เคทลินกลับมาแก้แค้นเพื่อนรักอย่างซูซานที่ขโมยผลงานของเธอจนตัวเองโด่งดัง ในเมื่อผลงานเปรียบเสมือนกับลูกของเธอเคทลินจึงได้ขโมยลูกของซูซานเป็นการแก้แค้น
แฟนตาซี,ดราม่า,ผจญภัย,พารานอมอล,ครอบครัว,เวทมนตร์,แฟนตาซี,นักเวท,เวทมนต์,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูดเคทลินกลับมาแก้แค้นเพื่อนรักอย่างซูซานที่ขโมยผลงานของเธอจนตัวเองโด่งดัง ในเมื่อผลงานเปรียบเสมือนกับลูกของเธอเคทลินจึงได้ขโมยลูกของซูซานเป็นการแก้แค้น
เพราะการแก้แค้นนั้นหอมหวานและทำให้คนคนหนึ่งยอมเปลี่ยนตัวตนเพื่อการแก้แค้นอดีตเพื่อนรัก หากแต่การแก้แค้นของเคทลินนั้นทำให้ใครอีกคนได้ค้นพบการดำเนินชีวิตแบบใหม่ที่เขาเองก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อน การอยู่ร่วมกันของเคทลินและนิคนั้นจะเป็นเหมือนแม่เหล็กคนละขั้วที่แตกต่างแต่ก็ดึงดูดเข้าหากันเสมอ
เมื่อนิคได้เข้ามาในโลกของนักเวทก็เกิดสิ่งที่ไม่คาดฝันมากมาย แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อเขาเป็นคนเลือกที่จะเดินทางนี้เอง และเขาไม่ได้โดดเดี่ยวเพราะมีคนคอยดูแลอย่างเคทลินแห่งเลควูดคอยตามเป็นห่วงอยู่ไม่ห่าง และดูเหมือนจะมีเรื่องวุ่นๆ หลายอย่างรอทั้งสองอยู่เบื้องหน้า
เคทลินไม่เข้าใจว่าทำไมมิเกลจึงจับเธอมาไว้ที่นี่ เธอลอบสังเกตท่าทีของเขายามที่เข้ามาให้อาหารเธอ เขาปฏิบัติกับเธอราวกับเธอเป็นสัตว์เลี้ยงที่มีไว้ระเบิดอารมณ์ของเขาก็แค่นั้น บางครั้งเขาก็พูดจาดีด้วยแต่บางครั้งก็อารมณ์ฉุนเฉียว แม้กระทั่งมาร้องไห้ให้เธอฟังก็มี เขามักพูดว่าต้องการให้ทุกคนเห็นถึงอำนาจของนักเวทอยู่เสมอ เธอเองก็ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาทำมันไปได้ถึงไหนแล้วและเหตุการณ์ข้างนอกเป็นอย่างไรบ้าง เธอพยายามรวบรวมข้อมูลที่ได้จากการพูดคุยฝ่ายเดียวของมิเกลมาวิเคราะห์ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างแล้ว ในบางครั้งเขาก็เข้ามาพูดถึงคาซเปอร์ว่าชีวิตความเป็นอยู่ของเขาเป็นอย่างไรบ้าง เธอไม่เข้าใจว่ามิเกลจะมาพูดเรื่องพวกนี้ให้เธอฟังไปเพื่ออะไร และทำไมเขายังเก็บเธอไว้ที่นี่ มีครั้งหนึ่งเขาเข้ามาในคุกนี่กับคนคนหนึ่งที่เธอไม่เห็นหน้าเขา มิเกลพาเขาเข้ามาดูในเรื่องของความเป็นอยู่ภายในคุกซึ่งไม่น่าอภิรมย์เท่าไหร่นักหรอกที่ต้องมาเห็นเธอนั่งจมกับกองอาจมทั้งหลาย เธอรู้สึกได้ถึงสายตาเวทนาจากอีกฝ่ายซึ่งเธอเองก็ไม่ได้สนใจอะไรมันนักหรอก ครึ่งหนึ่งเคทลินทำใจไว้แล้วว่าเธอคงเน่าตายคาคุกนี่แต่เธอก็ลืมไปว่านักเวทมีพลังชีวิตที่ยืนยาวกว่าคนทั่วไป ถ้าเป็นแบบนั้นเธอยอมกินยาพิษที่โอฟีเลียทำมาให้เธอเสียยังดีกว่า
"ให้ตายสิ เมื่อวานยังทำได้ดีกว่านี้อีก" เคทลินสบถขึ้นในความมืด เธอพยายามเค้นพลังเวทในตัวเธอออกมาแต่ผลที่ได้นั้นกลับเป็นเพียงประกายไฟน้อย ๆ ในมือเธอเพียงเท่านั้น เธอไม่อาจเข้าใจกลไกการทำงานของที่นี่ได้อย่างถ่องแท้นักแต่จากที่เธอสังเกตมาคนที่ใช้พลังเวทในห้องนี้ไม่ได้มีเพียงเธอเท่านั้น สายตาของเคทลินก้มมองไปยังตำแหน่งของโซ่ที่ล่ามข้อเท้าเธอไว้อยู่
