เคทลินกลับมาแก้แค้นเพื่อนรักอย่างซูซานที่ขโมยผลงานของเธอจนตัวเองโด่งดัง ในเมื่อผลงานเปรียบเสมือนกับลูกของเธอเคทลินจึงได้ขโมยลูกของซูซานเป็นการแก้แค้น
แฟนตาซี,ดราม่า,ผจญภัย,พารานอมอล,ครอบครัว,เวทมนตร์,แฟนตาซี,นักเวท,เวทมนต์,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูดเคทลินกลับมาแก้แค้นเพื่อนรักอย่างซูซานที่ขโมยผลงานของเธอจนตัวเองโด่งดัง ในเมื่อผลงานเปรียบเสมือนกับลูกของเธอเคทลินจึงได้ขโมยลูกของซูซานเป็นการแก้แค้น
เพราะการแก้แค้นนั้นหอมหวานและทำให้คนคนหนึ่งยอมเปลี่ยนตัวตนเพื่อการแก้แค้นอดีตเพื่อนรัก หากแต่การแก้แค้นของเคทลินนั้นทำให้ใครอีกคนได้ค้นพบการดำเนินชีวิตแบบใหม่ที่เขาเองก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อน การอยู่ร่วมกันของเคทลินและนิคนั้นจะเป็นเหมือนแม่เหล็กคนละขั้วที่แตกต่างแต่ก็ดึงดูดเข้าหากันเสมอ
เมื่อนิคได้เข้ามาในโลกของนักเวทก็เกิดสิ่งที่ไม่คาดฝันมากมาย แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อเขาเป็นคนเลือกที่จะเดินทางนี้เอง และเขาไม่ได้โดดเดี่ยวเพราะมีคนคอยดูแลอย่างเคทลินแห่งเลควูดคอยตามเป็นห่วงอยู่ไม่ห่าง และดูเหมือนจะมีเรื่องวุ่นๆ หลายอย่างรอทั้งสองอยู่เบื้องหน้า
รถเก๋งคันสีขาวของคาซเปอร์มาจอดนิ่งอยู่หน้าบ้านของเคทลิน เจ้าของรถสวมชุดสูทสีกรมท่าก้าวเดินตรงมาทางเคทลินที่ยืนรออยู่ก่อนแล้ว
เฟรย์เลิกคิ้วอย่างประหลาดใจเมื่อเห็นน้องชายของเคทลินมีหน้าตาเหมือนกับเธออย่างกับแฝดต่างกันก็แค่สีผมกับดวงตา ริ้วรอยบนใบหน้าและเคราของเขาเท่านั้น ต่อให้คนไม่รู้จักมาเห็นก็คงดูออกว่าเป็นพี่น้องกัน
"พี่ วันนี้เราต้องคุยกัน" คาซเปอร์กล่าว เขาเหลือบมองไปทางเฟรย์ครู่หนึ่งก่อนจะหันกลับมามองเคทลินตามเดิม
"ให้เขาเข้ามาเหอะ อย่างไรก็เป็นแค่คนธรรมดา ทำอะไรเราไม่ได้หรอก" เฟรย์พูดพร้อมกับเปิดประตูเชื้อเชิญด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยพอใจนักเท่าไหร่ ไม่รู้ทำไมเขารู้สึกไม่พอใจเจ้าเด็กคนนี้ตั้งแต่เห็นหน้าแล้ว
"นี่บ้านฉันนะ!" เคทลินหันไปค้อนใส่เพื่อนที่เปิดประตูบ้านเชิญแขกผู้ไม่ได้รับเชิญก่อนจะกันกลับมายืนกอดอกพูดกับคาซเปอร์ต่อ "เข้ามาสิ ฉันมีเรื่องที่ต้องรู้จากปากนาย"
เคทลินหย่อนตัวลงบนโซฟานุ่ม เฟรย์ขอปลีกตัวให้ทั้งสองได้คุยกันส่วนตัวแต่เคทลินก็บอกให้เขาอยู่ต่อ เธอไม่รู้ว่ามิเกลซุกแผนการอะไรเอาไว้ถึงได้ให้น้องชายของเธอที่ไม่ได้เจอกันนับสิบปีมาหาเธอแบบนี้ เพราะงั้นให้เฟรย์คอยอยู่คุ้มกันเธอจะดีกว่า แต่การที่เธอระแวงคาซเปอร์แบบนี้ก็ทำให้รู้สึกผิดไม่น้อย เพราะที่ผ่านมาน้องชายของเธอเป็นเด็กดีมาตลอด แต่กาลเวลาผ่านไปจนตอนนี้เขาเป็นผู้ใหญ่แล้ว บางทีคงมีอะไรหลาย ๆ อย่างเปลี่ยนไปแล้วก็ได้
"มิเกลส่งนายมาเหรอ" เคทลินพูดเปิดประเด็น เธอลูบหลังมือขวาของตนยามมองรอยแผลเป็นจาง ๆ บนใบหน้าของน้องชาย
"พี่รู้จักเขาจริงสินะ" คาซเปอร์ถามกลับ เขามองเข้าไปในดวงตาสีอเมทิสต์ที่ไม่คุ้นชินคู่นั้น "เขาไม่ได้ส่งผมมาหรอก แค่บอกที่อยู่กับข้อมูลของพี่มาให้ผม"
"นายก็เลยขับรถมาตามทางที่เขาให้ไว้งั้นสิ" เคทลินถอนหายใจ เธอยกมือขึ้นเสยผมที่ปรกหน้าก่อนจะจ้องอีกฝ่ายด้วยสายตาที่ดุดัน
"ก็ใช่ เขาให้ที่อยู่พี่มาผมก็ต้องมาตามหาพี่ พี่เล่นหายไปเป็นสิบ ๆ ไม่ส่งข่าวคราวอะไรมาเลย จนเขาเอาข้อมูลของพี่มาให้ผม"
"ฉันเคยบอกนายตั้งแต่เด็กแต่เล็กว่าอย่าไว้ใจคนแปลกหน้า ถ้าเขาเกิดให้สถานที่สำหรับลวงฆ่านายขึ้นมาล่ะ" เคทลินโต้
"นั่นเพราะผมดีใจที่จะได้เจอพี่ไง ให้ตายยังไงผมก็ต้องได้เจอพี่ก่อนที่ผมจะตาย อีกอย่างผมโตแล้วนะ ไม่ใช่เด็กสิบขวบเหมือนตอนนั้นเสียหน่อย" คาซเปอร์ขมวดคิ้วเข้าหากัน มือเขาลูบเคราสั้น ๆ ของตัวเองหวังว่าเคทลินจะสังเกตเห็นบ้างว่าเขาโตขึ้นขนาดไหน
"ฉันเห็นน่า นายอย่าไว้ใจเขามากนักล่ะ" เธอไม่รู้ว่าทำไมมิเกลถึงได้ส่งให้คาซเปอร์มาหาเธอ เขาคงไม่ใช่นักบุญที่จะช่วยสืบข้อมูลให้พี่น้องที่พลัดพรากมาเจอกันอีกครั้งหรอก
"ทำไมล่ะ เขาเป็นคนดีนะ ตอนที่มิเกลมาเจอผมเขาเล่าเรื่องของพี่ให้ฟังแล้วยังบอกวิธีรับมือกับพี่ให้ด้วย"
"วิธีรับมือ" เคทลินเอ่ยอย่างสงสัย นี่เขาเห็นเธอเป็นอสุรกายหรืออะไรเทือกนั้นหรือไงถึงได้บอกวิธีรับมือกับคาซเปอร์แบบนั้น
"เขาบอกว่าพี่จะไม่ยอมคุยกับผมก่อนในครั้งแรก แล้วมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ "
เอาแล้วไง เคทลินคิดในใจ มิเกลพยายามที่จะสร้างภาพจำให้กับตัวเองว่าเป็นนักบุญมาโปรดแน่เลย
'เราลบความทรงจำเขาดีไหม' เสียงของเฟรย์ดังเข้ามาในหัว
