เคทลินกลับมาแก้แค้นเพื่อนรักอย่างซูซานที่ขโมยผลงานของเธอจนตัวเองโด่งดัง ในเมื่อผลงานเปรียบเสมือนกับลูกของเธอเคทลินจึงได้ขโมยลูกของซูซานเป็นการแก้แค้น

Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด - บทที่ 11 บทที่ 11 โดย s.BlackSheep @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,ดราม่า,ผจญภัย,พารานอมอล,ครอบครัว,เวทมนตร์,แฟนตาซี,นักเวท,เวทมนต์,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ดราม่า,ผจญภัย,พารานอมอล,ครอบครัว

แท็คที่เกี่ยวข้อง

เวทมนตร์,แฟนตาซี,นักเวท,เวทมนต์

รายละเอียด

Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด โดย s.BlackSheep @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

เคทลินกลับมาแก้แค้นเพื่อนรักอย่างซูซานที่ขโมยผลงานของเธอจนตัวเองโด่งดัง ในเมื่อผลงานเปรียบเสมือนกับลูกของเธอเคทลินจึงได้ขโมยลูกของซูซานเป็นการแก้แค้น

ผู้แต่ง

s.BlackSheep

เรื่องย่อ

เพราะการแก้แค้นนั้นหอมหวานและทำให้คนคนหนึ่งยอมเปลี่ยนตัวตนเพื่อการแก้แค้นอดีตเพื่อนรัก หากแต่การแก้แค้นของเคทลินนั้นทำให้ใครอีกคนได้ค้นพบการดำเนินชีวิตแบบใหม่ที่เขาเองก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อน การอยู่ร่วมกันของเคทลินและนิคนั้นจะเป็นเหมือนแม่เหล็กคนละขั้วที่แตกต่างแต่ก็ดึงดูดเข้าหากันเสมอ

เมื่อนิคได้เข้ามาในโลกของนักเวทก็เกิดสิ่งที่ไม่คาดฝันมากมาย แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อเขาเป็นคนเลือกที่จะเดินทางนี้เอง และเขาไม่ได้โดดเดี่ยวเพราะมีคนคอยดูแลอย่างเคทลินแห่งเลควูดคอยตามเป็นห่วงอยู่ไม่ห่าง และดูเหมือนจะมีเรื่องวุ่นๆ หลายอย่างรอทั้งสองอยู่เบื้องหน้า

สารบัญ

Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 0 บทที่ 0,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 1 บทที่ 1,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 2 บทที่ 2,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 3 บทที่ 3,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 4 บทที่ 4,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 5 บทที่ 5,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 6 บทที่ 6,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 7 บทที่ 7,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 8 บทที่ 8,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 9 บทที่ 9,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 10 บทที่ 10,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 11 บทที่ 11,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 12 บทที่ 12,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 13 บทที่ 13,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 14 บทที่ 14,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 15 บทที่ 15,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 16 บทที่ 16,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 17 บทที่ 17,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 18 บทที่ 18,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 19 บทที่ 19,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 20 บทส่งท้าย,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 21 ตอนพิเศษ

เนื้อหา

บทที่ 11 บทที่ 11

"นั่นนายจะเอาดอกไม้ไปไหนน่ะนาธาน" ชายหนุ่มเอ่ยถามเมื่อเห็นพี่ชายของตนฮัมเพลงระหว่างจัดช่อดอกไม้ไปด้วย

"อ้อ ก็เอาไปให้คนรู้จักน่ะ" นาธานตอบอย่างเขิน ๆ ดวงตาสโมคกี้ควอตซ์ที่ต้องแสงแดดของเขาฉายความสุขออกมาขณะจัดช่อดอกลิลลี่สีแดงไปด้วย

"คงไม่ใช่แค่คนรู้จักหรอกมั้ง" เขาผิวปากแซว "ทำตัวเป็นวัยรุ่นไปได้ เราอายุกี่ร้อยปีกันแล้ว อีกอย่างถ้าอีกฝ่ายเป็นคนธรรมดานักเวทแบบเราก็มีแต่จะเจ็บปวดที่ต้องเห็นเขาตายไปในขณะที่เรายังอยู่ต่อได้อีกหลายปี"

"มิเกล ครั้งนี้ฉันตั้งใจจะลบพลังเวทออกไปแล้วล่ะ"

"จะบ้าเหรอ ทำไมล่ะ ตอนนี้นายแข็งแกร่งที่สุดแล้วนะ ทำไมอยู่ ๆ ถึงได้ตัดสินใจแบบนั้นล่ะ" มิเกลโวยวาย เขาไม่เข้าใจว่านาธานจะทิ้งชีวิตยืนยาวที่แสนสุขสบายเพื่อคนคนนั้นทำไมกัน

