เคทลินกลับมาแก้แค้นเพื่อนรักอย่างซูซานที่ขโมยผลงานของเธอจนตัวเองโด่งดัง ในเมื่อผลงานเปรียบเสมือนกับลูกของเธอเคทลินจึงได้ขโมยลูกของซูซานเป็นการแก้แค้น
แฟนตาซี,ดราม่า,ผจญภัย,พารานอมอล,ครอบครัว,เวทมนตร์,แฟนตาซี,นักเวท,เวทมนต์,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูดเคทลินกลับมาแก้แค้นเพื่อนรักอย่างซูซานที่ขโมยผลงานของเธอจนตัวเองโด่งดัง ในเมื่อผลงานเปรียบเสมือนกับลูกของเธอเคทลินจึงได้ขโมยลูกของซูซานเป็นการแก้แค้น
เพราะการแก้แค้นนั้นหอมหวานและทำให้คนคนหนึ่งยอมเปลี่ยนตัวตนเพื่อการแก้แค้นอดีตเพื่อนรัก หากแต่การแก้แค้นของเคทลินนั้นทำให้ใครอีกคนได้ค้นพบการดำเนินชีวิตแบบใหม่ที่เขาเองก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อน การอยู่ร่วมกันของเคทลินและนิคนั้นจะเป็นเหมือนแม่เหล็กคนละขั้วที่แตกต่างแต่ก็ดึงดูดเข้าหากันเสมอ
เมื่อนิคได้เข้ามาในโลกของนักเวทก็เกิดสิ่งที่ไม่คาดฝันมากมาย แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อเขาเป็นคนเลือกที่จะเดินทางนี้เอง และเขาไม่ได้โดดเดี่ยวเพราะมีคนคอยดูแลอย่างเคทลินแห่งเลควูดคอยตามเป็นห่วงอยู่ไม่ห่าง และดูเหมือนจะมีเรื่องวุ่นๆ หลายอย่างรอทั้งสองอยู่เบื้องหน้า
เวลาดำเนินต่อไปนับตั้งแต่มีการประกาศปิดเมือง มันไม่ได้แย่อย่างที่เคทลินคิดไว้เท่าไหร่ ในตอนนี้เธอจัดสรรเวลาประชุมเป็นสัดเป็นส่วนโดยจะทำการประชุมตอนเย็นของวันอังคาร วันพุธ และวันศุกร์ ในวันอาทิตย์จะเป็นการสรุปข้อมูลจากการประชุมก่อนหน้า โดยจะใช้เวลาตั้งแต่ช่วงสายไปจนถึงเที่ยงวันซึ่งจะใช้เวลานานกว่าวันอื่น ๆ อีกทั้งเธอยังมีการฝึกซ้อมกับเฟรย์เหมือนเดิม เขายังคงเว้นระยะจากเธอไม่เปลี่ยนแปลง เธอไม่ชอบเวลาที่เขาเป็นแบบนี้เลย มันทั้งรู้สึกหงุดหงิดและอึดอัดใจในเวลาเดียวกัน
"พระเจ้า เคท เธอได้นอนบ้างไหมเนี่ย" เสียงโหวกเหวกของไมเคิลดังขึ้นหลังจากที่เห็นสภาพหน้าเธอที่ดูโทรมลงจากครั้งก่อนที่เจอกัน
"นายก็น่าจะรู้ว่าฉันได้นอนมั้ย" เคทลินย้อนถาม เลควูดปิดเมืองก็จริงแต่ดูเหมือนว่ายังคงให้แวมไพร์จากนอคเทอนาเข้าออกได้อยู่ เพราะตามปกติพวกแวมไพร์ก็ไม่ค่อยออกมานอกเมืองกันอยู่แล้วยกเว้นเจ้าแวมไพร์ตรงหน้าเธอที่โฉบไปโฉบมาแถมยังส่งเสียงหึ่ง ๆ ราวกับยุงงั้นแหละ