'ไม่ดีกว่า ฉันไม่ได้สนิทกับครอบครัวขนาดที่จะฝากฝังให้พวกเขาดูแลหรือพาคาซเปอร์หลบหนีไปได้' อีกอย่างเธอยังไม่พร้อมที่จะลบความทรงจำของใครตอนนี้ เธอต้องยอมรับว่ามิเกลเล่นเกมเก่ง เขาให้น้องชายที่รักของเธอมาหาเธอหลังจากที่เธอลบความทรงจำของนิคไปแล้ว เคทลินยังไม่พร้อมที่จะให้คนที่เธอรักลืมเธออีกครั้ง
"ก็ได้ ๆ ถ้านายจะคิดแบบนั้นฉันก็ไม่ห้าม แต่ฉันขอเตือนไว้ว่าไอ้หมอนี่มันไม่ใช่คนดีอย่างที่นายคิด เพราะงั้นอย่าไปสุงสิงกับมันมากจนเกินไปล่ะ"
'ทำไมเราไม่ใช้เขาเป็นนกต่อล่ะ คงจะดีไม่น้อยถ้าได้สายข่าวเยอะขึ้น' เฟรย์เสนอเข้ามาทางโทรจิต
'ฉันก็คิดไว้อยู่ ตอนนี้คงต้องเล่นบทพี่สาวที่แสนดีไปก่อน' ถึงจริงๆ แล้วเธอจะรู้สึกผิดก็เหอะที่ต้องใช้น้องชายเป็นหมากตัวหนึ่งในเกมนี้ เอาเป็นว่าเธอจะพยายามปกป้องหมากตัวนี้ไม่ให้คิงของอีกฝั่งกินก็แล้วกัน
"ช่วยดูผมด้วย ผมโตขนาดนี้แล้ว ผมตัดสินใจอะไรเองได้น่า"
คำพูดของคาซเปอร์ทำให้เคทลินถึงกับยกมือขึ้นมาลูบหน้า ทำไมพวกเด็ก ๆ รอบตัวเธอถึงต้องเป็นแบบนี้กันทุกคนนะ
แต่เอาเถอะ เธอรู้สึกดีใจที่สามารถคุยกับน้องชายได้เหมือนเดิมอย่างไม่ติดขัด หากเป็นพ่อกับแม่เธอไม่อยากจะคิดเลยว่ามันจะเป็นอย่างไร
"จ้า ๆ พ่อหนุ่มเคราสวย นายจะอวดเคราอีกสักกี่รอบกัน นายลูบมันไม่หยุดมาตั้งแต่เริ่มแล้วนะ" เคทลินพูดแซว เห็นทีเธอคงต้องเกลี้ยกล่อมให้น้องชายมาอยู่ฝั่งเธอโดยเร็วเสียแล้ว คงต้องเล่นละครฉากใหญ่สักหน่อย
ทั้งสองพี่น้องคุยเรื่องสัพเพเหระต่อไปอีกสักพักส่วนเฟรย์ก็ขอปลีกตัวออกไปอยู่กับเรเวนข้างนอกเมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เธอแอบเห็นคาซเปอร์สะดุ้งโหยงเมื่อเห็นเรเวนโผล่หน้ามาที่หน้าต่าง เขาแสร้งกระแอมกลบเกลื่อนความตกใจของตนเองซึ่งเคทลินเองก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก เธอได้รู้ว่าพ่อกับแม่ของเธอยังสุขภาพดีอยู่ไม่ได้เจ็บป่วยอะไร ถึงเธอจะไม่ได้สนิทกับพวกท่านนักแต่ก็รู้สึกโล่งใจที่ได้รับรู้ถึงความเป็นอยู่ อีกทั้งเธอยังได้รู้ว่าคาซเปอร์ทำงานออกแบบชุดแต่งงานและมีร้านเป็นของตัวเอง เคทลินรู้สึกภูมิใจในตัวน้องชายที่ยืนหยัดต่อสู้กับพ่อแม่ที่ไม่ยอมให้เขาเรียนในสิ่งที่ชอบ ต่างจากเธอที่หนีออกมา แต่นั่นก็ช่วยไม่ได้เพราะในตอนนั้นพ่อกับแม่ทำเธอฉุนขาดจนหอบเสื้อผ้าออกไปจากบ้าน
เวลาล่วงเลยไปจนดวงอาทิตย์ที่เคยอยู่เหนือหัวคล้อยต่ำลง เคทลินยืนส่งน้องชายหน้าประตูบ้านจนรถเก๋งสีขาวนั้นขับไปจนสุดสายตา
"ดูเหมือนจะไปได้สวยนะ" เฟรย์ที่ปลีกตัวมาจากเรเวนเอ่ยขึ้น เมื่อครู่เขาพยายามอย่างมากเพื่อสลัดตัวเองให้หลุดจากบทสนทนาของเจ้าหัวฟักทองที่เอาแต่พูดเรื่องพืชและนกกาเมื่อเขาเอ่ยปากถามสารทุกข์สุกดิบ
"ยังหรอก นี่แค่เริ่มต้น ฉันมีความคิดดี ๆ ที่จะให้เจ้าน้องชายมาอยู่ฝั่งเดียวกับเราแล้วล่ะ" เคทลินพูดพลางหัวเราะในลำคอ
เฟรย์เลิกคิ้วอย่างสงสัยในเสียงหัวเราะที่ฟังดูชั่วร้ายของเพื่อนสาว
"เรเวนบอกว่าเธอไปเจอนิคมา" เฟรย์พูดขึ้น
"ไอ้หัวฟักทองนั่น" เคทลินสบถ เธอเพิ่งจะเล่าเรื่องนี้ให้ฟังไม่ทันไรก็ดันเอาไปบอกคนอื่นเสียแล้ว "ใช่ ฉันบังเอิญไปเจอนิคมา แต่นั่นเป็นแค่อุบัติเหตุ"
"นั่นถือเป็นโชคดีที่เด็กคนนั้นจำเธอไม่ได้ แต่อย่าลืมสิว่าถ้าเขาเจออะไรที่กระตุ้นความทรงจำขึ้นมาผนึกที่เธอทำไว้มันจะคลายออก" เฟรย์พูด ดวงตาสีนิลของเขาสบกับดวงตาสีอเมทิสต์ของเคทลินที่ฉายแววตระหนกตกใจครู่หนึ่งก่อนจะสะบัดหน้าหนี
ใช่ เฟรย์รู้ว่าเคทลินไม่มีทางที่จะลบเอาความทรงจำของนิคออกไปแน่ สิ่งที่เธอทำคงเป็นการผนึกความทรงจำไว้แล้วรอวันที่ผนึกนั้นจะถูกเปิดออกอีกครั้ง คนแบบเคทลินนั้นกลัวการถูกลืมเป็นที่สุด เพราะชีวิตที่ผ่านมาของเธอนั้นสูญเสียความรักไปหลายต่อหลายครั้ง นั่นเป็นสาเหตุที่เขาเลือกที่จะคอยอยู่ข้างเธอและช่วยเหลือในทุกเรื่องอย่างสนิทใจ อีกอย่างเขาคงเห็นภาพซ้อนของตัวเองกับเคทลินจึงทำให้ไม่อยากปล่อยให้คนคนนี้ต้องโดดเดี่ยวอีกต่อไป เขาลดทิฐิของตนในฐานะอาจารย์ของเธอลงแล้วกลายมาเป็นเพื่อนรู้ใจของเคทลิน และนี่คือที่มาของคำพูดและข่าวลือทั้งหลาย
ที่ไหนมีเฟรย์ที่นั่นมีเคทลิน คำพูดนี้ไม่เกินจริงเพราะมันเป็นเรื่องจริง
"เขาจำไม่ได้หรอก แค่หน้าฉันเขายังจำไม่ได้ด้วยซ้ำ" เคทลินแสร้งยิ้มกลบเกลื่อน ก่อนจะเดินหนีเข้าไปในบ้าน
"เธอลองโทรไปคุยกับซูซานดูสิว่านิคเขาเป็นไงบ้าง" เฟรย์เดินตามหลังเธอเข้าไปในบ้านก่อนจะถือวิสาสะหยิบโทรศัพท์ของเคทลินที่ตั้งอยู่บนโต๊ะในห้องนั่งเล่นขึ้นมากดรหัสแล้วโทรเข้าเบอร์ของซูซาน
เคทลินตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในไม่กี่วินาที เธอพยายามยืดตัวเอื้อมมือไปคว้าโทรศัพท์มาแต่ปลายสายก็ดันรับสายไวเสียเหลือเกิน
"ว่าไงเคท" เสียงประหลาดใจของซูซานดังขึ้นเมื่อเฟรย์กดเปิดลำโพง
"เอ่อ" เคทลินอ้ำอึ้งพลางส่งสายตาคาดโทษไปยังเพื่อนที่ยื่นโทรศัพท์มาตรงหน้าเธอ "คือว่าวันก่อน..."