"ฉันอยากจะเติบโตและแก่ตัวไปพร้อมกับเธอคนนั้น ดูเราตอนนี้สิ อายุตั้งเท่าไหร่แล้วแต่ยังสุขภาพดี ผิวเต่งตึงเหมือนวัยรุ่นอยู่เลย"

"นั่นถือเป็นข้อดีไม่ใช่รึไง ทำไมนายถึงพูดเหมือนมันเป็นข้อเสียล่ะ"

"ก็เพราะว่าฉันเบื่อที่จะต้องใช้ชีวิตแบบนี้ต่อไปแล้วไง" นาธานวางมือจากช่อดอกลิลลี่แล้วหันมาสบตากับมิเกลอย่างจริงจัง "ครั้งนี้ฉันพูดจริง เพราะงั้นต้องขอโทษด้วย"

"นี่นายจะทิ้งให้ฉันใช้ชีวิตต่อไปคนเดียวงั้นเหรอ" มิเกลพูดเสียงเรียบแต่แฝงไปด้วยโทสะที่กำลังก่อขึ้นในใจ เขาพุ่งไปจับไหล่อีกฝ่ายแล้วออกแรงบีบ

"ไม่ได้ทิ้ง ฉันก็ยังเป็นพี่ของนายเหมือนเดิมเพียงแค่อายุสั้นกว่านายก็แค่นั้น"

"ก็แค่นั้น นายทำเหมือนการตายเป็นเรื่องปกติ"

"มันเป็นเรื่องปกติสำหรับคนธรรมดาพวกนั้นมิเกล" นาธานแกะมือของน้องชายออกจากไหล่ เขาบีบมือมิเกลเบา ๆ ความคิดบางอย่างของเขากับน้องชายไม่ลงรอยกันมานานแล้ว มิเกลนั้นชื่นชอบในเวทมนตร์และหลงใหลในพลังของมัน ส่วนเขานั้นชอบที่จะใช้ชีวิตที่เรียบง่ายไม่ต้องพึ่งพลังเวทมากนัก หลายปีมานี้เขาเปลี่ยนงานไปหลายอาชีพและปัจจุบันก็ได้ทำร้านขายดอกไม้ขึ้นมา และมันก็เป็นงานที่เขาทำนานที่สุดในบรรดาทุก ๆ งานที่เคยทำ แต่ด้วยตำแหน่งจอมเวทสูงสุดนั้นรั้งให้เขาต้องใช้ชีวิตแบบนักเวทต่อไปจนเมื่อไม่กี่สิบปีก่อนเขาเพิ่งจะมอบตำแหน่งนี้ให้กับมิเกลต่อ ในตอนนี้เขาก็เหมือนกำลังใช้ชีวิตวัยเกษียณ ต่อให้หน้าตาของเขาจะยังใสกิ๊งเหมือนหนุ่มวัยยี่สิบปลาย ๆ ก็ตาม

"ฉันอยากให้นายอยู่กับฉันไปตลอด ฉันเพิ่งมีแผนใหม่ในการขยายอำนาจของนักเวท เพราะในตอนนี้จำนวนนักเวทเริ่มมีน้อยลงทุกที ฉันอยากให้นายคอยให้คำปรึกษาในเรื่องนี้ด้วย"

นาธานส่ายหน้าปฏิเสธ ทั้งที่เขาเคยปฏิเสธเรื่องนี้กับมิเกลไปหลายครั้งแล้วแต่ดูเหมือนทางนั้นจะไม่ยอมล้มเลิกความตั้งใจง่าย ๆ

"นายควรจะทำความเข้าใจได้แล้วนะว่าโลกมันเปลี่ยนไปเยอะแล้ว เราอยู่กันมาเกือบสามร้อยปี นายยังไม่เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงอีกเหรอ" นาธานถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย

เหตุผลที่พวกเขามีชีวิตยืนยาวกว่านักเวทคนอื่น ๆ เป็นเพราะพลังเวทบริสุทธิ์ที่ส่งต่อมาจากพ่อแม่ซึ่งเคยเป็นจอมเวทสูงสุดมาก่อน ยิ่งมีพลังเวทที่แก่กล้ามากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีอายุที่ยืนยาวมากยิ่งขึ้น ต่อให้ไม่เป็นอมตะแบบพวกแวมไพร์ก็เถอะแต่แค่หลักร้อยก็มากเกินพอสำหรับนาธานที่มักไปคลุกคลีกับผู้คนทั่วไปและต้องเห็นคนรู้จักจากไปเป็นจำนวนมาก นั่นทำให้เขาตระหนักและเห็นความเปลี่ยนแปลงที่มากพอที่จะทำให้เขาตัดสินใจที่จะทำอะไรอย่างการลบพลังเวทของตัวเองออกไป

"แต่พวกแวมไพร์ยังคงจำนวนประชากรได้เท่าเดิมอยู่เลยนะ" มิเกลแย้งขึ้น

"วิธีการใช้ชีวิตของแวมไพร์กับมนุษย์แบบเรามันต่างกัน ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกที่เขาจะอยู่รวมกลุ่มกัน หากให้มาอยู่ร่วมกับเราแล้ววันหนึ่งเกิดคลั่งขึ้นมามันจะเดือดร้อนกันน่ะสิ" นาธานอธิบายแต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ยอมแพ้

"ฉันจะทำให้นายเห็นเองว่าเราสามารถที่จะมีอำนาจเหนือคนพวกนั้น" มิเกลโต้ด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด "พวกเราไม่เหมือนกับคนธรรมดาพวกนั้น!"

