เคทลินกลับมาแก้แค้นเพื่อนรักอย่างซูซานที่ขโมยผลงานของเธอจนตัวเองโด่งดัง ในเมื่อผลงานเปรียบเสมือนกับลูกของเธอเคทลินจึงได้ขโมยลูกของซูซานเป็นการแก้แค้น
แฟนตาซี,ดราม่า,ผจญภัย,พารานอมอล,ครอบครัว,เวทมนตร์,แฟนตาซี,นักเวท,เวทมนต์,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูดเคทลินกลับมาแก้แค้นเพื่อนรักอย่างซูซานที่ขโมยผลงานของเธอจนตัวเองโด่งดัง ในเมื่อผลงานเปรียบเสมือนกับลูกของเธอเคทลินจึงได้ขโมยลูกของซูซานเป็นการแก้แค้น
เพราะการแก้แค้นนั้นหอมหวานและทำให้คนคนหนึ่งยอมเปลี่ยนตัวตนเพื่อการแก้แค้นอดีตเพื่อนรัก หากแต่การแก้แค้นของเคทลินนั้นทำให้ใครอีกคนได้ค้นพบการดำเนินชีวิตแบบใหม่ที่เขาเองก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อน การอยู่ร่วมกันของเคทลินและนิคนั้นจะเป็นเหมือนแม่เหล็กคนละขั้วที่แตกต่างแต่ก็ดึงดูดเข้าหากันเสมอ
เมื่อนิคได้เข้ามาในโลกของนักเวทก็เกิดสิ่งที่ไม่คาดฝันมากมาย แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อเขาเป็นคนเลือกที่จะเดินทางนี้เอง และเขาไม่ได้โดดเดี่ยวเพราะมีคนคอยดูแลอย่างเคทลินแห่งเลควูดคอยตามเป็นห่วงอยู่ไม่ห่าง และดูเหมือนจะมีเรื่องวุ่นๆ หลายอย่างรอทั้งสองอยู่เบื้องหน้า
"เกว็น ช่วยดูนิมิตให้หน่อยสิว่าไอ้เรื่องนี้มันจะจบเมื่อไหร่ ฉันเหนื่อยที่จะต้องเข้าประชุมทุกสัปดาห์แล้วนะ" เคทลินโอดครวญอยู่ในห้องทำงานของเกว็นขณะที่มาเอาเอกสารจากเธอ ตอนนี้ทั้งสองออกมาจากตำแหน่งวิจัยแล้วแต่ก็ไม่วายต้องไปประชุมเรื่องเดิมอยู่ทุกครั้งไป นั่นทำให้เธอตารางงานของเธอเพิ่มขึ้นไปอีกและเธอก็เหนื่อยเกินจะทนไหว
"เอางั้นเหรอ" เกว็นที่นั่งเขียนรายงานการพยากรณ์เหตุการณ์ต่าง ๆ เอ่ยถาม มือของเธอยังคงเขียนรายงานต่อไปอย่างไม่หยุด
หน้าที่ของเกว็นคือการเขียนรายงานเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นล่วงหน้าเพื่อจะได้เตรียมรับมือกับเหตุการณ์ที่ไม่ปกติ ตั้งแต่ครั้งที่ไปนอคเทอนาจนเวลาล่วงเลยมาถึงฤดูใบไม้ผลิแต่ทางสภาดูจะหาข้อสรุปร่วมกับเผ่าอื่นไม่ได้เสียที นั่นทำให้ทุกคนต้องทำหน้าที่ประจำของตนพร้อมกับเจียดเวลาไปฟังผู้คนโต้เถียงกันในห้องประชุม
"เธอพอจะมองเห็นทางออกของเรื่องนี้รึเปล่าล่ะ อย่าบอกนะว่ามันจะลากยาวไปเรื่อย ๆ"
"ถ้าอนาคตที่ไกลออกไปฉันดูไม่ได้หรอกนะ ขีดจำกัดของฉันมันได้แค่ประมาณสัปดาห์หรือเดือนเท่านั้น แต่นาน ๆ ครั้งก็จะเห็นอนาคตที่ไกลกว่านั้นได้ แต่ก็นะ ทั้งชีวิตฉันก็มองเห็นแค่สองครั้งเท่านั้น เดี๋ยวนี้คนเก่ง ๆ น่ะหาไม่ได้แล้วล่ะ เพราะงั้นคนที่ความสามารถธรรมดาแบบฉันถึงได้มาอยู่ตำแหน่งนี้ทั้งที่อายุยังน้อยไงล่ะ"
"อะไรกัน ความสามารถของเธอเจ๋งจะตาย ดูแบบฉันสิทำได้แค่ปรุงยา"
"แต่เธอก็สร้างเรเวนขึ้นมาได้"
"นั่นแค่บังเอิญ"
แอ๊ด
เสียงเปิดประตูห้องดังขึ้นพร้อมกับลูซิเฟอร์ที่มีสีหน้าถมึงทึงจากคนที่เดินตามหลังเขามา
เคทลินได้ยินเสียงเกว็นถอนหายใจออกมาเมื่อเห็นไมเคิลเดินตามน้องชายของตนเข้ามา เธอมักเห็นลูซิเฟอร์ส่งสายตาให้เกว็นพร้อมกับยิ้มกรุ้มกริ่มทุกครั้งที่มีไมเคิลอยู่ใกล้เธอ แต่ครั้งนี้เขากลับมีสีหน้าบึ้งตึงขึ้นมา
"ทำไมเขายังไม่กลับไปสักทีละ ฉันขี้เกียจฟังเขาพล่ามถึงความรักที่มีต่อเธอกับความหล่อของเขาเองแล้วนะ"ลูซิเฟอร์พูดเสียงเบากับเคทลิน แต่ดูเหมือนเขาจะลืมไปแล้วว่าแวมไพร์สามารถได้ยินเสียงจากระยะไกลได้ต่อให้เขาพูดกระซิบกับเธอ
"ไปบอกสภาสิ ฉันเองก็เบื่อเหมือนกัน" เคทลินหรี่ตามองไมเคิลที่ทำหน้าตาเศร้าสร้อยทันทีที่ได้ยินเธอพูดแบบนั้น "ไม่ใช่แค่นาย ฉันหมายถึงสภาด้วย" เคทลินพูดแก้ต่างให้ตัวเอง นั่นทำให้ไมเคิลกลับมายิ้มเหมือนเดิม "แล้ว มานี่มีเรื่องอะไรรึเปล่า"
"อ้อ เกือบลืมไปเลย" ไมเคิลยื่นซองเอกสารในมือให้เธอพร้อมกับปากกาด้ามหนึ่ง
"อะไรอีกล่ะ ไม่ได้หลอกให้ฉันเซ็นทะเบียนสมรสหรอกใช่มั้ย"
"แหม ถ้าทำงั้นได้ฉันก็คงทำไปแล้วล่ะ" ไมเคิลปั้นหน้าบึ้งใส่เธอทีหนึ่งก่อนจะกลับมายิ้มต่อ
เคทลินหยิบเอกสารออกมาอ่านอย่างถี่ถ้วน เมื่ออ่านจบเธอถึงกับยกมือขยุ้มผมตัวเอง เธอกวาดสายตาอ่านมันอีกครั้งเผื่อว่าเธอพลาดอะไรไปแต่เนื้อหาก็ยังคงเป็นตามเดิม
"บ้าไปแล้ว ๆ ๆ ๆ" เคทลินพูดประโยคเดิมซ้ำ ๆ ก่อนที่จะเทเลพอร์ตหายไปจากห้อง
"เป็นแบบที่ยูริเอลบอกจริงด้วยแฮะ เนอะลูซ" ไมเคิลพูดด้วยท่าทีสนิทสนม
"อย่ามาเรียกชื่อฉันห้วน ๆ น่า"
"ขอพบยูริเอล ใช่ เขาบอกฉันแล้ว และตอนนี้เขาไม่ว่างอยู่" เฟรย์ถอดแว่นตาออกมาวางบนเอกสาร ยูริเอลทิ้งงานไว้ให้เขารับมือกับพายุที่มีชื่อว่าเคทลินในระหว่างที่เขาไม่ว่างอยู่
"นี่มันอะไรกัน ให้ฉันเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสเนี่ยนะ ฉันบอกไปแล้วไงว่าไม่ทำ"
"ไว้พรุ่งนี้เธอค่อยคุยกับยูริเอลเองแล้วกัน" เฟรย์นวดหัวคิ้วหลังจากที่นั่งจ้องเอกสารและจอคอมพิวเตอร์ที่เขาต้องคอยใส่ข้อมูลเข้าไปตลอดทั้งวัน
"วันนี้ไม่ได้เหรอ"