"ลองดูดีไหมนะ" เคทลินยืนมือไปจับเท้าเปลือยเปล่าของตน เธอกัดฟันแน่นก่อนจะใช้แรงทั้งหมดที่มีหักมันดังกร๊อบ เคทลินกรีดร้องไร้เสียงพลางดิ้นทุรนทุรายกับความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น เธอค่อย ๆ ดึงเท้าที่ถูกหักจนห้อยต่องแต่งออกมา ไม่นานนักเธอก็รอดพ้นจากโซ่ตรวนที่ล่ามเธอไว้ เมื่อหลุดพ้นจากมันได้เธอก็วาดมือซ้ายเรียกแสงสว่างได้ในทันที อีกมือหนึ่งก็วางนาบลงกับข้อเท้าของตัวเองเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บเบื้องต้นให้ตนพอที่จะเดินต่อไปได้โดยไม่ทุลักทุเลนัก เธอไม่ได้ศึกษาเวทรักษามามากนักจึงทำได้เพียงแค่รักษาอาการเบื้องต้นเท่านั้น
แสงไฟในมือของเธอนั้นสว่างพอที่จะเห็นประตูที่อยู่ไม่ไกลออกไป ทั้งที่ห้องนี้เล็กเพียงเท่านี้แต่ยามที่มันมืดสนิทเธอกลับรู้สึกว่ามันกว้างใหญ่นัก เธอเดินกะเผลกไปทางประตูแต่ทันใดนั้นก็ต้องตกใจที่ได้ยินเสียงไขกุญแจดังขึ้นจากประตู แสงสว่างจากภายนอกเล็ดลอดเข้ามา เคทลินหรี่ตามองคนตรงหน้าที่เดินเข้ามาใกล้แต่ไม่ทันที่จะได้เอ่ยอะไรเธอก็ถูกอีกฝ่ายจับอุ้มพาดบ่าแล้วเดินออกไปนอกห้องขัง เมื่อสายตาปรับตัวกับแสงได้แล้วเธอก็พบว่าไฟทางเดินนั่นเป็นเพียงไฟหรี่เท่านั้น นั่นหมายความว่า ในห้องขังที่เธออยู่นั่นมืดมากเสียจนเธอเห็นไฟหรี่เป็นแสงไฟสว่างจ้า เมื่อเริ่มได้สติหลังจากที่มึนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเธอก็กระหน่ำทุบตีแผ่นหลังของคนที่กำลังหิ้วร่างเธอแล้วพาเดินไปที่ไหนก็ไม่รู้
"เธออยู่เงียบ ๆ ไปเถอะ เพื่อตัวเธอเอง"
เคทลินจำเสียงนั้นได้ เธอพยายามพลิกตัวเพื่อมองดูคนที่แบกเธออยู่แต่เธออ่อนแรงเกินกว่าจะสู้แรงแขนของอีกฝ่ายได้
"ยูริเอล" เคทลินเรียกกึ่งถาม เธอได้ยินเขาถอนหายใจออกมาเสียงดัง
"เงียบไปก่อน ฉันพยายามจะช่วยเธออยู่" ยูริเอลพูด เขาเห็นว่าข้อเท้าของเคทลินนั้นถูกรักษาแบบลวก ๆ แต่กระดูกของเธอยังคงสมานตัวกันไม่ดีจึงดูออกทันทีว่าข้อเท้าของเธอหักอยู่
เคทลินไม่ค่อยเห็นด้วยกับสิ่งที่ยูริเอลบอกนักแต่เธอก็เลือกที่จะหุบปากเงียบตามที่เขาบอก
"แหม ๆ คิดไว้ไม่ผิดว่าต้องมีหนอนบ่อนไส้" เสียงของมิเกลดังขึ้นตรงหน้าของยูริเอล
เคทลินสัมผัสได้ถึงอากาศที่เย็นลง มิเกลคงใช้เวทควบคุมอุณหภูมิกับเรือนจำแห่งนี้มันถึงได้หนาวไปทุกหนแห่ง ทันใดนั้นยูริเอลก็ปล่อยเธอลงกับพื้น ทันทีที่เท้าเปลือยเปล่าของเธอสัมผัสกับพื้นที่เย็นเฉียบข้อเท้าซ้ายของเธอก็เจ็บแปล๊บขึ้นมาในทันที
'วิ่งไปตามทาง มีคนรอเธออยู่ข้างนอก' ยูริเอลส่งโทรจิตหาเคทลิน เขาขยับร่างใหญ่ของตัวเองบังเธอจากมิเกลไว้
'แล้วนายล่ะ' เคทลินถาม ในตอนนี้เธอคงต้องเลือกที่จะเชื่อใจยูริเอล ถึงความสับสนจะตีกันอยู่ในหัวบ้างแต่ในใจลึก ๆ ก็บอกให้เธอไว้ใจเขา
'เดี๋ยวตามไปแน่ เธอไม่ต้องอยู่ช่วยหรอกสภาพแบบนั้นมีแต่จะถ่วงกันเสียเปล่า ๆ'
มิเกลพูดจบเคทลินก็ออกวิ่งไปในทันที ความเจ็บที่ข้อเท้าเกิดขึ้นทุกครั้งที่เท้ากระแทกกับพื้นตามแรงวิ่ง เธอได้แต่กัดฟันทนแล้ววิ่งต่อไป น่าแปลกที่คุกแห่งนี้ไม่มีเวรยามคอยเฝ้าเลย บางทียูริเอลอาจจัดการพวกเขาไปหมดแล้วก็ได้ เคทลินพยายามที่จะเทเลพอร์ตแทนการวิ่งแต่ดูจะไม่เป็นผล ตอนนี้เรี่ยวแรงของเธอมีน้อยเกินกว่าจะใช้เวทบางตัวได้ ไม่นานนักเธอก็เห็นร่างของคนคนหนึ่งอยู่ข้างหน้า ยิ่งเธอวิ่งเข้าไปใกล้ก็ยิ่งเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน
"นิค" เคทลินเอ่ยชื่ออีกฝ่ายด้วยเสียงที่เหนื่อยหอบ เธอแทบจะหมดแรงวิ่งเมื่อเห็นนิคปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า
