เคทลินกลับมาแก้แค้นเพื่อนรักอย่างซูซานที่ขโมยผลงานของเธอจนตัวเองโด่งดัง ในเมื่อผลงานเปรียบเสมือนกับลูกของเธอเคทลินจึงได้ขโมยลูกของซูซานเป็นการแก้แค้น

Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด - บทที่ 12 บทที่ 12 โดย s.BlackSheep @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,ดราม่า,ผจญภัย,พารานอมอล,ครอบครัว,เวทมนตร์,แฟนตาซี,นักเวท,เวทมนต์,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ดราม่า,ผจญภัย,พารานอมอล,ครอบครัว

แท็คที่เกี่ยวข้อง

เวทมนตร์,แฟนตาซี,นักเวท,เวทมนต์

รายละเอียด

เคทลินกลับมาแก้แค้นเพื่อนรักอย่างซูซานที่ขโมยผลงานของเธอจนตัวเองโด่งดัง ในเมื่อผลงานเปรียบเสมือนกับลูกของเธอเคทลินจึงได้ขโมยลูกของซูซานเป็นการแก้แค้น

ผู้แต่ง

s.BlackSheep

เรื่องย่อ

เพราะการแก้แค้นนั้นหอมหวานและทำให้คนคนหนึ่งยอมเปลี่ยนตัวตนเพื่อการแก้แค้นอดีตเพื่อนรัก หากแต่การแก้แค้นของเคทลินนั้นทำให้ใครอีกคนได้ค้นพบการดำเนินชีวิตแบบใหม่ที่เขาเองก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อน การอยู่ร่วมกันของเคทลินและนิคนั้นจะเป็นเหมือนแม่เหล็กคนละขั้วที่แตกต่างแต่ก็ดึงดูดเข้าหากันเสมอ

เมื่อนิคได้เข้ามาในโลกของนักเวทก็เกิดสิ่งที่ไม่คาดฝันมากมาย แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อเขาเป็นคนเลือกที่จะเดินทางนี้เอง และเขาไม่ได้โดดเดี่ยวเพราะมีคนคอยดูแลอย่างเคทลินแห่งเลควูดคอยตามเป็นห่วงอยู่ไม่ห่าง และดูเหมือนจะมีเรื่องวุ่นๆ หลายอย่างรอทั้งสองอยู่เบื้องหน้า

สารบัญ

Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 0 บทที่ 0,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 1 บทที่ 1,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 2 บทที่ 2,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 3 บทที่ 3,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 4 บทที่ 4,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 5 บทที่ 5,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 6 บทที่ 6,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 7 บทที่ 7,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 8 บทที่ 8,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 9 บทที่ 9,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 10 บทที่ 10,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 11 บทที่ 11,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 12 บทที่ 12,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 13 บทที่ 13,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 14 บทที่ 14,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 15 บทที่ 15,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 16 บทที่ 16,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 17 บทที่ 17,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 18 บทที่ 18,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 19 บทที่ 19,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 20 บทส่งท้าย,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 21 ตอนพิเศษ

เนื้อหา

บทที่ 12 บทที่ 12

ร่างสูงใหญ่ของใครบางคนกำลังวิ่งอย่างรีบร้อนอยู่ที่โถงทางเดินในยามวิกาล แสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามาจากหน้าต่างบานใหญ่นั้นเผยให้เห็นผิวสีน้ำตาลกร้านแดดที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม เทวินกำลังตรงดิ่งไปยังห้องของจอมเวทสูงสุด เขากอดกระเป๋าเอาไว้แนบอกราวกับกลัวว่าจะมีใครฉกมันไปจากเขา เมื่อมาถึงหน้าห้องเขาก็สูดหายใจเข้าแล้วผ่อนออกช้า ๆ ก่อนจะเคาะประตูห้อง เมื่อได้ยินเสียงตอบรับก็เปิดเข้าไปข้างใน

"ท่านครับ เราได้ที่อยู่ของเขามาแล้ว" เทวินพูด เขาหยิบซองกระดาษสีน้ำตาลยับย่นที่ถูกบีบอัดมาในกระเป๋าให้กับผู้เป็นนาย

มิเกลรับซองนั้นมาเปิดดูข้อมูลภายในแล้วหรี่ตายิ้มอย่างพึงพอใจในข้อมูลที่ได้

"ทำได้ดีมากคุณบูรณะศิริ ไม่ยักรู้ว่านอกจากเวทอาวุธแล้วคุณยังเก่งเรื่องขุดคุ้ยข้อมูลด้วย" มิเกลเอ่ยปากชม เขาควานหาของในกระเป๋าเสื้อโค้ตก่อนจะโยนจี้หินสโมคกี้ควอตซ์ให้กับเทวิน "เศษเสี้ยวพลังเวทของผม"

เทวินยิ้มกว้างอย่างพึงพอใจในของรางวัลที่ได้ เขามองมันด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความกระหายพร้อมกับเอ่ยขอบคุณซ้ำไปซ้ำมา

"พกติดตัวไว้ด้วยล่ะ" มิเกลส่งยิ้มให้ก่อนจะโบกมือไล่เขาออกไปจากห้อง

เมื่ออยู่เพียงลำพังมิเกลก็ระเบิดหัวเราะออกมาเขายิ้มพลางไล้นิ้วไปบนเอกสารที่รับมา "เอาล่ะคุณโจนส์ เป็นคุณจะเลือกใครกัน"