"จริงสิ พี่ฉันฝากนี่มาให้" ไมเคิลวางขวดใบจิ๋วสีชาลงตรงหน้าเธอ เคทลินยกมันขึ้นมาดูก็เห็นสัญลักษณ์บอกว่าเป็นยาพิษที่มีขนาดไม่กี่มิลลิเมตรแปะไว้
ดูท่าคงไม่ได้แปะไว้ให้คนอ่านหรอก เคทลินคิด เธอมองกลับไปยังไมเคิลที่นั่งอมยิ้มอยู่
"พี่บอกว่าถ้าใช้หยดเดียวจะทำให้พลังเวทเสื่อมลงเล็กน้อย แต่หากใช้ทั้งขวดก็มีฤทธิ์ที่ให้ร่างกายชา อ่อนแรง เกิดอาการชักไปจนถึงเสียชีวิตได้"
โอฟีเลียคงรู้สถานการณ์ของเธอแล้วถึงได้ฝากของอันตรายข้ามเมืองมาแบบนี้ เคทลินคิด เธอยกมือขวาขึ้นสัมผัสกำไลแขนที่อยู่ใต้ร่มผ้าพลางครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
"ว่าแต่ นายบอกว่าพลังเวทเสื่อมลง นี่วางแผนจะทำอะไรกันลับหลังอยู่หรือเปล่า" เคทลินเอ่ยถามทีเล่นทีจริง
"ไม่หรอก พี่แค่สั่งให้ทำเพื่อเธอโดยเฉพาะหากไม่ได้ใช้แล้วก็จะทำลายทิ้งทั้งหมดรวมไปถึงสูตรยาด้วย" ไมเคิลตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง "ฉันคงช่วยเธอได้แค่นี้แหละ เพราะหากมาข่าวเล็ดลอดออกไปว่าผู้นำของแวมไพร์อยู่เบื้องหลังการฆาตกรรมจอมเวทสูงสุด พี่คงตกที่นั่งลำบาก"
แล้วพวกนายจะทำยานี่ขึ้นมาทำไมกัน เคทลินคิดเธอหยิบขวดยาใส่ไปในกระเป๋าคู่ใจ อย่างไรก็คงปฏิเสธน้ำใจของสองคนนี้ไม่ได้ล่ะนะ ไว้จนตรอกแล้วค่อยใช้มันเป็นทางเลือกสุดท้ายก็แล้วกัน
"นายจะเข้าสภาไปพร้อมฉันเลยไหม" เคทลินเอ่ยชวน ไมเคิลมาที่เมืองนี้เพราะมาคุยเรื่องสถานการณ์ในปัจจุบันของเลควูดกับนอคเทอนา ในฐานะตัวแทนของโอฟีเลียเขามาที่นี่เพื่อคุยกับยูริเอลเรื่องความสัมพันธ์ของทั้งสองเมือง การที่เลควูดปิดเมืองทำให้การสัญจรเข้าออกไปยังเมืองอื่นนั้นยากลำบาก ครั้นจะให้เดินทางด้วยเรือก็ยิ่งล่าช้าไปกันใหญ่เพราะต้องอ้อมไปลงท่าเรือแล้วจึงต่อรถเข้าเมืองอีกทีหนึ่ง ไมเคิลจึงต้องมาทำเรื่องขอให้เปิดทางผ่านเข้าออกแต่ก็ต้องมาคุยกับยูริเอลว่าเขามีความเห็นว่าอย่างไร
"ได้ เธออยากให้ฉันต่อยหน้าหมอนั่นให้ไหมล่ะ"
"อยากอยู่หรอก แต่ฉันค่อยลงมือเองดีกว่า" เคทลินพูดพลางส่งมือให้ไมเคิลจับไว้