"คุณเคทลิน!" นิครีบถลาตัวเข้าไปกอดเคทลินในทันที ทันใดนั้นทั้งคู่ก็หายตัวไปจากตรงนั้น
"เคท!" เฟรย์ที่ยืนรออยู่เมื่อเห็นเพื่อนของตนปรากฏตัวขึ้นก็รีบพุ่งเข้าไปกอดในทันที "ฉันขอโทษที่ปล่อยให้เธอถูกพาตัวไป เธอเป็นอะไรหรือเปล่า" เขาสอดส่องสายตาสำรวจเมื่อเห็นว่าข้อเท้าของเธอบาดเจ็บก็รีบล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าสะพายแล้วส่งขวดยาให้ดื่ม
"กระเป๋าฉัน ไปเอามาจากไหน" เคทลินเอ่ยถาม ตอนถูกขังอยู่ในคุกนั่นกระเป๋าของเธอถูกเอาไปไว้ที่ไหนสักที่และตอนนี้มันกลับอยู่ในมือของเฟรย์
"ดาเลีย" เขาตอบสั้น ๆ สีหน้าพยายามระงับความโกรธเอาไว้แต่ก็เก็บไว้ไม่มิด "ฉันขอโทษที่ทำตัวห่างเหินจนไม่ทันสังเกต --"
"พอเหอะ ไม่ใช่ความผิดใครทั้งนั้น" เคทลินพูดพลางสวมเสื้อคลุมที่นิคส่งมาให้ "แล้วเอาไงต่อ" เธอหันหลังกลับไปมองยังทางคุกที่เธอเพิ่งออกมาเมื่อครู่ แต่ก็ยังไม่มีวี่แววที่ยูริเอลจะตามมา
"ถ้าตามแผนอีกสักพักคุณยูริเอลจะตามมา ส่วนแผนสำรอง --"
ตู้ม!
เสียงระเบิดดังขึ้นขัดจังหวะการอธิบายแผนของนิค
"นั่นเป็นแผนสำรอง" เฟรย์พูดต่อจากนิค
"เราไปกันเถอะ" ยูริเอลที่เทเลพอร์ตมาอยู่ตรงหน้าทั้งสามคนพูดขึ้น เขายื่นมือทั้งสองข้างออกมาให้นิคและเฟรย์จับไว้ นิคยื่นมือมาให้เคทลินจับอีกทอดหนึ่ง เมื่อถึงตอนนี้เธอเพิ่งจะเกิดคำถามว่านิคมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ทันทีที่เคทลินวางมือลงทั้งสี่ก็อันตรธานไปจากจุดนั้น
"นี่มันเลยเวลานัดมาแล้วนะ" ลูซิเฟอร์พูดอย่างร้อนรนราว เขาเดินไปเดินมาอยู่หลายครั้งเสียจนเกว็นต้องหลับตาลงเพราะเริ่มจะวิงเวียนจากการมองน้องชายเดินไปมาอีกทั้งความเครียดที่ก่อตัวขึ้นกำลังบีบรัดท้องไส้ทำให้เกิดอาการคลื่นเหียนตามมา
"เคท!" เสียงของลูซิเฟอร์ปลุกให้เธอตื่นจากภวังค์ เมื่อเห็นว่าคนที่หายไปนานเกือบสัปดาห์ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเธอก็รีบพุ่งเข้าไปกอดในทันทีโดยไม่สนใจเสียงโหวกเหวกน้องชายที่บอกให้เธอหลบขณะกำลังใช้เวทรักษาข้อเท้าของเคทลินอยู่
"ไงเกว็น ไม่เจอกันนาน อย่าเข้ามาใกล้ฉันจะดีกว่าตอนนี้ตัวเหม็นโฉสุด ๆ" ถึงเคทลินจะพูดแบบนั้นเกว็นก็ไม่ยอมปล่อยอ้อมกอดไปจากเธออีกทั้งยังกระชับแน่นกว่าเดิม
"ฉันเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอ แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้" เกว็นพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ เธอควรจะห้ามไม่ให้เคทลินไปในคุกนั่นแท้ ๆ เธอควรจะดูนิมิตอีกครั้งก่อนที่จะปล่อยให้เคทลินไปทำอะไรที่เสี่ยงแบบนั้น
"ไม่เป็นไร ทั้งหมดเป็นการตัดสินใจของฉันเองจำได้ไหม" เคทลินตบหลังเกว็นเบา ๆ เธอกวาดสายตามองสำรวจไปรอบห้องทุกคนอยู่ที่นี่กันหมดยกเว้นอัสมิตากับดาเลีย และเป็นที่แน่ชัดแล้วว่าดาเลียเป็นคนของมิเกลแฝงตัวมา เพราะงั้นเธอจึงนัดแนะกับอัสมิตาและเกว็นไว้แล้วว่าหากมีอะไรผิดปกติให้รีบบอกเฟรย์ทันที แต่เธอก็ไม่คิดว่ายูริเอลจะมาเข้าร่วมด้วยอีกทั้งยังมีนิคที่โผล่มาที่นี่โดยที่เธอยังไม่รู้เลยว่าเขามาได้อย่างไรและที่สำคัญคือเขาปลดล็อกความทรงจำที่เธอผนึกไว้ได้แล้ว
