เคทลินกลับมาแก้แค้นเพื่อนรักอย่างซูซานที่ขโมยผลงานของเธอจนตัวเองโด่งดัง ในเมื่อผลงานเปรียบเสมือนกับลูกของเธอเคทลินจึงได้ขโมยลูกของซูซานเป็นการแก้แค้น
แฟนตาซี,ดราม่า,ผจญภัย,พารานอมอล,ครอบครัว,เวทมนตร์,แฟนตาซี,นักเวท,เวทมนต์,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูดเคทลินกลับมาแก้แค้นเพื่อนรักอย่างซูซานที่ขโมยผลงานของเธอจนตัวเองโด่งดัง ในเมื่อผลงานเปรียบเสมือนกับลูกของเธอเคทลินจึงได้ขโมยลูกของซูซานเป็นการแก้แค้น
เพราะการแก้แค้นนั้นหอมหวานและทำให้คนคนหนึ่งยอมเปลี่ยนตัวตนเพื่อการแก้แค้นอดีตเพื่อนรัก หากแต่การแก้แค้นของเคทลินนั้นทำให้ใครอีกคนได้ค้นพบการดำเนินชีวิตแบบใหม่ที่เขาเองก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อน การอยู่ร่วมกันของเคทลินและนิคนั้นจะเป็นเหมือนแม่เหล็กคนละขั้วที่แตกต่างแต่ก็ดึงดูดเข้าหากันเสมอ
เมื่อนิคได้เข้ามาในโลกของนักเวทก็เกิดสิ่งที่ไม่คาดฝันมากมาย แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อเขาเป็นคนเลือกที่จะเดินทางนี้เอง และเขาไม่ได้โดดเดี่ยวเพราะมีคนคอยดูแลอย่างเคทลินแห่งเลควูดคอยตามเป็นห่วงอยู่ไม่ห่าง และดูเหมือนจะมีเรื่องวุ่นๆ หลายอย่างรอทั้งสองอยู่เบื้องหน้า
ภายในห้องประชุมผู้อาวุโสเต็มไปด้วยเสียงโหวกเหวกของเหล่าผู้เห็นต่างที่คอยค้านกันไปมา หัวข้อในที่ประชุมก็ไม่พ้นเรื่องการขยายอำนาจของนักเวทตามที่มิเกลต้องการ วันนี้ยูริเอลไม่ได้นั่งเก้าอี้ประธานประชุม เก้าอี้ตำแหน่งประธานนั้นว่างเปล่าแต่ทุกคนก็รู้ดีว่าใครจะเป็นคนนั่งตรงนั้น
"ขอโทษที่มาสายครับ" เสียงนุ่มละมุนของมิเกลดังขึ้น การปรากฏตัวของเขาทำให้ห้องประชุมเงียบลงในทันที
"วันนี้เรามีสมาชิกใหม่มาร่วมด้วยนี่" ประธานประชุมพูดขึ้นอย่างร่าเริง เขามองไปยังนักเวทสาวที่นั่งข้างเฟรย์และถัดไปจากเธอเป็นเกว็น
ห้องประชุมมีการนั่งจับกลุ่มแบ่งฝั่งอย่างชัดเจนตามที่เฟรย์เล่าให้ฟัง วันนี้เป็นวันแรกของเคทลินที่เข้าประชุมผู้อาวุโสกว่าทางสภาจะอนุมัติการเข้ารับตำแหน่งของเธอก็กินเวลาเป็นเดือน เกว็นแอบกระซิบกับเธอว่าวันแรก ๆ ที่มิเกลเข้าประชุมฝ่ายค้านหลายคนถูกเขาใช้เวทซัดจนอ่วมเพื่อแสดงอำนาจของตัวเองข่มขู่ให้ทุกคนเข้าร่วมกับเขา
เคทลินกวาดสายตามองผู้อาวุโสฝั่งตนที่มีเพียงห้าคน นั่นคือพันธมิตรของเธอ ถัดไปเป็นเด็กใหม่ไฟแรงที่เพิ่งจะรับตำแหน่งผู้อาวุโสก่อนเธอไม่กี่สัปดาห์ก่อน เมื่อครู่เคทลินก็เห็นเธอพูดค้านความเห็นกับอีกฝ่ายอยู่หลายต่อหลายครั้ง และอีกคนคือนักเวทเฒ่าที่ตอนนี้อายุน่าจะครบร้อยปีไปสองรอบแล้ว เขานั่งนิ่งมาตั้งแต่เธอเข้ามาในห้องแล้ว เธอนึกเสียดายขึ้นมาที่ลูซิเฟอร์ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งผู้อาวุโสด้วย ไม่งั้นคงจะได้เห็นเขาปะทะฝีปากกับอีกฝ่ายอย่างเมามัน
