เคทลินกลับมาแก้แค้นเพื่อนรักอย่างซูซานที่ขโมยผลงานของเธอจนตัวเองโด่งดัง ในเมื่อผลงานเปรียบเสมือนกับลูกของเธอเคทลินจึงได้ขโมยลูกของซูซานเป็นการแก้แค้น

Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด - บทที่ 18 บทที่ 18 โดย s.BlackSheep @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,ดราม่า,ผจญภัย,พารานอมอล,ครอบครัว,เวทมนตร์,แฟนตาซี,นักเวท,เวทมนต์,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ดราม่า,ผจญภัย,พารานอมอล,ครอบครัว

แท็คที่เกี่ยวข้อง

เวทมนตร์,แฟนตาซี,นักเวท,เวทมนต์

รายละเอียด

เคทลินกลับมาแก้แค้นเพื่อนรักอย่างซูซานที่ขโมยผลงานของเธอจนตัวเองโด่งดัง ในเมื่อผลงานเปรียบเสมือนกับลูกของเธอเคทลินจึงได้ขโมยลูกของซูซานเป็นการแก้แค้น

ผู้แต่ง

s.BlackSheep

เรื่องย่อ

เพราะการแก้แค้นนั้นหอมหวานและทำให้คนคนหนึ่งยอมเปลี่ยนตัวตนเพื่อการแก้แค้นอดีตเพื่อนรัก หากแต่การแก้แค้นของเคทลินนั้นทำให้ใครอีกคนได้ค้นพบการดำเนินชีวิตแบบใหม่ที่เขาเองก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อน การอยู่ร่วมกันของเคทลินและนิคนั้นจะเป็นเหมือนแม่เหล็กคนละขั้วที่แตกต่างแต่ก็ดึงดูดเข้าหากันเสมอ

เมื่อนิคได้เข้ามาในโลกของนักเวทก็เกิดสิ่งที่ไม่คาดฝันมากมาย แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อเขาเป็นคนเลือกที่จะเดินทางนี้เอง และเขาไม่ได้โดดเดี่ยวเพราะมีคนคอยดูแลอย่างเคทลินแห่งเลควูดคอยตามเป็นห่วงอยู่ไม่ห่าง และดูเหมือนจะมีเรื่องวุ่นๆ หลายอย่างรอทั้งสองอยู่เบื้องหน้า

สารบัญ

Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 0 บทที่ 0,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 1 บทที่ 1,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 2 บทที่ 2,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 3 บทที่ 3,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 4 บทที่ 4,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 5 บทที่ 5,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 6 บทที่ 6,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 7 บทที่ 7,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 8 บทที่ 8,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 9 บทที่ 9,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 10 บทที่ 10,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 11 บทที่ 11,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 12 บทที่ 12,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 13 บทที่ 13,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 14 บทที่ 14,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 15 บทที่ 15,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 16 บทที่ 16,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 17 บทที่ 17,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 18 บทที่ 18,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 19 บทที่ 19,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 20 บทส่งท้าย,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 21 ตอนพิเศษ

เนื้อหา

บทที่ 18 บทที่ 18

สายลมร้อนพัดปะทะใบหน้าของเคทลินที่นอนแน่นิ่งอยู่บนผืนทราย เธอลืมตาขึ้นมาก็พบกับฟ้องฟ้าและปุยเมฆ เมื่อยันตัวลุกขึ้นนั่งก็พบกับชายหาดสีขาวที่ทอดเป็นแนวยาวไปไกลสุดลูกหูลูกตาตัดกับสีฟ้าของน้ำทะเลที่เปล่งประกายระยิบระยับราวกับอัญมณีเมื่อต้องแสงอาทิตย์ เคทลินหรี่ตามองชายคนหนึ่งที่กำลังเดินเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ เขาใส่เสื้อเชิ้ตสีแดงลายดอกที่ดูเชยระเบิดกับกางเกงขาสั้น กระดุมบนเสื้อนั้นถูกปลดออกทุกเม็ดทำให้เห็นแผงอกได้อย่างชัดเจน เคทลินเพิ่งจะจำเขาได้เมื่ออีกฝ่ายมาหย่อนตัวนั่งลงข้างเธอแล้ว