"เมื่อถึงตอนนั้น ฉันจะเป็นคนหยุดนายเอง" นาธานตอบเสียงเรียบ

"กว่าจะถึงตอนนั้นนายก็คงจะทำลายพลังเวทของตัวเองไปแล้ว" มิเกลตอบก่อนจะหันหลังเดินจากไป

นับแต่วันนั้นทั้งสองก็ขาดการติดต่อไปนาน ระหว่างนั้นมิเกลได้ข่าวเรื่องคนรักของนาธานเสียชีวิต แต่เขาก็ไม่ได้ไปอยู่ข้างพี่ชายของตนเพราะมัวแต่ยุ่งอยู่กับการวางแผนการครั้งใหญ่ อีกทั้งกำลังรวบรวมสมาชิกภาคีในการขยายอำนาจครั้งนี้ และเขากำลังสนใจนักเวทน้องใหม่คนหนึ่งเป็นอย่างมาก เธอเคยเป็นคนธรรมดามาก่อนแล้วจึงหันมาพึ่งเวทในการแก้แค้นอริ นับว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยากในคนธรรมดาที่อยู่ ๆ ก็มีพลังเวทขึ้นมา เขาจับตาดูเธอเป็นเวลาหลายปี พลังของเธอแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากนั้นไม่นานเธอได้ห่างหายไปจากสภา สายข่าวของเขารายงานว่าในบางครั้งที่เธอมายังสภาเธอมักจะพาชายคนหนึ่งมาด้วยและฝากเขาไว้ในห้องทำงานของเฟรย์เมื่อต้องเข้าประชุม มิเกลไม่พอใจขึ้นมาที่เธอบังอาจพาคนนอกเข้ามาในสภาของนักเวท การประชุมครั้งถัดไปมิเกลลอบเข้าไปยังห้องทำงานของเฟรย์ขณะที่ทุกคนไปประชุมกัน มีใครบางคนนั่งอยู่บนโซฟาตัวยาว ในมือเปิดหนังสืออ่านอย่างสบายใจและดูเหมือนเขาจะไม่รู้เลยว่ามีใครบางคนเข้ามาในห้อง

"อะแฮ่ม" มิเกลกระแอมเรียกความสนใจจากชายคนนั้น ทันทีที่เขาหันมาหัวใจของมิเกลก็กระตุกวูบ

"ทิวาสวัสดิ์ มิเกล" เสียงปิดหนังสือในมือของเขาดังขึ้นหลังจากที่ทักทายเสร็จ "ไม่เจอกันหลายปีเลยนะ"

นัยน์ตาเป็นประกายสโมคกี้ควอตซ์ของอีกฝ่ายได้เปลี่ยนเป็นสีเฮเซลนัท บนใบหน้ามีริ้วรอยปรากฏขึ้นตามวัย ผมสีน้ำตาลหม่นมีเส้นผมสีขาวขึ้นแซมประปราย เขาระบายยิ้มบาง ๆ ให้กับน้องชายที่ไม่ได้เจอกันนาน

"นายลบพลังเวทออกไปแล้วงั้นเหรอ" มิเกลปรี่เข้าไปจับไหล่ของพี่ชาย ในตอนนั้นเองเขาเพิ่งตระหนักได้ถึงช่วงอายุที่ต่างกันของนักเวทกับคนธรรมดา เขาไม่คุ้นชินกับความเปลี่ยนแปลงของนาธานโดยเฉพาะดวงตาที่บ่งบอกได้ชัดเจนว่าเขาได้เป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่ง

"ใช่แล้ว อย่างที่นายเคยบอกไว้ว่ากว่าจะถึงตอนนั้นฉันคงทำลายพลังเวทของตัวเองไปแล้ว"

"คนรักของนาย" มิเกลพูดถึงคนรักของนาธานที่ตายจากไป

"อ้อ นายคงได้ข่าวแล้ว" ดวงตาของเขาฉายแววเศร้าหนึ่ง

"แล้วเด็กใหม่นั่น หึ" มิเกลหัวเราะในลำคอ "สุดท้ายนายก็หนีไม่พ้นชีวิตที่ต้องพัวพันกับเวทมนตร์อยู่ดี"

