอว่าเคทลินจะมารับกลับตอนที่เสร็จการประชุม

"ใช่ครับ คุณเคทลินให้โอกาสผมได้มาคุยกับแม่ อันที่จริงจะพูดว่าให้โอกาสก็ไม่เชิง เธอโน้มน้าวให้ผมมาต่างหากล่ะ เพราะงั้นผมถึงได้มาคุยกับแม่ตรงนี้ และผมคงจะเสียใจแน่ ๆ ถ้าไม่ได้มาคุยปรับความเข้าใจแบบนี้ เคทลินพูดถูกเรื่องนี้" 

"เคทน่ะเหรอเป็นคนบอก" ซูซานแสดงสีหน้าตกใจระคนสงสัย ความรู้สึกแย่ก่อตัวขึ้นมาในใจ คนที่เธอเคยทำร้ายนั้นกลับหยิบยื่นโอกาสแก้ตัวระหว่างเธอกับนิคให้

"ไม่เปลี่ยนไปเลยจริง ๆ ทำแบบนี้ฉันดูเป็นคนแย่ไปเลยนะ" ซูซานพึมพำกับตัวเองเสียงเบา

"ใครว่าฉันไม่เปลี่ยนกันล่ะ" เคทลินที่โผล่มาจากข้างหลังของนิคเอ่ยขึ้น เธอนั่งลงข้างนิคในมือถือแก้วกาแฟร้อนอยู่ 

"ถ้าฉันเป็นเหมือนเดิมคงจะไม่ยอมปล่อยให้นิคมาเจอเธอหรอกนะ" 

"นั่นสินะ ถ้าเป็นเธอคนเดิมคงจะตามกัดฉันไม่ปล่อย นี่นิครู้มั้ยว่ายัยนี่เคยได้ฉายาว่าหมาบ้าด้วยแหละ เมื่อก่อนใครทำอะไรไว้กับยัยนี่นะชีวิตไม่เคยจะสงบสุขสักคน" ซูซานพยักพเยิดไปทางนิคที่กำลังนั่งกังวลว่าทั้งสองคนจะลุกขึ้นมาทะเลาะกันรึเปล่า 

"ใครบอกกันว่าฉันปล่อยเธอ ฉันยังกัดอยู่แค่เธอไม่เห็นเท่านั้น" เคทลินยกแก้วกาแฟขึ้นดื่มจนหมดแก้ว เธอหยิบมือถือขึ้นมาดูเวลาก่อนจะลุกขึ้นยืน 

"ต้องขอโทษด้วยนะ พอดีฉันต้องพานิคกลับบ้านก่อน ไว้วันหลังจะนัดวันมาใหม่อีกทีแล้วกัน" เคทลินแตะไหล่นิคให้ลุกยืนตามเธอมา 

"งั้น...แล้วเจอกันใหม่นะครับ" 

ซูซานพยักหน้ารับ เธอมองทั้งคู่เดินออกไปจากร้านจนสุดสายตาพลางย้อนนึกถึงเรื่องเมื่อก่อนที่เคยทำร่วมกับเคทลินมามากมาย รวมไปถึงความผิดครั้งใหญ่ที่เธอทำไว้กับเคทลินด้วยเช่นกัน "ให้ตายสิ ฉันทำเรื่องเลวร้ายแบบนั้นกับเคทไปได้อย่างไร" เธอยกมือขึ้นกุมขมับก่อนจะถอนหายใจออกมาเสียงดัง