ทั้งสองมาโผล่อยู่หน้าอาคารสภา ไมเคิลขอตัวแยกไปหายูริเอลส่วนเคทลินนั้นก็เดินตรงไปยังห้องทำงานของตัวเอง
เคทลินผลักประตูเข้าไปในห้องทำงานของตัวเองก็เห็นดาเลียนั่งอยู่ที่เก้าอี้ทำงานของเธอก่อนแล้ว เคทลินย่นคิ้วอย่างไม่พอใจ เธอไม่ชอบทำให้ใครมายุ่งกับของในห้องโดยเฉพาะพื้นที่ส่วนตัวอย่างโต๊ะทำงาน
ดาเลียยกยิ้มอ่อนให้เมื่อเห็นเคทลินเข้ามาในห้อง เธอไล่สายตาตามร่างของอีกฝ่ายที่เดินเข้ามายืนอยู่ตรงหน้า
"เคทลินเธอเป็นคนที่ฉลาด" ดาเลียเกริ่น เธอหยิบหนังสือที่เฟรย์วางทิ้งไว้มาพลิกหน้ากระดาษไปมา "เฟรย์เองก็เตือนเธอเรื่องแต่เธอก็ยังจะเลือกทำแบบนี้ต่อไป"
เคทลินนั่งลงฝั่งตรงข้ามฟังสิ่งที่ดาเลียพูด เธอไม่ค่อยพอใจนักเวลาที่คนตรงหน้าพลิกหน้ากระดาษแรงจนเกิดเสียงกระดาษแหวกผ่านอากาศ เฟรย์ค่อนข้างที่จะถนอมหนังสืออยู่พอควรแต่ตอนนี้หนังสือของเขากำลังถูกดาเลียพลิกมันไปมาอย่างไม่แยแสนัก
"เธอทำไปเพื่อเดซีใช่ไหมล่ะ" เคทลินเอ่ยถึงลูกสาวของดาเลีย เดซีเป็นลูกนอกสมรสของดาเลีย ถ้าพูดให้ถูกก็คือดาเลียนอกใจเฟรย์จนเกิดเดซีขึ้นมา เธอหลอกให้เฟรย์เข้าใจว่าเด็กคนนั้นคือลูกของเขาจนในวันหนึ่งเธอก็ได้หย่าและยึดสิทธิ์การเลี้ยงดูเดซีเป็นของเธอพร้อมกับเปิดเผยว่าเธอไม่ได้มีเลือดเนื้อเชื้อไขของเฟรย์เลยแม้แค่น้อย นั่นทำให้เฟรย์ที่รักเดซีราวกับลูกของตนเองนั้นเสียใจเป็นอย่างมาก แม้เวลาจะผ่านมานานแล้วเฟรย์ก็ยังคงโกรธแค้นดาเลีย และหลังจากหย่ากันเขาก็ไม่เคยได้เจอหน้าเดซีอีกเลย
ดาเลียขบกรามแน่นเมื่อได้ยินเคทลินเอ่ยถึงลูกสาวของตน "อย่าลากลูกฉันมายุ่งด้วย" เธอพูดเสียงต่ำ ดวงตาสีอำพันนั้นเจือไปด้วยความโกรธเกรี้ยว เธอวางหนังสือในมือกระแทกโต๊ะดังปั้ก
"งั้นก็จริงสินะที่เธอทำไปเพื่อปกป้องลูก เหมือนที่เธอบอกตอนจะเข้ากลุ่มกับฉัน" เคทลินเอ่ยถาม เธอฝืนเหยียดยิ้มให้ทั้งที่ในใจนั่นอยากจะตีมือที่จับหนังสือของเฟรย์กระแทกโต๊ะเสียเต็มประดา "หรือเธอถูกมิเกลข่มขู่เรื่องลูกสาวกันถึงได้แทรกเข้ามาในกลุ่มของฉัน"
ดาเลียหัวเราะในลำคอ เธอหยัดตัวขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินมาทางเคทลิน "ใช่ ฉันทำเพื่อลูก และถ้าเธอรู้เรื่องนี้อยู่แล้วก็ควรใช้จังหวะนี้หนีออกจากเมืองไปเสีย เธอเองก็มีเด็กที่ต้องดูแลเหมือนกันนี่"