"คิดอะไรนานขนาดนั้นน่ะ ไม่เจอกันแค่ไม่กี่ปีเองนะ" เขาถอดแว่นกันแดดออกเผยให้เห็นดวงตาสีเฮเซลนัทที่เธอคุ้นเคยและรู้จักมันเป็นอย่างดี

เคทลินเบิกตากว้างด้วยความตกใจระคนตื่นเต้น เธอพุ่งเข้าไปบีบจับใบหน้านั้นเพื่อยืนยันว่าเธอไม่ได้ฝันไป "นาธานงั้นเหรอ" เธอเอ่ยถาม มือยังคงลูบไล้ไปตามกรอบหน้าอย่างไม่อยากเชื่อสายตาของตัวเอง เธอยังคงกลัวว่ามิเกลจะใช้ใบหน้าของเขามาหลอกเธออีกแต่ครั้งนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่อย่างนั้น

"ใช่แล้วที่รัก" นาธานจูบลงบนกระหม่อมของเธออย่างอ่อนโยน

"ฉันตายแล้วงั้นเหรอ" เคทลินถามต่อ เธอสามารถสัมผัสนาธานได้ อีกทั้งนี่ยังดูสมจริงเกินกว่าจะเป็นแค่ความฝันหรือมโนภาพของเธอเอง

"ใช่และไม่" นาธานตอบ มือของเขาลูบเส้นผมของเธอเล่นอย่างที่มักทำเป็นประจำ "เคท ตอนนี้คุณกำลังอยู่ระหว่างความเป็นและความตาย"

"หมายความว่าไง" คิ้วของเธอขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัย ความทรงจำสุดท้ายก่อนตื่นขึ้นที่นี่คือเธอใช้ตัวเองรับแรงระเบิดและพยายามที่จะเทเลพอร์ตไปหาเฟรย์ และเธอก็ไม่อาจจะรู้ได้ว่าทำสำเร็จหรือไม่ เพราะตอนนี้เธอมานั่งจุ้มปุ๊กอยู่ที่ชายหาดนี่เสียก่อน

"คุณอาจจะบาดเจ็บปางตาย หรือไม่ก็จิตใต้สำนึกเตรียมใจที่จะตายไว้แล้ว พอร่างกายบาดเจ็บจึงมาอยู่ที่นี่ได้" นาธานอธิบายพลางมองเข้าไปในตาของเคทลินที่กำลังสับสน "เด็กคนนั้นคงปลอดภัยดี นั่นเป็นเพราะคุณรับแรงระเบิดทั้งหมดเอง และต้องขอบคุณเฟรย์ ถ้าไม่มีกำไลนี่คุณคงจะได้มาอยู่กับผมแล้ว" เขาพูดพลางจิ้มที่กำไลบนแขนเธอ นั่นทำให้เธอเพิ่งรู้ตัวว่าชุดที่เธอใส่อยู่นั้นไม่ใช่ตัวเดิม แต่มันกลับเป็นชุดกระโปรงสีขาวแทน

เคทลินมองอีกฝ่ายนิ่ง ประโยคท้ายของเขาทำให้เธอสั่นไหว ที่เขาพูดหมายถึงหากเธอตายเธอก็จะได้เจอกับเขาสินะ "ฉันอยู่ที่นี่ได้เหรอ" เธอเอ่ยถาม

"อยู่ได้สิ แต่ขึ้นอยู่กับคุณว่าจะอยู่หรือเปล่า" นาธานพูดทีเล่นทีจริง เขารู้ว่าในหัวเล็ก ๆ ของเธอนั่นคิดอะไรอยู่ ต่อให้ไม่สามารถอ่านใจได้เขาก็รู้ รู้เพราะทั้งสองนั้นผ่านอะไรด้วยกันมามาก การเดาความคิดแค่นี้เป็นเรื่องที่ง่ายมาก

เคทลินนิ่งเงียบ เธอเกิดความกลัวขึ้นมาจนขนลุกชัน ครู่หนึ่งเธอมีความคิดที่จะละทิ้งชีวิตและทุกคนที่รอเธออยู่แล้วอยู่ที่นี่กับนาธานต่อ แต่เมื่อใบหน้าของนิคและคนอื่น ๆ ฉายเข้ามาในหัวก็ทำให้เธอคิดได้ว่ามีอีกหลายคนรอเธออยู่ มันยังไม่ถึงเวลา...