"ไม่ได้หรอก เขาไปเยี่ยมหลุมศพภรรยา เมื่อกี้นี้เลย"
เคทลินนิ่งชะงัก เธอลืมไปเลยว่ายูริเอลเองก็เป็นคนที่มีความรู้สึก ในเวลาแบบนี้เขาคงไม่อยากจะให้ใครมากวนนักหรอก
"ก็ได้ ๆ นายรายงานบอกเขาด้วยว่าพรุ่งนี้ฉันขอคุยทันที"
"ไม่ต้องคุยกับเขาหรอก คุยกับฉันนี้แหละ" เฟรย์ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปนั่งลงบนโซฟายาวที่ตั้งอยู่ในห้อง เขาตบที่ข้าง ๆ ให้เคทลินมานั่งด้วย
"เคท ฉันจริงจังเรื่องนี้มาก ๆ นะ เราทุกคนเห็นถึงความสามารถของเธอ"
"และอีกหลายคนคิดว่าฉันเป็นตัวปัญหา" เคทลินแย้งขึ้นในทันทีที่เฟรย์อธิบาย แล้วก็ถูกเขาตำหนิผ่านสายตามา
"นั่นก็จริง" เฟรย์ถอนหายใจ "แต่ความสามารถของเธอนั้นเป็นของจริง เธอเป็นเลิศด้านการปรุงยา แต่นั่นไม่ใช่แค่สิ่งเดียวที่เธอทำได้ ยังมีเรื่องการทูต การปลุกชีวิตสิ่งของ และอีกหลาย ๆ อย่าง เธอคิดว่านี่ไม่ใช่คุณสมบัติของคนที่ควรเป็นผู้อาวุโสงั้นเหรอ"
"ฉันยังไม่พร้อม" เคทลินพูดเสียงแข็ง เธอนั่งกอดอกหลังพิงกับพนักโซฟา
"แล้วเมื่อไหร่ล่ะ"
"ไม่รู้ ฉันน่ะสูญเสียเป้าหมายในชีวิตไปแล้วล่ะ ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองอยู่ไปเพื่ออะไร วัน ๆ ก็ทำงานตามคำสั่งที่มีเข้ามา วันหยุดก็หมกตัวอยู่ในบ้าน นายเองก็รู้ว่าไม่กี่ปีมานี้ฉันเริ่มเบื่อกับชีวิตขนาดไหน ฉันไม่ได้ไปสังสรรค์หรือหาความสุขให้ตัวเองเหมือนเมื่อก่อนแล้ว"
"ก็นี่ไงเป้าหมายใหม่ของเธอ ที่เธอทำอยู่ทุกวันก็แทบไม่ต่างจากงานของผู้อาวุโส"
"ถ้ามันแทบไม่ต่างกันก็เท่ากับว่าฉันใช้ชีวิตเอ้อระเหยไม่ต่างจากเดิมน่ะสิ"
"ต่างสิ เธอจะมีอำนาจมากขึ้น ทุกคนจะสนใจเสียงของเธอมากขึ้นเมื่อเธอมีอำนาจมากพอที่จะทำให้คนอื่นกลัวได้"
"นายไม่กลัวว่าฉันจะใช้อำนาจในทางที่ผิดเลยรึไง"
"เพราะฉันเชื่อไงว่าเธอไม่มีทางจะทำแบบนั้น"
ทั้งคู่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งเฟรย์ลุกขึ้นกลับไปยังโต๊ะทำงานทิ้งให้เคทลินนั่งครุ่นคิดอยู่เพียงลำพัง ในขณะที่เธอนั่งนิ่งอยู่นั้นก็มีเสียงโทรศัพท์สั่น บนหน้าจอแสดงชื่อของนิคเป็นสายเรียกเข้าพลันรอยยิ้มบาง ๆ ก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธอ
"ไว้ชั้นจะกลับมาให้คำตอบวันหลังแล้วกัน" เคทลินเดินมาหยิบเอกสารบนโต๊ะก่อนจะหันหลังโบกมือลาเพื่อนของตนที่นั่งจมอยู่กับกองเอกสารและแสงสีฟ้าจากจอคอม
"อย่าคิดนานก็แล้วกัน ยูริเอลรอฟังคำตอบจากเธออยู่" เฟรย์พูดไล่หลังเคทลินที่กำลังเทเลพอร์ตออกไปจากห้อง
"ว่าไงนิค" เคทลินกดรับสายทันทีที่มาปรากฏอยู่หน้าบ้าน
"คุณเคทลิน วันนี้ผมกลับบ้านดึกหน่อยนะครับ พอดีเพื่อน ๆ ชวนไปดื่มต่อ"
"ได้ ๆ อย่าดื่มจนเกินไปล่ะ" เคทลินเดินเข้ามาในบ้านก็พบเรเวนนั่งดูโทรทัศน์อยู่บนโซฟา เธอโบกมือทักทายเขาก่อนจะนั่งลงข้าง ๆ พร้อมกับวางเอกสารลงบนโต๊ะ
"คุณก็รู้ว่าเพื่อนเอาผมมาเป็นหน่วยเก็บซาก"
"ใช่ชั้นรู้ แค่พูดเตือนไว้เฉยน่า" เคทลินพูดคุยกับนิคต่ออีกไม่กี่ประโยคก็วางสายไป ครั้นจะหันไปคุยกับเรเวนก็เห็นเจ้าหัวฟักทองกำลังก้มอ่านเอกสารที่เธอเพิ่งวางไปเมื่อครู่
"นายว่าไง" เคทลินเอ่ยถาม เมื่อเห็นว่าเรเวนอ่านมันจบแล้ว
"ถ้าเป็นฉัน ฉันจะตอบตกลง คิดดูสิได้เงินเพิ่มขึ้น นั่นก็พอจะคุ้มค่าแรงที่ต้องมาปรุงยาจนปวดหลังอยู่"
"เฟรย์บอกว่าถ้าฉันรับตำแหน่งนี้ฉันจะมีอำนาจ คนเราจะมีอำนาจไปทำไมกัน"
"โว้ว เคท สิ่งที่เธอกำลังเอ่ยถึงมันสามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้เลยนะ คิดดูเล่น ๆ สิถ้าเธอเป็นแค่นักเวทธรรมดาที่ปรุงยาไปวัน ๆ อย่างตอนนี้เธอไม่มีอำนาจมากพอที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรได้ อย่าว่าแต่เรื่องการเปลี่ยนแปลงเลย แค่การออกเสียงในที่ประชุมทุกคนก็ยังไม่เห็นด้วยเพราะข่าวลือเสียหายของเธอ แต่ถ้าเธอมีอำนาจก็สามารถทำได้ทุกอย่างตามอำนาจที่คุ้มกะลาหัวเธออยู่"
เคทลินนั่งนิ่งฟังสิ่งที่เรเวนพูดพลางคิดตาม ที่เรเวนพูดมันก็ถูก เธออยากปรับโครงสร้างและกฎหลาย ๆ อย่างในสภา หากเธอได้อยู่ในตำแหน่งผู้อาวุโสก็คงเสนออะไรได้หลายอย่าง "ช่างพูดจริง ๆ นะ ชั้นละอยากรู้จริงว่ามีอะไรอยู่ในหัวฟักทองนั่น"
"อ้อ นี่น่ะเหรอ" เรเวนเคาะหัวฟักทองของตนก่อนจะพูดต่อ "กลวงเปล่า ไม่มีอะไรเลย แต่เธอเป็นคนทำให้ของที่กลวงเปล่าสามารถพูดกับเธอได้ เห็นมั้ยเคท หากเธอมีอำนาจเธออาจจะทำอะไรที่มันเจ๋งกว่าการสร้างฉันก็ได้ เมื่อถึงตอนนั้นเธอคงจะเป็นคนเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ของเหล่านักเวทก็ได้นะ"
"เพ้อเจ้อใหญ่แล้ว ฉันว่าคนแบบเฟรย์คงทำได้ดีกว่าฉันอีก"
"เฟรย์ดูเหมาะสมกับอำนาจก็จริงแต่ฉันมองไม่เห็นความเป็นไปได้ที่เขาจะทำเพื่อคนอื่นเลย ดูตอนนี้สิ เขาทำอะไรอยู่"