ภาพของนิคฉายเข้ามาในหัวของเคทลินครู่หนึ่งก่อนที่เธอจะสลัดภาพนั้นออกไป "ไม่หรอก ไม่มี" เธอส่ายหน้าปฏิเสธสายตาสบมองตรงไปยังดวงตาของอีกฝ่ายในระยะประชิด "ถ้าเธออยากให้ฉันช่วยแค่บอกกันตามตรงฉันพร้อมที่จะช่วยเหลือเธอ"
"ช่วยงั้นเหรอ เธอเป็นนักบุญหรืออย่างไร เธอช่วยทุกคนบนโลกไม่ได้หรอกนะ บางที่เราต้องดิ้นรนเพื่อช่วยเหลือตัวเองเพราะไม่มีใครมาคอยยื่นมือให้ความช่วยเหลือทุกคนแบบเธอหรอกนะ" ดาเลียแค่นหัวเราะ "แต่ได้ข่าวว่ามีเด็กอีกคนที่เธอเพิ่งพบหลังจากไม่ได้ติดต่อกันนาน" เธอยิ้มเยาะอย่างผู้ชนะ นั่นทำให้เคทลินเบิกตาโพลงอย่างตระหนกตกใจ เธอลืมเรื่องของคาซเปอร์ไปเสียสนิท เคทลินรีบลุกขึ้นยืนแต่ก็ถูกดาเลียดันกลับให้นั่งลงไปตามเดิม
"เด็กคนนั้นถูกมิเกลควบคุมไว้อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว เพราะงั้นอย่าคิดทำอะไรตุกติกแล้วตามฉันมาดี ๆ"
"จะให้ฉันไปไหน --" ไม่ทันที่เคทลินได้รับคำตอบภาพตรงหน้าก็ดับวูบกลายเป็นสีดำ
เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่เคทลินไม่อาจรู้ได้ เธอนั่งหนาวเย็นยะเยือกอยู่ในความมืด มันมืดจนเธอไม่รู้ว่าทิศไหนเป็นทิศไหนต่อให้เธอใช้เวทเรียกแสงสว่างออกมาแค่ไหนก็ไม่อาจมองเห็นแสงสว่างได้ ครู่หนึ่งเธอคิดว่าคงถูกทำให้ตาบอดหรืออะไรทำนองนั้นแต่เมื่อเห็นแสงไฟที่ลอดผ่านความมืดเข้ามาความคิดนั้นก็หายไปและแทนที่ด้วยความโกรธแค้นเมื่อเห็นผู้มาใหม่ที่ปรากฏตัวขึ้น
"ไงเด็กน้อย ไม่เจอกันนาน" มิเกลเอ่ยทัก แสงสว่างวาบหลังเขาถูกปิดลงด้วยประตูที่ทึบแสง ในมือของเขามีเชิงเทียนพร้อมกับเทียนที่ถูกจุดเล่มหนึ่ง มันสว่างพอที่จะเห็นใบหน้าของมิเกลได้ชัดในระดับหนึ่ง
"ไอ้เวร" เคทลินสบถคำหยาบออกมาทันทีที่เห็นหน้าของอีกฝ่าย "แกวางแผนจะทำอะไรกันแน่"
มิเกลยกนิ้วขึ้นแตะขมับแสร้งทำท่าทีเหมือนกำลังครุ่นคิด "นั่นสินะผมกำลังทำอะไรกันนะ" มิเกลฉีกยิ้มเมื่อพูดจบ "ลืมไปแล้วล่ะ" พูดจบเขาก็ระเบิดหัวเราะออกมาราวกับคนบ้า
เคทลินจ้องมองพฤติกรรมแปลกประหลาดของมิเกลอย่างงง ๆ
"แล้วเธอล่ะวางแผนอะไรอยู่" มิเกลถามกลับแต่กลับได้ความเงียบจากเคทลินเป็นคำตอบ