"อย่าลังเล ตัดสินใจให้เฉียบขาด" เฟรย์ตะโกนบอกเคทลินที่กำลังลังเลว่าจะหลบลูกไฟสองลูกที่พุ่งเข้าหาเธอพร้อมกันทางไหนดี สุดท้ายเธอก็เลือกที่จะเรียกน้ำมาดับไฟแล้วใช้ลมห่อหุ้มมันไว้อีกชั้นแล้วขว้างมันไปทางทะเลสาบ

"ขั้นตอนซับซ้อนเกินไป" เฟรย์พูด เขายังคงปล่อยลูกไฟใส่อีกฝ่ายอยู่เรื่อย ๆ อย่างไม่ออมแรงให้

เคทลินทำได้แค่โอดครวญและสบถออกมา เธอไม่มีแรงมากพอที่จะพูดตอบเฟรย์ในตอนนี้ วันนี้ทั้งสองฝึกติดต่อกันมาร่วมสามชั่วโมง และแดดที่กำลังสาดส่องเต็มที่นั้นก็ยิ่งทำให้เธอเหงื่อท่วมตัวและรู้สึกอบอ้าวมากกว่าเดิม

ลูกไฟลูกหนึ่งพุ่งตรงมากลางลำตัวเธอ เคทลินไม่ทันได้สังเกตมันก็พุ่งเข้ามาใกล้เธอเสียแล้ว มือของเธอยื่นออกไปข้างหน้าในทันที ตอนแรกเธอคิดว่าคงลดความร้อนของมันลงได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้นเพราะสายน้ำที่เธอเรียกมาต้องใช้เวลานานที่จะดับไฟลงได้ แต่กลับไม่เป็นอย่างที่คิดไว้ ลูกไฟตรงหน้าร่วงลงกระแทกพื้นดังปัก เฟรย์หยุดขว้างลูกไฟแล้วรีบวิ่งมาดูสิ่งที่เคทลินทำลงไป

"ถือเป็นพัฒนาการที่ดี เปลี่ยนไฟให้เป็นน้ำแข็งได้ในพริบตา" เฟรย์พูด เขาใช้รองเท้าบูตเตะ ๆ ก้อนน้ำแข็งกลมขนาดเท่าลูกบาส

"ฉันแค่คิดในหัวว่าอยากเปลี่ยนลูกไฟให้กลายเป็นก้อนน้ำแข็งแล้วเรียกน้ำออกมา..." เคทลินพูดพลางเรียกสายน้ำขนาดย่อมให้ไหลเวียนเป็นทรงกลมขนาดเล็กเหนือแล้วสายน้ำที่ไหลเวียนอยู่ก็หยุดชะงัก อุณหภูมิของลูกทรงกลมในมือค่อย ๆ ต่ำลงแล้วกลายเป็นก้อนน้ำแข็งในที่สุด

"คุ้มค่ากับที่ฉันทนเหนื่อยมาเป็นสัปดาห์แล้วสิ" เฟรย์ถอนหายใจอย่างโล่งอก "ยังมีอีกหลายอย่างที่เธอต้องเรียนรู้ วันนี้เราพอแค่นี้ก่อน"

"ฉันก็ว่างั้น" แล้วทั้งคู่ก็อันตรธานไปจากริมทะเลสาบ


"นายคิดว่าฉันควรปล่อยให้มิเกลปิดเมืองตามนิมิตของเกว็นดีไหม" เคทลินเอ่ยถามเฟรย์ ทั้งสองนั่งคลายร้อนอยู่หน้าพัดลมในห้องนั่งเล่น ในวันที่อากาศร้อนแบบนี้เรเวนจะถูกใช้ให้ออกไปทำสวนนอกบ้านแทนเธอ เพราะงั้นจึงเห็นหัวฟักทองของเขาผลุบ ๆ โผล่ ๆ อยู่นอกหน้าต่าง

"เธอล่ะคิดไง" เฟรย์ถามกลับ

"ฉันคิดว่าให้เขาปิดเมืองไปเถอะ อย่างน้อยมันคงจะลดความรุนแรงต่อเมืองข้าง ๆ และผู้คนในเมืองได้ หากปิดเมืองขึ้นมาก็อาจจะมีการอพยพคนออกไปในจุดที่ปลอดภัย พอถึงตอนนั้นเราก็ค่อยจัดการกับเขา"

"จริงอย่างที่เธอว่า แต่อย่าลืมเรื่องที่มิเกลสามารถเปลี่ยนแปลงเส้นเวลาในอนาคตได้ บางทีเขาอาจจะมีแผนบางอย่างซ่อนไว้ตลบหลังเรา" เฟรย์พูดพลางหยิบแตงโมที่เรเวนจัดแจงไว้ในจานขึ้นมากิน

"ยูริเอลเองก็ด้วย ทำไมเขาถึงไปอยู่ข้างหมอนั่นได้ล่ะ"

"ใครจะไปรู้ อะไรก็เกิดขึ้นได้ เราเพียงแค่ต้องยอมรับแล้วก้มหน้าทำหน้าที่ของเราต่อไป"