"พิมพ์เอกสารและเป็นเลขาส่วนตัวให้ยูริเอล" เคทลินตอบเสียงเอื่อยเฉื่อย ตั้งแต่เฟรย์ทำงานอาวุโสความสามารถของเขาก็ถูกทำให้สูญเปล่า หากเขากลับไปเป็นอาจารย์ฝึกเวทให้กับพวกนักเวทมือใหม่เหมือนเดิมคงจะดีกว่า แต่ตำแหน่งนั้นดันได้ค่าตอบแทนที่ไม่คุ้มค่ากับเวลาที่เสียไปนัก นั่นคงเป็นหนึ่งในเหตุผลที่เฟรย์เข้ามาทำงานตำแหน่งผู้อาวุโส
"แล้วตอนนี้เธอทำอะไร" เรเวนถามต่อ
"ปรุงยา เป็นขี้ข้าของสภา" เคทลินถอนหายใจก่อนจะทิ้งตัวลงบนกับพนักพิงอย่างเหนื่อยหน่าย
"เคท เธอรู้ตัวมั้ยว่าเธอใส่ใจกับการปรุงยาขนาดไหน"
เคทลินนั่งเงียบไม่ตอบ เธอไม่สังเกตตัวเองด้วยซ้ำว่าปรุงยาอย่างไร รู้เพียงแค่ทุกอย่างต้องออกมามีคุณภาพที่ดีและเท่ากันทุกขวด
"เธอมักจะใส่ในทุกขั้นตอนเพื่อให้ยาของเธอนั้นมีคุณภาพที่ดี แม้แต่ขั้นตอนการจัดส่งหรือการเก็บรักษาเธอยังใส่ใจมันเลย เธอมีความใส่ใจให้แก่คนอื่นไงล่ะ"
"พอเลย! ฉันทำเพื่อตัวเองทั้งนั้น" เคทลินลุกขึ้นยืนแล้วเดินเข้าห้องปิดประตูดังปัง
ความรู้สึกบางอย่างก่อขึ้นในใจเธอ
เธอรู้สึกได้ถึงความขัดแย้งในใจ เธอรู้สึกว่าสิ่งที่เธอได้รับนั้นไม่เหมาะสมกับเธอ เธอรู้สึกดีใจที่ความพยายามของเธอบังเกิดผล แต่อีกใจหนึ่งก็คิดว่ามันเกิดจากความพยายามจริง ๆ งั้นหรือ
'เดี๋ยวนี้คนเก่ง ๆ น่ะหาไม่ได้แล้วล่ะ เพราะงั้นคนที่ความสามารถธรรมดาแบบฉันถึงได้มาอยู่ตำแหน่งนี้ทั้งที่อายุยังน้อยไงล่ะ'
จู่ ๆ คำพูดของเกว็นก็ดังขึ้นในหัว นั่นเป็นสิ่งที่ตอกย้ำว่าที่เธอได้ตำแหน่งนี้ไม่ใช่เพราะความสามารถของเธอแต่อย่างใด สิ่งที่เรเวนพูดเองก็ถูกแต่เธอเองก็รู้ตัวดีว่าส่วนหนึ่งที่เธอทำไปเพราะเธอหวังผลประโยชน์ เธอหวังว่าสักวันแสงจะส่องมาถึงเธอบ้างหลังจากที่วิ่งตามแสงมาตลอด แต่เมื่อแสงนั้นส่องมาถึงเธอแล้วเธอกลับไม่มีความกล้าพอที่จะยืนอยู่ตรงนั้น
เคทลินทรุดตัวลงข้างเตียง เธอมองภาพของสามีในกรอบรูปนั้นราวกับต้องการคำปรึกษาจากเขา แต่ถึงอย่างนั้นเรเวนเองก็มีความคิดที่คล้ายคลึงกับนาธาน นั่นเป็นเพราะเธอเผลอใส่ความทรงจำบางส่วนเกี่ยวกับเขาลงไปในหัวฟักทองนั่น หากนาธานยังอยู่เขาอาจจะแนะนำอะไรที่คล้ายกับเรเวนก็เป็นได้
"ให้ตายสิ ฉันทำบ้าอะไรอยู่เนี่ย" เคทลินหัวเราะแห้งกับตัวเอง "คงต้องไปขอโทษเรเวนซะแล้วสิ"
เช้าวันใหม่มาเยือนพร้อมกับเสียงนกที่ร้องเรียกเพื่อนฝูงยามออกหากิน เคทลินที่ตื่นมาได้ครู่หนึ่งแล้วนอนนิ่งอยู่บนเตียงเงี่ยหูฟังเสียงธรรมชาติจากภายนอกที่ดังเข้ามา เธออยากจะนอนนิ่งฟังเสียงรอบตัวไปอีกสักพักหากไม่นึกถึงสิ่งหนึ่งขึ้นมา
"นิค!" เคทลินเด้งตัวขึ้นมาจากเตียงแล้วรีบเปิดประตูห้องนอนออกไปข้างนอก
"วันนี้ตื่นสายจังนะครับ ดูท่าแล้วคงจะไม่มีงานให้ทำใช่ไหมครับ" นิคโผล่หน้าจากห้องครัวออกมาถามอย่างหวาดระแวง เขากลัวที่จะถูกฉกชิงวันหยุดแสนวิเศษไปหากเคทลินมีงานใหญ่เข้ามา
"ถ้ามีฉันคงไม่ตื่นเอาป่านนี้หรอก" เคทลินเดินเข้าไปในห้องครัว เธอได้กลิ่นหอมฉุยของขนมปังและแฮม บนโต๊ะมีจานของเธอวางไว้อยู่แล้ว อีกทั้งยังมีกล่องสิ่งของแปลกปลอมตั้งอยู่บนโต๊ะ
"อ้อ นั่นคุกกี้ที่รุ่นพี่ให้ผมมาครับ ผมไม่ค่อยชอบหวานเท่าไหร่ก็เลยไม่ได้แตะเลยสักชิ้น เชิญคุณเคทลินกินได้เลยครับ"
"อะไรล่ะเนี่ย ทำเหมือนฉันเป็นคนเก็บกวาดของหวานไปได้" เคทลินหยิบคุกกี้ออกมากัดชิ้นหนึ่ง เธอเคี้ยวบัตเตอร์คุกกี้ที่หอมเนยและมีความหวานในแบบที่เธอชอบ แต่หลังจากที่เคี้ยวไปได้เพียงครู่เดียวเธอก็ถุยมันออกมา
"นิค! นายห้ามกินมันนะ"
"รสชาติมันแย่ถึงขั้นต้องถุยทิ้งเลยเหรอครับ" นิคขมวดคิ้วถามอย่างสงสัย
"ไม่ใช่" เคทลินรีบตรงดิ่งไปยังอ่างล้างจานและกลัวปากจนหมดจดแต่เธอก็ยังสัมผัสถึงฤทธิ์ของยาที่ยังติดอยู่บนลิ้น เธอเริ่มหายใจถี่ รู้สึกร้อนรุ่มขึ้นมา "ไปตามเฟรย์มา ใครก็ได้ บอกว่าขอยาถอนพิษยาเสน่ห์" เคทลินกัดฟันบอก เธอใช้กำลังที่มีอยู่วิ่งพาร่างของตัวเองเข้าไปในห้องนอนและล็อกประตูไว้ ในคุกกี้นั้นมียาเสน่ห์ซึ่งเป็นยาที่ผิดกฎหมาย และจากปริมาณที่ใส่ลงไปในคุกกี้นั่นถือว่าเยอะและเข้มข้นมาก หากใครเผลอกินเข้าไปทั้งชิ้นคงไม่เพียงแต่หลงเสน่ห์คนแรกที่สบตาเข้าแต่คงถึงขั้นทำให้ใจสั่นและขั้นหนักสุดก็คงช็อกได้
นิคมีท่าทีลนลานเมื่อได้ยินคำว่าพิษและเห็นอาการของเคทลิน เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาและกดเบอร์โทรศัพท์ของเฟรย์ที่ตั้งไว้เป็นเบอร์ฉุกเฉินในทันที ปลายสายตอบรับด้วยความตกใจแล้วบอกว่าจัดยาถอนพิษเสร็จแล้วจะรีบไป
เมื่อวางสายจากเฟรย์ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น นิครีบวิ่งไปเปิดแต่อีกฝ่ายไม่ใช่เฟรย์ กลับเป็นไมเคิลที่กำลังส่งยิ้มให้อีกทั้งในมือยังถือกล่องขนมหวานมาด้วย
"ขอโทษนะครับ แต่ตอนนี้คุณเคทลินคงไม่สะดวก" นิครีบบอกปัดให้อีกฝ่ายกลับไปเพื่อนที่จะได้ไม่วุ่นวาย
ไมเคิลสังเกตเห็นท่าทีร้อนรนของเด็กหนุ่มจึงชะโงกหน้ามองเข้าไปในตัวบ้านแต่ก็ไม่เจอคนที่เขาจะมาหา
"เคทเป็นอะไร" ไมเคิลถามเสียงเรียบ เขาถือวิสาสะเดินเข้าไปข้างในบ้านแล้ววางกล่องขนมไว้บนโต๊ะในห้องรับแขก
"เป็นความผิดของผมเอง ผม..."