"ที่นี่เป็นเซฟเฮ้าส์ของฉันเอง" ยูริเอลแนะนำ "เชิญพักผ่อนตามสบายเถอะ ฉันกางเวทไว้แล้ว และมันแข็งแรงกว่าเวทที่บ้านเธอเสียอีก"
เคทลินลอบสังเกตเห็นเฟรย์มีท่าทีไม่พอใจเล็กน้อยที่ยูริเอลดูถูกเวทของเขา แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธว่ายูริเอลนั้นเก่งกว่าเขาจริง ๆ
"เอาเถอะ ตอนนี้บ้านนั้นคงต้องทิ้งร้างไว้ก่อน... จริงสิ! เรเวน!" เคทลินเกือบลืมเจ้าหุ่นไล่กาของเธอไปเสียสนิท เมื่อครู่เธอก็ไม่เห็นเขาอยู่ในห้องนี้
"กว่าจะคิดได้นะเคท มันน่าน้อยใจจริง ๆ" เสียงของเรเวนดังมาจากใต้ผ้าคลุมของที่มีฝุ่นเขรอะ เคทลินเลิกผ้านั้นขึ้นอย่างเบามือเพื่อไม่ให้ฝุ่นฟุ้งกระจายไปทั่ว และเธอก็เห็นหัวฟักทองของเรเวนตั้งไว้อยู่บนกล่องไม้ผุ ๆ
"แล้วตัวไปไหนล่ะ" ทันทีที่เคทลินถามประตูห้องก็ถูกเปิดออกโดยลำตัวของเรเวน มันโบกมือหย็อย ๆ ให้เธอแล้วเดินเข้ามาเปิดผ้าคลุมออกเต็มแรงเสียจนฝุ่นคลุ้งไปทั่วห้องจนทุกคนพากันไอโขลก
"โอ๊ะโอ โทษที" เรเวนเอ่ยขอโทษก่อนจะหยิบหัวของตัวเองเสียบเข้ากับด้ามไม้ที่เป็นคอของเขา
"ฉันจะไม่ถามแล้วกันว่านายทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร"
"เพื่อเซอร์ไพรส์เธอไงเคท"
"เป็นเซอร์ไพรส์ที่ฉันโคตรจะตกใจเลย" เคทลินพูดประชดก่อนจะขอตัวไปชำระล้างร่างกายที่เหม็นเสียจนทนแทบไม่ไหว
"คุณเคทลิน!" เสียงของอัสมิตาร้องเรียก ไม่ทันที่เคทลินจะได้ตั้งหลักก็ถูกอีกฝ่ายโอบกอดเสียเต็มแรง "กลิ่นของคุณเคทลินตอนเพิ่งอาบน้ำเสร็จหอมดีจังเลยค่ะ" อัสมิตาตอบพร้อมกับสีหน้าเคลิบเคลิ้ม
"ที่สั่งงานไปเป็นไงบ้างครับ" นิคถาม คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันเมื่อเห็นอัสมิตายังคงเกาะเคทลินแน่น
"อ้อ เรื่องนั้นฉันไปจัดการมาให้แล้วค่ะ" อัสมิตาคลายกอดจากเคทลินแล้วหันมาพูดกับนิคแทน "ฉันไปเค้นคำตอบจากเทวินมา และอ้างอิงจากไฟล์เสียงที่ฉันส่งให้คุณเฟรย์ไป ดูเหมือนว่าน้องชายที่คุณเคทลินเจอนั่นไม่ใช่ตัวจริงแต่เป็นมิเกลปลอมตัวไปพบคุณเคทลินต่างหาก"
"ไฟล์เสียงงั้นเหรอ" เคทลินเหลือบไปมองเฟรย์ที่ยืนกอดอกนิ่งอยู่ที่มุมห้อง
"แล้วเขาจะทำแบบนั้นไปทำไมกัน" นิคถาม
"ฉันว่าเขากำลังสับสน" เคทลินเสนอความเห็น "ช่วงที่ฉันถูกขังอยู่เขาดูไม่เหมือนมิเกลที่เรารู้จัก มิเกลที่เราเห็นอยู่ประจำมักวางตัวสงบเสงี่ยม ทำตัวหมือนเขาสามารถควบคุมทุกอย่างได้อย่างง่ายดาย แต่ที่ฉันเจอมาเขาป่าเถื่อน ใช้อารมณ์นำความคิด และชอบมาปลดปล่อยอารมณ์ใส่ราวกับคนบ้า เป็นไปได้ไหมว่าจิตเขาฟั่นเฟือนไปแล้ว"
"เป็นไปได้สูงสำหรับนักเวทที่หมกมุ่นในพลังเวทและมีอายุยาวนานขนาดนั้น" ยูริเอลตอบ "ฉันที่คอยทำงานรองมือรองเท้ามิเกลเองก็ยังเคยถูกเขาทำตัวแปลก ๆ ใส่อย่างเช่นอยู่ ๆ เขาก็ระเบิดหัวเราะไม่ก็พึมพำอะไรคนเดียว บางทีก็ใช้เวททำลายข้าวของ ฉันต้องซ่อมห้องของหมอนั่นอยู่เรื่อยเลยเพราะเขาทำแบบนั้นทุกสัปดาห์"
"คิดว่าเขามีโอกาสจะกลับมาอยู่กับร่องกับรอยได้อีกไหม" เคทลินถาม ทั้งห้องเงียบกริบไม่มีใครตอบแต่ทุกคนก็รู้ดีว่าเขาคงกู่ไม่กลับแล้ว
"เคทลิน! เธอจะใจดีกับคนแบบนั้นไม่ได้นะ ดูสิ่งที่เขาทำกับเธอสิ" เกว็นถลาเข้าหาเคทลิน สองมือกุมมือของเธอเอาไว้แน่น "เธอไม่ใช่นักบุญสักหน่อย ไม่จำเป็นต้องใจดีกับทุกคนก็ได้"
"ที่เธอพูดมันก็ถูก แต่ก็ใช่ว่าฉันจะไม่โกรธแค้นอะไรหมอนั่นเลย เพียงแต่พอได้เห็นอีกมุมหนึ่งมันทำให้ฉันเห็นเขาเป็นคนที่กำลังหลงทางในชีวิต"