"ไม่แนะนำตัวหน่อยเหรอคุณโจนส์" มิเกลเอ่ยถึงเคทลินอีกรอบเมื่อเห็นว่าเธอนั่งนิ่งไม่ไหวติง
"หวัดดี ทุกคนคงรู้จักฉันอยู่แล้ว" เธอทักทายแบบห้วน ๆ นั่นทำให้บางคนจิ๊ปากอย่างไม่พอใจเมื่อได้ยิน รวมไปถึงเสียงซุบซิบนินทาที่ดังขึ้น
"นั่นสินะ เธอเป็นคนดังนี่" มิเกลหัวเราะร่วน เคทลินไม่เข้าใจเลยสักนิดว่ามันน่าขำตรงไหน
"ก็ตามนั้น" เธอตอบปัด เคทลินอยากออกจากการประชุมสุดสับปะรังเคนี่พอ ๆ กับที่เธออยากต่อยหน้ามิเกลเสียเต็มประดา แต่ในเมื่อมานั่งอยู่ในตำแหน่งผู้อาวุโสแล้วก็คงต้องทำตัวให้ดีขึ้นสักหน่อย
"ยังไงก็ขอบคุณที่ตอบรับคำขอของผมนะครับ" มิเกลค้อมตัวให้เคทลินเล็กน้อยเรียกเสียงฮือฮาจากผู้คนได้อีกระรอก ไม่มีใครคิดว่าเขาจะเป็นคนไปทาบทามเธอด้วยตัวเองและไม่มีใครคาดหวังที่จะให้เธอมานั่งตำแหน่งหนึ่งในสิบสองผู้อาวุโสแห่งเลควูด
"นี่คุณทำให้ท่านนักเวทสูงสุดของเราต้องเสียเวลาไปทาบทามคุณเลยงั้นเหรอเนี่ย" ชายร่างใหญ่ผิวกร้านแดดคนหนึ่งพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน เคทลินจำชื่ออีกฝ่ายไม่ได้แต่คุ้นว่าเขาชำนาญด้านอาวุธเวทหรืออะไรทำนองนั้น
"เทวิน ใจดีกับสมาชิกใหม่หน่อยสิ" มิเกลตำหนิ ดวงตาสีสโมกกี้ควอตซ์ของเขาฉายแววไม่พอใจ เพียงเท่านั้นก็มากพอที่จะทำให้เทวินหุบปากแล้วนั่งเงียบ ๆ ได้
"แหม ให้ตายสิ วันนี้คงต้องเลิกประชุมช้าหน่อยแล้วล่ะ ผมผิดเองแหละที่มาสาย" มิเกลทำทียกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูก่อนจะตบมือเข้าหากัน "งั้นเรามาเริ่มประชุมกันเลย"
"นิค!" เสียงทุ้มร้องเรียกเพื่อนที่นั่งเหม่ออยู่ ก่อนจะหัวเราะร่วนเมื่อเห็นว่าเขาสะดุ้งอย่างสุดแรงจนแก้วกาแฟที่อยู่ใกล้มือถูกปัดร่วงลง เขายื่นมือออกไปข้างหน้าค้างไว้แต่แก้วกาแฟยังคงตกลงตามแรงโน้มถ่วงแต่โชคดีที่เพื่อนยื่นมือออกมารับไว้ก่อน
"ทำท่าอะไรของนายน่ะ ดีนะที่มีกาแฟอยู่แค่ก้นแก้วไม่งั้นคงจะหกไปแล้ว นอนน้อยงั้นเหรอสติถึงได้ไม่อยู่กับตัวแบบนี้"
"เปล่าหรอก แค่รู้สึกเหมือนลืมอะไรไป" นิคยกมือของตนขึ้นมามอง เขาไม่เข้าใจว่าทำไมถึงยื่นมือออกไปเฉย ๆ แทนที่จะคว้าแก้วที่ร่วงเอาไว้
"นั่นเพราะนายนอนน้อยยังไงล่ะ"
"คงงั้น" นิคมองออกไปนอกร้านก็เห็นรถของแม่จอดอยู่ เขาบอกลาเพื่อนแล้วตรงดิ่งไปยังรถที่จอดรออยู่
"วันนี้เป็นไงบ้าง ยังปวดหัวอยู่อีกไหม" ซูซานเอ่ยถาม