"นิค" ไมเคิลวางมือบนไหล่ที่สั่นเทาทั้งสองข้างของเขา "บอกฉันมาว่าเคทเป็นอะไร"
"คุณเคทลินโดนยาเสน่ห์ครับ"
"นายได้สบตากับเคทหลังจากที่เธอมีอาการหรือเปล่า"
นิคส่ายหน้าหวือ ทันใดนั้นไมเคิลก็รีบพุ่งตรงไปห้องของเคทลินแต่ประตูห้องนั้นถูกล็อกไว้
"เคท! เปิดประตู! นี่ฉันเอง ไมเคิล"
"นายอยู่ให้ห่างจากฉันเลย อีกเดี๋ยวเฟรย์จะเอายาถอนพิษมาให้"
ไมเคิลได้ยินเสียงหอบหายใจแรงของเคทลินจากอีกฝั่งของประตู นั่นทำให้เขารู้สึกทรมานใจ จึงใช้พลังบิดลูกบิดประตูจนพังแล้วเข้าไปในห้องของเธอ
"คุณไมเคิล ผมว่าคุณไม่ควรบุ่มบ่ามเข้าไปแบบนั้น" นิคเอ่ยขึ้น เขาเองก็คิดว่าควรรอให้เฟรย์นำยามาให้จะดีกว่า
"ไม่ควรงั้นเหรอ นายคงจะไม่ได้ยินเสียงหอบหายใจของเคทล่ะสิท่าถึงได้รอให้เธอทรมานอยู่แบบนั้น" พูดจบไมเคิลก็เปิดประตูเข้าไปในห้องของเคทลินแล้วปิดประตูลง
นิคยืนนิ่งอยู่ข้างนอก เขาทำอะไรไม่ได้เลย จริงอย่างที่ไมเคิลพูด เขาไม่รู้ว่าเคทลินทรมานขนาดไหน เขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเวทมนตร์เลย เขาทำได้แค่รอให้คนอื่นเข้ามาช่วยเธอเท่านั้น นิคขบฟันแน่นจนเห็นสันกรามชัด เขาเดินไปทิ้งตัวลงบนโซฟาในห้องรับแขก ไม่รู้เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้วแต่เขารู้สึกว่ามันนานมากเสียจนทนรอแทบไม่ไหว เขาทำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง
พลันร่างของเฟรย์ก็ปรากฏตรงหน้าเขา นักเวทอาวุโสเหลือบมองนิคครู่หนึ่งก่อนจะพุ่งปรี่ไปยังทิศทางของห้องเคทลิน นิคที่เห็นผู้ช่วยเหลือปรากฏตัวขึ้นเองก็รีบลุกตามไป ประตูที่เปิดออกทำให้เขาเห็นเคทลินนั่งก้มหน้าลงกับพื้น เหงื่อกาฬไหลพรากจากร่างกายร้อนรุ่มที่พยายามต่อสู้กับมันอยู่ มือหนึ่งกุมมือของไมเคิลไว้แน่น
เฟรย์รีบส่งยาถอนพิษให้เธอโดยไว เคทลินยกยาขวดจิ๋วขึ้นดื่มจนหมดผ่านไปครู่หนึ่งลมหายใจของเธอก็เริ่มจะเบาลง เธอคลายมือออกจากมือของไมเคิลที่กุมไว้ แต่ก็ยังคงหลับตาก้มลงพื้นอยู่เหมือนเดิม ไมเคิลกระซิบคุยกับเคทลินครู่หนึ่งแล้วจึงดันหลังให้อีกสองคนออกไปจากห้องพร้อมเขา
"เคทดูจะรักนายมากเลยนะนิค" ไมเคิลพูดขึ้นเมื่อทั้งคู่เดินมาถึงห้องครัว เขาจ้องมองคุกกี้ที่เป็นตัวต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมด
"ครับ" นิคตอบเสียงสูง เขาไม่เข้าใจถึงสิ่งที่ไมเคิลบอกกับเขา
"ก็เคทเล่นพูดดักไว้ก่อนเลยว่าไม่ใช่ความผิดของนาย คงจะกลัวล่ะสิท่าว่าฉันจะทำอะไรนาย" ไมเคิลหัวเราะหึในลำคอ เขาเริ่มที่จะเข้าใจแล้วว่าทำไมเคทลินเธอได้บอกกับเขาในวันนั้นว่านิคคือลูกชาย
"เฟรย์ ฉันขอคุยกับนายหน่อย"
เฟรย์ที่กำลังเก็บเอากล่องคุกกี้เข้าใส่กระเป๋าถอนหายใจหนหนึ่งแล้วหันมาสบตากับอีกฝ่าย โดยปกติแล้วเขาก็ไม่ชอบหน้าไมเคิลนัก แต่ครั้งนี้คงจำเป็นต้องพูดคุยกับเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้
"เคทลินวานให้เราช่วยเรื่องนึง..."
"เอ่อ ขอโทษนะครับ แต่ว่าเมื่อไหร่คุณเคทลินจะหายเหรอครับ" นิคถามแทรกขึ้นมาก่อนที่บทสนทนาที่ยืดยาวของทั้งสองจะเริ่มขึ้น
"นายไม่ต้องห่วงอะไรมากนักหรอก ตอนนี้ให้เคทลินได้พักผ่อนก่อนเถอะ เดี๋ยวหายดีเมื่อไหร่ก็ออกมาเอง อีกอย่างเชื่อใจในยาที่ตาลุงนี่เอามาได้เลยเพราะมันคือยาในคลังฉุกเฉินที่เคทลินปรุงเอง"
ตาลุงที่ถูกพูดถึงพ่นลมหายใจอย่างไม่สบอารมณ์เมื่อถูกคนที่แก่กว่าตนนับสิบปีมาเรียกว่าลุงเพียงแค่เพราะเขามีใบหน้าที่ไม่เต่งตึงเหมือนพวกแวมไพร์
"ฉันก็เคยบอกอยู่หรอกว่าให้เก็บยาถอนพิษไว้ที่บ้านบ้างก็ดี ถึงเคทจะมีภูมิคุ้มกันเรื่องยาก็เถอะ แต่ถ้าโดนตัวแรงขนาดนี้ก็ไม่ไหวหรอกนะ" ไมเคิลพูดต่อ เขาเห็นท่าทีทำอะไรไม่ถูกของนิคก็เกิดรู้สึกเอ็นดูขึ้นมา เขาลูบผมของนิคก่อนจะหันไปมองอีกคนที่ยังคงทำหน้าไม่พอใจอยู่ข้างกัน
"ยังไงก็ปล่อยเคทไว้งั้นแหละ เดี๋ยวเธอรู้สึกดีขึ้นเมื่อไหร่ก็ออกมาเอง ส่วนฉันกับลุงนี่จะไปจัดการธุระที่เคทฝากไว้หน่อย"
ไมเคิลเดินโอบไหล่เฟรย์ที่มีท่าทีขัดขืนออกไปและบังเอิญสวนทางกับเรเวนที่พุ่งเข้ามาทางประตู ทั้งสามคุยกันไม่กี่ประโยคก่อนจะแยกย้ายกันไป นิคจับใจความได้เพียงแค่ไมเคิลฝากเรเวนให้ดูแลเขาแต่นั่นไม่จำเป็นหรอก คนที่ควรจะถูกดูแลคือเคทลินมากกว่า
"เคทไม่เป็นไรหรอก" เรเวนใช้ถุงมือยัดฟางของเขาตบไหล่นิคเบา ๆ
"ถ้าไม่เป็นไรแล้วทำไมถึงยังไม่ออกมาอีกล่ะครับ" นิคถามกลับ เขาหันไปมองห้องของเคทลินอยู่เป็นระยะ ๆ แต่ก็ไม่มีทีท่าที่เจ้าของห้องจะออกมาเลยแม้แต่น้อย
"นายพอจะรู้หลักการทำงานของยาเสน่ห์รึเปล่า"
"จะออกฤทธิ์เมื่อสบตากับคนแรกที่เห็น..." นิคเบิกตาโพลงอย่างตกใจเมื่อนึกย้อนไปจนถึงตอนที่รุ่นพี่คนหนึ่งให้คุกกี้กล่องนี้กับเขาและบอกให้เขาเปิดทานมันในทันที แต่ในตอนนั้นเขาต้องทำหน้าที่เก็บซากเพื่อนและรุ่นพี่จึงรับไว้ก่อนโดยที่ไม่ได้กินมันในทันที
นิคหันขวับไปสบตากับเรเวนที่พยักให้เขา
"นั่นล่ะธุระที่เคทฝากสองคนนั้นให้ไปจัดการ"
ในห้องที่มีแสงแดดยามเช้าสาดส่องเข้ามาผ่านรอยแยกของม่าน ร่างของเคทลินนั่งเอนหลังพิงขอบเตียงอยู่ เธอได้ยินเสียงบทสนทนาที่ฟังไม่ค่อยชัดของเรเวนและนิคจากข้างนอกห้อง ดวงตาสีอเมทิสต์ของเธอเปล่งประกายเมื่อแสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามากระทบจนเธอต้องหยีตา สายตาจดจ้องไปยังบุคคลในกรอบรูปที่เธอมักมองหาทุกครั้งที่มีเรื่องราวให้ปวดใจ
เธอทำพลาดอีกแล้ว
เคทลินรำพึงกับตัวเองในใจเมื่อนึกย้อนไปถึงหนังสือแต่งตั้งให้เธอเป็นผู้อาวุโสนั้นยิ่งตอกย้ำว่าเธอยังไม่พร้อมสำหรับตำแหน่งนี้ เสียงถอนหายใจของเธอนั้นแผ่วเบาราวกับไม่อยากให้ใครได้ยินมัน เธอไม่อยากทำมันพลาด ตำแหน่งยิ่งสูงภาระความรับผิดชอบก็ยิ่งมากตาม ถึงเฟรย์จะบอกว่าหน้าที่ของผู้อาวุโสไม่ได้ต่างกันมากนักแต่เธอก็รู้ดีว่าต้องแบกรับอะไรหลาย ๆ อย่างมาอย่างมากขึ้น สายตาของเคทลินมองไปยังจุดเดิมที่เธอมักจะมองเมื่อต้องการกำลังใจแต่ต่อให้เธอมองรูปนั้นให้ตายอย่างไรคนในรูปคงไม่ออกมาพูดกับเธอหรอก
"คงต้องปรึกษาคนอื่นแทนแล้วสินะ" เคทลินหยัดตัวขึ้น เธอรู้สึกสบายตัวขึ้นกว่าเดิมแล้วหลังจากที่นั่งคิดทบทวนตัวเองและทบทวนอะไรหลาย ๆ อย่างอยู่ในห้องที่มีแต่ความเงียบ
จ๊อก
เสียงท้องของเธอร้องท้วงขออาหารที่วันนี้ยังไม่ตกถึงท้องเลยแม้แต่น้อย
"โอย อาหารที่นิคทำไว้ให้คงจะเย็นหมดแล้วแน่เลย" เคทลินบ่นอุบอิบ เธอเปิดประตูที่ไร้ซึ่งกลอนออก คงต้องให้คนทำรับผิดชอบเสียแล้วสิ
"นิค! มีอะไรกินบ้าง ฉันหิวแล้ว" เสียงใสๆ ของเคทลินเอ่ยเรียก ไม่ทันไรก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่วิ่งมาทางเธออย่างไวพร้อมกับนิคที่โผเข้ามากอดเธอไว้แน่น
เคทลินตกใจกับท่าทีที่เธอไม่คาดคิดของเขา นิคฝังใบหน้าไว้บนไหล่เล็กของเธอ เขาไม่ได้พูดอะไรออกมา มีเพียงแรงกอดที่กำลังสื่อสารกับเธอว่าเขาเป็นห่วงขนาดไหน มือของเคทลินยกขึ้นลูบผมของอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา เธอปล่อยให้เขากอดเธออยู่แบบนั้นต่อไปอย่างไม่ขัดขืน เรเวนที่เดินตามมาด้วยส่ายหัวไปมาเบา ๆ ก่อนจะหันหลังเดินกลับไปนั่งในห้องรับแขกตามเดิม
จ๊อก
เสียงท้องเจ้ากรรมดันร้องขึ้นมาขัดจังหวะเสียได้
"มีอะไรกินบ้างอะ ฉันหิวแล้ว"
นิคคลายกอดออก เขายกมือขึ้นปิดปากกลั้นขำไว้อย่างสุดความสามารถ สมองดันสั่งให้เขาหัวเราะกับเสียงท้องร้องของเคทลินซะงั้น ถ้าเผลอหัวเราะออกไปมีหวังเคทลินได้มองค้อนเขาแน่
"อยากจะหัวเราะก็เชิญ แต่ฉันต้องได้กินเดี๋ยวนี้!"