"นั่นก็ใช่ ฉันเจอกับเคทตอนที่ฉันลบพลังเวทแล้ว และเธอก็ไม่รู้ว่าฉันเป็นนักเวทมาก่อน เพราะงั้นอย่าบอกเธอล่ะ" นาธานเอานิ้วชี้ทาบริมฝีปากแล้วขยิบให้กับน้องชาย

"ทำไมล่ะ" มิเกลไม่เข้าใจ จังหวะเวลาของสองคนนี้ช่างสวนทางกัน คนหนึ่งเบื่อเวทและทิ้งชีวิตยืนยาวไว้ ส่วนอีกคนสนใจศึกษาเวทเป็นอย่างมากและได้รับพลังจากเวทให้ชีวิตยืนยาวขึ้น

ช่างน่าขันจริง ๆ

"ฉันไม่อยากให้เธอรู้ว่าฉันเป็นใครมาก่อน" นาธานตอบพลางลูบตัวอักษรนูนบนสันหนังสือไปมา

"นายหมายถึงนักเวทสูงสุดน่ะเหรอ"

"ใช่ เพราะเธออาจจะลากฉันเข้าไปยุ่งเกี่ยวเวทอีกครั้งก็ได้"

"เธอมีอิทธิพลกับนายขนาดนั้นเลย" มิเกลเลิกคิ้ว

"มากเลยล่ะ แค่เพียงเธอเอ่ยปากขอให้ฉันกลับมาใช้เวทแล้วมีชีวิตยืนยาวกับเธอ ฉันคงจะไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย" นาธานยิ้มเขิน ๆ เมื่อนึกถึงการใช้ชีวิตร่วมกับเคทลิน

"แต่นายจะทำแบบนั้นได้ไงในเมื่อนายลบพลังเวทออกไปแล้ว"

"อันที่จริงฉันก็ไม่ได้ลบหรอกนะ ก็แค่บีบอัดพลังนั้นให้เล็กลงแล้วซ่อนมันไว้ที่ไหนสักที่ เมื่ออยากใช้พลังนั้นขึ้นมาก็ปลดล็อกมันออก เหมือนกับการบีบอัดไฟล์กับแตกไฟล์น่ะแหละ"

"นายทำแบบนั้นได้ไง"

นาธานผายมือออกแล้วยักไหล่ตอบ "นายก็รู้ เวทพวกนี้มันมีอะไรที่ไม่คาดคิดเสมอ สักวันนายก็คงได้เจอกับพลังใหม่ ๆ"

"งั้นนายก็ปลดล็อกพลังนั้นเสียสิ จะได้ใช้ชีวิตอยู่กับเด็กนั่นแล้วช่วยฉันขยายอำนาจ --"

"โว้ว น้องชาย นายยังไม่หยุดเรื่องนี้อีกงั้นเหรอ" นาธานเอ่ยแทรกขึ้น

"ฉันจริงจังกับเรื่องนี้นะ" มิเกลพูดย้ำ สายตาจ้องเขม็งไปยังนาธาน

"ฉันนึกว่านายล้มเลิกมันไปแล้วเสียอีก มันผ่านมาเป็นปี ๆ แล้ว แต่นายไม่เคลื่อนไหวอะไรเลย"

"จนกว่าทุกอย่างพร้อมฉันจะเคลื่อนไหวแค่ในความมืดเท่านั้น"

นาธานยกมือขึ้นลูบหน้า เขารู้นิสัยของน้องชายดี โดยปกติเขาจะลงมือทำทันทีที่คิดอะไรได้ แต่หากเมื่อไหร่มิเกลวางแผนอย่างรอบคอบ แผนนั้นมักประสบผลสำเร็จอยู่เสมอ

"ขอบคุณที่นายโผล่มาที่สภา มันทำให้ฉันได้รู้ว่าฉันยังมีขุมพลังสำรองในการต่อกรกับคนพวกนั้นอยู่" มิเกลระบายยิ้มให้ผู้เป็นพี่ก่อนจะย่างเท้าเข้าใกล้เขา

นาธานเดินถอยก้าวหนึ่ง เขาพลาดที่บอกให้มิเกลได้รู้ถึงพลังที่ถูกบีบอัด และในตอนนี้เขาไม่สามารถเรียกใช้พลังนั้นได้

"นายจะยอมเข้าร่วมกับฉันใช่ไหม" สายตาของมิเกลจดจ้องที่พี่ชาย เขากำมือเข้าหากันนั่นทำให้นาธานรู้สึกขาดอากาศหายใจราวกับถูกมือที่มองไม่เห็นบีบคออยู่

"ตอนนี้นายสู้ฉันไม่ได้หรอก ใช่ไหมล่ะ" มิเกลกำมือแน่นขึ้น เขายิ้มขณะมองนาธานที่ครั้งหนึ่งเคยเหนือกว่าเขาล้มลงกับพื้น เขาจับโต๊ะทำงานของเฟรย์แล้วพยายามยันตัวเองขึ้นมา

"นายตอบฉันไม่ได้ด้วยซ้ำ ต้องขอบคุณนายที่ทำให้ฉันได้มีเวลาอยู่กับตัวเองมากขึ้นแล้วคิดทบทวนสิ่งต่าง ๆ ในขณะที่นายแก่ตัวลงฉันกลับแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งหมดนี่เป็นเพราะนาย อ๊าก!"