ตอนนี้เธอย้ายออกจากบ้านเดิมมาอยู่กับนิคสองคน หลังจากหย่ากับอาร์โนลเธอก็ยกบ้านหลังนั้นให้เขาไปผ่อนต่อส่วนเธอก็ย้ายออกมาอยู่กับนิคตามที่เคทลินได้บอกไว้ เธอแต่งเรื่องโกหกขึ้นมาว่าหลังจากที่นิคหนีออกจากบ้านในงานแต่งของเธอไปต่างเมืองเป็นปี อยู่ ๆ เขาก็ประสบอุบัติเหตุทำให้จำเรื่องราวบางอย่างไม่ได้ ด้วยความเป็นห่วงเธอจึงให้เขาย้ายกลับมาที่เมืองเดิม นิคไม่ได้ดูติดใจอะไรกับเรื่องนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างสองแม่ลูกเองก็ไม่ตึงเครียดเหมือนเมื่อก่อนแล้วเธอจึงสบายใจที่นิคสามารถอยู่กับเธอได้โดยไม่รู้สึกอึดอัด เขาเล่าเรื่องที่เจอในแต่ละวันให้เธอฟังอยู่เสมอ ส่วนอาการปวดหัวที่เธอถามถึงเป็นผลกระทบจากการลบความทรงจำที่จะทำให้ปวดหัวบ้างในบางครั้ง
"ไม่แล้วครับ ช่วงหลายสัปดาห์มานี้ไม่มีอาการปวดหัวเลย ร่างกายคงจะฟื้นตัวแล้ว" นิคตอบขณะเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างทิวทัศน์ที่คุ้นเคยของเมืองนี้ยังคงน่าเบื่อเหมือนเดิม เต็มไปด้วยตึกที่แออัดพลอยให้รู้สึกอึดอัดตามไปด้วย
'ขณะนี้ทางสภาเวทมนตร์แห่งเลควูดได้ออกมารับผิดถึงเหตุการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้นในช่วงหลายเดือนที่ผ่าน ยูริเอล โฮปประธานสภาเวทมนตร์ได้ออกมาขอโทษต่อสิ่งที่เกิดขึ้น'
เสียงข่าววิทยุในรถดังขึ้นแต่นั่นไม่ได้ดึงดูดความสนใจของนิคเลยแม้แต่น้อย ซูซานมั่นใจได้ว่าความทรงจำของนิคนั้นถูกเคทลินลบออกไปแล้วจริง ๆ ช่วงนี้เธอไม่ได้ข่าวคราวจากเพื่อนเลยเพราะเธอสั่งห้ามไม่ให้ติดต่อหรือไปหาโดยเด็ดขาดเพื่อความปลอดภัยของทั้งสอง ซูซานจึงอาศัยการอ่านหรือฟังข่าวเพื่อทราบถึงความเป็นไปในสถานการณ์ทางฝั่งเคทลินแทน
"ขยายอำนาจไปเพื่ออะไรคะ คนของเราก็มีอยู่แค่หยิบมือเดียว ส่วนใหญ่ยังอาศัยอยู่ในเวควูดด้วย เราปักหลักอยู่แค่ที่นี่ก็พอแล้วค่ะ" นักเวทสาวหน้าใหม่พูดแย้งทุกประเด็นที่อีกฝ่ายเสนอ เคทลินเหลือบมองมิเกลสลับกับนักเวทคนนี้เป็นพัก ๆ เธอเกรงว่าหากพูดหากยังแย้งอยู่แบบนี้การประชุมครั้งถัดไปคงไม่ได้เห็นเธอคนนี้ในที่ประชุมอีกแน่ ๆ
'เธอไม่ต้องกังวลไปหรอก อัสมิตาเป็นคนที่รู้จักหลบหลีก ถึงส่วนใหญ่จะชอบพุ่งใส่เขาน่ะนะ'
โทรจิตของเฟรย์ไม่ได้ช่วยให้เคทลินรู้สึกสบายใจขึ้นเลยแม้แต่น้อย
"อัสมิตาพูดถูก เราจะขยายอำนาจไปทำไมในเมื่อเรามีอยู่เพียงน้อยนิด" เคทลินลุกขึ้นเสนอเพื่อเบนเป้าของมิเกลมาทางเธอ เธอค่อนข้างมั่นใจว่าเขาคงไม่กล้าที่จะฆ่าเธอ ไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลอะไรที่ทำให้เธอมั่นใจได้ขนาดนี้ และตามคาด มิเกลหันมาให้ความสนใจกับเธอแทน
"เพื่ออำนาจไง คุณโจนส์" มิเกลยิ้ม "พลังที่เหนือกว่าเทคโนโลยีของพวกนั้น พลังจากธรรมชาติที่ไม่ทำลายโลกใบนี้ และด้วยพลังนี้เราสามารถที่จะต่อรองกับขั้วอำนาจอื่นได้ และเหล่านักเวทที่มีอยู่น้อยนิดเหล่านี้ก็จะเพิ่มปริมาณมากขึ้นจนสามารถเทียบเท่าพวกคนที่ไร้พลังได้"