"ขอโทษนะ ฉันอยากอยู่ต่อแต่ว่า..." เคทลินหยุดพูด เธอมองหน้าของนาธานที่ยิ้มให้เธอ เขารู้คำตอบของเธออยู่แล้ว และมันเป็นแบบนั้นมาตลอด เขารู้จักเคทลินดีกว่าตัวเธอเองเสียอีก

"ไปเถอะ ทุกคนรอเธออยู่" นาธานกล่าว เขาโอบกอดเธอแน่น เคทลินเองก็กอดเขาตอบเช่นกัน เธอไม่อยากปล่อยเขาไปเลย...

"คุณจะรอฉันใช่ไหม" เคทลินถามทั้งที่ใบหน้ายังคงฝังอยู่ที่ไหล่ของนาธาน

"ผมรอคุณได้เสมอ เคทลินที่รัก" นาธานลูบหัวเคทลินอย่างที่เธอมักขอให้เขาทำให้เวลาที่เธอรู้สึกไม่สบายใจ "ผมรอได้และผมจะอยู่ข้างคุณตลอดไป ตอนนี้ได้เวลาที่คุณต้องไปแล้ว"

พลันเสียงซ่าเกิดขึ้นรอบตัว และเสียงของนาธานก็เบาลงเรื่อย ๆ พร้อมกับความมืดที่เข้าปกคลุมรอบตัวเธอ "นาธาน!" เคทลินร้องเรียกอีกฝ่ายที่กำลังเลื่อนหายไป "ฉันรักคุณนะ"

"ผมเองก็รักคุณเหมือนกัน" เสียงของนาธานเบาจนแทบจะไม่ได้ยิน "แล้วเจอกัน..."


"ฟื้นแล้ว!" เสียงของลูซิเฟอร์ตะเบ็งบอกคนอื่นท่ามกลางเสียงอื้ออึงของแรงปะทะที่ทั้งสองฝ่ายกำลังโจมตีใส่กัน เขาวางมือเหนือตำแหน่งหัวใจของเธอเพื่อกระตุ้นให้หัวใจกลับมาเต้นอีกครั้ง "เธอไปเฝ้าประตูสวรรค์ตั้งหนึ่งนาทีแน่ะ"

"สวรรค์งั้นเหรอ ก็ใกล้เคียงอยู่" เคทลินยันตัวขึ้นนั่งพิงกับเสาที่ล้มลงมาข้างกันเป็นเกว็น เธอกำลังนำเศษอัญมณีมาร่ายเวทลงไปก่อนจะหย่อนมันกลับไปในถุงผ้าใบเล็กตามเดิมแล้วมัดปากถุงให้แน่น จากนั่นก็ขว้างไปยังทิศทางที่บาสเตียนกำลังยืนอยู่และ...

ตู้ม

เสียงระเบิดจากถุงผ้าที่เกว็นโยนไปดังสนั่น แต่น่าเสียดายที่เป้าหมายดันหลบได้

"ไม่ยักรู้ว่าเธอทำแบบนั้นได้" เคทลินเอ่ยถามขณะที่รอให้ลูซิเฟอร์รักษาเธออยู่ จะว่าไปตั้งแต่ลืมตาขึ้นมาเธอยังไม่เห็นนิคเลย

"สถานการณ์ปกติใช้อะไรแบบนี้ไม่ได้นะคะ ไม่แปลกหรอกที่เธอจะไม่รู้" เกว็นตอบพลางโยนถุงผ้าอีกใบออกไปพร้อมกับเสียงระเบิดที่ตามมา

"นิคล่ะ"

"อยู่กับเฟรย์ ไปลากคอมิเกลมาอยู่" ลูซิเฟอร์ตอบ เขากำลังรักษากระดูกไหปลาร้าที่หักให้เข้าที่ "ทันทีที่กลับมาได้เขาก็รีบพาเธอมารักษาก่อนเลย แล้วถึงจะไปลากไอ้หมอนั่นออกมา -- โอ๊ะ นั่นไงล่ะ" ลูซิเฟอร์ชี้นิ้วไปยังทิศทางที่นิคกับเฟรย์กลับออกมา และมิเกลก็ถูกเฟรย์ลากคอออกมาอย่างที่ลูซิเฟอร์บอกไว้