มิเกลร้องเสียงหลงเมื่อนาธานคว้าแจกันได้แล้วฟาดใส่เขาเต็มแรง มือที่กำอยู่นั้นคลายออกเปิดโอกาสให้นาธานได้วิ่งหนีออกไปจากห้อง ฝ่ายมิเกลทำเพียงมองพี่ชายหลบหนีไป เขาแสยะยิ้มอย่างพอใจเมื่อได้เห็นคนที่เคยอยู่เหนือกว่าต้องกระเสือกกระสนหนีเขาแบบนี้

"ต่อให้หนีอย่างไรพี่ก็หนีไม่พ้นหรอกนะ"


"เขาหนีไปได้งั้นเหรอ" เรเวนถามเฟรย์ เขาหันไปมองเคทลินที่นั่งนิ่งตั้งแต่เขาเดินเข้ามาในห้องนอนที่พื้นเต็มไปด้วยน้ำ

"ประมาณนั้น เดี๋ยวเข้าประชุมก็คงได้เจอกันอีก" เฟรย์เองก็มองเคทลินด้วยความเป็นห่วง ตอนเขาเข้ามาก็เห็นรูปสามีของเธออยู่บนพื้นแทนที่จะอยู่ในกรอบ เห็นดังนั้นเขาจึงจัดการเอารูปนั้นใส่กรอบให้เหมือนเดิม ต่อให้เคทลินไม่ได้พูดอะไรออกมาเขาก็พอจะเดาได้ว่าต้องกระทบกระเทือนจิตใจเธอแน่

หลาย ๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เฟรย์เริ่มเป็นห่วงสภาพจิตใจของเคทลิน ที่ผ่านมาเธอก็แตกสลายมามากพอแล้ว นี่ยังจะมาอยู่กลางมรสุมที่ก่อขึ้นโดยมิเกลอีก

'ถ้าไม่มีแรงพูดอย่างน้อยก็พูดทางนี้ก็ได้นะ' เฟรย์ส่งโทรจิตไปยังเคทลินที่นั่งนิ่งตาแทบไม่กะพริบ

'ไอ้เวรนั่น' เคทลินส่งคำสบถตอบกลับ

'สติยังอยู่สินะ'

'อยู่ แค่นั่งคิดอะไรอยู่แต่คิดไม่ออก นายช่วยคิดหน่อยสิ'

เฟรย์หันไปขมวดคิ้วใส่เคทลิน แต่เธอกำลังเหม่อมองเพดานห้อง บางทีอาจไม่เห็นด้วยซ้ำว่ามีคนขมวดคิ้วใส่เธออยู่

'ช่วยคิดอะไร'

"ไอ้มิเกลบอกว่านาธานเป็นพี่ชายของมัน" เคทลินพูดออกมา

เรเวนที่ยืนอยู่หันมองทางเคทลินเมื่อได้ฟังสิ่งที่เคทลินพูด เขาเดินตรงไปทางเคทลินในทันที

"เคท เธอจำเรื่องก่อนหน้านี้ที่ฉันเพิ่งบอกเธอได้ไหม"

"อ่าฮะ" เคทลินตอบรับ

"คนที่ฉันเห็นในความทรงจำคือมิเกล ฉันจำได้ตอนที่เห็นเขา และอย่างที่เธอรู้ว่าความทรงจำบางส่วนในหัวฉันเป็นของนาธาน นั่นก็หมายความว่า..."

"สิ่งที่มิเกลพูดเป็นความจริง" เฟรย์พูดขึ้น เรียกความสนใจของเคทลินและเรเวนได้ในทันที

"นายรู้อยู่แล้ว" เคทลินเลิกคิ้วมองใบหน้าเรียบเฉยของเฟรย์

"รู้แต่พูดไม่ได้" เฟรย์หลับตาลงครุ่นคิดครู่หนึ่ง "แต่ตอนนี้คงจะพูดได้แล้ว"