"ไม่ตอบงั้นเหรอ ดี" มิเกลหุบยิ้มเขายกมือทั้งสองข้างขึ้นปิดหน้าตัวเองไว้ เมื่อเปิดหน้าออกมาก็มีใบหน้าของนาธานเข้ามาแทนที่
เคทลินลุกพรวดขึ้นอย่างมีน้ำโห แต่ข้อเท้าของเธอนั้นถูกตรึงไว้ด้วยโซ่เส้นใหญ่ทำให้เธอล้มหน้าคว่ำลงกับพื้น
มิเกลที่มีใบหน้าของนาธานอยู่จิกผมของเธอให้เงยหน้าขึ้นสบตากับเขา "พอเป็นนาธานก็มีการตอบโต้ดีนี่" เขาพูดพลางคลายมือที่ขยุ้มผมออกแล้วช่วยพยุงเคทลินขึ้นนั่งตามเดิม
เคทลินพยายามหลบหน้าไม่สบตากับเขา มือของมิเกลสัมผัสกับผมของเคทลินอย่างแผ่วเบา เขาพรมจูบลงบนผมของเธอ ก่อนจะไล่ไปยังศีรษะ และหน้าผาก
เคทลินรู้สึกตัวชาวูบขึ้นมา ความรู้สึกขยะแขยงก่อตัวขึ้นเธอพยายามดิ้นให้หลุดพ้นแต่ก็ไม่สามารถขยับตัวหรือกรีดร้องได้ ต่อให้พยายามใช้เวทมนตร์ให้ตายอย่างไรก็ไม่อาจเรียกมันออกมาได้เลยแม้แต่น้อย ริมฝีปากของมิเกลเคลื่อนมายังแก้มทั้งสองข้างของเธอต่อด้วยริมฝีปากของเธอ เขาบดขยี้มันอย่างรุนแรงและเคทลินเองก็ไม่สามารถที่จะขัดขืนได้เลยแม้แต่น้อย เธออยากจะลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วพบว่ามันเป็นเพียงแค่ฝันร้ายเท่านั้น
"แย่จริง ทำแบบนี้เธอก็ไม่มีอารมณ์ร่วมด้วยสิ" มิเกลพูดพลางดีดนิ้ว พลันร่างของเคทลินก็สามารถขยับได้แต่เธอรู้ว่าแรงทั้งหมดที่เคยมีนั้นหายไปหมดสิ้น เธอทิ้งน้ำหนักตัวลงให้ตัวเองลงมากองบนพื้น พยายามคว่ำหน้าเพื่อหลบหนีถูกมิเกลที่รุกล้ำเธอเข้ามาเรื่อย ๆ
"จะหนีไปไหนกัน ผมอุตส่าห์เปลี่ยนเป็นหน้าที่ผมเกลียดที่สุดเลยนะ" มิเกลพูด เขาวางเชิงเทียนไว้บนเก้าอี้ก่อนจะจับเคทลินพลิกตัวให้สบหน้ากับเขา "ได้ข่าวว่าเธอชอบนอนกับผู้ชายคนอื่น ไม่รู้สึกผิดต่อนาธานบ้างเลยหรือไง" มิเกลพูด เขาก้มหน้าลงฝังจมูกลงกับลำคอของเคทลิน พลางเชยชมกลิ่นหอมของสมุนไพรอ่อน ๆ บนตัวเธอ ริมฝีปากขบเม้มลำคอของเธอย่างเพลิดเพลินราวกับกำลังสนุกสนานกับอาหารจานโปรด
เคทลินพยายามดิ้นอย่างเต็มที่แต่ก็ไม่อาจสู้แรงของอีกฝ่ายได้ เมื่อไร้เวทและพลังกายเธอก็ไม่อาจต่อต้านอะไรเขาได้ เธอรู้สึกถึงฝ่ามือของเขาที่รุกล้ำเข้ามาในกระโปรงของเธอ เธอทำได้เพียงกรีดร้องไร้เสียง น้ำตาเอ่อล้นออกมาจากดวงตาทั้งสองข้าง เธอรู้สึกหวาดกลัวกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นเหลือเกิน เธอได้แต่ภาวนาในใจให้ใครสักคนช่วยเธอออกไปจากที่นี่ แต่โชคก็ไม่เข้าข้างเธอ