เคทลินพยายามที่จะไม่เบ้ปากเมื่อได้ยินสิ่งที่มิเกลพล่ามออกมา เทคโนโลยีใหม่ทำลายธรรมชาตินั่นก็จริง แต่การจะขยายอำนาจเธอไม่เห็นด้วยเท่าไหร่
"จะทำด้วยสันติวิธี" เคทลินย้อนถาม
"สันติไม่ใช่ทางออกของทุกปัญหา เราควรจะแสดงให้เห็นถึงพลังที่เรามีเพื่อสร้างความยำเกรงเหมือนที่ปรากฏอยู่ในข่าวตอนนี้"
"งั้นคนพวกนั้นก็ฝีมือคุณทั้งหมดสินะคะ" อัสมิตาถามอย่างคาดคั้นคำตอบเกี่ยวกับเรื่องที่กำลังเป็นข่าวอยู่ในขณะนี้ และคนที่ออกหน้ารับเรื่องนี้กลับกลายเป็นยูริเอลเสียอย่างนั้น
มิเกลแสยะยิ้มครู่หนึ่งก่อนจะเปลี่ยนมายิ้มหวานแบบปกติ "ไม่ปฏิเสธ" เขาตอบอย่างหนักแน่น
อัสมิตากำหมัดแน่นจนนักเวทเฒ่าที่นั่งข้างกันต้องยกมือขึ้นห้ามเธอไว้
"อะแฮ่ม" ยูริเอลกระแอมขึ้น "สิ่งที่คุณพูดมันก็มีส่วนและผมเห็นด้วยเรื่องขยายอำนาจ"
คำพูดของยูริเอลทำให้ฝ่ายค้านมิเกลนั้นต้องตะลึง เฟรย์เบิกตากว้างอย่างที่ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน เกว็นเผลอกำหินที่อยู่ในมือซ้ายแน่นจนมันแตกออก ทุกคนต่างคิดว่ายูริเอลนั่นไม่เห็นด้วยกับมิเกลมาโดยตลอดเพราะเขานั้นถูกมิเกลให้ออกหน้ารับผิดทุกอย่างที่เขากระทำลงไป
'ไอ้เวร! เราก็นึกว่าจะอยู่ด้วยกัน' เคทลินส่งโทรจิตไปยังยูริเอล เขาหันมามองหน้าเธอเมื่อได้ยินสิ่งที่เธอพูด
'เพื่อผลประโยชน์ อย่างไรก็ต้องเลือกฝั่งที่มีความเป็นไปได้มากกว่าอยู่แล้ว'
เมื่อได้ฟังสิ่งที่ยูริเอลตอบกลับเธอก็ลุกขึ้นยืนแล้วง้างหมัดพุ่งปราดไปยังเขาที่นั่งนิ่งอยู่ ชั่วพริบตาเดียวเธอก็ล้มลงไปกองกับพื้นในขณะที่ยูริเอลยังนั่งนิ่งอยู่ เมื่อครู่เขาเพียงแค่วาดมือไปในอากาศแล้วเคทลินที่ปะทะแรงลืมนั้นก็ล้มตึงลงกับพื้น
เคทลินกัดฟันกรอดพลางยันตัวเองลุกขึ้นมา เธอรู้สึกอับอายที่ถูกทำให้ขายหน้าต่อหน้าคนอื่น แต่นั่นก็เป็นเพราะเธอขาดสติเอง
"ไม่ทะเลาะกันสิ เราต้องคุยกันแบบสันติ" มิเกลเน้นคำท้ายประโยคให้ได้ยินชัดเจนเพื่อย้ำถึงสิ่งที่เคทลินเพิ่งพูดไปก่อนหน้า
"สันติของเราคงจะไม่เหมือนกัน" เคทลินยังคงจับจ้องยูริเอลอย่างเคียดแค้น "วันนี้ฉันพอแล้ว จะทำอะไรต่อก็เชิญ ฉันจะค้านทุกอย่างที่เสนอมา"
เฟรย์มองตามแผ่นหลังของเคทลินไปจนเธอออกจากห้องประชุมแล้วปิดประตูเสียงดังแล้วเลื่อนสายตามามองยูริเอลที่นั่งนิ่งไม่สบตาใครทั้งสิ้น
"คนทรยศ" เฟรย์พูดขึ้น เขาหวังว่าคำพูดของเขาจะลอยไปเข้าหูใครบางคนจนได้สติเสียบ้าง
การประชุมยังคงดำเนินต่อไปแม้สมาชิกจะมีไม่ครบ และผลการประชุมออกมาว่าจะทำตามแผนที่มิเกลวางไว้ โดยจะเริ่มขึ้นในเร็ววัน