'บอกไปสิว่าเธอโทรไปตรวจสอบเรื่องนิค' เฟรย์ส่งโทรจิตเข้ามาในหัวของเธอ เขาพยายามให้เคทลินสอบถามเรื่องนิคเพื่อตรวจสอบว่าผนึกความทรงจำของเขาไม่ได้คลายออก
"วันก่อนฉันบังเอิญไปเจอนิคเข้า เขามีอาการผิดปกติอะไรบ้างมั้ย" เคทลินรับโทรศัพท์มาจากมือของเฟรย์แล้วถามซูซานไป
"เอ..." เสียงปลายสายเงียบไปครู่หนึ่ง "ไม่นะ เขาปกติดี แบบว่า...ยังจำเธอไม่ได้เหมือนเดิม"
คำตอบของซูซานนั้นตอกย้ำเธอให้ยอมรับความจริงว่านิคยังคงลืมเธออยู่เหมือนเดิม ในใจลึก ๆ แล้วเคทลินแอบหวังให้เขาจำเธอได้สักนิดก็ยังดี
"อ้อ เข้าใจแล้ว ถ้ามีอะไรผิดปกติก็โทรบอกฉันได้นะ" เคทลินพูดก่อนจะกดวางสายในทันที เธอหันไปทางเฟรย์ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก่อนจะยกกำปั้นขึ้นมาทุบไหล่กว้างของเขา แต่กำปั้นนั้นก็ถูกหยุดด้วยฝ่ามือของอีกฝ่ายก่อนที่มันจะกระแทกลงบนไหล่
"สาแก่ใจนายแล้วยังล่ะ" เคทลินกัดฟันแน่น เธอพยายามข่มอารมณ์เศร้าด้วยการระบายความโกรธลงที่เฟรย์แทน
"ใช่ สาแก่ใจแล้ว" เฟรย์คลายมือของเคทลินออก "เธอควรจะจดจ่อกับการฝึกได้แล้ว ที่ผ่านมาเธอเอาแต่กังวลเรื่องเด็กคนนั้นจนไม่สามารถเต็มที่กับการฝึกได้"
"แล้วไง ฉันมีความรู้สึกนะ ใครจะไปนิ่งเฉยกับทุกอย่างได้เหมือนนายกันล่ะ" เคทลินผลักไหล่ของเฟรย์อย่างแรงแต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เขาไหวติงเลยแม้แต่น้อย
เฟรย์ถอนหายใจเสียงเบา เคทลินพูดถูกเรื่องที่เขาเฉยเมยกับทุกอย่าง แต่เธอพูดถูกแค่ครึ่งหนึ่ง เพราะความจริงแล้วเขาเองก็มีความรู้สึกอยู่ข้างในเช่นกันเพียงแต่ไม่แสดงมันออกมาก็แค่นั้น
"เพราะอย่างนี้ไงล่ะ ฉันถึงต้องอยู่กับเธอ" เฟรย์เอ่ยขึ้น "เธอน่ะทั้งใจร้อน คิดอะไรไม่รอบคอบ ตอนนี้เธอควรเพ่งความสนใจทั้งหมดไปที่การวางแผนและการฝึก" เขาเอามือแตะไหล่ของเธอเบา ๆ ก่อนจะเดินผ่านไปนั่งลงบนโซฟา จังหวะเดียวกับที่เรเวนเปิดประตูเข้ามาในบ้าน
"ฉันเห็นด้วยกับเฟรย์นะ" เรเวนพูดขึ้น ในมือมีตะกร้าใส่ดอกทานตะวันไว้สามดอกพร้อมกับพืชสมุนไพรอื่น ๆ ด้วย
เคทลินมองดอกทานตะวันในตะวันพลางขมวดคิ้ว เธอไม่ยักรู้ว่าเรเวนปลูกดอกทานตะวันไว้ด้วย
"ปลูกไว้หลังบ้านน่ะ แค่ทดลองปลูก" เขาตอบเมื่อเห็นเคทลินจ้องดอกทานตะวันพลางย่นคิ้วใส่ "ไว้จะเอามาปลูกหน้าบ้านบ้าง คงจะสวยดี"
"แล้วแต่นายเถอะ แต่ว่าเมื่อกี้นายแอบฟังฉันอยู่ใช่ไหม" เคทลินพูดย้อนถึงสิ่งที่เรเวนพูดก่อนหน้า
"โอ๊ะโอ" เรเวนเพียงแค่อุทานก่อนจะเดินเลี่ยงเคทลินลงไปชั้นใต้ดินก่อนที่จะถูกสอบสวนไปมากกว่านี้
เสียงหัวเราะเบา ๆ ที่ดังมาจากเฟรย์เรียกให้เคทลินหันไปมองเขา "แม้แต่เรเวนเองก็ยังคิดแบบฉัน เอาเหอะ เธอคงต้องใช้เวลาหน่อยแต่อย่านานนักล่ะ" เฟรย์หยัดตัวขึ้น เขายืนกล่องขนาดเท่าฝ่ามือมาให้เธอ
"อะไรน่ะ" เคทลินรับมันมาเปิดดู ข้างในเป็นกำไลแขนสีทองประดับด้วยโซ่ระย้าตรงกลางมีอเมทิสต์ทรงรียาวที่ถูกเจียระไนมาอย่างดี เธอมองเฟรย์อย่างไม่เข้าใจ
"เอาไว้ช่วยรับพลังเวทน่ะ ในกรณีที่พลังเวทของเธอมีมากเกินกว่าที่ร่างกายจะรับได้กำไลแขนนี่จะช่วยดูดซับพลังเวทส่วนนั้นเอาไว้" เฟรย์อธิบาย
"แล้วทำไมต้องเป็นกำไลแขนด้วยล่ะ" เธอพูดพลางหยิบมันขึ้นมาดูแล้วถกแขนเสื้อขึ้นเพื่อสวมใส่มัน
"มันดูเข้ากับเธอดี" เฟรย์ตอบสั้น ๆ
เคทลินยกแขนขึ้นมาสำรวจเครื่องประดับชิ้นใหม่ เธอชอบเวลาที่อเมทิสต์ต้องแสงแล้วทอประกายระยิบระยับ ต้องยอมรับว่าเพื่อนของเธอมีรสนิยมในการเลือกที่ดีไม่น้อย "ขอบคุณสำหรับกำไลนี่นะ"
"ยังไงมันก็เป็นของจำเป็นอยู่แล้ว ไม่ต้องขอบคุณหรอก" เฟรย์ตอบ เขาหันไปมองนาฬิกาบนผนังที่บอกเวลาหนึ่งทุ่มเศษ "ฉันต้องไปแล้ว"
"อื้อ ราตรีสวัสดิ์"
เฟรย์พยักหน้ารับก่อนจะหายตัวไปต่อหน้าเคทลิน
"คุณบูรณะศิริ คุณจัดการเรื่องที่ผมขอเรียบร้อยแล้วใช่ไหม" น้ำเสียงทุ้มนุ่มของมิเกลเอ่ยถามเทวินที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ถัดไปจากโต๊ะทำงานของเขาในห้องจอมเวทสูงสุด เทวินเป็นคนที่ว่านอนสอนง่าย เพียงแค่เขาดีดนิ้วสั่งอะไรเจ้าหนุ่มคนนี้ก็จะทำตามที่เขาต้องการทุกอย่าง ถึงเขาจะดูเป็นคนโง่ทึ่มบ้างแต่ความโง่ของเขานั้นสร้างประโยชน์ให้กับมิเกลได้ไม่น้อย
"ครับท่าน ผมจัดการทั้งสองเรื่องเรียบร้อยแล้วครับ" เทวินตอบกลับ ในมือของเขามีมีดพกขนาดเล็กที่เขาเพิ่งสร้างเสร็จ และบนโต๊ะก็มีมีดอีกหลายเล่มวางไว้เกลื่อนไปหมด
"ยอดเยี่ยม แล้วทางคุณวากเนอร์ล่ะ" เขาหันไปถามชายร่างสูงที่นั่งถัดจากเทวิน
"จัดการตามที่สั่งเรียบร้อยแล้วครับ อีกทั้งยังมีสำรองไว้ด้วยจำนวนหนึ่งหากไม่พอใช้สอย"
"เยี่ยม" มิเกลพยักหน้ายิ้มรับ