"ผมจัดการเรื่องนี้เอง" นิคพูดแทรกขึ้นมือกำหมัดแน่น เขาเดินแทรกตัวผ่านทุกคนไปอีกห้องหนึ่งเพื่อสงบสติอารมณ์
"เด็กคนนั้นรู้แล้วน่ะว่ามิเกลทำอะไรเธอ" เกว็นอธิบาย ตอนที่นิครู้ว่าเคทลินถูกขังอยู่ในคุกเขาบังคับให้เธอบอกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเคทลิน และตอนนั้นเองก็เป็นครั้งแรกที่เกว็นได้เห็นนิคแสดงสีหน้าโกรธราวกับจะฉีกทึ้งมิเกลเสียเดี๋ยวนั้น
"เธอควรไปคุยกับนิคนะ พอเขาจำทุกอย่างได้ก็เทเลพอร์ตมาที่บ้านเธอก่อนเลย อีกอย่างตอนนี้พลังเวทของเขาก็เหมือนจะใช้งานได้เต็มที่แล้วเหมือนกัน เหลือเพียงแค่เกลาฝีมือ --" เฟรย์รีบหุบปากทันทีเมื่อพูดถึงการเกลาฝีมือของนิคแล้วเคทลินส่งสายตาคาดโทษมาทางเขา เฟรย์รู้อยู่แล้วว่าเคทลินคงไม่พอใจที่นิคมาเกี่ยวข้องกับเรื่องพวกนี้ แต่ตอนนี้คงต้องให้เด็กคนนั้นตัดสินใจด้วยตัวเองว่าจะทำอย่างไรต่อ
เคทลินถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ "ให้นิคตัดสินใจเอาเองแล้วกัน"
"นิค" เคทลินเรียกชื่อไล่หลังคนที่กำลังเดินจ้ำอยู่ข้างหน้า เขาหยุดกึกแล้วหันกลับมาหาเธอด้วยสีหน้าไม่ค่อยพอใจนัก
"อะไรอีกล่ะ คราวนี้จะลบความจำผมอีกหรือจะทำอะไรกับเวทของผมอีก" นิคพูดประชดแต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นเคทลินมีสีหน้าที่ดูเศร้าเมื่อเขาพูดถึงการลบความทรงจำ นิคถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เขายกมือขึ้นลูบหน้าแล้วหันมาสบตากับเคทลินตรง ๆ "ขอโทษที่พูดแบบนั้น"
"ไม่หรอก ฉันสมควรโดนเธอพูดแบบนี้ใส่อยู่แล้ว" เคทลินพูด เธอเดินไปที่โต๊ะแล้วใช้มือตบเรียกให้นิคนั่งคุยกับเธอ
"คราวนั้นฉันผิดเองที่ไม่รับฟังความเห็นของเธอ" เคทลินเอ่ยเมื่อนิคนั่งลงแล้วยกมือขึ้นกอดอก
"งั้นคราวนี้ก็อย่าทำแบบนั้นอีกนะครับ แต่ถึงคุณจะทำผมก็ทำแบบนี้ได้แล้ว" นิคคลายมือที่กอดอกออกแล้วยื่นออกไปข้างหน้ากางเวทห่อหุ้มรอบตัวเขาไว้
"แหม ใช้เวทเป็นแล้วเอาใหญ่เลยนะ" เคทลินพูดแซวพลางใช้มือเคาะเวทที่ห่อหุ้มอยู่รอบตัวนิค เธอเหยียดยิ้มอย่างพอใจเมื่อพบว่าเกราะป้องกันของเขานั้นแข็งแรงพอตัว
"เรื่องที่คุณจะให้อภัยไอ้หมอนั่นผมไม่ยอมเด็ดขาด"
"ฉันไม่ได้จะให้เธอให้อภัยเขาหรือให้เธอซ่อมแซมความสัมพันธ์แบบแม่เธอหรอกนะ" เคทลินอธิบาย มือสองข้างที่ประสานกันอยู่บนโต๊ะนั้นกำแน่นอย่างไม่รู้ตัวเมื่อนึกถึงมิเกลขึ้นมา "ฉันแค่พยายามหาทางที่จะดึงมิเกลลงมาโดยที่ไม่ต้องฆ่าเขาต่างหาก"
นิคขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องใช้วิธีประนีประนอมด้วย
"ถ้าหากมีข่าวออกไปว่าจอมเวทสูงสุดแห่งเลควูดถูกนักเวทด้วยกันฆ่า เธอคิดว่าเขาจะโทษใครก่อนล่ะ แน่นอนว่าต้องเป็นนักเวทที่ฆ่าเขา แต่คนภายนอกเขาไม่ได้สนใจว่าคนที่ฆ่าเป็นใคร เขาจะเหมารวมว่านักเวทอย่างเรานั้นป่าเถื่อน เพียงแค่เห็นต่างก็ถึงกับฆ่าแกงกัน"
"แต่เขาไม่ได้แค่เห็นต่าง เขาทั้งยึดและขยายอำนาจ" นิคแย้งขึ้น
"ใช่ เพียงแค่นั้นก็ทำให้คนนอกมองเราในแง่ร้ายพอแล้ว เพราะงั้นเราต้องจัดการเขาโดยใช้ความรุนแรงน้อยที่สุด อย่าลืมว่าหน้าต่างมีหูประตูมีช่อง หากเราทำอะไรที่คนทั้งโลกไม่ยอมรับแม้แต่นิดเดียวเราอาจถูกรุมประจานได้ในทันทีและนั่นก็คงเป็นจุดอวสานของนักเวท"