มิเกลจากไปเมื่อทำสิ่งที่น่ารังเกียจกับเธอเสร็จ ความมืดมาเยือนอีกครั้ง เธอนึกโทษตัวเองต่าง ๆ นานาว่าหากเธอทำให้ทุกอย่างดีกว่านี้เรื่องแบบนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น
เคทลินใช้เวลาคร่ำครวญอยู่สักพักหนึ่ง เมื่อตั้งสติได้เธอก็ลองคิดสำรวจว่าตอนนี้เธออยู่ที่ไหน ข้อเท็จจริงที่เธอได้รู้คือสถานที่แห่งนี้มืดมากจนไม่สามารถมองเห็นได้แม้กระทั่งมือของตัวเอง แต่เธอเห็นแสงลอดเข้ามาเมื่อมิเกลเดินออกไป แสดงว่าที่แห่งนี้ไม่ได้ปิดตาย มันมีทางออก แต่ปัญหาใหญ่ก็คือโซ่ตรวนที่ล่ามข้อเท้าเธอไว้ มันทั้งหนักและหนา หากจะให้หลุดพ้นจากมันได้เธอคงต้องหักข้อเท้าตัวเองและลากข้อเท้าที่หักของเธอไปตามทางเพื่อหาทางออก และปัญหาที่ใหญ่กว่านั้นคือเธอไม่สามารถใช้พลังเวทได้ เคทลินพยายามใช้เวทง่าย ๆ อย่างการสร้างแสงสว่างก็ยังไม่สามารถทำได้
เคทลินกำหมัดแน่นเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นกับเธอ เฟรย์พูดถูกที่เธอควรฝึกฝนทักษะทางร่างกายไว้บ้างแต่เมื่อครู่เธอถูกมิเกลทำให้เรี่ยวแรงทั้งหมดหายไป มันช่างเป็นพลังที่น่ากลัวเหลือเกิน เคทลินเลื่อนมือขึ้นไปสัมผัสกำไลที่เฟรย์ให้ไว้แต่มันไม่ได้อยู่บนแขนของเธอ ดาเลียคงจะเก็บมันไปก่อนที่จะโยนเธอเข้ามาให้มิเกลทรมาน ทั้งกระเป๋าและทุกอย่างทุกติดตัวเธอได้หายไปหมด เคทลินกล่าวโทษตัวเองอีกครั้งที่ใจดีกับดาเลียมากเกินไป แต่ก็ใช่ว่าเธอจะไม่เชื่อเฟรย์เสียทีเดียวเพราะเธอไม่ได้บอกทุกอย่างกับดาเลีย บางอย่างควรเก็บเป็นความลับแค่เธอกับเฟรย์เท่านั้นที่รู้ ในตอนนี้เคทลินได้แต่ภาวนาให้พลังเวทของนาธานในตัวเธอสร้างปาฏิหาริย์ขึ้นมาให้เธอได้ใช้ประโยชน์จากมันในการแหกคุกที่หนาวเย็นนี้เสียที
ความคิดของเคทลินหยุดชะงัก เธอทวนคำเมื่อครู่และสิ่งที่สังเกตเห็นรอบ ๆ สถานที่นี้ ความหนาวเย็นถึงขั้วกระดูก มืดมิดจนทำให้คนที่อยู่ข้างในเป็นบ้าได้ และเป็นสถานที่ที่ผู้ถูกคุมขังไม่สามารถใช้พลังเวทได้
"พระเจ้า" เคทลินอุทานเสียงเบา
บางทีเธออาจจะอยู่ในคุกเวทมนตร์ก็เป็นได้