ในเมื่ออีกฝ่ายมีมือดีด้านการปรุงยาอย่างเคทลินทางเขาเองก็มีคนปรุงยามือฉมังอย่างบาสเตียน วาร์กเนอร์ เขาเป็นนักเวทมาตั้งแต่เกิด เรียกได้ว่าการปรุงยาถือเป็นสิ่งที่พระเจ้าประทานมาให้บาสเตียนอย่างแท้จริง ตอนอายุยี่สิบปีเขาได้คิดค้นยารักษาโรคเอดส์และไม่กี่ปีต่อมาเขาก็คิดค้นยารักษาโรคร้ายอย่างมะเร็งได้ ซึ่งยาพวกนี้สร้างรายได้มหาศาลให้กับสภาเวทมนตร์แห่งเลควูดแต่ถึงกระนั้นยาพวกนี้ไม่ถูกใช้รักษาคนทั่วไป เพราะมันมีไว้รักษาแค่คนรวยเท่านั้น เพียงแค่เสนอราคาไปต่อให้มากแค่ไหนพวกเขาก็พร้อมจ่ายเพื่อรักษาตนเองให้พ้นจากความทุกข์ทรมาน
นอกจากยารักษาแล้วบาสเตียนยังสามารถสร้างไวรัสได้อีกด้วย และวิธีการใช้งานมันนั้นแสนจะง่ายได้ เพียงแค่ปล่อยไวรัสลงในสาธารณูปโภคของเมืองต่าง ๆ คนในเมืองก็จะติดเชื้อไวรัส แต่เขาจะทำแบบนั้นไปเพื่ออะไรกันหากไม่ใช่เพราะเงิน หลังจากที่เกิดไวรัสระบาดผู้คนก็จะเริ่มผลิตวัคซีนออกมาต้านไวรัสพวกนี้ แต่ไม่ว่าจะวัคซีนตัวใดก็ไม่สามารถที่จะกำจัดเชื้อให้ออกไปจากร่างกายได้หมด เมื่อถึงเวลานั้นทางสภาเวทมนตร์ก็จะเสนอขายวัคซีนของบาสเตียน โดยเริ่มจากชนชั้นสูงก่อนแล้วค่อยไล่ลงไปยังบุคคลทั่วไปนั่นก็เพื่อกอบโกยเงินจากบรรดากษัตริย์ ผู้มีอิทธิพล เศรษฐี ทางสภาแทบไม่ต้องดำเนินการนำวัคซีนไปแจกจ่ายด้วยตัวเองเลยด้วยซ้ำเพราะเพียงแค่ป่าวประกาศออกไปกลุ่มคนพวกนี้ก็จะแห่มาที่หน้าสภาด้วยเองแทบจะในทันทีที่รู้ข่าว แล้วทุกคนก็จะเสนอราคาสูง ๆ เพื่อให้ตนนั้นได้มีสิทธิ์ที่จะรับวัคซีนก่อนใครเพื่อน ช่างดูเหมือนกับพวกหมูเวลาที่เทอาหารลงไปในรางอาหารของมัน ร่างอ้วน ๆ ที่ใหญ่เกินกว่าจะกินอาหารได้พร้อมกันทุกตัวนั้นจะเบียดเสียดแก่งแย่งกันไปมาเพื่อให้ได้กินอาหารก่อนตัวอื่น
ความโลภของเหล่ามนุษย์ช่างเป็นภาพที่มิเกลโปรดปรานนัก
"คนอื่นก็คงพร้อมกันหมดแล้วสินะ" มิเกลพูดขึ้นพลางยกแก้วไวน์ในมือขึ้นจิบ เขาหันมองออกไปนอกหน้าต่าง แสงอาทิตย์ของหน้าร้อนเจิดจ้าเสียจนต้องยกมือขึ้นป้องตา "อยากรู้แล้วสิว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป"
"คะ ตะ...แต่ว่าทางนั้นเขาจะอนุญาตเหรอคะ" อัสมิตาพูดกับปลายสายเสียงติดขัดด้วยความตกใจระคนดีใจ
มีคนขอเข้าฝั่งเคทลินอีกคน อัสมิตารู้สึกดีใจที่มีคนรับรู้ถึงการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายในสภา หากมีคนเข้าร่วมมากเท่าไหร่โอกาสที่จะชนะมิเกลก็ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น
"ยังไงก็ลองคุยกับคุณเฟรย์ดูก่อนแล้วกันค่ะ เพราะว่าเป็นคุณด้วยฉันไม่มั่นใจนักว่าเขาจะอนุญาตหรือเปล่า" อัสมิตาตอบ เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดส่งข้อความไปบอกเฟรย์
การจะเข้าร่วมนั้นต้องติดต่อผ่านเฟรย์ก่อน เขาจะเป็นคนตัดสินใจว่าใครควรเขาร่วมบ้างและแน่นอนว่าตอนนี้มีเพียงอัสมิตาที่ผ่านเข้ามาได้
"ได้โปรดช่วยคุยด้วยเถอะค่ะ ฉันอาจไม่ได้อยู่ในผู้อาวุโสแล้วก็จริงแต่ให้ฉันได้ทำอะไรให้เกิดประโยชน์บ้างเถอะค่ะ" หญิงวัยกลางคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะพูดขอร้อง "อีกอย่างฉันทำไปเพื่ออนาคตของลูกสาวฉัน ได้โปรดให้ฉันเข้าร่วมด้วยเถอะค่ะ"
"รอการตอบกลับจากคุณเฟรย์ก่อนนะคะ เขาคงจะดีใจที่คุณขอเข้าร่วมเพิ่มด้วยแน่นอนค่ะ"
"ขอปฏิเสธ" เฟรย์ปฏิเสธเสียงแข็ง
อัสมิตาอุตส่าห์เดินจากห้องทำงานของเธอที่อยู่อีกฟากหนึ่งมาถึงห้องของเฟรย์เพื่อขอร้องให้เขารับสมาชิกใหม่หลังจากที่ถูกปฏิเสธผ่านข้อความไปแล้วและเธอก็ถูกปฏิเสธอีกครั้ง
"ความพยายามของฉันมันเปล่าประโยชน์เหรอคะ" อัสมิตาพูดขึ้น เธอทำหน้าเหมือนจะร้องไห้พลางก่นด่านักเวทรุ่นเก่าที่สร้างอาคารสภาใหญ่โตทำให้เธอต้องเดินเหนื่อยในแต่ละครั้งที่มาทำธุระทางฝั่งตะวันออกของตึก
"ค่อนข้างที่จะเปล่าประโยชน์" เฟรย์ตอบ "และเธอคงมีเรื่องอื่นด้วยสินะถึงได้มาถึงนี่"
อัสมิตาไม่กล้าที่จะบอกความจริงว่าจริง ๆ แล้วเธอเดินมาถึงนี่เพื่อขออนุญาตจากเฟรย์เพียงเท่านั้น แต่นับว่าโชคดีที่เธอหยิบเอาแฟลชไดรฟ์ออกมาด้วย
"เรื่องที่คุณเคทลินมอบหมายนั่นแหละค่ะ เมื่อคืนวานฉันแอบไปติดตั้งเครื่องดักฟังจิ๋วไว้ในกระเป๋าของเทวินและนี่คือไฟล์เสียงที่ฉันคิดว่าควรเอามารายงานค่ะ" อัสมิตาวางแฟลชไดรฟ์สีน้ำเงินสดลงบนโต๊ะ
"ไม่คิดว่านี่จะเสี่ยงไปหน่อยรึไง" เฟรย์หยิบแฟลชไดรฟ์ขึ้นมาเสียบเข้ากับคอมพิวเตอร์
"ดิฉันสามารถพูดได้เต็มปากค่ะว่าอีกฝ่ายค่อนข้างอ่อนในเรื่องของเทคโนโลยี ถ้าเราใช้จุดอ่อนนี้เป็นจุดแข็งของเราคงจะดีไม่น้อย อีกอย่างคนอย่างเทวินนั่นทึ่มสุด ๆ เขาไม่มีทางรู้หรอกค่ะว่าไอ้ก้อนเล็ก ๆ นั่นเป็นเครื่องดักฟัง" อัสมิตาคอยสังเกตพฤติกรรมของเทวินมาสักระยะหนึ่งแล้ว เขามักใช้กระเป๋าใบเดิม ๆ และไม่ระมัดระวังตัวเสียเท่าไหร่ ทางมิเกลเองก็คงใช้จุดนี้ในการหาผลประโยชน์จากเขาให้ได้มากที่สุดก่อนจะเขี่ยเขาทิ้งเมื่อหมดประโยชน์
"ต้องขอชื่นชมในความช่างสังเกตของเธอ" เฟรย์กดย้ายไฟล์เสียงเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์แล้วจึงยื่นแฟลชไดรฟ์คืนให้กับอัสมิตา
"แล้วเรื่องสมาชิกใหม่..."