"อีกกี่ปีกันกว่าเรื่องนี้จะจบ ฉันอยากจะใช้ชีวิตแบบสงบ ๆ บ้าง" เคทลินเอนหลังพิงพนักโซฟา เธอเหลือบมองที่นั่งว่างเปล่าข้าง ๆ

"เธอพูดเหมือนนาธานเลย เพราะอย่างนี้ไงเขาเลยเลือกที่จะกำจัดพลังเวทออกไป"

"แล้วก็เอามาใส่ที่ฉันแทน จริง ๆ เลย นี่แอบทิ้งภาระไว้ให้ฉันจัดการต่อเหรอเนี่ย" เคทลินบ่นอุบอิบ

"นั่นเพราะเขาเชื่อใจว่าเธอจะสานต่อมันได้ต่างหากล่ะ"

"ถ้าอยากให้ฉันสานต่อแล้วทำไมถึงไม่บอกตั้งแต่แรก ๆ กันล่ะ"

"ถ้าบอกตั้งแต่ตอนนั้นชีวิตเธอจะได้อยู่แบบสงบสุขบ้างมั้ยล่ะ"

"พอเหอะ ฉันขี้เกียจต่อปากต่อคำกับนาย" เคทลินยกมือขึ้นข้าง มืออีกข้างนวดขมับที่ปวดหนึบจากการไปอยู่กลางแดด

"ฉันเองก็ไม่อยากจะเถียงแทนคนตายหรอกนะ" เฟรย์ยื่นขวดแก้วบรรจุของเหลวสีเขียวให้ เคทลินรับมันไปแล้วยกขึ้นดื่มในอึกเดียว

"ช่วงนี้ได้พักผ่อนพอหรือเปล่า" เฟรย์เปลี่ยนมาถามเรื่องสุขภาพของเธอแทน เขาเห็นว่าเคทลินอ่อนเพลียอยู่ตลอดเวลา ใช้กำลังได้ไม่นานเธอก็เหนื่อย

"ตามสภาพ พยายามกินยานอนหลับอยู่เวลาที่จำเป็น" เคทลินวางขวดแก้วลงบนโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืน "ฝากเอาเรื่องที่คุยกันวันนี้ไปบอกสองคนนั้นด้วย ช่วงนี้เราอย่านัดรวมตัวกันบ่อยเลย เดี๋ยวถูกมิเกลรวบหัวรวบหางขึ้นมาจะลำบากกันหมด"

"แล้วนั่นเธอจะไปไหน" เฟรย์เอ่ยถามเมื่อเห็นเคทลินเดินไปที่ประตูบ้าน

"ไปเดินเล่น นายเองก็กลับไปพักผ่อนเถอะ"


เสียงแตรรถดังลั่นบนท้องถนน อุณหภูมิที่สูงขึ้นคงทำให้ชาวเมืองใจร้อนขึ้นตามสภาพอากาศภายนอก เคทลินนั่งหลบแดดอยู่ในร้านกาแฟร้านเดิม ทุกครั้งที่มาที่นี่เธอมักเห็นภาพเก่า ๆ ฉายเข้ามาในหัว เธอเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าจะเอาตัวเองมาทรมานในที่แบบนี้ทำไมกันแต่ในใจลึก ๆ ก็หวังว่าจะได้เจอกับนิคโดยบังเอิญ แค่ได้เห็นหน้าเขาสักหน่อยก็ดีแต่คงไม่ใช่วันนี้ เคทลินลุกขึ้นเอาแก้วกาแฟวางเปล่าของตัวเองไปทิ้งในถังขยะของร้านจังหวะที่เธอหันกลับมากระเป๋าเจ้ากรรมของเธอดันเหวี่ยงไปโดนแก้วกาแฟของสาวคนหนึ่งเข้าจนมันร่วงหล่นลงพื้น

"ขอโทษด้วยค่ะ" เคทลินรีบพุ่งไปเอากระดาษทิชชูมาเช็ดคราบกาแฟที่เปื้อนชายกระโปรงสาวคนนั้น

"ไม่เป็นไรค่ะ มันเป็นแค่อุบัติเหตุ ฉันไม่ดูทางให้ดีเอง" ดวงตาสีน้ำตาลกลมโตของหญิงสาวกำลังเอ่อไปด้วยน้ำตา

ตายแล้ว ฉันไม่ได้ตั้งใจทำให้เธอร้องไห้นะ เคทลินกรีดร้องในใจ

"เดี๋ยวฉันซื้อกาแฟให้ใหม่เองค่ะ คุณไปล้างคราบกาแฟออกก่อนเถอะ" เคทลินเสนอ อีกฝ่ายลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้ารับแล้วรีบวิ่งไปเข้าห้องน้ำ

ทางเคทลินเองก็เดินไปสั่งกาแฟแก้วใหม่ให้พอดีกับที่หญิงสาวผู้โชคร้ายคนนั้นเดินออกมาจากห้องน้ำ

"ขอบคุณมาก ๆ นะคะ ขอบคุณจริง ๆ ค่ะ" สาวคนนั้นพูดขอบคุณเธอหลายต่อหลายครั้ง

"ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เป็นฉันเองต่างหากที่ควรขอโทษคุณ"