"เธอเป็นฝ่ายบอกฉันเองว่าเราอย่ามาเจอกันเลยจะดีกว่า" ซูซานพูดล้อเลียนกับคนที่นั่งอยู่เบาะข้างในขณะที่เธอกำลังขับรถไปตามถนนเพื่อไปรับนิค
"แล้วทำไมอยู่ ๆ ถึงโผล่มานี่ได้ล่ะ" ซูซานตวาดแว้ดใส่เพื่อนสาวที่กำลังปรับเบาะให้เอนไปข้างหลัง เคทลินหันมามองเธอนิ่งแต่ก็ยังคงปรับเบาะต่อไปจนได้องศาที่พอดี
"แค่มาเช็กความเรียบร้อย" เคทลินยกมือถือขึ้นมากดปิดเครื่องแล้วเอามันหย่อนลงในกระเป๋าใบเล็กจิ๋วที่ใส่สารพัดสิ่งไว้ในนั้น มันเป็นกระเป๋าใบเดียวกับตอนที่เคทลินล้วงยาระบายมาให้กับเธอ ซูซานจินตนาการเอาว่าหากมีกะโหลกคนอยู่ในนั้นคงไม่ใช่เรื่องแปลก
"ไม่มีของพรรค์นั้นอยู่ในกระเป๋าฉันหรอกย่ะ" เคทลินตอบความคิดของซูซาน เธอสนุกที่ได้แกล้งซูซานที่ไม่มีขอบเขตความรู้เรื่องเวทมนตร์เลย ท่าทางของเธอจะดูตกใจไปกับทุกอย่างที่เป็นเวทมนตร์
"เป็นความสามารถที่แย่มาก มาแอบอ่านความคิดคนอื่นได้ไง" ซูซานโวยวาย
"ฉันไม่อ่านก็ได้ แค่อยากแกล้งเธอเล่น" เคทลินเหยียดยิ้มก่อนจะหลับตาเอนหลังราบไปกับเบาะ
"แล้วที่โผล่มานั่งในรถฉันคงไม่ได้โผล่มาเล่น ๆ หรอกใช่มั้ย"
"อืม จริง ๆ ก็หนีประชุมมา" เคทลินมองออกไปข้างนอก รถจอดอยู่หน้าร้านกาแฟร้านประจำของเธอกับซูซาน เธอทอดสายตามองเข้าไปในร้านก็เห็นนิคนั่งจดบางอย่างขยุกขยิกอยู่ ครู่ต่อมาเขาเงยหน้าขึ้นเหมือนรู้ว่ามีคนจ้องมองอยู่
"เธอจะไปกับฉันต่อมั้ย หลังจากนี้ฉันว่าจะไปกินมื้อเย็นต่อ--" ซูซานหันไปทางเคทลินก็เจอแต่ความว่างเปล่า เบาะนั่งเองก็ถูกปรับให้ตั้งตรงเหมือนเดิม เธอตบแก้มตัวเองเบา ๆ อย่างไม่มั่นใจว่าเมื่อครู่ที่เธอเห็นเป็นภาพหลอนหรือเรื่องจริง
ก๊อก ๆ
เสียงเคาะกระจกรถดังขึ้น เป็นนิคที่ยืนรอให้เธอปลดล็อกประตูเพื่อให้เขาเข้าไปนั่งข้างใน
"เราจะไปที่ร้านเดิมใช่มั้ยครับ" นิคถามขึ้นเมื่อเข้ามานั่งในรถแล้ว
"อื้อ ใช่ ร้านเดิม" ซูซานทิ้งความสงสัยต่อเหตุการณ์เมื่อครู่ไปก่อนจะออกรถไปยังจุดหมาย
เคทลินยืนนิ่งอยู่หน้าหม้อปรุงยาขนาดใหญ่ที่มีของเหลวสีเหลืองนวลในหม้อจากนั่นจึงหยิบดอกเบญจมาศแห้งลงไปต้มต่อ ในหัวคิดพลางหาวิธีหยุดยั้งแผนการของมิเกล แต่เมื่อยูริเอลไปเข้าพวกกับทางนั้นก็คงจะเป็นเรื่องยากขึ้นมา การที่เขาเป็นประธานสภาเวทมนตร์ได้นั่นหมายความว่าฝีมือของเขาต้องยอดเยี่ยมจนทุกคนยอมรับให้เขารับตำแหน่งนั้น และเธอได้ประมือกับเขานับครั้งไม่ถ้วนแต่ก็ไม่เคยที่จะชนะเขาได้สักครั้ง แล้วเมื่อเขาไปรวมตัวกับมิเกลที่เธอคาดเดาความสามารถของเขาไม่ได้ก็ยิ่งทำให้ยากต่อการวางแผน
"เป็นนายจะทำยังไงเรเวน" เคทลินเอ่ยถามเจ้าหุ่นไล่กาที่นั่งอยู่ไม่ห่าง เขาผงกหัวขึ้นจากหนังสือในมือ สายตาที่ว่างเปล่านั้นมองเคทลินนิ่งท่าทางเหมือนกำลังครุ่นคิดบางอย่าง