"ฉันรู้ว่าฉันอาจใช้อคติในการตัดสินใจครั้งนี้แต่คงต้องปฏิเสธ" เฟรย์ยังคงปฏิเสธเสียงแข็งตามเดิม
"แต่เธอเป็นคนมีความสามารถนะคะ"
"ความสามารถที่ทัดเทียมกับฉัน ฉันไม่ได้จะดูถูกเพศหรืออะไรอย่างนั้นหรอกนะ แต่เชื่อฉันสิว่าเราไม่ควรรับเธอเข้ามา" เฟรย์รู้จักเธอดี เพราะเขาเคยใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันกับดาเลีย โวลล์เทอร์มานานพอที่จะรู้ในหลาย ๆ เรื่องที่คนอื่นไม่รู้
"สรุปว่าไม่อนุมัติหรือคะ" อัสมิตาถามเสียงอ่อน
"ก็บอกว่าไม่--"
"ก็เอาสิ ความสามารถของเธอน่าสนใจไม่น้อย" เคทลินพูดขึ้น เธอมองอัสมิตายิ้มร่าพอใจในคำตอบที่เธอให้ไป ดูท่าเธอคงจะปลื้มดาเลียมากเหมือนกัน
เมื่อครู่อัสมิตาวิ่งแจ้นเข้าห้องเธอมาฟ้องว่าเฟรย์ยืนกรานที่จะไม่ให้ดาเลียเข้าร่วมกลุ่มพันธมิตร เคทลินคิดว่าคงเป็นเฟรย์ที่มีอคติกับอดีตภรรยามากเกินไป เธอเองก็รู้รายละเอียดไม่มากนักหรอกว่าระหว่างสองคนนี้มีอะไรให้ระหองระแหงกัน แต่ก่อนที่จะให้ดาเลียเข้าร่วมเธอคงต้องไปพูดกับเฟรย์ให้รู้เรื่องเสียก่อนแล้ว
"ว่าแต่เธอทำหน้าที่อะไรในสภาแล้วนะ ฉันไม่ค่อยเห็นหน้าเธอในสภาเท่าไหร่เลย" เคทลินเอ่ยถามอัสมิตา เธอมักเห็นอีกฝ่ายคอยส่งเอกสารไปมาในอาคารนี้แต่ก็ไม่ยักรู้ว่าหน้าที่จริง ๆ ของเธอคืออะไร
"คุณเคทลินคะ" อัสมิตาพูดเสียงอ่อนและทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ จริงอยู่ที่ตัวตนของเธอในสภามันเบาบางเพราะเธอไม่เก่งอะไรเป็นพิเศษแต่การถูกลืมตำแหน่งในงานนี่มันก็น่าเจ็บปวดไม่น้อย "ฉันทำงานเอกสารคอยบันทึกการประชุมอยู่ข้างคุณดาวิตไงคะ"
เคทลินพยายามนึกย้อนว่าในการประชุมนั้นเคยเห็นอัสมิตาบ้างมั้ยแต่ดูเหมือนเมื่อก่อนเธอจะโดดประชุมบ่อยและไม่ได้ใส่ใจห้องประชุมมากนักจึงไม่ทันสังเกตเห็น
"ขอโทษด้วยแล้วกัน ดูเหมือนฉันจะโดดประชุมเยอะไปหน่อย" เคทลินกลั้วหัวเราะในลำคอ
"คุณเคทลิน!!" อัสมิตาหวีดร้องอย่างเจ็บปวดที่คนที่เธอปลื้มไม่เคยสังเกตเห็นเธอเลยแม้แต่น้อย
'ยูริเอล โฮปส์ ประธานสภาเวทมนตร์ได้ออกมาแถลงการณ์ว่าจะทำการปิดเมืองเลควูดเพื่อตั้งเป็นเขตอนุรักษ์เผ่าพันธุ์ของนักเวทที่น้อยลงทุกชั่วขณะ และได้ประกาศให้บุคคลที่มิใช่นักเวทย้ายออกจากเมืองในทันทีที่คำแถลงการณ์นี้ถูกประกาศออกไป หรือนี่คือการแข็งข้อต่อประเทศที่ให้พื้นที่แก่ชนกลุ่มน้อยพวกนี้ได้อยู่อาศัย...'