เช้าของวันถัดมาไมเคิลและเฟรย์มาหาเคทลินถึงบ้านเพื่อรายงานธุระที่เธอให้พวกเขาไปจัดการ นิคเองก็อยู่ฟังด้วย ในวันนี้เคทลินสั่งห้ามไม่ให้เขาออกไปจากบ้านก่อนเพราะเพิ่งได้รับของที่ใส่ยาเสน่ห์ไว้ เพื่อความปลอดภัยให้เขาอยู่ใกล้สายตาเธอจึงเป็นการดีที่สุด
"พวกฉันไปจัดการเรื่องที่เธอให้หามาแล้ว ดูเหมือนคนที่จำหน่ายยาพวกนี้จะมาจากคนในสภาเสียเอง" ไมเคิลเอ่ยขึ้น เขามองไปทางเฟรย์เพื่อให้อีกฝ่ายขยายความต่อ
"ทันทีที่หาแหล่งขายได้เราก็รีบรุดไปจัดการ มันเป็นเพียงร้านขายยาธรรมดา ๆ แต่กลับมีขายยาที่นักเวทปรุงไว้อยู่ด้วย ปรากฏว่ามันเป็นยาที่ได้มาแบบผิดกฎหมาย ไม่มีเอกสารกำกับการซื้อขายและปริมาณยาอย่างที่ควรจะมี" เฟรย์หยิบตัวอย่างขวดยาขนาดเล็กออกมาส่งต่อให้เคทลินดู
เธอหมุนขวดดูอย่างพินิจ ขวดสีชากันแสงเหมือนที่เธอใช้ ฉลากยาที่เขียนชื่อยาด้วยลายมือแปะแบบลวก ๆ ไม่เขียนส่วนผสมหรือสรรพคุณลงบนนั้นเลย นี่ไม่ใช่ยาที่ออกโดยสภาเวทมนตร์แน่นอน
"แล้วต้นตอล่ะ" เธอเอ่ยถาม หันไปมองเฟรย์ เธอไม่อยากได้ยินชื่อเพื่อนร่วมงานในทางที่ไม่ดีเสียเท่าไหร่
"ไม่ใช่คนในทีมเธอหรอก แค่พวกไม่โดดเด่น ทางที่ดีเราควรจะตรวจสอบคนในสภาเสียใหม่คงจะดีกว่า เพราะฉันเองก็ไม่รู้ว่าคนก่อนหน้าที่ฉันเข้ารับตำแหน่งเขาคัดเลือกคนดี ๆ มาหรือเปล่า" เฟรย์ทำสีหน้าเหนื่อยหน่าย ต่อให้ตรวจสอบอย่างไรก็ยังคงมีคนแย่ ๆ หลุดลอดเข้ามาได้อยู่ดี
"เพราะฉันอยากให้เธอลองคิดทบทวนเรื่องตำแหน่งดู ถ้าได้เธอมาอยู่ในตำแหน่งสูงขึ้นคงช่วยฉันจัดการเรื่องพวกนี้ได้"
เคทลินนิ่งเงียบ เธอเข้าใจถึงความสำคัญของตำแหน่งแต่เธอเองก็ได้แต่คิดว่าเธอเหมาะสมกับมันแล้วจริงหรือ
"ตำแหน่งอะไรกันครับ" นิคที่นั่งฟังเงียบ ๆ เอ่ยถามขึ้น ไมเคิลเองก็ทำหน้าอยากรู้อยากเห็นเช่นกัน
"ผู้อาวุโสของสภาน่ะ" เฟรย์ตอบสั้น ๆ ด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย
"ไว้ฉันค่อยอธิบายให้ฟังแล้วกัน" เคทลินตอบปัดก่อนที่จะต้องอธิบายอะไรยาวเหยียดกว่านี้
"ถ้างั้นก็ขอตัวก่อนล่ะ วันนี้จะเอาเรื่องไปเสนอให้" เฟรย์พูดขึ้นพลางลุกยืน
"ขอบใจมาก ไมเคิลนายอยู่ต่อก่อนฉันจะขอคุยด้วย"
ไมเคิลที่ได้ยินชื่อตัวเองจากปากเคทลินหันขวับในทันที เขายิ้มเสียจนแก้มแทบปริ ทางเฟรย์เองก็ส่ายหน้ากับท่าทีของไมเคิลก่อนจะหายตัวไปจากตรงนั้น
"ฉันมีเรื่องอยากให้นายช่วย ไปที่ห้องฉันหน่อย"
เคทลินเดินนำไมเคิลไปยังห้องของเธอ ส่วนนิคได้แต่นั่งนิ่งอยู่ที่เดิมเพราะเขารู้สึกว่าไม่ควรเข้าไปยุ่งกับสองคนนั้นจะดีเสียกว่า
"เมื่อวานต้องขอบคุณนายนะที่ช่วยอยู่กับฉัน แถมยังไม่กลัวฉันอีก" เคทลินเอ่ยขึ้นตรงหน้าประตูห้อง เธอหันมาส่งยิ้มให้กับไมเคิลอย่างจริงใจ
"ไม่มีปัญหาหรอก ต่อให้เธอจะเงยหน้ามาสบตาฉันก็พร้อมที่จะให้เธอฉีกทึ้งเสื้อผ้าและร่างกายฉันได้เต็มที่เลย" ไมเคิลยิ้มกริ่มให้ เขาทำท่าทางแหวกเสื้อเชิ้ตขาวประกอบคำพูด นั่นทำให้รอยยิ้มของเคทลินเปลี่ยนเป็นเหยียดยิ้มในทันทีโดยที่ไมเคิลไม่รู้ตัว
"ขอบใจที่ยอมถวายตัวให้ฉันขนาดนั้นน่ะ" มือของเคทลินยกขึ้นไปสัมผัสใบหน้าของอีกฝ่ายอ่อนโยนก่อนที่มือนั้นจะเลื้อยขึ้นไปดึงใบหูแหลม ๆ ของอีก "แต่นายจะมาพังประตูฉันแบบนี้ไม่ได้นะ ดูนี่สิ ประตูห้องฉันเป็นรูโหว่แบบนี้อากาศหนาว ๆ ได้เข้ามาในห้องกันพอดี" เคทลินชี้นิ้วไปยังรูโหว่ตรงตำแหน่งของลูกบิดประตูที่มันเคยอยู่ตรงนั้น
"โอ๊ย ๆ ๆ ๆ ๆ" ไมเคิลร้องด้วยความเจ็บปวดจากแรงดึงที่เพิ่มขึ้นทุกขณะ
"เธอก็ใช้เวทซ่อมมันเสียสิ มีเวทที่ซ่อมได้ไม่ใช่หรือไง"
"เวทที่ซ่อมได้น่ะมี แต่นี่มันแยกส่วนออกจากกันแล้วนะ เวทนั่นซ่อมของที่แยกออกจากกันไม่ได้เสียหน่อย"
"ก็ได้ ๆ เดี๋ยวฉันซื้ออันใหม่มาซ่อมให้ ปล่อยฉันไปได้แล้ว ปล่อย!" ไมเคิลร้องโอดโอยเสียจนนิคต้องโผล่หน้ามาดูเผื่อมีอะไรให้เขาช่วยเหลือได้บ้าง ไมเคิลไม่รอช้ารีบวิ่งไปหลบหลังเกาะไหล่เขาในทันที
"คุณเคทลินครับ ตอนนั้นเขาทำแบบนั้นไปเพื่อช่วยคุณนะครับ" นิคช่วยแก้ต่างให้กับไมเคิล เขาบังเอิญได้ยินบทสนทนาของทั้งคู่เมื่อครู่นี้
"ก็ได้ แต่ยังไงนายต้องซื้อลูกบิดใหม่ให้ฉัน" เคทลินยืนกรานที่จะให้ไมเคิลซื้อลูกบิดให้ใหม่ เธอจะไม่ยอมเสียเงินไปกับสิ่งที่เธอไม่ได้ก่อไว้โดยเด็ดขาด และยิ่งเป็นไมเคิลเธอค่อนข้างมั่นใจว่าเขามีเงินมากพอที่จะซื้อลูกบิดดี ๆ ให้เธอได้แน่
"ครับ ๆ รับทราบครับ" ไมเคิลตอบรับทั้งที่ยังยืนหลบอยู่หลังของนิคประหนึ่งเขาเป็นเกราะป้องกันเคทลิน อีกอย่างไมเคิลก็รู้ว่านิคทำให้เคทลินใจเย็นและอ่อนโยนลงได้