สีหน้าโกรธเกรี้ยวของเฟรย์เปลี่ยนไปทันทีเมื่อเห็นว่าเคทลินกำลังโบกมือให้ เขาพยักหน้ารับรู้และบอกให้นิคไปหาเธอในขณะที่เขาเรียกให้อัสมิตาที่เพิ่งจะจัดการบาสเตียนเสร็จไปร่วมสมทบกับเขา ตอนนี้พรรคพวกของมิเกลถูกจัดการได้หมดแล้ว พวกเขาถูกยูริเอลและอัสมิตาทำให้สลบแล้วนำไปมัดกองรวมกับคนอื่น ๆ ที่เสา

"ไม่เป็นไรใช่ไหม --"

"คนที่ควรถามเป็นผมต่างหากล่ะ!" เสียงของนิคดังไปทั่วห้องโถงเรียกความสนใจของทุกคนพุ่งมาทางเขาในทันที "บอกให้เชื่อใจแต่ตัวเองบาดเจ็บจนหัวใจหยุดเต้นไปเนี่ยนะ" เขาได้ยินเสียงของลูซิเฟอร์พึมพำออกมาว่า ทะเลาะกันอีกแล้ว แต่นิคก็ไม่ได้สนใจเขาแต่อย่างใด

"ฉันขอโทษ" เคทลินเอ่ย เธอก็สมควรที่จะถูกเขาโกรธอยู่หรอกที่เป็นแบบนี้ "ตอนนี้ฉันกลับมาแล้วไง" เคทลินอ้าแขนออกราวกับรออ้อมกอดจากนิค และเขาก็ไม่ลังเลเลยที่จะพุ่งเข้าไปสวมกอดเธอโดยแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินเสียงใครบางคนบ่นว่าเขาเพิ่งจะรักษากระดูกของเคทลินให้เชื่อมติดกันไปเมื่อครู่

"อย่าลืมล่ะว่าเรายังมีไอ้นี่อยู่อีกคน" เฟรย์บุ้ยปากไปยังมิเกลที่เขากับนิคเพิ่งลากออกมาจากป่า เขาไม่มีทีท่าจะฟื้นแต่อย่างใด แต่เมื่อวัดชีพจรต่าง ๆ แล้วทุกอย่างยังคงปกติอยู่

"หรือว่ายานั่นจะได้ผล" เคทลินเอ่ยพลางตบหน้าของมิเกลซ้ำ ๆ เสียจนแก้มของเขาขึ้นสีเลือดฝาด

"เธอใช้มันแล้ว" เฟรย์ถามถึงยาที่เคทลินบอกว่าได้มาจากไมเคิล เขาจำได้ว่าเธอเก็บมันไว้กับตัวเองอันหนึ่ง

"ตั้งแต่เมื่อไหร่" นิคถามเสริม เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเคทลินทำมันตอนไหน

"ก้อนน้ำที่ฉันขว้างใส่หน้ามันไง ตอนนั้นดันพลาดเป้าไม่เข้าปากเลยสักนิด ไม่คิดว่าโดนแบบนั้นก็ทำให้ยาออกฤทธิ์ได้เหมือนกัน" เคทลินหันไปอธิบายกับนิคที่ทำหน้าอึ้งกับวิธีใช้ยาของเธอ

"เอาเถอะ อย่างไรก็ยังวางใจไม่ได้อยู่ดี ปริมาณที่เธอมีมันแค่ทำให้พลังเวทเสื่อมเท่านั้นนี่" ลูซิเฟอร์เสริม เขาใช้เท้าเขี่ยร่างของมิเกลที่นอนแน่นิ่งอยู่ก่อนจะสะดุ้งโหยงเมื่อเห็นนิ้วมือของอีกฝ่ายกระดิก