"เคท มีอะไรงั้นเหรอ" พลันเสียงที่คุ้นหูก็ดังเข้ามาในโสตประสาท เคทลินหันไปยังทิศทางของเสียงในทันทีโดยไม่ทันยั้งคิด

"ฉันทำกาแฟหกน่ะ แล้วพี่สาวคนนี้ก็ช่วยซื้อกาแฟแก้วใหม่ให้" หญิงสาวเดินไปทางผู้มาใหม่

เคทลินจำนิคได้ในทันทีถึงแม้ว่าเขาจะไว้หนวดและตัดผมสั้นกว่าเดิม เมื่อครู่ที่เขาเรียกคงเป็นชื่อของผู้หญิงคนนี้ ครู่หนึ่งเธอดีใจที่นิคยังคงจำเธอได้ แต่ความจริงไม่ใช่อย่างที่เธอคิด

"ไม่หรอกค่ะ เป็นฉันเองที่ไม่ระวัง ไม่ใช่ความผิดคุณเลยแม้แต่น้อย" เคทลินพูด

"ยังไงก็ขอบคุณสำหรับกาแฟแก้วนี้นะคะ"

เคทลินพยักหน้ารับพร้อมยิ้มอ่อนให้ก่อนจะเดินออกไปจากร้านโดยไม่ได้สนทนากับนิคเลยแม้แต่ประโยคเดียว

แค่เห็นเขามีชีวิตที่มีความสุขก็พอแล้ว...


"เธอไปไหนมาน่ะ" เรเวนถามเมื่อเห็นเคทลินเดินเข้ามาที่แปลงสมุนไพร

"เที่ยวเล่น" เธอตอบสั้น ๆ ก่อนจะหยิบสมุดเล่มเล็กขึ้นมาตรวจสอบว่าขาดเหลือสมุนไพรสำหรับปรุงยากี่ตัว "แล้วก็เจอนิคมาด้วย"

"หืม" เรเวนส่งเสียงในลำคออย่างสงสัย

"อันที่จริงก็แค่บังเอิญเจอ เราไม่ได้คุยอะไรกันหรอก เขาจำฉันไม่ได้ด้วยซ้ำ" เธอตอบพลางฮัมเพลงกลบเกลื่อนเสียงที่สั่นเครือ มือจดรายการสมุนไพรที่ต้องใช้ กระวาน โหระพา โรสแมรี เคทลินเขียนชื่อสมุนไพรด้วยลายมือหวัด ๆ ของเธอ

"นั่นแย่นะ" เรเวนตอบก่อนจะก้มลงถอนวัชพืชที่โผล่ขึ้นมาตามแปลงสมุนไพร เขาไม่อยากจะพูดเรื่องนี้กับอีกฝ่ายต่อจึงได้แต่ทำงานของตัวเองเงียบ ๆ

"ก็แย่อยู่นะ แต่เขาก็ดูมีความสุขดี" เคทลินก้มลงเด็ดใบของโหระพา "แค่นั้นก็พอแล้วล่ะ"

เรเวนถอนหายใจเสียงดังใส่เคทลิน เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเคทลินต้องทนแบกรับทุกอย่างไว้อยู่บนบ่าคนเดียวด้วย แต่ยังดีที่เธอมีเพื่อนคอยช่วยหนุนหลังในเรื่องต่อกรกับมิเกล ไม่งั้นเธอคงจะเครียดจนสมองแทบระเบิดเป็นแน่


"อัสมิตาอยากคุยกับเธอ" เฟรย์พูดขึ้นหลังจบการฝึกซ้อมของวันนี้ เขายื่นมือมาทางเคทลินเพื่อช่วยพยุงให้เธอลุกขึ้นจากพื้นหญ้า

"ทำไม" เคทลินถาม เธอขมวดคิ้วอย่างงุนงง

อัสมิตาคือคนที่คอยแย้งมิเกลแทบทุกประโยคในที่ประชุม ทั้งสองไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัว เคทลินเพิ่งจะได้รู้ชื่อของอีกฝ่ายก็วันที่มีประชุมผู้อาวุโสครั้งนั้น แต่ทำไมอัสมิตาจึงต้องการที่จะพูดคุยกับเธอกัน

"ฉันเองก็ไม่รู้ คงเป็นเรื่องในที่ประชุมกระมัง" เฟรย์ตอบ

"โอเค" เคทลินใช้ผ้าขนหนูที่เตรียมมาซับเหงื่อพลางนึกย้อนความทรงจำทั้งหมดที่มีเกี่ยวกับอัสมิตาว่าเธอเป็นคนอย่างไร เท่าที่สังเกตเธอไม่ได้โดดเด่นด้านใดเป็นพิเศษ แต่เฟรย์เคยบอกว่าเธอเก่งการต่อสู้พอสมควร หากคนในพันธมิตรมีคนเก่งการต่อสู้อยู่บ้างคงจะดีไม่น้อย อีกอย่างจอมเวทเฒ่าที่อยู่กับอัสมิตานั่น เคทลินจำได้ว่าเขาเคยเป็นหนึ่งในอาจารย์ผู้สอนนักเวทหน้าใหม่ แต่ในวันประชุมนั้นเขาดูแก่ลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับตอนที่เธอเคยเจอเขาครั้งแรก