"ก็ได้ ผมจะไม่ใช้ความรุนแรง ยกเว้นในกรณีฉุกเฉินเท่านั้น" นิคสรุป เขามองออกไปนอกหน้าต่างที่เต็มไปด้วยต้นไม้ขนาดยักษ์ที่สูงหลายสิบเมตร บรรยากาศวังเวงชวนขนลุกโดยเฉพาะในเวลาโพล้เพล้แบบนี้ เขาไม่ชอบบรรยากาศของที่นี่เลยแต่ต้องจำใจทนอยู่ไปก่อน เขาคิดถึงธรรมชาติอย่างที่บ้านของเคทลิน เขาเบื่อเมืองใหญ่ มันสะดวกสบายก็จริงแต่ก็ไม่อาจให้ความรู้สึกดีเหมือนอยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติได้
"ถ้าเรื่องนี้จบแล้วผมมาอยู่กับคุณได้ไหม" นิคเอ่ยถาม
"ก็ได้อยู่หรอก แต่เธอต้องทำเรื่องย้ายที่เรียนไปมาแบบนี้แล้วเมื่อไหร่จะเรียนจบล่ะ อีกอย่างแม่สาวคนนั้นก็คงรอให้เธอกลับไปหาอยู่นะ" เคทลินพูดถึงผู้หญิงที่เธอเจอที่ร้านกาแฟเมื่อตอนนั้น ต่อให้เธอไม่เจอนิคมานานหรือไม่รู้จักกับผู้หญิงคนนั้นก็ยังดูออกว่าทั้งคนมีความสัมพันธ์แบบไหนกัน
"คุณหมายถึงเคธี" นิคถาม เขาใช้นิ้วเกาแก้มแดง ๆ แก้เขิน
"ขอถามหน่อยสิ วันนั้นเธอจำฉันไม่ได้เลยเหรอ" ในตอนนั้นที่เฟรย์บอกให้เธอโทรไปเช็กกับซูซานว่านิคมีท่าทีแปลก ๆ ไปไหมและเธอก็ได้คำตอบว่าเขาปกติดี
"ก็ไม่ถึงกับจำได้ แค่รู้สึกคลับคล้ายคลับคลา แต่พอแม่รู้ว่าผมจำได้ท่านก็ดูจะดีใจแล้วก็โทษตัวเองด้วยที่ดูแลผมไม่ดี"
"ฉันแค่ผนึกความทรงจำไว้น่ะ ไม่มีใครดูออกหรอกนอกจากเฟรย์" อยู่ ๆ นิมิตที่เกว็นเคยเล่าให้ฟังก็แล่นเข้ามาในหัว ตอนนี้นิคจำทุกอย่างได้แล้ว เป็นไปได้ไหมว่าเขาอาจจะเจอชะตากรรมแบบเดิมอยู่
"เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอกครับ ผมดูแลตัวเองได้อยู่แล้ว"
"นี่เธออ่านใจฉันงั้นเหรอ" เคทลินแกล้งพูดเสียงดุก่อนจะหัวเราะออกมาเบา ๆ
"ถือว่าเอาคืนไงครับ" นิคยิ้มร่าให้กับเคทลินทำเอาเธอรู้สึกมันเขี้ยวอยากจะจับบีบแก้มเขาจริง ๆ
"อะแฮ่ม" เสียงกระแอมของเฟรย์เรียกความสนใจทั้งคู่ให้หันไปมองเขา "ขอโทษที่ขัดจังหวะ แต่ฉันมีเรื่องจะคุยกับเธอหน่อย"
เคทลินหันไปพยักหน้ากับนิค เขาจึงเดินออกไปรวมกับคนอื่นในอีกห้องหนึ่ง
เฟรย์หยิบห่อผ้ากำมะหยี่สีทมิฬออกมาจากกระเป๋าแล้วส่งมันให้เธอ เมื่อเคทลินเปิดออกมาก็พบกับกำไลแขนที่เขาเคยให้เธอไว้และมันก็หายไปตอนที่อยู่ในคุก
"ฉันไปเค้นจากดาเลียมา" เฟรย์พูดเสียงเรียบแล้วนั่งลงแทนที่นิค สายตาจ้องมองเธออย่างพิจารณา "ดาเลียบอกว่าทำไปเพื่อปกป้องลูกฉันจึงเอาลูกมาอ้างเธอเหมือนกัน"
"นายใช้เด็กเป็นเครื่องมืองั้นเหรอ" เคทลินขมวดคิ้ว
เฟรย์หัวเราะในลำคอเมื่อเห็นท่าทีของเคทลินตามที่เขาคิด "ฉันแค่ขู่ว่าจะบอกเดซีเรื่องที่ดาเลียเคยนอกใจฉันจนเดซีเกิดมา ตอนนี้แกยังไม่รู้ถึงตัวตนของฉันด้วยซ้ำ ฉันเคยเห็นเดซีแค่ตอนที่แกยังเป็นทารก แต่หลังจากนั้นก็ทำได้แค่มองอยู่ห่าง ๆ"
"นายรักเดซีจริง ๆ สินะ" เคทลินเอ่ยถามเมื่อเห็นสายตาของเพื่อนที่แสดงออกถึงความห่วงใยต่อเด็กที่ไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด
"ทำไงได้ล่ะ ก็มันคิดไปแล้วว่าเป็นลูกฉันจริง ๆ เป็นเธอจะทิ้งคนที่คิดว่าเป็นลูกลงเหรอ"
เคทลินนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง สายตามองไปยังประตูที่นิคเพิ่งเดินผ่านไปเมื่อครู่ มือของเธอเอื้อมไปสัมผัสแผลเป็นที่ไหล่ ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เธอเริ่มคิดแบบนั้นกัน...