"อัสมิตา ขอช่วยหน่อย" เคทลินร้องเรียกให้อัสมิตามาทำตามแผนที่เธอวางไว้ เคทลินยังคงจำได้ว่าเธอเคยบอกว่าตัวเองมีความสามารถในการควบคุมจิตใจของผู้คน ซึ่งเคทลินได้ฝากฝังดาวิตที่เป็นอาจารย์ของอัสมิตาช่วยขัดเกลาเธอในความสามารถนี้เป็นพิเศษ ถึงอัสมิตาจะบอกอยู่เสมอว่าพรสวรรค์ของเธอนั้นไม่กระเตื้องเลยแม้แต่น้อย แต่เคทลินก็ยังเชื่อมั่นในฝีมือของเธออยู่ดีเพราะดาวิตบอกกับเธอด้วยตัวเขาเองว่าฝีมือการควบคุมจิตใจของอัสมิตานั้นดีขึ้นมากเมื่อเทียบกับความสามารถเดิมของเธอก่อนที่จะฝึกพิเศษ รุ่นน้องคนนี้มักถ่อมตัวจนเกินไปอยู่เสมอ และแผนที่เธอวางไว้กับอัสมิตานั้นเคทลินค่อนข้างมั่นใจว่ามันไม่มีทางพลาดแน่นอน

"ค่ะ ฉันจะเชื่อในตัวคุณเคทลินค่ะว่าฉันสามารถทำได้" อัสมิตาตอบพลางเดินเข้ามาแทรกกลางระหว่างเคทลินกับนิค ซึ่งเขาดูจะไม่พอใจเล็กน้อย

เคทลินถอนหายใจหนหนึ่งก่อนจะแก้ประโยคให้ "เชื่อใจตัวเธอเองนั่นแหละ นั่นเป็นความสามารถของเธอไม่ใช่ของฉัน" พูดจบเธอก็ตบหลังให้กำลังใจเบา ๆ แล้วหย่อนตัวลงนั่งข้างมิเกล เธอตบหน้าปลุกเขาอย่างแรงราวกับระบายความแค้นลงไป แต่ถ้าให้พูดตามความจริงแค่นี้ยังน้อยเกินไปเธออยากจะเอายาส่วนที่เหลือยัดปากเขาเสียเดี๋ยวนี้ แต่เธอไม่อยากทำให้มือตัวเองต้องเปื้อนเลือดด้วยการฆ่าล้างแค้นใครหรอกนะ เธอยังคงต้องอยู่ในโลกนี้โดยเคารพกฎหมายไปอีกนาน อีกอย่างยาที่เหลือนั่นมีไว้สำหรับแผนสำรองในกรณีฉุกเฉิน

เปลือกตาของมิเกลค่อย ๆ เปิดออก ดวงตาที่เคยเปล่งประกายราวกับอัญมณีนั้นดูหม่นแสงลง ซึ่งเป็นสัญญาณว่ายาได้ออกฤทธิ์แล้วจริง ๆ แต่ก็ใช่ว่าพลังเวทของเขาจะหายไปหมด เพราะไมเคิลบอกว่าเพียงแค่ทำให้พลังเสื่อมลงไปก็แค่นั้น

เมื่อมิเกลตื่นเต็มตาแล้วทุกคนก็สังเกตเห็นบางอย่างที่ผิดปกติไป เขาดูตื่นกลัวและหวาดผวาขณะกวาดสายตามองไปรอบ ๆ และเห็นว่าทุกคนกำลังจ้องมองตนอยู่ เขากระถดถอยหลังหลบหนีสายตาของทุกคน มิเกลดูไม่เหมือนตัวเขาเอง เมื่อเห็นอย่างนั้นแล้วเคทลินยกมือขึ้นให้อัสมิตาถอยออกไปก่อน

"ได้โปรดปลดปล่อยผมออกไป ผมไม่อยากได้พลังอะไรอีกแล้ว" มิเกลพูดเสียงเบา ตัวเขาสั่นเทิ้มด้วยความกลัว สายตาพลางกวาดไปทั่วราวกับกลัวว่าหนึ่งในคนพวกนี้จะพุ่งเข้ามาทำร้ายเขา

"เคทลิน ถอยไป" เสียงของยูริเอลดังขึ้นพร้อมกับร่างของเขาที่แทรกกลางระหว่างเธอและมิเกล "เขาดูไม่เป็นตัวของตัวเอง"