"ฉันจะจัดแจงนัดให้" เฟรย์เอ่ยขึ้นเมื่อเคทลินตอบตกลง

"มาที่บ้านฉัน ฉันมีหลายอย่างที่ต้องถามเธอคนนั้น"

"ตกลงตามนั่น" เฟรย์ตอบ

"แล้วเรื่องของมิเกลล่ะ ได้ข่าวอะไรบ้าง" เคทลินถามขึ้น ในวันประชุมมิเกลสรุปว่าจะเริ่มแผนการในเร็ววัน แค่นี้ก็ผ่านมาหลายสัปดาห์แล้วไม่มีแม้แต่การปิดเมืองอย่างที่มิเกลเคยพูดไว้ เคทลินเริ่มกังวลว่ามิเกลจะทำบางอย่างให้อนาคตเปลี่ยนไป

"เงียบกริบราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น" เฟรย์ตอบ "ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปฝั่งเราเสียเปรียบแน่ หรือเราควรจะเปลี่ยนแผน"

"ไว้ฉันคุยกับอัสมิตาเสร็จแล้วเราจะมาคุยเรื่องแผนการกันใหม่อีกครั้งแล้วกัน" เคทลินสรุปก่อนที่ทั้งคู่จะแยกย้ายกันกลับบ้าน


หน้าบ้านไม้ของเคทลินมีรถเก๋งสีขาวคันหนึ่งจอดอยู่ เคทลินที่เพิ่งปรากฏตัวหน้าบ้านนึกฉงนว่าใครกันที่มาบ้านเธอโดยใช้รถขับผ่านป่าเข้ามาถึงที่นี่ ไม่นานร่างสูงของชายคนหนึ่งก็ลงมาจากรถ เคทลินเพ่งพิจารณาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเบิกตาโตเล็กน้อย เมื่อเห็นรอยแผลเป็นบนโหนกแก้มซ้ายของเขา

"พี่เคท" ชายคนนั้นพุ่งตรงมาทางเธอทันทีที่เห็น เขาจำเธอได้แทบจะในทันทีเพราะใบหน้าของเธอแทบไม่เปลี่ยนไปเลย

เคทลินถอยไปข้างหลังก้าวหนึ่งก่อนจะเอ่ยถามขึ้น "ใครคะ"

อีกฝ่ายชะงักฝีเท้าเมื่อได้ยิน สีหน้าของเขาแสดงความผิดหวังออกมา แต่ชายคนนั้นก็ไม่ได้ลดละความพยายาม

"พี่เคท ผมเองคาซเปอร์"

เคทลินนิ่งเงียบพลางเบือนหน้าหนี มือกระชับกระเป๋าสะพายแน่นจนเหงื่อชุ่ม แต่ไม่ทันที่จะได้เดินกลับเข้าบ้านก็ถูกคาซเปอร์คว้าข้อมือไว้

"นายจะมาหาฉันทำไมตอนนี้" เคทลินหันมาพูดเสียงเรียบใส่อีกฝ่าย เธอจดจ้องใบหน้าของคาซเปอร์ที่เหมือนกับเธอราวกับแกะ ต่างกันเพียงดวงตาและสีผมที่เธอใช้เวทเปลี่ยนจากผมสีน้ำตาลหม่นเป็นสีไวน์แดง และดวงตาอเมทิสต์ที่เดิมทีเคยเป็นสีดำสนิทมาก่อน

"พี่ ฟังผมก่อน วันนี้ที่เราย้ายบ้าน ผมไม่ได้ตั้งใจทิ้งพี่"

"แต่ฉันตั้งใจทิ้งนาย ทิ้งครอบครัวแล้วเลือกสิ่งที่ตัวเองรัก แล้วดูตอนนี้สิ สุดท้ายฉันก็ไม่ได้อยู่กับสิ่งที่ฉันรักเลยสักอย่าง ไม่มีเลย" เคทลินพูดพลางผายมือออก ตอนนี้สิ่งที่เธอรักได้จากเธอไปทีละอย่าง เธอเพิ่งจะได้เข้าใจนาธานเมื่อไม่นานมานี้ว่าทำไมเขาถึงต้องการความนิ่งสงบในใจนัก

"อย่ามาหาฉันเลย เพราะฉันอาจทำให้นายได้แผลมากกว่าที่โหนกแก้มนั่นอีก กลับบ้านไปซะ"

คาซเปอร์ปล่อยข้อมือของเคทลินออกแล้วจ้องมองแผ่นหลังของพี่สาวที่เดินหายเข้าไปในบ้าน เขากำมือแน่นก่อนจะขึ้นรถแล้วขับกลับออกไป


"ขอบคุณที่ตอบรับคำขอของฉันนะคะ คุณเคทลิน" อัสมิตาเอ่ยขึ้นเมื่อเข้ามาในบ้านของเคทลิน เธอดูจะตื่นเต้นกับการสอดส่องตัวบ้าน สายตาของเธอกวาดไปทั่วบริเวณขณะที่เดินตามเคทลินไปยังห้องปรุงยาชั้นใต้ดิน ภายในห้องมีคนอื่น ๆ ในพันธมิตรรออยู่ก่อนแล้ว