ภายในห้องประชุมสี่เหลี่ยมแคบ ๆ ที่เขรอะไปด้วยฝุ่นเหล่านักเวทผู้ต่อต้านอำนาจของจอมเวทสูงกำลังประชุมอยู่ภายใต้แสงไฟที่ยูริเอลเรียกมาวางไว้ตามจุดต่าง ๆ ในบ้าน และเขาก็หรี่แสงลงเพื่อไม่ให้คนภายนอกเห็นว่าบ้านร้างหลังนี้มีคนอาศัยอยู่ ในขณะนี้ทุกคนกำลังวางแผนที่จะจัดการโค่นมิเกลลงมาโดยเร็วที่สุด
"แน่ใจแล้วเหรอว่าพลังของฉันมากพอที่จะต่อกรกับเขาได้ อีกอย่างนิคก็เพิ่งจะได้ใช้พลังเวท" เคทลินเอ่ยขึ้นเมื่อทุกคนสรุปให้เธอและนิคจัดการมิเกล ในตอนนี้มิเกลคงส่งคนมาตามหาตัวเธอทั่วเลควูดแล้วเพราะตอนนี้เราทุกคนต่างติดแหง็กอยู่ในเมืองจากเวทที่มิเกลวางไว้โดยรอบไม่ให้ใครเข้าออกได้ง่าย ๆ แต่เธอเองก็ไม่เข้าใจว่านิคหาวิธีเข้ามาในเมืองได้อย่างไร บางทีอาจจะเป็นเพราะพลังมหาศาลในตัวเขา ซึ่งมันไม่เป็นผลดีนักที่อยู่ ๆ ร่างกายเขาต้องรับพลังเวทที่ระเบิดออกมาในคราวเดียวซึ่งต่างจากเธอที่อยู่กับมันมาหลายปีร่างกายจึงปรับเข้ากับพลังเวทได้
"ผมทำได้ เชื่อใจผมสิ" นิคพูด
"ที่เคทพูดมันก็มีเหตุผลนะนิค เพราะร่างกายนายเพิ่งจะได้ใช้พลังเวทเมื่อไม่นานมานี้ หากมีการใช้เกินกำลังขึ้นมาก็อาจทำให้ถึงแก่ชีวิตได้" เฟรย์อธิบายเสริมจากเคทลิน ที่เขาเลือกให้ทั้งสองจัดการกับมิเกลนั้นเป็นเพราะต่อให้เขาหรือยูริเอลมีพลังมากขนาดไหนก็ไม่อาจที่จะทัดเทียมกับพลังของมิเกลได้ มีเพียงสองคนนี้ที่ได้พลังของจอมเวทสูงสุดมา ทางเคทลินนั้นไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงเพราะเธอฝึกฝนมามากพออีกทั้งยังมีกำไลที่เขาให้กันเหนียวไปอีก ต่อให้พลังเวทเอ่อล้นออกมาแค่ไหนก็จะถูกกำไลนั่นดูดซับพลังไป
"ใช้นี่สิ" ยูริเอลโยนของบางอย่างให้ นิคใช้สองมือตะครุบจับมันไว้ก่อนจะมองค้อนอีกฝ่ายหนหนึ่งที่เกือบทำให้ของชิ้นนั้นกระแทกเข้ากับสันจมูกของเขา
"มันคืออะไรครับ" นิคเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าสิ่งที่ยูริเอลส่งมาให้นั้นเป็นแหวนเงินฝังอัญมณีสีอำพันเม็ดเล็กไว้บนนั้น
"อะไรอีกล่ะ ก็แหวนไง วิธีใช้เหมือนเจ้ากำไลแขนที่เคทลินใส่อยู่น่ะแหละ" ยูริเอลพูดพลางชี้นิ้วไปยังแขนของเคทลิน
นิคชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะสวมมันเข้ากับนิ้วกลางขวา พลันเขารู้สึกถึงความเบาหวิวไปทั่วร่างกายราวกับมีใครมาช่วยแบกสิ่งที่ถ่วงร่างกายไว้อยู่
"ว้าว!" นิคอุทานออกมาอย่างลืมตัว เคทลินที่มองเขาอยู่อมยิ้มน้อย ๆ นิคทำตัวเหมือนเด็กที่เพิ่งค้นพบอะไรใหม่แล้วรู้สึกตื่นเต้นกับมันอย่างงั้นแหละ
นิคดีดนิ้วเรียกพลังเวทออกมา สิ่งที่เขาเรียกมานั้นเป็นเส้นวูบวาบราวกับไฟฟ้าปรากฏขึ้นบนฝ่ามือ เขาใช้อีกมือหนึ่งแบ่งมวลไฟฟ้าเหล่านั้นมาไว้ในอีกมือก่อนจะวาดมือแหวกผ่านอากาศตบเข้าหากัน พลันทุกคนในห้องก็รู้สึกเจ็บจี๊ดราวกับถูกไฟฟ้าสถิต