"ช่างมันเถอะ ฉันไม่ได้คาดหวังคำตอบนักหรอก"
"ฆ่ามิเกลเรื่องทุกอย่างคงจะจบ" เรเวนพูดเสียงเรียบ
เคทลินอึ้งกับคำตอบของเรเวนจนหยุดการกระทำทุกอย่างแล้วมองไปทางเขา
"บางทีความคิดของนายก็น่ากลัวนะ" เคทลินบอก เธอเริ่มอยากจะรู้มากขึ้นแล้วสิว่าในหัวของเรเวนนั้นคิดอะไรอยู่บ้าง อะไรทำให้เขาคิดเรื่องแบบนั้นออกมาได้
"นั่นสิ ที่ฉันพูดออกมาแบบนั้นเพราะว่าเมื่อกี้ในหัวมันฉายภาพคนคนหนึ่งกำลังทำร้ายฉันอยู่ ตัวฉันในภาพนั้นเลยใช้แจกันฟาดหัวเขา ในตอนนั้นมีแต่ความคิดว่าต้องฆ่าเขาเท่านั้นฉันถึงจะรอด"
เคทลินยิ่งนิ่งอึ้งเมื่อได้ฟังสิ่งที่เรเวนเห็น ความทรงจำของเรเวนนั้นมีความทรงจำของเธอกับนาธานที่เผลอใส่เข้าไปอยู่ในนั้น แต่ไม่ยักรู้ว่าจะมีความทรงจำส่วนอื่นแทรกเข้าไปด้วย
"นายแน่ใจนะว่าไม่อยากให้ฉันแก้หรือลบความทรงจำพวกนั้นให้น่ะ" เธอยื่นข้อเสนอเดิมให้กับเรเวน การที่เธออ่านใจหรือจับความคิดเขาไม่ได้นั้นเกรงว่าสักวันหนึ่งถ้าเรเวนเกิดมีความคิดพิลึกพิลั่นขึ้นมาจะลำบากเข้า
"ขอบใจ แต่ไม่ดีกว่า ความรู้สึกพวกนี้ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนมีชีวิตจริง ๆ" เรเวนตอบปฏิเสธตามเดิม เขาเอามือทาบอกบริเวณหัวใจเหมือนทุกครั้ง เคทลินเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าที่เธอสร้างเรเวนขึ้นมานั้นทำให้ตัวเขาเองต้องทรมานหรือเปล่า
เคทลินหันกลับไปสนใจยาในหม้อต้มต่อ เธอทำมือหมุนวนเหนือของเหลวในหม้อพลางร่ายเวทไปด้วยในหัวเองก็คิดหาวิธีต่อกรกับมิเกลต่อไป ทันใดนั้นมือที่กำลังหมุนวนของเธอก็หยุดกึก เธอรีบเดินกึ่งวิ่งไปยังประตูบ้านในทันที
เคทลินสัมผัสได้ถึงใครบางคนที่เข้ามาในเวทอาณาเขตที่เฟรย์กางไว้ ด้วยพลังเวทของเฟรย์ต่อให้อีกฝ่ายจะลบร่องรอยเวทก็ตามแต่ทันทีที่ก้าวเท้าเข้ามาเธอและเฟรย์ก็จะรับรู้ได้ว่ามีคนเข้ามาในพื้นที่ที่กางเวทอาณาเขตไว้ อยู่ ๆ เธอก็นึกอยากได้เทคโนโลยีของแวมไพร์ที่ไมเคิลเคยเปลี่ยนลูกไฟให้เป็นนิมิตของสิ่งที่ผ่านไปมาในบริเวณที่ติดตั้ง
"สายัณห์สวัสดิ์ครับคุณโจนส์" ผู้มาเยือนเอ่ยทักเมื่อประตูถูกเปิดออก
มิเกลย่างสามขุมเข้ามาหาเคทลินที่ยังยืนนิ่งอยู่บริเวณทางเดิน เขาทำทีเป็นหันซ้ายหันขวาสำรวจสิ่งต่าง ๆ ในบ้านแต่ทุกย่างก้าวของเขานั่นทำให้ระยะห่างระหว่างเขาและเธอสั้นลงเรื่อย ๆ เรเวนที่ตามขึ้นมาสมทบเดินเข้ามาขวางเธอไว้
"ผมมาที่นี่เพื่อคุยกับคุณโจนส์" พลันรอยยิ้มของมิเกลได้หายไปจากใบหน้าของเขา "ไม่ได้มาเพื่อคุยกับหุ่นไม่สมประกอบแบบแก"