"ปล่อยนิคได้แล้ว ฉันจะขอคุยด้วยหน่อย"
เคทลินเดินเข้าไปแกะมือไมเคิลออกจากไหล่ของนิค เธอแอบนึกขำไมเคิลที่ตัวใหญ่กว่านิคแต่กลับไปยืนหลบอยู่ข้างหลังเขาเสียอย่างนั้น
"นิค ฉันขอคุยกับไมเคิลก่อนนะ เสร็จแล้วฉันจะมาคุยกับเธอต่อ"
นิคพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย เข้าเดินกลับไปยังห้องนั่งเล่นตามเดิม เคทลินมองส่งเขาจนลับตาแล้วจึงหันมาพบกับไมเคิลที่กำลังยิ้มกรุ้มกริ่มให้
"เหมือนอย่างที่เธอบอกเลย เขาเป็นลูกชายเธอจริงด้วย"
"แหงสิ" เคทลินยิ้มอ่อนแล้วเดินนำเข้าไปในห้อง
ประตูปิดลง แสงจากนอกห้องส่องลอดผ่านม่านเข้ามาให้พอเห็นใบหน้าของกันและกันที่มองหน้ากันอยู่ ความเงียบเข้าปกคลุมทั้งสองอยู่ครู่หนึ่ง ไมเคิลเดินเข้ามาใกล้เธอก่อนจะกอดเธอแน่น มันไม่ใช่กอดที่เสน่หาแต่เป็นกอดที่เธอรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย พลันน้ำตาของเธอก็ไหลรินออกมาอย่างห้ามไม่ได้ ความรู้สึกหลากหลายปนเปกันอยู่ในหัวเธอ ความรู้สึกผิดจากการที่ทำให้นิคต้องมาเจอกับเรื่องแย่ ๆ ความรู้สึกกดดันจากตำแหน่งและความผิดพลาดที่เกิดขึ้น เธอรู้สึกเหมือนสิ่งที่เธอแบกไว้อยู่หายไปชั่วขณะ โดยไม่มีบทสนทนาใด ๆ ไมเคิลยังคงโอบกอดเธอไว้ไม่คลาย เขารู้ดีว่าเคทลินที่เขารู้จักเป็นอย่างไร เธอมักจะแบกทุกอย่างไว้ตัวคนเดียวอยู่เสมอจนกระทั่งเธอไม่สามารถที่จะแบกรับมันได้ต่อไป เธอจะแตกสลายแล้วก็กลัวการเริ่มต้นใหม่ ครั้งแรกที่เขาได้รู้ว่าเคทลินพาเด็กหนุ่มคนหนึ่งมาเลี้ยงที่บ้านนั่นทำให้เขาประหลาดใจกับการตัดสินใจของเธอ
"ไหวไหม" ไมเคิลถามหลังจากที่เคทลินหยุดร้องไห้ เขาใช้นิ้วปาดคราบน้ำให้ครั้งแล้วครั้งเล่าจนมันแห้งเหือดไปจากใบหน้าของเธอ
"ไหว" เคทลินผละออกมา เธอมักอ่อนไหวทุกครั้งที่อยู่กับไมเคิล
เขาเป็นคนที่ทำให้เธออยากบ่นทุก ๆ เรื่องด้วย และเธอก็รู้สึกปลอดภัยที่ได้อยู่กับเขา แต่ถึงอย่างนั้นความสัมพันธ์ในเชิงคนรักนั้นก็คงไม่เหมาะกับเธอและเขา แต่เหตุการณ์ในครั้งก่อนที่เธอเผลอจูบตอบเขานั้น...
"ครั้งก่อน" เคทลินเอ่ยขึ้น "ต้องขอโทษด้วยที่ทำให้เข้าใจผิด"
"เข้าใจผิด" ไมเคิลหัวเราะในลำคอ "ฉันว่าฉันเข้าใจถูกแล้วนะว่าวันนั้นเธอแค่เหงา ส่วนฉันไม่ได้เจอเธอนาน พอได้ทำเรื่องแบบนั้นกันมันก็ห้ามใจไม่อยู่"
"นั่น ก็จริง" เคทลินไม่เถียง เธอกับไมเคิลมีแรงดึงดูดซึ่งกันและกันมาแต่ไหนแต่ไร แต่พวกเขาดันดึงดูดกันมากเกินไปจึงจะดีกว่าหากต้องแยกจากกัน
"วันนั้นฉันเองก็ต้องขอโทษด้วยที่ทำแบบนั้นไป แต่ฉันก็ยืนยันที่จะคงความสัมพันธ์ของเราไว้เพียงแค่นี้จะดีกว่า"
"ฉันรู้" ไมเคิลเอ่ย เขาใช้มือใหญ่ของตนโคลงหัวเคทลินเบา ๆ เธออาจจะดูเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งและแข็งแกร่งคนหนึ่งแต่สำหรับเขาในเวลาแบบนี้เธอดูเหมือนเด็กน้อยอยู่เสมอ
"คนนั้นสินะที่เธอกลัวว่าฉันจะมาแทนที่เขาในใจเธอ" ไมเคิลเสมองไปทางรูปของนาธาน เพียงแค่มองปราดเดียวก็รู้ว่าเขาสำคัญกับเธอมากขนาดไหน ในห้องของเธอไม่มีรูปถ่ายของใครเลย มีเพียงรูปของเขาคนนั้นตั้งไว้อยู่เพียงรูปเดียว ที่เหลือก็มีแต่หนังสือกายวิภาคศาสตร์ หนังสือสมุนไพรและการปรุงยา หนังสือเวทตามโต๊ะและชั้นวาง อีกทั้งยังมีกล่องที่ถูกปิดเทปวางไว้ตรงมุมห้องจนฝุ่นจับหนาเขรอะ
เคทลินพยักหน้าตอบ ไมเคิลรู้มาตลอดว่าไม่มีใครแทนที่จุดนั้นของเธอได้ เขาเองก็เคยบอกว่าไม่ได้จะมาแทนที่แต่เธอเองก็กลัวว่าพื้นที่ตรงนั้นของเธอจะหายไปหากมีใครสักคนมาอยู่ข้าง ๆ เธอในสถานะเดียวกับนาธาน
"ฉันรอได้ อย่าลืมสิว่าแวมไพร์อย่างพวกเรามีอายุมากกว่านักเวทตั้งเท่าไหร่ จนกว่าจะถึงวันนั้นฉันจะรอ"
"ไม่ต้องรอหรอก เพราะฉันตั้งใจที่จะไม่คบกับใครแล้วล่ะ"
"ใจร้ายอะ คนเขาอุตส่าห์รอ เธอจะไม่ให้ความหวังฉันหน่อยเหรอ"
"ให้ความหวังไปฉันก็เป็นคนใจร้ายอยู่ดี ฉันให้นายเป็นได้แค่เพื่อนเท่านั้นแหละ"
ดวงตาของไมเคิลเป็นประกายเมื่อได้ยินประโยคที่เคทลินพูดเมื่อครู่
"เพื่อนนี่หมายถึงฉันเป็นเพื่อนกับเธอได้เหมือนกับเฟรย์น่ะเหรอ"
"ก็ใช่น่ะสิ" เคทลินเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าการที่เธอพูดแบบนี้กับเขาจะส่งผลดีหรือผลเสียต่อตัวเธอกันแน่ แต่ดูจากท่าทีของไมเคิลแล้วเธอกังวลว่าเขาจะติดหนึบกับเธอยิ่งกว่าเดิม
"แล้วเธอจะให้โอกาสฉันเป็นได้มากกว่าเพื่อนหรือเปล่า" ไมเคิลหยุดท่าทีดีใจเหมือนลิงโลดแล้วถามทีเล่นทีจริงกับเพื่อนของเขา
"ไม่" เพียงคำเดียวที่ทำให้หน้าตาของไมเคิลเปลี่ยนได้ฉับพลัน
"ใจร้ายอะ"
สุดท้ายเธอก็เป็นคนใจร้ายอยู่ดี...