"หยึย แม้แต่ฉันเองก็รู้สึกได้ถึงไฟฟ้าสถิตเหมือนกันงั้นเหรอ" เรเวนพูดพลางยกมือขึ้นลูบแขนตัวเอง
"อุ๊บ-- รู้สึกตัวเบาขึ้นกว่าเดิมจริงด้วย" นิคกลั้นขำเมื่อเห็นผมของทุกคนชี้ฟูจากไฟฟ้าที่เขาเรียกออกมาเมื่อครู่
"ยูริเอล นายจะมีของแบบนั้นไว้ทำไม" ลูซิเฟอร์เอ่ยถามขณะที่มือของเขาลูบผมตัวเองให้เข้าที่เข้าทาง
"ก็เพราะฉันไม่ใช่นักเวทมาตั้งแต่แรกไงล่ะ"
ดวงตาของทุกคนเบิกโพลงอย่างตกใจที่ได้รู้ว่ายูริเอลซึ่งเป็นประธานสภาเวทมนตร์นั้นเคยเป็นคนธรรมดามาก่อน ซึ่งนี่ไม่ใช่เรื่องน่าตกใจสำหรับเขาเลยที่ไม่มีใครรู้เรื่องนี้ เพราะยูริเอลไม่เคยบอกใครเรื่องนี้ มีเพียงมิเกลและนาธานเท่านั้นที่รู้เรื่องความหลังของเขา เพราะมันไม่ใช่เรื่องที่คนทั่วไปจะชอบนักหรอก เขาจึงเลือกที่จะปิดบังเป็นความลับ
"นายอายุเท่าไหร่นะ" ลูซิเฟอร์เอ่ยถามแต่ก็ถูกเกว็นบีบแขนให้เลิกซักไซ้ไปมากกว่านี้
"ขอไม่ตอบคำถาม เพราะคงไม่มีใครอยากฟังเรื่องราวของฉันนักหรอก เชื่อฉันว่าอย่าฟังดีกว่า" ยูริเอลปฏิเสธอย่างสุภาพก่อนจะเรียกความสนใจให้ทุกคนวางแผนต่อ
ภายในห้องประชุมยามวิกาลที่ไร้ผู้คนมีร่างของนิคเดินวนไปวนมาอยู่ในห้อง ในมือของเขาถือหนังสือเวทพื้นฐานไว้อยู่ ปากก็บ่นพึมพำบางอย่างไปด้วย
"นอนไม่หลับงั้นเหรอ"
เสียงของผู้มาใหม่ทำให้นิคสะดุ้งโหยงเสียจนหนังสือในมือหล่นลงกับพื้น เกว็นหยิบมันขึ้นมาแล้วส่งคืนให้นิค
"ก็นิดหน่อยครับ" เขาตอบ นิคเคยเจอกับเกว็นอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่ค่อยได้คุยกับเธอมากนักจึงต่อบทสนทนาไม่ถูก
"ไม่ต้องกังวลไปหรอก ต่อให้ฉันไม่ดูนิมิตฉันก็ยังเดาได้ว่าพวกเธอทำได้แน่" เกว็นทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ก่อนจะชวนให้นิคนั่งลงข้าง ๆ "สิ่งที่นายควรระวังให้มากที่สุดคือตัวนายเอง ถ้าหากมิเกลยั่วยุหรือทำอะไรขึ้นมาอย่าปล่อยให้อารมณ์นำความคิดเด็ดขาดล่ะ ฉันรู้ว่านายมั่นใจในพลังของตัวเอง แต่มิเกลอาจใช้พลังเข้าครอบงำความคิดของนายเมื่อไหร่ก็ได้ เพราะงั้นตั้งสติให้มั่นเข้าไว้ล่ะ"
นิคนั่งฟังเงียบ ๆ พลางคิดประมวลผลอยู่ในหัว ที่เกว็นพูดมาก็จริงเพราะงั้นต้องฝึกจิตให้มั่นแต่คงมีเวลาให้ฝึกไม่นานนักเพราะมิเกลอาจพบพวกเขาตอนไหนก็ได้ ยิ่งตอนนี้พวกเขาอยู่กับที่นาน ๆ อาจถูกโจมตีเมื่อไหร่ก็ได้
"อีกอย่างนายควรดูแลตัวเองให้ดีล่ะ เคทลินเป็นห่วงนายยิ่งกว่าห่วงตัวเธอเองเสียอีก" เกว็นพูดทิ้งท้ายก่อนจะเดินกลับไปนอนต่อ
นิคยังคงนั่งนิ่งอยู่เหมือนเดิมในหัวของเขานั้นมีความคิดหลายอย่างตีไปมาอยู่ในหัว พลันหางตาเขาก็เห็นบางอย่าง เมื่อหันไปมองก็เห็นเงาตะคุ่มของใครบางคนกำลังเดินเข้ามาใกล้เขา
"ว่าไงลูกชาย ไม่ได้เจอกันนานเลย"