เสียงโทรทัศน์ในห้องนั่งเล่นดังขึ้นขณะที่ซูซานกำลังจัดเตรียมอาหารเย็นอยู่ในครัว เสียงผู้ประกาศข่าวดังพอที่เธอจะได้ยินมันอย่างชัดเจน ดูเหมือนสถานการณ์ทางฝั่งนั้นจะแย่ลง หลังจากที่เคทลินโทรมาในวันนั้นซูซานก็ไม่สามารถติดต่อเธอได้อีกเลย นิคเองก็ไม่มีทีท่าว่าจะจำอะไรได้เลยแม้แต่น้อยสิ่งที่เธอทำได้ในตอนนี้มีเพียงฟังหรืออ่านข่าวจากสื่อต่าง ๆ เท่านั้น บางทีเธอก็รู้สึกว่าตัวเองไร้ประโยชน์เสียเหลือเกินที่ไม่สามารถช่วยเพื่อนได้
พลันความคิดทั้งหมดของซูซานก็หยุดลงเมื่อได้ยินเสียงไขประตูเข้ามาในบ้าน
"วันนี้แม่กลับบ้านไวจัง" นิคเอ่ย มือกระชับกระเป๋าเป้บนไหล่ สายตาของเขามองไปยังโทรทัศน์ที่ยังคงประกาศข่าวสถานการณ์ของนักเวทต่อไป แม่ของเขามักฟังข่าวเกี่ยวกับนักเวทอยู่เป็นประจำ ถึงส่วนใหญ่จะแอบ ๆ ไม่ให้เขาเห็นหรือได้ยินแต่นิคก็สามารถรู้ได้อยู่ดี สายตาของเขาเลื่อนกลับมามองฝ่ามือของตัวเอง เขากำมันแน่นก่อนจะวิ่งขึ้นไปบนห้อง
"อีกเดี๋ยวมื้อเย็นจะเสร็จแล้ว รีบลงมาด้วยล่ะ" ซูซานบอกไล่หลังเขาไป
"ครับ!" นิคตอบกลับ เขาเปิดประตูเข้าไปในห้องแล้วล็อกประตูไว้ สายตาของเขามองฝ่ามือตัวเองอีกครั้งมืออีกข้างก็โยนกระเป๋าเป้ลงบนเตียงก่อนที่เขาจะเดินไปทรุดตัวลงข้างเตียง นิคหลับตาลงพลันแสงสว่างวาบออกมาจากฝ่ามือทั้งสองข้างเกิดเป็นดวงไฟสีเหลืองนวลที่ไม่มีอุณหภูมิใด ๆ
เขาไม่เข้าใจ
นิคยกมือกุมศีรษะที่ปวดแปลบ พลันแสงไฟในมือก็หายไปในทันที เขาไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น บางทีอาจเกี่ยวกับการที่แม่ของเขาดูข่าวเกี่ยวกับพวกนักเวทอยู่บ่อย ๆ หรือบางทีแม่ของเขาอาจจะเป็นหรือเคยเป็นนักเวทมาก่อน ไม่ก็อาจจะเป็นพ่อของเขา แม่ไม่เคยพูดถึงพ่อให้ฟังมากนัก ท่านมักบอกว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองเป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบจึงไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับพ่อเลยแม้แต่น้อย เขารู้ว่าเวลาแม่โกหกท่านมักจะเม้มริมฝีปากอยู่เสมอ
ผ่านไปครู่หนึ่งอาการปวดศีรษะของนิคเริ่มทุเลาลง เขาหยิบสมุดเล่มสีฟ้ามาเปิดเขียน ภายในมีข้อความมากมายอยู่ มันไม่เชิงไดอารี่แต่เป็นการจดบันทึกความทรงจำบางอย่างที่แล่นเข้ามาในหัวเมื่อเขามีอาการปวดหัว และบันทึกการใช้พลังแปลก ๆ หนึ่งในนั้นมีเขียนไว้ว่าครั้งหนึ่งเขาเคยนึกอยากให้กาแฟในแก้วอุ่นกว่านี้เมื่อเขาแตะแก้วแล้วยกขึ้นดื่มกาแฟในแก้วนั้นก็อุ่นตามอุณหภูมิที่เขาต้องการทั้งที่ตั้งทิ้งไว้นานจนมันเย็นชืดหมดแล้ว และในทุก ๆ หน้าจะมีคำคำหนึ่งที่เขาวงกลมไว้ มันคือคำว่า 'คุณ...' ชื่อต่อท้ายหลังคำว่าคุณนั้นว่างเปล่า เขามักได้ยินเสียงตัวเองเรียกใครบางคนนำหน้าด้วยคำว่าคุณอยู่เสมอแต่เขาก็นึกไม่ออกสักทีจนมันเป็นสิ่งที่เขารำคาญใจที่สุด
นิคสันนิษฐานว่าความทรงจำพวกนี้อาจเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนที่เขาจะเกิดอุบัติเหตุก็เป็นได้ มีครั้งหนึ่งที่เขาเห็นภาพตัวเองนั่งอยู่ในร้านกาแฟกับแม่และมีอีกคนที่นั่งอยู่ข้างเขา แม่และคนคนนั้นมักพูดกันด้วยคำพูดที่ดูสนิทสนม แต่เขากลับนึกถึงคนคนนั้นไม่ออก
"คุณ..." นิคเอ่ยขึ้น เขามองประกายไฟสีฟ้าที่เกิดจากการดีดนิ้วพลางพยายามนึก
ช่างมันปะไร สักวันเขาคงจะนึกออกเอง
นิคคิดพลางเดินออกจากห้องไปยังห้องรับประทานอาหาร ใบหน้าที่เหยเกจากความเจ็บปวดเมื่อครู่อันตรธานหายไปและมีรอยยิ้มฉายบนใบหน้าแทน เขานั่งลงทานอาหารพลางแลกเปลี่ยนบทสนทนากับแม่เหมือนอย่างเคยและเก็บสิ่งแปลก ๆ ที่เกิดขึ้นไว้เป็นความลับไม่บอกใคร
"เธอตอบตกลงไปแล้ว" เฟรย์เอ่ยถามเพื่อนที่นั่งทำงานอยู่หน้าจอคอมในฝั่งตรงข้ามของโต๊ะ
เคทลินเพียงเงยหน้าขึ้นมาเหลือบมองเขาหนหนึ่งก่อนจะหันกลับไปใส่ข้อมูลยาที่ต้องส่งต่อไปยังหน่วยงานในเมืองต่าง ๆ ตั้งแต่ยูริเอลประกาศปิดเมืองบรรดาหน่วยงานต่าง ๆ ที่ไม่ได้มีเพียงหน่วยงานทางการเภสัชหรือแพทย์ต่างก็กรูกันมาสั่งยาอย่างไม่ขาดสาย แม้ตอนนี้พระอาทิตย์จะลับขอบฟ้าไปนานนับชั่วโมงแล้วก็ตามแต่เธอก็ยังคงต้องทำงานล่วงเวลาจัดแจงลำดับและจำนวนการส่งยา โดยเรียงลำดับจากจำนวนเงินที่มากที่สุดไปหาน้อยที่สุด ยิ่งใครเสนอราคาสูงก็จะได้สินค้าไวยิ่งขึ้น ดูจากปริมาณยาที่เหลือในคลังแล้วคงไม่พอจัดส่งไปจนถึงท้ายรายการได้อย่างแน่นอน
เคทลินกลอกตาเมื่อต้องนึกถึงสภาพตัวเองที่ต้องปรุงยาจำนวนมากอย่างไม่หยุดพักในขณะที่ผลตอบแทนยังคงได้เท่าเดิม สำหรับคนอื่นมันคงเป็นเงินจำนวนมากแต่สำหรับเธอแล้วมันทดแทนเวลาที่สูญเสียไประหว่างปรุงยาไม่ได้หรอกนะ
"ยัง" เคทลินตอบ เสียงคลิกเมาส์กับเสียงกดคีย์บอร์ดยังคงดังต่อไป เธอได้ยินเสียงเฟรย์ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
ช่างเหอะ ให้เขาได้สบายใจไปก่อนในระหว่างที่เธอต้องทำงานล่วงเวลา เสร็จจากนี่เมื่อไหร่คงได้ถกกันสักตั้ง เคทลินคิดในขณะที่กำลังไล่ใส่รายการยาของเมืองนูวิลล์ เมืองนี้ให้เงินมาเยอะพอตัวเลยได้คิวลำดับแรกไปครอง อีกทั้งยังสั่งยาเป็นจำนวนมากชนิดที่ว่ากฎหมายให้ซื้อขายได้สูงสุดเท่าไหร่ก็เอาตามที่กฎหมายให้สูงสุดเท่านั้น สมแล้วที่เป็นเมืองอันดับหนึ่งของประเทศ
เคทลินพักสายตาจากการใส่รายการสุดท้ายเข้าไปในตารางแล้วเหลือบมองไปยังเฟรย์ที่อ่านหนังสือรอเธออยู่ตรงหน้าเหมือนเดิม เวทคาถาแบบเขาคงไม่ต้องทำอะไรมากมายเหมือนเธอสินะถึงได้มานั่งอ่านหนังสือสบายใจแบบนี้
"ใครว่าสบายใจกันล่ะ" เฟรย์พูดด้วยน้ำเสียงเจือความขุ่นเคืองขณะพลิกกระดาษไปยังหน้าถัดไป
เคทลินจิ๊ปากอย่างไม่พอใจที่ถูกอ่านความคิด แต่ก็ไม่มีเวลามาเถียงกับเขาในตอนนี้เพราะต้องเริ่มรายการของเมืองนอคเทอนาต่อ แม้แต่เมืองแวมไพร์เองก็ยังต้องการยาจากนักเวท อันที่จริงการจำหน่ายยาจากเลควูดไม่ได้หยุดชะงักหรอก แต่เบื้องบนให้ปล่อยข่าวลือไปว่าจะหยุดจำหน่ายทำให้เงินเข้าสภาเป็นจำนวนมากในเวลาไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่ปล่อยข่าวออกไป
ไอ้เวรนั่น
"ด่าไปก็เท่านั้นแหละ เขาไม่ได้ยินเธอหรอก" เฟรย์พูด
เคทลินเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่านี่เขาตั้งใจจะยั่วโมโหเธอเพราะเรื่องที่เธอจะรับดาเลียเข้ากลุ่มพันธมิตรหรืออย่างไร อีกอย่างการที่เขามาอ่านความคิดเธอแบบนี้ถือว่าล้ำเส้นกันเกินไปหน่อย อีกทั้งยังจะมานั่งกดดันเธออีก พื้นที่ในห้องมีตั้งมากมายจะไปนอนเอกเขนกบนโซฟาก็ยังได้
จดจ่อกับงาน เคทลิน จดจ่อ!