"เฟรย์ ถ้าวันหนึ่งฉันเป็นอะไรขึ้นมาก็ฝากดูแลเคทด้วยล่ะ" นาธานพูดขึ้นขณะนั่งรอเคทลินอยู่ในห้องกับเฟรย์ ทั้งสองรู้จักกันมานานแต่ไม่ได้สนิทกันสักเท่าไหร่เนื่องจากเฟรย์เป็นคนที่มักเก็บตัวเงียบไม่พูดคุยกับใคร เขาเพิ่งจะเห็นเฟรย์มีเพื่อนคนแรกก็คือเคทลินเนี่ยล่ะ

"คุณพูดเหมือนตัวเองจะตาย" เฟรย์ตอบอย่างสุภาพ เขารู้ถึงสถานะเก่าของอีกฝ่ายแต่นาธานบอกให้เขาเก็บเรื่องนี้เป็นความลับกับเคทลิน ซึ่งเขาไม่เห็นด้วยนัก

"ฉันอาจจะถูกน้องชายตัวเองเก็บก็ได้ ใครจะไปรู้ เขาดูจะโกรธฉันมากถึงไม่ติดต่อมาตั้งหลายปี"

"หลายปีของคุณมันเป็นเพียงไม่กี่ปีสำหรับเขา" เฟรย์แย้ง เขาพูดพลางใส่ข้อมูลลงในคอมพิวเตอร์ "ทำไมพวกคุณถึงไม่ลองคุยกันดูล่ะ บางที่อาจจะช่วยให้สถานการณ์ระหว่างคุณทั้งสองดีขึ้นก็ได้"

"ฉันจะลองคิดดูแล้วกัน"


เพล้ง

เสียงแจกันที่นาธานฟาดใส่มิเกลดังขึ้น เขามองดูมือตัวเองสลับกับมิเกลที่มีเลือดซึมที่หน้าผาก เขาไม่ได้ตั้งใจที่จะทำแบบนี้ เพียงแค่ต้องการดิ้นให้หลุดจากเวทของน้องชาย การไม่มีเวทมาต่อกรกับอีกฝ่ายที่มีพลังเวทมหาศาลนั้นเป็นเรื่องยากมาก เขาเลือกที่จะหนีออกมาและไม่ได้พูดคุยกับน้องชายอย่างที่ปรึกษากับเฟรย์ไว้

หลายปีต่อมาไม่มีข่าวความเคลื่อนไหวของมิเกลเลยแม้แต่น้อย บางทีเขาคงคิดล้มเลิกแผนการไปแล้วแต่นาธานเองก็ไม่ประมาท เขาเลือกที่จะถ่ายโอนพลังเวทของตัวเองให้กับเคทลินทีละน้อยโดยที่เธอไม่รู้ตัว มีเพียงเฟรย์เท่านั้นที่รู้เรื่องนี้

"ทำไมคุณต้องบอกเรื่องพวกนี้กับผมด้วยล่ะ แถมยังชอบฝากฝังเรื่องเคทเหมือนตัวเองกำลังจะตายงั้นแหละ" เฟรย์เอ่ยขึ้นพลางยกแก้วกาแฟขึ้นจิบ

นาธานนัดเฟรย์มาแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับมิเกล เฟรย์บอกกับเขาว่ามิเกลจะเปิดเผยตัวตนกับผู้อาวุโสในสภาเท่านั้น และไม่มีความเคลื่อนไหวเรื่องการขยายอำนาจเลยแม้แต่น้อย

"ฉันไม่มีพลังเวทหลงเหลืออยู่แล้วล่ะตอนนี้ เพราะงั้นหากฉันเป็นอะไรขึ้นมาฉันก็ตายได้แบบง่าย ๆ เลยน่ะ" นาธานผายมือทั้งสองข้างออก ในตอนนี้เขาได้ใช้ชีวิตแบบมนุษย์ธรรมดาอย่างเต็มรูปแบบถึงจะชื่นชอบชีวิตแบบนี้มากแค่ไหนเขาก็ไม่อยากจะขัดขวางความชอบของภรรยาตัวเอง

"ถ้าเคทรู้เรื่องนี้เธอคงโกรธคุณแน่"

"เพราะรู้ไงถึงไม่ให้บอก" นาธานยักคิ้วอย่างเจ้าเล่ห์ นั่นทำให้เฟรย์คิดว่านาธานเริ่มจะเหมือนเคทลินเข้าไปทุกที

"เดี๋ยวเธอก็คงโกรธผมแทนตอนรู้เรื่องนี้"


"เฟรย์!!" เสียงตะโกนเรียกดังเข้ามาในโสตประสาทของเฟรย์ เขารีบเพ่งสมาธิแล้วไปยังต้นทางของเสียงเรียกทันที

ทันทีที่มาถึงตรงหน้าเขาก็พบกับร่างไร้วิญญาณของนาธานสลับกับเคทลินที่กำลังร้องไห้ราวกับคนไร้สติ

"ขอร้องล่ะ ช่วยนาธานด้วย" เคทลินยังคงจับกุมมือของสามีไม่ปล่อย

"นาธานจากเราไปแล้ว เวทมนตร์ก็ไม่อาจเรียกคนตายกลับมาได้นะ"