เคทลินดึงรั้งแขนของเรเวนไว้ไม่ให้เขาพุ่งเข้าใส่อีกฝ่าย เธอกลัวว่าหากเรเวนพุ่งตัวเข้าใส่อีกฝ่ายคงไม่ปล่อยเขาไปเฉย ๆ แน่ เธอบอกให้เขาลงไปเฝ้าหม้อปรุงยาข้างล่าง หากมีอะไรเธอจะเรียกเขาขึ้นมาเอง แล้วเรเวนจึงยอมทำตามที่เธอบอกแต่ก็ไม่วายหันกลับไปมองมิเกลอีกหนหนึ่งก่อนจะเดินลงไปยังห้องปรุงยา
"หุ่นไม่สมประกอบนั่นผมทำลายให้ได้นะถ้าเธอต้องการ"
"อย่ามาแตะต้องของของฉัน!" เคทลินรีบเคลื่อนตัวมาขวางแล้ววาดแขนไขว้กันทันทีที่มิเกลทำทีเดินตามเรเวนไป
"ก็ได้ งั้นเรามาคุยกันต่อจากที่เธอโดดประชุมเมื่อวาน" มิเกลเอ่ย เขาถอยหลังไปหนึ่งก้าวเพื่อให้เธอลดการป้องกันลง
"เลิกประชุมก่อนเวลา" เคทลินแก้ เธอลดแขนลงแล้วจึงเดินนำไปยังห้องนั่งเล่นแต่กลับถูกเขาคว้าแขนไว้แทน
"ผมต้องการความเป็นส่วนตัว พาไปที่ห้องของคุณสิ" มิเกลร้องขอแกมออกคำสั่ง
เคทลินไม่มีทางเลือกนอกจากต้องทำตามใจเขา ใครจะไปรู้ว่าเขาอาจจะเป็นบ้าเผาบ้านหลังนี้ขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ได้ อีกอย่างสักประเดี๋ยวเฟรย์ก็คงจะมาที่บ้านเพราะรับรู้ได้ถึงบุคคลที่เข้ามาในเวทอาณาเขตนี้ และเธอก็ไม่ได้ส่งข้อความบอกเขาว่าคนที่เข้ามาเป็นใคร เพราะงั้นถ้าเกิดอะไรขึ้นเฟรย์ก็จะมาเป็นกำลังเสริมให้เธอเอง
ทั้งสองมาหยุดหน้าห้องที่มีลูกบิดสีทองโดดเด่นจากห้องอื่น มิเกลมองมันอย่างสนใจพลางฉีกยิ้มออกมา
"สวยดีนี่" มิเกลเอ่ยชมเขาเปิดเข้าไปในห้องโดยไม่รอให้เคทลินได้อนุญาต เขาทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงอีกทั้งยังสอดส่องสายตาไปทั่วห้องก่อนจะสะดุดกึกกับบางอย่างแล้วยิ้มออกมา
"คนเรามักเก็บความลับไว้ใกล้ตัวเสมอ" มิเกลเกริ่น เขาลุกขึ้นไปยังจุดที่สนใจโดยมีสายตาของเคทลินมองตาม เขามาหยุดอยู่ที่หน้ารูปของนาธานแล้วหยิบมันขึ้นแกะเอารูปในกรอบ
"ฉันบอกแล้วนะว่าอย่ามายุ่งกับของของฉัน!" เคทลินคำราม เธอวาดมือไปในอากาศหวังปัดมือของมิเกลให้พ้นทาง แต่เขากลับใช้มือนั้นปัดเวทของเธอให้พ้นตัวได้ราวกับปัดขี้ฝุ่นออกจากเสื้อเสียอย่างนั้น
"เวทขี้ปะติ๋วแบบนั้นทำอะไรผมไม่ได้หรอกนะ" มิเกลหัวเราะในลำคอ เขาดีดนิ้วหนหนึ่งพลันเกิดประกายไฟในมือ เขานำรูปในมือมาจ่อกับเปลวไฟแต่ทันได้นั้นก็มีน้ำสายหนึ่งสาดใส่เขาในทันที
"โทษที ฉันกะปริมาณไม่ถูกน่ะ" เคทลินแสร้งทำเป็นขอโทษขอโพย แต่ไฟแค้นได้ก่อขึ้นในใจเธอแล้ว "เรามาคุยกันดีกว่า"
"จริงของเธอ ผมออกนอกเรื่องเอง" มิเกลปล่อยรูปในมือลงให้มันร่วงลงกับพื้น ตอนนี้ทั้งตัวเขานั้นเปียกชุ่มไปด้วยน้ำที่เคทลินเพิ่งร่ายเวทใส่ เขาใช้ร่างเปียก ๆ นั้นนั่งลงบนเตียงของเธอ แล้วจึงเริ่มพูด
"ผมอยากให้เธอเข้าร่วม--"
"ไม่!" เคทลินปฏิเสธทันควันโดยไม่รู้ให้มิเกลพูดจบ