เคทลินพยายามสะกดจิตตัวเองให้สนใจงานแต่ทันทีที่ได้ยินเสียงหัวเราะคิกหลุดมาจากอีกฝ่ายฟางเส้นสุดท้ายของเธอก็ขาดผึง
"ก็ได้ จะคุยกับฉันที่อารมณ์ดีไม่ได้ต้องคุยกับฉันที่อารมณ์ร้อนสินะ" เคทลินกัดฟันพูด เธอกดบันทึกงาน ปิดคอมพิวเตอร์แล้วสบตากับอีกฝ่ายตรง ๆ
เฟรย์แสยะยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะปิดหนังสือแล้ววางลงตรงหน้า
"นายลดทิฐิและอคติลงมาก่อน จำได้ไหมมรณกรรมของผู้แต่ง ที่โรล็องด์ บาร์ตส์เคยพูดถึง" เคทลินพยายามทำใจให้เย็นลงและกล่าวอ้างถึงหนังสือที่เคยอ่าน
"วิธีของบาร์ตส์มันใช้กับเรื่องนี้ไม่ได้หรอกนะ" เฟรย์ส่ายหน้าไปมา เขาไม่อาจวางใจให้ดาเลียเข้าร่วมได้จริงๆ จริงอยู่ที่ฝีมือของเธอสามารถนำมาใช้ร่วมในกองกำลังของพันธมิตรได้เป็นอย่างดีแต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ยอมเด็ดขาด
"เรื่องมันผ่านมานานแล้วนายควรจะปล่อยวางมันเสียที"
"สำหรับบางคนเรื่องในอดีตมันปล่อยวางไม่ได้หรอกนะเคท"
"ฉันยังปล่อยวางได้เลย"
"แต่ฉันไม่ใช่เธอไง"
ทั้งคู่จ้องกันอย่างไม่วางตากันราวกับกำลังแข่งว่าใครกะพริบตาก่อนจะเป็นผู้แพ้
"เห็นแก่พระเจ้าเถอะ!" เคทลินอุทานอย่างเหนื่อยหน่าย "เราต้องการความสามารถของดาเลียนะ"
"และเราก็ต้องการคนตงฉินเช่นกัน เธอมั่นใจได้ไงว่าดาเลียจะไม่หักหลังใครอีกครั้งในเมื่อเธอเคยทำมาแล้วครั้งหนึ่ง" เฟรย์ที่เคยถูกดาเลียหักหลังนั้นคงเป็นเรื่องยากที่เขาจะทำใจได้
"งั้นฉันคงต้องตัดนายออกจากการประชุมในการรับสมาชิกใหม่" เคทลินพูดเสียงเรียบพลางมองเพื่อนด้วยสายตาจริงจัง "วันมะรืนเราจะหารือเรื่องนี้กัน"
คำพูดของเคทลินทำให้เฟรย์ลุกพรวดด้วยอารมณ์หงุดหงิด คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนที่จะหายตัวไปต่อหน้าเธอ
"ให้ตายสิ เขาลืมหนังสือไว้ในห้องฉัน" เคทลินพูดพลางหยิบหนังสือขึ้นมาพลิกดู เธอยกยิ้มมุมปากพลางหัวเราะเสียงเบาในลำคอ
"ยินดีต้อนรับเข้าสู่กลุ่มพันธมิตรของเราค่ะ" เคทลินเอ่ยต้อนรับสมาชิกใหม่ ดาเลียดูกระตือรือร้นและให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี และวันนี้เธอก็นั่งแทนที่ตำแหน่งของเฟรย์ในโต๊ะประชุม เคทลินไม่ได้เชิญเข้าเขาร่วมอย่างที่บอกไว้และจะไม่ตามเขามาร่วมด้วย
"พวกเธอทะเลาะอะไรกัน" ลูซิเฟอร์เอ่ยถามหลังการประชุมสิ้นสุดลง ดาเลียและอัสมิตากลับไปแล้ว ตอนนี้เหลือเพียงแค่เธอกับสองพี่น้องคาร์เธอร์
"ก็แค่เด็กตีกัน ไม่มีอะไรมากหรอก" เคทลินบอกปัด วันนี้เธอล้าเต็มทนแล้วและเธอเหนื่อยที่จะต้องมาตอบคำถามของลูซิเฟอร์ที่ดูเหมือนจะถามเพื่อความอยากรู้ส่วนตัวของเขาเอง วันนี้ทั้งวันทั้งวันเธอนั่งจมอยู่กับแสงสีฟ้าหน้าจอคอมเลิกงานก็ต้องมาสัมภาษณ์สมาชิกใหม่อีก
"นี่ ตอบมาตามตรง เธอทำไปได้อย่างไร" ลูซิเฟอร์ยังคงถามต่อไม่เลิก "เฟรย์ไม่เคยขาดประชุมไหนทั้งนั้น แต่วันนี้เขากลับหายไปตลอดการประชุม แต่กลับกันถ้าเป็นเธอขาดการประชุมฉันจะไม่แปลกใจเลย -- โอ๊ย ๆ ๆ ๆ"
ไม่ทันได้พูดจบประโยคลูซิเฟอร์ก็ถูกพี่สาวของตนบิดหูเพราะดันพูดจาไม่น่ารื่นหูเสียเท่าไหร่
"ฉันเคารพทุกการตัดสินใจของคุณเคทลินค่ะ แต่ทำแบบนั้นจะดีเหรอคะ" เกว็นเอ่ยถามต่อ เธอมองเหน็บน้องชายเจ้าปัญหาของเธออย่างคาดโทษ
"เธอดูนิมิตมางั้นเรอะ" เคทลินตำหนิพลางบีบมือขวาของเกว็นแน่น เธอไม่อยากให้อีกฝ่ายต้องลำบากใช้พลังเวทที่บั่นทอนสุขภาพเลย
"ไม่เชิงว่าดูนิมิตหรอกค่ะ" เกว็นส่ายหน้าปฏิเสธ "แค่มันเข้ามาในหัวครู่หนึ่ง"
"ให้ตายสิโดนรู้ความลับเสียแล้ว" เคทลินปรายตามองลูซิเฟอร์ที่เว้นระยะห่างออกไปเมื่อทั้งสองคุยกัน
"ลูซไม่รู้เรื่องนั้นหรอกค่ะ แต่ฉันจะบอกเองเมื่อถึงเวลา" เกว็นอธิบาย เธอเหลือบมองน้องชายครู่หนึ่งก่อนจะหันมาทางเคทลินตามเดิม
"เธอมีความเห็นว่าไง"
"คุณควรจะปรึกษาคนอื่นก่อนที่จะทำมันลงไปนะคะ"
"นี่คือความเห็นของเธอสินะ" เคทลินถามย้ำเพื่อความแน่ใจพลางกลั้วหัวเราะเบา ๆ
"อันที่จริงก็เป็นความคิดที่ไม่เลวค่ะ แต่ทำแบบนี้คงถูกคุณเฟรย์โกรธไปอีกนานแน่เลย"
"นั่นสินะ แต่เอาเหอะ ตอนนี้ฉันก็คงต้องถูกโกรธไปก่อน ไว้ถึงตอนนั้นเมื่อไหร่เขาคงเข้าใจเองแหละ" เคทลินพูดพลางมองเก้าอี้ของเฟรย์ที่เมื่อตอนประชุมถูกแทนที่ด้วยดาเลีย เขาคงไม่พอใจแน่ถ้ารู้ว่าเก้าอี้ประจำตำแหน่งของเขานั้นถูกคนอื่นมานั่งแทนที่ไป