ในห้องนั่งเล่นมีนิคและเรเวนผู้มาใหม่นั่งอยู่ด้วยกัน ทั้งคู่สนทนากันเรื่องสัพเพเหระไปเรื่อยกระทั่งเห็นเคทลินและไมเคิลออกมาจากห้อง เธอหันมาบอกว่าจะออกไปส่งไมเคิลที่สภาแล้วจะรีบกลับมา
"นายว่าสองคนนั้นเขาจะกลับมาคบกันมั้ย" เรเวนเอ่ยถามทันทีที่เคทลินปิดประตูบ้าน
"นินทาเขาแบบนี้มันไม่ดีนะครับ" นิคตีหน้านิ่งใส่เรเวนที่ยักไหล่ให้ทีหนึ่งก่อนจะหันไปกดรีโมตเปิดโทรทัศน์ดูข่าวประจำวัน
'ขณะนี้ได้มีข้อพิพาทระหว่างมนุษย์และจอมเวทเรื่องยาที่ถูกจำหน่ายแบบผิดกฎหมาย ผู้คนต่างกดดันให้จำกัดพื้นที่อยู่อาศัยและตรวจสอบถึงที่มาของยาที่ผิดกฎหมายเหล่านี้ด้วยเช่นกัน' เสียงนักประกาศข่าวชายพูดเนื้อหาข่าวเสียงฉะฉาน
'ไม่เพียงเท่านั้นยังมีประชาชนรายงานว่ามักมีนักเวทคอยเสกเวทพิเรนทร์ ๆ ซึ่งสร้างความเดือดร้อนใส่คนในที่สาธารณะยามวิกาลอีกด้วย หากเป็นเช่นนี้ต่อไปเหล่านักเวทคงจะถูกจำกัดที่อยู่อาศัยเหมือนกรณีของแวมไพร์ก็เป็นได้' นักประกาศข่าวอีกคนพูดเสริมอย่างหนักแน่น
"โอ๊ย ปวดหัวจริง ๆ" เรเวนกดปิดโทรทัศน์ทันทีที่ฟังข่าวจบ เขายกมือขึ้นกุมหัวฟักทองของตนพลางส่ายหน้าไปมา "ดูเหมือนจะเป็นเรื่องใหญ่ซะแล้วสิ" เขาส่ายหัวไปมาแรงขึ้นจนหัวฟักทองนั้นหลุดกระเด็นออกจากไม้ที่เสียบไว้แต่กลับไม่มีเสียงกระทบตกกับพื้น หัวฟักทองนั้นหมุนไปมองหาสาเหตุที่ตนยังลอยเคว้งอยู่กลางอากาศ เขาเห็นนิคกำลังเอื้อมมือมาจะรับแต่ก็อยู่ห่างเกินกว่าจะรับหัวของเรเวนได้ทัน แต่ถึงกระนั้นหัวฟักทองก็ยังคงลอยเคว้งอยู่กลางอากาศไม่ตกกระทบลงพื้นเสียที
ทันใดนั้นเรเวนก็นึกถึงเรื่องที่เคทลินเคยพูดเกี่ยวกับนิคขึ้นมาได้ พอมองไปทางนิคอีกทีก็เห็นเขาเดินเข้ามาคว้าหัวฟักทองไว้แล้วนำไปเสียบกลับที่เดิม เรเวนจับหัวของตัวเองหมุนไปมาเล็กน้อยจนมันเข้าที่แล้วจึงหันไปมองนิคอย่างประหลาดใจ
"อย่างที่คุณเห็น ผมทำแบบนี้ได้ ผมเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน" นิคก้มมองดูมือของตนเองอย่างไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง
"นายรู้อยู่แล้ว" เรเวนเอ่ยถาม
นิคพยักหน้าเป็นคำตอบ
"เราต้องบอกเคทลินเรื่องนี้"
"ผมว่าไม่ดีกว่า" นิคปฏิเสธทันควัน "ผมรู้ว่าถ้าคุณเคทลินรู้เรื่องนี้เข้าผมคงถูกส่งกลับไปที่บ้านแน่ๆ"
"แล้วนายจะกลัวอะไรล่ะ กับซูซานเองนายก็คืนดีด้วยแล้วนี่"
"ผมกลัว กลัวว่าคุณเคทลินจะกีดกันผมออกไปจากเรื่องยุ่ง ๆ พวกนี้"
เรเวนนั่งนิ่ง สิ่งที่นิคพูดก็ถูก เคทลินไม่ชอบที่จะให้คนใกล้ชิดกับตนต้องเจ็บตัวหรือไปพัวพันด้วย เธอเองก็มักมาบ่นกับเขาอยู่เป็นประจำเกี่ยวกับเรื่องที่พานิคมาที่บ้านแล้วสร้างเรื่องเดือดร้อนให้เขา
"โอ๊ย ให้ตายสิ" เสียงโวยวายของเคทลินดังมาจากหน้าประตูบ้านเล็ดลอดเข้ามาข้างใน เสียงลูกบิดประตูดังขึ้นพร้อมกับประตูที่เปิดออก เคทลินเดินหน้านิ่วเข้ามา ในมือถือโทรศัพท์ที่กำลังสั่นอยู่ เธอกดปิดเครื่องโยนมันลงบนโซฟาแล้วทิ้งตัวเอนหลังบนโซฟาข้าง ๆ นิค
"ขอความเห็นแบบสรุปสั้น ๆ เลยนะว่าฉันควรรับตำแหน่งผู้อาวุโสดีมั้ย" เธอหันไปขอความเห็นจากนิคและเรเวน
"ผมว่าดีออก คุณมีประสิทธิภาพพอที่จะเป็นผู้นำได้เลยนะ" นิคเสนอส่วนเรเวนเองก็พยักหน้าเห็นด้วย
"ทำไมทุกคนถึงพูดเป็นเสียงเดียวกันหมดว่าฉันเหมาะกับตำแหน่งนี้" เธอถอนหายใจยกมือขึ้นกอดอกหลังเอนพิงกับพนักโซฟา ใช่ว่าเธอไม่อยากได้ตำแหน่งนี้ แต่เพราะเธอเป็นแค่คนธรรมดาที่เพิ่งจะใช้เวทมนตร์ ไม่ใช่นักเวทมาแต่กำเนิด เธอถูกผู้คนในสภากดหัวมานานจนกระทั่งได้ขยับขึ้นมาเป็นผู้ช่วยของเฟรย์ หากเธอได้อยู่ในตำแหน่งเดียวกับเขาก็ยิ่งแสดงให้คนที่เคยกดเธอเห็นว่าเธอเองก็ไม่น้อยหน้าใครสำหรับพัฒนาการในระยะไม่กี่ปีเมื่อเทียบกับนักเวทคนอื่น ๆ
"ไว้ฉันจะเก็บไปคิดแล้วกัน" เคทลินหยัดตัวขึ้น เธอเดินไปยังห้องปรุงก่อนจะหันกลับมาเหมือนลืมอะไร
"นิค พรุ่งนี้เช้าวันหยุดนี่ เธอมาช่วยกรอกยาหน่อยสิ"
รอยยิ้มที่นิคหวาดกลัวปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเคทลิน เขารู้สึกขนลุกซู่ในทันทีและรู้ได้ถึงอนาคตของตัวเองที่กำลังจะเกิดขึ้น "แต่คุณเคทลินครับ พรุ่งนี้ผมมีนัดกับแม่นะครับ" นิคพูดเตือนความจำ เผื่อบางทีเคทลินอาจจะลืมไปแล้วว่าต้องพาเขาไปตามนัด
"ก็ช่วยกันก่อน เสร็จงานเราจะได้ไปพร้อมกัน"
"เรา" นิคถามทวนอย่างไม่เข้าใจในสิ่งที่เคทลินพูดถึง
"ใช่ แม่เธอเรียกใช้ฉันทำธุระส่วนตัวให้ เดี๋ยวพรุ่งนี้เธอก็รู้เอง"
"อาร์โนล! ไอ้สารเลวนั่น!" เสียงสบถของซูซานดังขึ้นที่มุมส่วนตัวในร้านกาแฟร้านเดิม ที่ตอนนี้กลายเป็นจุดนัดพบของพวกเธอไปแล้ว
นิคและเคทลินที่นั่งฟังเธอบ่นเกี่ยวกับสามีขมวดคิ้วเข้าหากัน พวกเขานั่งฟังเรื่องนี้มาประมาณชั่วโมงได้แล้ว นิคที่เพิ่งรู้เรื่องไม่ได้คิดอะไรมากแต่ก็รู้สึกกังวลเกี่ยวกับแม่ของตน ส่วนทางเคทลินที่ฟังอีกฝ่ายโทรมาบ่นตลอดเริ่มรู้สึกเบื่อ เธอเคยให้คำปรึกษากับซูซานไปแต่สุดท้ายทั้งคู่ก็คืนดีกัน
บางทีการคุยกับซูซานทำให้เธอรู้สึกเหมือนมีหูกับหางสุนัขงอกออกมาอย่างไรชอบกล
"แล้วนี่ครั้งที่เท่าไหร่แล้วล่ะ" เคทลินถาม
"สาม ฉันเพิ่งเห็นเขาลงจากรถผู้หญิงคนนั้นเมื่อวานนี้เอง" ซูซานคำรามเมื่อนึกย้อนถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเจอ
"ฉันก็เคยบอกเธอแล้วว่าไอ้หมอนี่มันแย่ ตอนฉันคบกับมันแล้วเจอสถานการณ์แบบเธอน่ะรู้ไหมว่าฉันแก้เผ็ดยังไง"
ซูซานดูสนอกสนใจรอคำตอบของเคทลิน
"มันไปคั่วสาวอื่นฉันเลยไปคั่วกับพ่อของมันซะเลย"
นิคทำหน้าเหยเกทันทีที่ได้ยินคำตอบของเคทลิน
"แต่พ่อมันตายไปแล้ว เธอจะให้ฉันทำแบบนั้นได้ไง"
คำถามของซูซานยิ่งทำให้หน้าของนิคดูเหยเกขึ้นไปมากกว่าเดิมเสียอีก
สมแล้วที่เป็นเพื่อนกัน ไม่มีใครห้ามกันเลย
"ใครบอกว่าให้เธอทำแบบนั้น ฉันแค่เล่าให้ฟัง เธอก็ไปทำกับคนอื่นแทนสิในเมื่อพ่อมันตายไปแล้ว"
นิคทำหูทวนลมกับบทสนทนาของทั้งคู่ แล้วมุ่งความสนใจไปที่เค้กเลม่อนแสนอร่อยตรงหน้าแทน
"หรือว่าจะให้แอบใส่ยาพิษลงไปในกาแฟล่ะ"
ข้อเสนอของเคทลินทำให้นิคสำลักเค้กที่เคี้ยวอยู่ในปาก
นี่เขาเพิ่งได้ยินแผนฆาตกรรมมางั้นเหรอ
"ไม่ต้องให้ถึงตายหรอก" ซูซานแนะ
"โน ๆ ๆ ๆ ฉันไม่ทำอะไรบ้า ๆ แบบนั้นแบบนั้นหรอกนะ ไม่งั้นฉันคงจะได้ไปนอนในตะรางของคุกเวทมนตร์กันพอดี ที่นั่นน่ะสยดสยองพอตัว" เคทลินตอบพลางยื่นกระดาษทิชชูให้กับนิคที่นั่งไอโขลกอยู่ข้าง ๆ
"ฉันรู้จักกับเจ้าของร้านนี้ เธอเคยเป็นนักเวทมาก่อน ฉันคุยให้ได้นะ ค่อนข้างสนิทกันพอสมควร" เคทลินขยิบตาให้ซูซานก่อนจะเหยียดยิ้มสยองออกมา
"ผมไม่รู้เห็นอะไรทั้งนั้นนะครับ" นิคเอ่ยขึ้น เขาตักเค้กเลม่อนเข้าปากไปอีกคำ
"ความคิดไม่เลว เอางั้นก็ได้" ซูซานตอบโดยไม่ได้สนใจสิ่งที่ลูกชายกำลังพูดเลยแม้แต่น้อย
ทันทีที่ซูซานตอบตกลงเคทลินก็ชูนิ้วขึ้นมาสี่นิ้วเพื่อบอกจำนวนเงินที่อีกฝ่ายต้องจ่ายให้กับเธอ
"สี่จินน์?"