"เราต้องพิจารณาก่อนว่าเธอเหมาะที่จะเข้าร่วมแผนการกับพวกเราหรือเปล่า" เคทลินเอ่ยขึ้นขณะนั่งลงบนเก้าอี้ เธอผายมือไปยังเก้าอี้อีกตัวที่ว่างอยู่ เธอเพิ่งสั่งให้เรเวนต่อเก้าอี้ตัวนี้เมื่อไม่กี่วันก่อน เช่นเดียวกันกับเก้าอี้ของคนอื่น ๆ ที่ทำเพื่อพวกเขาโดยเฉพาะ

"ฉันมีข้อมูลเป็นข้อเสนอในการเข้าร่วมกับคุณค่ะ"

"แล้วเราจะมั่นใจได้ไงว่าเธอให้ข้อมูลถูกต้อง" ลูซิเฟอร์เอ่ยถามเขายกมือขึ้นกอดอกพลางจ้องเขม็งไปยังอัสมิตา "เธออาจจะสร้างภาพว่าอยู่ฝ่ายเดียวกับเราในสภาแต่ความจริงเธออาจอยู่กับอีกฝ่ายก็ได้"

"ฉันต้องการที่จะเข้าร่วมฝั่งคุณเพื่อปกป้องคุณดาวิต ฉันไม่เล่นตุกติกแน่นอน"

"เธอเป็นลูกศิษย์คนนั้นของดาวิตสินะคะ" เกว็นเอ่ยถาม

"ลูกศิษย์คนนั้น" ลูซิเฟอร์พูดทวนคำของพี่สาวอย่างสงสัย

"ลูกศิษย์คนสุดท้ายของดาวิต อาลีแห่งเลควูดก่อนที่พลังเวทของเขาจะเสื่อมลง" เฟรย์พูดเสริม "อัสมิตา คาทรี"

"ใช่ค่ะ ฉันกล้าที่จะใช้ชื่อของอาจารย์เป็นเครื่องยืนยันเลยค่ะว่าฉันไม่ใช่สายของจอมเวทสูงสุดแน่นอนค่ะ" อัสมิตาประกาศจุดยืนของตนชัดเจน เธอไม่ได้เก่งด้านไหนเป็นพิเศษก็จริงแต่การที่เธอได้มานั่งในตำแหน่งผู้อาวุโสเป็นเพราะดาวิต เธอเป็นคนไปขอร้องเฟรย์ให้รับรองเธอเข้ามาในตำแหน่งผู้อาวุโสด้วยตัวเธอเอง อัสมิตารู้อยู่แล้วว่าพลังเวทของอาจารย์นั้นเสื่อมลง และเขาดูเหมือนกำลังเผชิญกับอะไรบางอย่างที่เขาไม่ยอมปริปากบอกเธอเลยแม้แต่น้อย เธอจึงดึงดันที่จะเข้ามาในตำแหน่งเพื่อคอยช่วยเหลืออยู่ข้าง ๆ อาจารย์ของเธอเอง

"ตกลง" เคทลินตอบ เธอลุกขึ้นยืนแล้วยื่นมือขวาออกไปทางอัสมิตา "ยินดีต้อนรับเธอเข้าสู่กลุ่มพันธมิตรของเรา

อัสมิตาลุกขึ้นตาม เธอยิ้มแก้มแทบปริพร้อมกับยื่นมือออกไปจับมือกับเคทลินแน่น

"ยินดีเป็นอย่างยิ่งค่ะ!" เธอกล่าวอย่างยินดี ก่อนจะพูดต่อ "อันที่จริงฉันมีความลับที่ไม่เคยบอกใครด้วยค่ะ"

ทุกคนแสดงสีหน้าสงสัยยกเว้นเฟรย์ที่ยังคงหน้าเรียบเฉยตามเดิม

"ฉันสามารถควบคุมจิตใจคนอื่นได้ค่ะ ถึงจะยังไม่เก่งมากนักแต่ก็จะพยายามให้เต็มที่ค่ะ"

"เวทที่น้อยคนจะมีนั่นน่ะเหรอ" ลูซิเฟอร์เอ่ยถาม

อัสมิตาพยักหน้ารับ

"เมื่อกี้เธอคงไม่ได้ใช้เวทนั้นหรอกใช่ไหม" เคทลินยืนกอดอกถามต่อ

"ไม่มีทางค่ะ ฉันเคยใช้แค่เวลาที่จะล้วงความลับจากคนอื่นเท่านั้น แน่นอนว่าฉันไม่ได้ใช้ในทางที่ไม่ดีหรอกนะคะ" อัสมิตารีบโบกมือปฏิเสธจ้าละหวั่น เธอกลัวว่าจะทำให้ทุกคนเข้าใจผิดเรื่องนี้

"ฉันแค่พูดเล่นหรอกน่า เรามาเริ่มประชุมกันเถอะ" เคทลินตบบ่าอีกฝ่ายเบา ๆ พลางชวนให้นั่งลงแล้วเริ่มวางแผนการโดยอ้างอิงข้อมูลจากอัสมิตา

เธอเล่าว่าในคืนหนึ่งที่เธอเลิกงานดึกได้บังเอิญเจอกับเทวิน เขาดูเร่งรีบและถือกระเป๋าเอาไว้แน่น เธอจึงเกิดสงสัยขึ้นมาและได้หลบซ่อนดูเขาเข้าไปในห้องของมิเกล เมื่อสบโอกาสจึงแสร้งทำเป็นบังเอิญเจอกันที่โถงทางเดินชั้นล่างและได้ใช้เวทควบคุมจิตใจให้เขาตอบเธอว่ามีอะไรอยู่ในกระเป๋าใบนั้น