"ผมรู้นะว่าคุณทำอะไรกับลูกของผม"
"ของฉัน"
รอยยิ้มของมิเกลหายไปจากใบหน้า เขาถลึงตามองเธอที่กล้าพูดออกมาว่านิคเป็นของของเธอ
"ได้ ผมพอจะรู้สาเหตุที่คุณปฏิเสธผม เพราะผมมีหน้าตาเป็นแบบนี้สินะ
เคทลินยืนกอดอกงงกับคำพูดของมิเกล จริงอยู่ที่เขามีหน้าตาหล่อเหลา แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าหน้าตาของเขาจะเป็นปัจจัยในการตัดสินใจของเธอ
"ผมคงต้องใช้หน้านี้" ใบหน้าของมิเกลเริ่มบิดเบี้ยวเล็กน้อยจมูกที่เชิดขึ้นนั้นค่อยๆ งองุ้มลงมาเล็กน้อย ดวงตาและริมฝีปากยังคงเค้าเดิม แต่นัยน์ตาสโมคกี้ควอตซ์เปลี่ยนเป็นสีเฮเซลนัท
เคทลินนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งเมื่อเห็นใบหน้าของนาธานปรากฏขึ้นแทนที่หน้าของมิเกล เธอทั้งอึ้งและรู้สึกมวนท้องอย่างบอกไม่ถูกเมื่อเห็นใบหน้าของคนรักที่จากไปแล้วกำลังขยับไปมาอยู่ตรงหน้า
"เป็นไงล่ะ ถ้าเป็นแบบนี้คุณจะยอมร่วมมือกับผมหรือเปล่า คุณจะไม่ได้แค่ใบหน้าของเขาเท่านั้น ผมสามารถที่จะปลุกเขาจากความตายได้ด้วยนะ" มิเกลเอ่ยด้วยใบหน้าและน้ำเสียงของนาธาน "หรือผมต้องสัมผัสคุณเหมือนที่เขาเคยทำด้วยล่ะ"
"ฉันเคยบอกแล้วว่าอย่ามายุ่งกับของของฉัน แล้วอย่าพูดอะไรทุเรศ ๆ ด้วยใบหน้านั้นด้วย!" เคทลินสวนหมัดใส่หน้าของมิเกลอย่างจัง ถ้าฟังไม่ผิดเมื่อครู่เธอได้ยินเสียงจมูกของเขาหักจากแรงต่อยที่อัดพลังเวทเข้าไปด้วย
ใบหน้าของมิเกลกลับสู่สภาพเพิ่มยกเว้นจมูกที่บิดเบี้ยวเล็กน้อย เขาจับมันเข้าที่อย่างไม่ยี่หระต่อความเจ็บปวดและเลือดที่ไหลออกมาเลยแม้แต่น้อย
"วันนี้ผมยอมให้คุณไปก่อนแล้วกัน" มิเกลพูด ดวงตาของเขาฉายแววโกรธครู่หนึ่งก่อนหน้าของเขาจะกลับมายิ้มทั้งที่มีคราบเลือดและร่องรอยจากหมัดของเคทลินปรากฏอยู่ "ความจริงที่ผมมาวันนี้ไม่ได้มีแค่เรื่องเดียวเท่านั้น"
เคทลินสะบัดมือที่เพิ่งกระแทกหน้าหล่อ ๆ ของมิเกลด้วยความเจ็บแปลบ เธอถอยไปตั้งหลังหนึ่งก้าวแล้วรอฟังมิเกลพูดต่อ
"คุณคงจะตกใจน่าดูถ้ารู้ว่าทุกคนรอบตัวคุณล้วนเกี่ยวข้องกับผมทั้งหมด" มิเกลหัวเราะออกมาราวกับคนเสียสติ
"จะลองเดาดูใหม่ว่าหวานใจของคุณเขาเกี่ยวข้องกับผมอย่างไร" เขาพูดพลางหัวเราะ เสียงหัวเราะของเขาชวนให้เคทลินคิดว่าเขาคงเป็นบ้าไปแล้วแน่ ๆ
"เคท!" เสียงของเฟรย์ดังขึ้นในบ้านตามมาด้วยเสียงฝีเท้าของเขาที่วิ่งเข้ามาใกล้
"แหม ไม่สนุกเลยมีคนมาขัดจังหวะแบบนี้ แต่ผมจะเฉลยให้ก่อนแล้วกัน" มิเกลหยุดหัวเราะแล้วเหยียดยิ้มให้แทน
"นาธานเป็นพี่ชายของผมเอง" พูดจบมิเกลก็อันตรธานไปจากห้อง ในจังหวะเดียวกับเฟรย์ที่เปิดประตูเข้ามา
"ไอ้หมอนี่มันต้องโกหกแน่ ๆ" เคทลินพูดขึ้น เธอหันไปมองเฟรย์ด้วยสีหน้าที่ตกตะลึง