"ชักช้า!" เฟรย์พูดขึ้นเมื่อลูกไฟลูกหนึ่งเกือบเฉียดแขนขวาของเคทลินไป หากเฟรย์ไม่สลายมันไปก่อนแขนของเธอคงเป็นรอยไหม้แน่นอน "สมาธิของเธอไปไหน ขยับร่างกายให้ไวหน่อยสิ"
ดูเหมือนว่าเฟรย์จะเว้นระยะห่างจากเธอมากขึ้นเหมือนเมื่อตอนที่เขายังเป็นอาจารย์สอนเวท เมื่อต้องพูดก็จะพูดเพียงสิ่งที่จำเป็นไม่พูดมากเท่าปกติ ปฏิบัติกับเธอเหมือนที่ปฏิบัติกับคนอื่น ถึงเคทลินจะทำใจเรื่องนี้ไว้แล้วก็ตามแต่เธอก็ยังรู้สึกใจหายไม่น้อยที่ถูกเว้นระยะแบบนี้ แต่ถึงอย่างนั้นหลังจากวันที่รับดาเลียเข้ากลุ่มเฟรย์ก็มาเข้าประชุมตามปกติ ถึงเขาจะเสนอในที่ประชุมน้อยลงแต่ก็ยังคงให้ความร่วมมืออย่างดี และเขาไม่ได้นั่งที่เก้าอี้ตัวเดิมข้างเธอ เฟรย์เลือกที่จะไปนั่งฝั่งตรงข้ามเธอระหว่างอัสมิตาและลูซิเฟอร์ เคทลินลอบสังเกตเขาในบางครั้ง เฟรย์ยังคงมีท่าทีเฉยชาและไม่ส่งโทรจิตมาหยอกเล่นกับเธอตามเคย
เคทลินลุกขึ้นจากพื้นหญ้าที่เธอล้มคะมำไปเมื่อครู่ขณะหลบลูกไฟที่เข้าใกล้ในระยะประชิด ฝ่ามือที่มีเลือดซิบจากการค้ำยันกับพื้นนั้นยกขึ้นปาดเหงื่อที่ไหลตามกรอบหน้าออกไป "ขอลองใหม่อีกครั้ง" เธอตอบขณะที่ยังคงหอบหายใจด้วยความเหนื่อย และเฟรย์เองก็ไม่เว้นช่วงให้เธอได้พักเหนื่อย เขาเรียกลูกไฟขนาดเล็กแต่หลายลูกขึ้นมาก่อนจะวาดมือไปทางเคทลิน เธอเพ่งสมาธิไปยังลูกไฟเหล่านั้นนับจำนวนทั้งหมดในใจแล้วจึงวาดมือทั้งสองไปในอากาศพลันลูกไปที่กำลังพุ่งมาทางเธอก็เคลื่อนไหวช้าลงแทบจะหยุดนิ่งทันใดนั้นมือขวาของเคทลินก็วาดเป็นแนวยาวขนานกับพื้นทำให้ลูกไฟทั้งหมดนั้นถูกแช่แข็งเป็นก้อนกลม เธอประสานมือทั้งสองข้างไว้ตรงหน้า แรงลมทำให้ก้อนน้ำแข็งทรงกลมเหล่านั้นย้อนกลับไปหาเฟรย์ทั้งหมด เขายกแขนขึ้นไขว้กันสร้างแนวป้องกันให้ตัวเอง แรงกระทบทำให้ก้อนน้ำแข็งแหลกสลายไปจนหมด เฟรย์ลอบยิ้มอย่างพอใจครู่หนึ่งก่อนจะกลับมาตีหน้าเรียบเฉยตามเดิม
"ยอดเยี่ยมจริง ๆ" เสียงของดาเลียดังขึ้นจากข้างหลังของเฟรย์ เขาหันหลังกลับไปเห็นเธอกำลังเดินออกมาจากแนวป่า ผมสีแดงของเธอเป็นประกายเมื่อต้องแสงอาทิตย์ยามโผล่พ้นแนวไม้ ดวงตาสีอำพันเองก็ทอแสงระยิบระยับราวกับเพชรเจียระไนน้ำดี มองเพียงแค่ปราดเดียวก็รู้ได้ว่าเธอเป็นพวกชนชั้นสูงอย่างไม่ต้องสงสัย
เคทลินขมวดคิ้วเล็กน้อย เฟรย์กางเวทอาณาเขตไว้ทุกครั้งที่ฝึกซ้อมเพื่อไม่ให้ใครเข้ามาเห็นหรือได้รับบาดเจ็บจากลูกหลงในการฝึกซ้อมได้ แต่ดาเลียกลับเดินเข้ามาได้อย่างง่ายดาย แม้แต่เฟรย์ที่เป็นเจ้าของเขตแดนเองก็ยังไม่อาจรับรู้ได้ สมแล้วที่เป็นนักเวทสายเลือดโบราณ
"ขอบคุณ แต่เข้ามาแทรกกลางระหว่างการฝึกซ้อมนี่ออกจะเสียมารยาทไปหน่อยนะ" เฟรย์ตอบพลางเดินถอยเข้าไปใกล้กับเคทลินมือข้างหนึ่งนอกกางออกกันไม่ให้เธอเดินออกมาจากข้างหลังเขา
"แหมๆ อะไรกันท่าทีเหมือนฉันเป็นตัวอันตรายแบบนั้น" ดาเลียเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับผายมือทั้งสองข้างออก "ฉันไม่มีพิษภัยอะไรทั้งนั้นแหละ"
"ต้องขออภัยด้วยสำหรับการกระทำที่เสียมารยาทของเขานะคะ" เคทลินดันเฟรย์ให้หลบออกไปก่อนจะเดินขึ้นมาเสมอกับเขา
"ฉันไม่ถือสาหรอกค่ะ การกระทำที่แย่ยิ่งกว่านี้เขาก็เคยทำมาแล้ว" ดาเลียพูดเน้นเสียงประโยคท้าย เธอปรายตามองเฟรย์ครู่หนึ่งก่อนจะหันกลับมายิ้มให้กับเคทลิน
"ต้องขออภัยด้วยนะคะหากฉันพูดอะไรไม่ถูกใจออกไป" เคทลินเอ่ย "แต่สำหรับฉันแล้วฉันมองที่ปัจจุบันน่ะค่ะว่าเขาเป็นอย่างไร การที่คุณพูดจาเหมือนว่าร้ายเพื่อนฉันแบบนี้ต่อให้เราลงเรือลำเดียวกันแล้วก็ตาม แต่ฉันคงต้องขอออกตัวปกป้องเพื่อนต่อคำว่าร้ายของคุณ" เธอพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ในใจเธอแอบไม่พอใจที่ดาเลียมาแขวะเฟรย์ต่อหน้าเธอแบบนี้
"ฉันชอบที่คุณออกตัวปกป้องเพื่อนนะคะ" ใบหน้าของดาเลียฉายสีหน้าไม่พอใจออกมาแต่เธอก็พยายามฝืนยิ้มต่อไปทำให้รอยยิ้มของเธอนั้นดูไม่จริงจังเอาเสียเลย "แต่ระวังตัวไว้หน่อยก็ดีนะคะ คนไร้น้ำยาแบบนี้คงปกป้องคุณไปตลอดไม่ได้หรอกค่ะ"
พูดจบดาเลียก็หายไปพร้อมกับลมร้อนที่พัดมา
"ขอบคุณที่อุตส่าห์ออกหน้าแทน แต่ฉันดูแลตัวเองได้" เฟรย์พูดก่อนจะหายตัวไปทิ้งให้เคทลินอยู่เพียงลำพัง
"นี่มันแย่ยิ่งกว่าเดิมเสียอีกนะ" เธอถอนหายใจเสียงดังก่อนจะฝึกซ้อมต่อตามลำพัง