"ข้อมูลของฉันงั้นเหรอ มิเกลจะเอาไปทำอะไรกัน" เคทลินโพล่งถามขึ้นมา

"ไม่ใช่แค่ข้อมูลของคุณเคทลินหรอกค่ะ นี่ยังรวมไปถึงข้อมูลของครอบครัวคุณเคทลินด้วย ไอ้หมอนั่นบอกว่ามิเกลให้สืบค้นหาข้อมูลของครอบครัวคุณเป็นพิเศษ แต่ตอนนั้นเวทของฉันดันคลายเสียก่อนเลยไม่ได้ถามอะไรต่อ"

"เดี๋ยวนะ ฉันพอจะเชื่อมโยงอะไรบางอย่างได้" เคทลินพูดขึ้น เธอนึกย้อนไปถึงวันที่เจอกับคาซเปอร์ วันนั้นเธอไม่ทันเอะใจว่าเขามาที่บ้านของเธอได้อย่างไร แต่ในตอนนี้เธอเข้าใจแล้ว

"ให้ตายสิ! ไอ้มิเกลนั่นมันจะปั่นหัวฉันเล่นรึไง" คำสบถของเธอเรียกให้เฟรย์หันมาสนใจ

"มีอะไรเกิดขึ้นงั้นเหรอ" เขาถาม

เคทลินถอนหายใจเธอกวาดตามองทุกคนในห้องก่อนจะพูดออกมา "ฉันรู้สึกว่าเขาประกาศศึกกับฉันแล้วล่ะ ครั้งก่อนก็นิคแล้วเมื่อไม่กี่วันก่อนน้องชายฉันที่ไม่ติดต่อกันเป็นสิบ ๆ ปีดันมาโผล่อยู่หน้าบ้านฉัน"

"คืนนี้ฉันจะดูนิมิตให้อีกครั้งนะคะ" เกว็นเสนอแต่ก็ถูกมือของลูซิเฟอร์รั้งไว้ไม่ให้เธอพูดออกไป

"มีอะไรกัน" เคทลินที่สังเกตเห็นถามทั้งคู่

"พักนี้เกว็นดูนิมิตมากเกินไป ร่างกายของเธอก็ยิ่งอ่อนแอลงเรื่อย ๆ" ลูซิเฟอร์ตอบโดยไม่สนใจพี่สาวของตนที่พยายามห้ามไม่ให้เขาพูด "หากให้เธอทำแบบนี้มากเกินไปอีกหน่อยร่างกายคงรับไม่ไหว"

"เกว็น ทำไมเธอไม่บอกฉัน!" เคทลินไม่เคยรู้เลยว่าการดูนิมิตของเกว็นจะส่งผลต่อสุขภาพของเธอเอง

"คิดว่าคนแบบเกว็นจะยอมบอกคนอื่นเรื่องนี้เหรอ คงต้องรอให้ไม่ไหวก่อนถึงจะบอก" ลูซิเฟอร์ได้ทีก็บ่นออกมาอีกชุดใหญ่และจบที่เกว็นถูกพักไม่ให้ดูนิมิตเรื่องอนาคตอันไกลไปสักระยะ

"ตอนนี้เราไม่สามารถดูอนาคตบ่อย ๆ ได้เหมือนก่อนหน้าแล้วเพราะงั้นตอนนี้ทุกคนต้องดูแลตัวเองให้ดีด้วยล่ะ" เคทลินพูดสรุปเรื่องเกว็นก่อนจะเปิดประเด็นเข้าเรื่องอื่นต่อ

ตอนนี้เธอยังไม่รู้ว่ามิเกลใช้น้องชายของเธอทำอะไร เพราะงั้นเรื่องนี้เธอจึงทดไว้ในใจก่อนแล้วมาจัดการเรื่องอื่นที่สามารถวางแผนได้แทน เห็นทีเธอคงต้องให้อัสมิตาตามสืบเรื่องให้ ไม่รู้ว่าเธอคิดไปเองหรือเปล่า ขณะประชุมเธอมักเห็นสายตาของอัสมิตาจับจ้องมาทางเธอด้วยสายตาที่... เคทลินเองก็ไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองนักหรอกแต่ดวงตาสีนิลกลมโตนั่นมักเปล่งประกายทุกครั้งที่จับจ้องมายังเธอราวกับกำลังปลาบปลื้มเธออย่างไรอย่างนั้น โดยเฉพาะตอนที่เธอมอบหมายงานให้อัสมิตาตามสอดแนมบรรดาลูกน้องของมิเกล เธอตอบรับอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อยแม้ว่ามันเป็นงานที่ค่อนข้างเสี่ยงพอสมควร