"ขอร้องล่ะ ให้แลกด้วยชีวิตฉันก็ได้ ช่วยนาธานด้วย"

เฟรย์ไม่คิดว่านาธานจะจากไปเร็วขนาดนี้ ราวกับไม่กี่วันก่อนพวกเขายังเพิ่งแลกเปลี่ยนบทสนทนากันไป และวันนี้อีกฝ่ายกลับไม่มีลมหายใจเสียแล้ว ตอนนี้เขาคงต้องทำตามสิ่งที่นาธานฝากฝังไว้

"ชีวิตคนเรามีเรื่องไม่คาดคิดเสมอ" เฟรย์พูดขึ้นพร้อมกับวางมือบนแผ่นหลังที่สั่นเทาของเพื่อน "คงถึงเวลาพักผ่อนของเขาแล้วล่ะ"


"ทำไมเพิ่งจะมาบอกกันตอนนี้!"

เฟรย์กลอกตาเมื่อสิ่งที่คิดไว้เป็นไปตามคาด นาธานทิ้งระเบิดลูกใหญ่ไว้ให้เขา ส่วนตัวเองก็ได้พักผ่อนอย่างสงบสุขตามที่ใจต้องการ

"นาธานไม่ให้บอก" เฟรย์ตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉยตามเดิม

"แต่ฉันเพื่อนนาย" เคทลินอ้างสิทธิ์ในการเป็นเพื่อน เธอควรจะมีสิทธิ์ได้รู้ความลับที่นาธานเก็บซ่อนไว้กับเฟรย์

"นาธานก็เพื่อนฉัน" เฟรย์แย้งด้วยน้ำเสียงที่เจืออารมณ์ "ทำไมพวกเธอต้องเอาความลับมาเก็บไว้ที่ฉันกัน เห็นฉันเป็นตู้เซฟหรือไง"

เรเวนยืนมองดูการปะทะคารมที่หาชมยากระหว่างเคทลินและเฟรย์อยู่ห่าง ๆ นานครั้งสองคนนี้จะเถียงหรือทะเลาะกันเพราะโดยส่วนใหญ่เฟรย์มักเป็นฝ่ายตามและเห็นด้วยกับเคทลินอยู่เสมอ

"นายว่าใครจะชนะกัน" เรเวนเอ่ยถามแต่ครู่ต่อมาเขาก็นึกได้ว่าไม่มีใครยืนอยู่ตรงนั้น หัวฟักทองของเขาหันไปข้างตัวทั้งซ้ายและขวาก่อนจะถอนหายใจออกมาเบา ๆ


"เห็นแก่นาธาน ครั้งนี้ฉันยอมให้นายแล้วกัน" เคทลินพูดจบบทสนทนาหลังจากที่ทั้งคู่ถกเถียงกันมาครู่ใหญ่

"เห็นแก่ฉันเถอะ" เฟรย์แย้งเสียงเบา เขาเหนื่อยที่จะต้องถกเถียงกับเคทลินแล้ว เพราะอย่างนี้เขาจึงคล้อยตามเธอเป็นส่วนใหญ่ ถ้าค้านกับเธอขึ้นมาคงได้เถียงกันยันเช้าของอีกวันเป็นแน่ "แล้วเธอจะเอาไงต่อ"

"อะไร"

"พลังของเธอแล้วก็มิเกล"

"มิเกลก็ช่างหัวมันสิ น้องชายนาธานแล้วไง คนละคนกันนี่" เคทลินพูดพลางยักไหล่ "ส่วนพลังนั่นนายบอกว่าฉันยังใช้พลังไม่เต็มที่"

"ใช่ เพราะเธอไปเอาดีด้านปรุงยาจนไม่ได้ขัดเกลาฝีมือการโจมตีหรือแม้แต่การควบคุมจิตใจ"

เคทลินยกมือทั้งสองข้างขึ้นมามองดู "ไม่อยากจะเชื่อเลยนะว่าฉันมีของแบบนั้นอยู่ในตัว"

"ก็นะ นาธานคงไม่อยากให้มิเกลรู้หรอกว่าเธอได้พลังของเขาไปแล้ว" เฟรย์ตอบพลางยื่นมาข้างหนึ่งมาให้เธอ "ส่งมือมาหน่อย"

เคทลินขมวดคิ้วอย่างสงสัยก่อนจะวางมือบนฝ่ามือของเฟรย์

"เดี๋ยวเราจะกลับมา" เฟรย์หันไปบอกเรเวนก่อนจะเทเลพอร์ตหายไป

"อ่า งั้นความเละเทะในห้องนี่หน้าที่ฉันสินะ" เรเวนกวาดส่ายตามองไปยังพื้นห้องที่เปียกชุ่มและหนังสือบางส่วนที่หล่นจากชั้นมากองอยู่ที่พื้น