"สี่สิบจินน์"
ซูซานจิ๊ปากเมื่อได้ยินราคาที่ต้องจ่ายแต่เธอก็หยิบธนบัตรสิบจินน์สี่ใบให้กับเคทลิน
"ให้ตายสิ ฉันละชอบกลิ่นเงินจริง ๆ "
เคทลินเก็บเงินใส่กระเป๋าสตางค์ของตนก่อนจะเดินไปคุยกับหญิงเจ้าของร้านที่เคาท์เตอร์
"จริงสินิค ลูกจะกลับบ้านเมื่อไหร่" ซูซานเอ่ยถามขึ้น
นิคหยุดกึก เขาลืมเรื่องนี้ไปเลยว่าสักวันเขาคงต้องกลับไปอยู่ที่บ้าน
"ตอนนี้ก็คงอยู่กับคุณเคทลินก่อนน่ะแหละครับ ยังไงวิทยาลัยของผมก็อยู่ในเลควูดด้วย ถ้าไปกลับบ้านก็คงจะเดินทางลำบาก"
"นั่นสินะ" ซูซานยิ้มให้นิคอย่างอ่อนโยน
ตั้งแต่วันนั้นที่ปรับความเข้าใจกันความสัมพันธ์ของเขาและแม่ก็ดีขึ้น อาจจะมีความอึดอัดอยู่บ้างแต่ก็ไม่มากเท่าเมื่อก่อน ที่ผ่านมาเขาไม่เคยที่จะคุยกับแม่แบบนี้มาก่อน ทุกครั้งที่กลับบ้านก็จะมีแต่เสียงด่าทอของแม่และคำพูดแย่ ๆ จากพี่สาวอยู่เสมอ
"จะว่าไปพี่ซานาเป็นไงบ้างครับ"
"อ้อ ซานาน่ะเหรอ เพิ่งลาออกจากงานมาน่ะ ตากับยายแกจะให้ซานาทำงานบัญชีที่บริษัทซึ่งแม่ไม่เห็นด้วยหรอกนะ เพราะพี่เขาโดนไล่ออกจากงานเก่าเพราะไปยักยอกเงินเขานี่แหละ" ซูซานส่ายหัวไปมาระหว่างเล่าให้ฟัง "สงสัยเวรกรรมที่ทำไว้เมื่อก่อนจะตามกลับมาเล่นงานแม่ในรูปแบบนี้ล่ะนะ"
"แต่แม่ก็ไม่ควรสูบบุหรี่จัดแบบนี้นะครับ"
ซูซานมีท่าทีตกใจเล็กน้อยที่ถูกจับได้
"แกนี่นะ ตั้งแต่เมื่อก่อนแล้วที่คอยสังเกตนู่นนี่ แม่ปิดแกไม่ได้จริง ๆ" ซูซานควานหาบางอย่างในกระเป๋าแล้วยัดมันใส่มือของนิค
"ไหน ๆ ก็ถูกจับได้แล้วก็เลิกเลยแล้วกัน ฝากทิ้งให้ด้วยล่ะ"
ครืด
เสียงสั่นของโทรศัพท์เคทลินดังขึ้นเรียกความสนใจของทั้งสอง ประจวบกับเคทลินที่กำลังเดินกลับมาที่โต๊ะพอดี ใบหน้าของเคทลินเปลี่ยนจากเหยียดยิ้มเจ้าเล่ห์เป็นหน้าบูดบึ้งทันทีที่เห็นชื่อคนที่โทรเข้ามา เธอจิ๊ปากอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนจะยกโทรศัพท์ขึ้นมารับสาย
"วันนี้วันหยุดนะ" เธอบอกปลายสายแล้วถอนหายใจปิดประโยค เคทลินหย่อนตัวลงนั่งที่เดิมแล้วเงียบฟังอีกฝ่ายพูดก่อนที่ใบหน้าของเธอจะเปลี่ยนเป็นตกตะลึง
"ใครนะ ขอพบฉัน ทำไม" เธอรัวคำถามใส่ปลายสาย
ซูซานและนิคเองต่างก็เงียบไม่พูดคุยกันต่อ นิคกลับไปกินเค้กเลม่อนต่อเงียบ ๆ ส่วนซูซานเองก็จิบกาแฟของตนพลางมองออกไปข้างนอก ดูจากท่าทีของเคทลินเรื่องที่เธอกำลังคุยอยู่คงเป็นเรื่องสำคัญ
เพียงครู่ต่อมาเคทลินก็วางสาย
"คงมีเรื่องที่ต้องรีบไปจัดการสินะ" ซูซานเอ่ย
"ก็นิดหน่อยแต่เรื่องของเธอต้องมาก่อน" เคทลินยัดขวดใบจิ๋วที่ข้างในบรรจุผงสีส้มไว้พร้อมกับแปะฉลากว่าเป็นยาใช้เฉพาะทาง
"ใช้เฉพาะทางกลั่นแกล้งสินะ" ซูซานหัวเราะในลำคอ เธอเก็บขวดใบจิ๋วใส่กระเป๋า
"ฉันบอกแอบบี้ไว้แล้วว่าถ้าเธอให้ขวดนี้เมื่อไหร่ก็จัดการตามแผนได้เลย"
ซูซานหันไปทางหญิงผิวดำที่กำลังยิ้มและขยิบตาให้เธอ
"จัดการเสร็จแล้วก็อย่าลืมทำเรื่องหย่าด้วยล่ะ ฉันไม่อยากเป็นหมาอีก"
"ฉันจะไม่ทำให้เธอผิดหวังแน่รอบนี้ แล้วเจอกัน"
"แล้วเจอกัน" เคทลินโบกมือลาก่อนจะเทเลพอร์ตไปพร้อมกับนิค
"เอาล่ะได้เวลาบอกลาวันหยุดแสนหวานของฉันแล้ว" เคทลินบ่นพึมพำอยู่หน้าประตูบ้าน เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็เจอกับคนที่เธอเพิ่งวางสายไปเมื่อครู่นั่งรออยู่ก่อนแล้ว
"อะไรกัน ถึงกับต้องมาหาถึงนี่เลยเหรอ ฉันไปสภาเองได้น่า"
"ทางนั้นกลัวว่าเธอจะเบี้ยวนัด" เฟรย์ตอบ
"นิค อย่าเปิดประตูให้คนแปลกหน้าล่ะ" เคทลินตอบก่อนจะหายตัวไปพร้อมกับเฟรย์
"แล้วถ้าคนแปลกหน้าคนนั้นเขาเทเลพอร์ตเข้ามาได้ล่ะครับ" นิคพูดกับความว่างเปล่าในห้อง"