"เราควรจะปล่อยให้เขาปิดเมือง" เฟรย์เสนอความเห็นเมื่อพูดถึงเรื่องในอนาคตที่มิเกลจะปิดเมืองและเริ่มการขยายอำนาจออกไป โดยเขาจะเริ่มจากในเมืองเลควูคก่อนแล้วจึงขยายไปยังวิลโลว์เดลที่อยู่ทางตอนเหนือของเรา ซึ่งเมืองนั้นเป็นเพียงเมืองเล็ก ๆ ที่มีหุบเขาล้อมรอบ ชาวเมืองที่มีอยู่น้อยนิดทำอาชีพเกษตรกรจึงไม่ยากนักที่จะไล่ต้อนคนพวกนั้นออกไปจากเมืองต่อจากนั้นก็เป็นนูวิลล์ เมืองที่มิเกลเกลียดที่สุดเพราะเต็มไปด้วยเทคโนโลยีซึ่งเขามองว่ามันเป็นคู่แข่งกับเวทมนตร์

จะว่าไปมิเกลดูเหมือนคนแก่ที่ตามโลกไม่ทันแล้วพาลชะมัด เคทลินคิด

"หากปิดเมืองและย้ายประชากรทั้งหมดออกไปเราสามารถจัดการกับมิเกลและพรรคพวกได้เต็มที่" เฟรย์พูดต่อ "แต่ในกรณีที่เกิดความเปลี่ยนแปลงหรือได้ข้อมูลอะไรมาเพิ่มจะทำการนัดหมายเพื่อวางแผนเพิ่มเติมในทันที"

"อีกอย่างที่สำคัญคือเราไม่รู้เลยว่าจุดอ่อนของอีกฝ่ายคืออะไร" ลูซิเฟอร์เสนอ

"นายพูดถูก" เคทลินตอบเห็นด้วย การไม่รู้ถึงจุดอ่อนของอีกฝ่ายเป็นเรื่องยากยิ่งมิเกลเป็นคนที่อยู่มาหลายร้อยปีเขาย่อมขัดเกลาฝีมือจนแข็งแกร่ง ความคิดของเขาเองก็คงซับซ้อนมีชั้นเชิง เมื่อคิดถึงจุดนี้แล้วแผนที่พวกเธอวางไว้นั้นถือว่าหละหลวมพอสมควร เห็นทีคงต้องวางแผนใหม่อีกครั้ง

"ฉันจะเอาเรื่องพวกนี้ไปปรึกษากับอาจารย์ดาวิตอีกทีนะคะ เผื่อว่าเขาจะมีแผนการที่ดีกว่านี้" อัสมิตาพูดขึ้นก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อนึกขึ้นได้ว่าคำพูดของเธออาจเป็นการสบประมาทแผนที่พวกเขาวางไว้ก่อน "ไม่ใช่แบบนั้นนะคะ ฉันแค่ลองเสนอดู ฉันไม่ได้คิดว่าแผนนี้มัน--"

"เธอพูดถูกแล้ว แผนนี้ยังหละหลวมเกินไป" เคทลินหันไปยิ้มให้กับอัสมิตาก่อนจะพูดประกาศกับทุกคน "วันนี้เลิกประชุมไปก่อนแล้วฉันจะเรียกประชุมอีกครั้งเมื่อสืบเรื่องได้มากขึ้น"

"ต้องขอบคุณเธอจริง ๆ ที่มาเข้าร่วมกับเรา" เคทลินหันไปพูดกับอัสมิตาอีกครั้ง ใบหน้าสีน้ำตาลคล้ำของเธอมีสีแดงระเรื่อเมื่อถูกเคทลินพูดด้วยอีกครั้ง

"ไม่หรอกค่ะ ฉันเองต่างหากที่ต้องขอบคุณ" อัสมิตาพูดตอบ "การที่ได้ทำงานใกล้ชิดกับคนที่ฉันปลื้มอย่างคุณถือเป็นเกียรติอย่างมากค่ะ"

เมื่อได้ยินที่อัสมิตาพูดเคทลินก็เริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมเธอถึงได้ถูกอีกฝ่ายจ้องมองด้วยแววตาแบบนั้นตลอดการประชุม เคทลินเองก็ไม่ยักรู้ว่ามีคนปลื้มเธออยู่ด้วย ปกติมีแต่คนไม่ชอบและนินทาเธอเสีย ๆ หาย ๆ อยู่เป็นนิจ

"ได้ยินแบบนั้นฉันเองก็ดีใจ"

เคทลินยืนส่งบรรดาพันธมิตรที่หน้าบ้านจนทุกคนกลับไปกันหมดยกเว้นเฟรย์ที่ยังคงอยู่ต่อ

"เธอคิดว่าไง" เฟรย์ถามถึงสมาชิกใหม่ เขามองไปยังคนข้าง ๆ ที่ยืนนิ่งอย่างไม่อาจคาดเดาได้ว่าในหัวเล็ก ๆ นั่นกำลังคิดอะไรอยู่

"ก็ใช้ได้ หวังว่าจะไม่เป็นแบบยูริเอล" แค่นึกถึงยูริเอลมือของเธอก็กำแน่นในทันที

"คงไม่หรอก อัสมิตาดูจะชอบเธอมากเลย" เฟรย์พูด พลันสายตาของเขาก็เห็นรถคันเก๋งสีขาวคันหนึ่งแล่นผ่านถนนและใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ "และนั่นคงเป็นน้องชายของเธอ"

"ให้ตายสิ มีแต่เรื่องให้ปวดหัวไม่เว้นวันเลยจริง ๆ"