พริบตาต่อมาเฟรย์พาเคทลินมาโผล่ที่ทะเลสาบแห่งเลควูด ที่เดียวกับที่มิเกลพาเธอมาเมื่อครั้งก่อน เฟรย์ผละมือไปจากเธอ เขาวาดมือเป็นครึ่งวงกลมในอากาศพร้อมกับร่ายเวทอาณาเขต

เคทลินยังคงไม่เข้าใจว่าเขาพาเธอมาที่นี่ทำไม ระหว่างที่รออยู่นั้นเธอจึงทอดสายตาไปยังอีกฝั่งของทะเลสาบ ตะวันเริ่มคล้อยต่ำความมืดค่อย ๆ คืบคลานเข้ามา ที่นี่เป็นที่สาธารณะของเมืองก็จริงแต่คนไม่ค่อยเข้ามาในป่านี้กัน บางทีอาจเป็นเพราะบรรยากาศที่ดูวังเวงและน่าขนลุกพวกนี้ เพราะงั้นพวกนักเวทบางคนที่อยากลองพลังเวทของตนมักมาที่นี่แล้วปลดปล่อยพลังเวทได้เต็มที่

"เคท" เสียงของเฟรย์ร้องเรียกเธอ เคทลินหันกลับไปยังต้นเสียงแต่ก็รู้สึกได้ถึงบางอย่างที่กำลังพุ่งเข้ามาทางเธอด้วยความเร็ว เธอรีบเอาแขนทั้งสองข้างไขว้กันเป็นรูปกากบาท พลันลมร้อนวูบใหญ่ก็พัดผ่านเธอไปในเสี้ยววินาทีต่อมา

"นี่นายจะย่างสดฉันรึไงกัน!" เคทลินพูดเสียงดังใส่เฟรย์ แสงอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้าไปอย่างรวดเร็ว เธอเห็นเฟรย์กำลังเดินเข้ามาใกล้ สองแขนกางออกก่อนจะโบกพัดเอาเวทเพลิงอีกระลอกมาทางเธอ เคทลินรีบรวบรวมสมาธิแล้วเรียกน้ำสายหนึ่งมาสาดใส่พลังเวทของอีกฝ่าย เมื่อพลังเวททั้งสองปะทะกันก็เกิดไอน้ำขึ้นบริเวณรอบ ๆ นั่นยิ่งทำให้เธอหาตัวเฟรย์ได้ยากขึ้น

"เธอควรจะเรียกลม ทำแบบนี้ทำให้ทัศนวิสัยแย่ลงกว่าเดิม" เสียงของเฟรย์ดังมาจากข้างหลัง ไม่ทันทีเคทลินจะหันหลังไปก็ถูกลมหอบไปพร้อมกับไอน้ำที่ถูกแรงลมพัดพาไป เธอลอยจากจุดที่ยืนอยู่เมื่อครู่ประมาณร้อยเมตรก่อนจะกระแทกลงกับพื้นจนเธอรู้สึกจุกแน่น

"กลับบ้านกัน วันนี้แค่ทดสอบความสามารถพื้นฐานของเธอเท่านั้น" เฟรย์พูดพลางลดเวทอาณาเขตลงก่อนจะยื่นมือช่วยเคทลินให้ลุกขึ้น แสงจันทร์ที่โผล่มาอวดโฉมทำให้เธอเห็นใบหน้าของเฟรย์ชัดขึ้น

ไม่มีแม้แต่เหงื่อสักหยดในขณะที่เธอลงไปนอนจุกคลุกดิน...

"พรุ่งนี้เราค่อยมาฝึกซ้อมกันใหม่ ความสามารถทางกายภาพของเธอมันต่ำเกินไป ฉันล้มเธอได้โดยใช้เวลาไม่ถึงสิบนาที" เฟรย์ออกแรงฉุดดึงเธอขึ้นมาให้ลุกขึ้นยืน "ฉันละเสียดายพลังเวทของนาธานในตัวเธอเลย"

คำพูดของเฟรย์เป็นเหมือนศรธนูที่ปักเข้ากลางอกเธอ ไม่ใช่แค่ศรธนูธรรมดาแต่เป็นหัวธนูที่อาบด้วยยาพิษนั่นทำให้เธออยากลงไปนอนกองกับพื้นอีกครั้งหนึ่งแต่เฟรย์คงไม่ช่วยฉุดเธอขึ้นอีกรอบแน่จึงทำได้แค่จินตนาการเอาในหัว

"ให้ตายสิ ทั้งหมดนี่เป็นความผิดของไอ้หมอนั่น" เคทลินบ่นพึมพำก่อนจะเทเลพอร์ตกลับบ้านไปพร้อมกับเฟรย์