"ยูริเอล... ยูริ!" มิเกลเรียกด้วยชื่อเล่นที่เขามักใช้เรียกยูริเอลเมื่อนานมาแล้ว มือของเขาคว้าแขนของอีกฝ่ายไว้ ยูริเอลเองก็ไม่ได้ขัดขืนอะไร เขารู้สึกแปลกใจที่อยู่ ๆ มิเกลก็เรียกเขาแบบนั้น "ช่วยผมด้วย มันควบคุมผมอยู่"

ยูริเอลโอบกอดมิเกลที่ตัวสั่นเทาเอาไว้แน่นราวกับเด็กน้อย เขาไม่เข้าใจว่ามิเกลเป็นอะไร ยูริเอลหันไปมองคนอื่นเพื่อถามหาคำตอบกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าแต่ก็ไม่มีใครสามารถตอบได้ว่าเกิดอะไรขึ้น

"ผมทรมาน ทรมานเหลือเกิน" มิเกลกระชับวงแขนกอดอีกฝ่ายแน่นขึ้น และแน่นขึ้น... "ผมต้องการพลังมากกว่านี้" เสียงที่สั่นเครือของมิเกลกลับกลายเป็นเสียงที่นิ่งสงบตามเดิม แต่กว่ายูริเอลจะรู้ตัวก็สายไปเสียแล้ว...


"ไอ้เวร" เคทลินสบถพร้อมกับถลาตัวเข้าไปดึงยูริเอลออกมา ตาของเขาเหลือกขึ้นอีกทั้งอุณหภูมิร่างกายยังร้อนกว่าปกติ เธอไม่รู้ว่ามิเกลทำอะไรกับเขา

นิครีบวาดอาณาเขตกักมิเกลไว้ไม่ให้เขาหลบหนีออกมาได้ สายตาของเขาตอนนี้ดูเหมือนคนที่บ้าคลั่งสุดขีด ทั้งยิ้ม หัวเราะ และบางครั้งก็ปล่อยโฮออกมา ทุกคนงุนงงและสับสนกับเหตุการณ์ตรงหน้ามาก

"น่าจะโดนเวทโบราณครอบงำ" เฟรย์อนุมาน เขาจับมือของยูริเอลไว้ก่อนจะพึมพำเวทบางอย่างออกมา อุณหภูมิของยูริเอลค่อย ๆ ลดลง "ยูริเอลถูกไอ้นั่นดึงพลังเวทไปจำนวนมากในเวลาแค่พริบตา แสดงว่ามิเกลถูกครอบงำมานานจนสิ่งที่อยู่ข้างในแข็งแกร่งพอสมควร"

"นี่มันบ้าอะไรกัน" ลูซิเฟอร์สบถออกมา "ของแบบนั้นถูกกำจัดไปหมดแล้วนี่"

"อย่าลืมสิว่ามิเกลเป็นจอมเวทสูงสุด เขาย่อมรู้บางอย่างที่นักเวททั่วไปอย่างเราไม่รู้" เกว็นท้วงน้องชาย "งั้นที่ฉันเห็นความไม่แน่นอนในอนาคตของเขาก็คงเป็นเพราะเจ้าสิ่งนั้นด้วยสินะคะ"

"เป็นไปได้" เคทลินตอบ เธอโบกมือเรียกให้อัสมิตามาอยู่ข้างกันพร้อมกับอธิบายเรื่องการควบคุมจิตใจอีกครั้ง แต่คราวนี้ให้มิเกลพยายามพูดเรื่องที่เขาใช้เวทโบราณแทน

"คุณมิเกลคะ ฉันพยายามจะช่วยคุณอยู่นะคะ" อัสมิตาพูดกับคนที่ถูกขังอยู่ในเกราะป้องกัน เธอมองเข้าไปในตาของเขา มิเกลเองจ้องเข้าไปในดวงตาที่ดำขลับของอีกฝ่าย เขานิ่งไปครู่หนึ่งก่อนริมฝีปากจะขยับเป็นคำพูดออกมาก

"ที่บ้าน ชั้นใต้ดิน..." มิเกลพูดออกมาเป็นคำ ๆ อย่างจับใจความไม่ได้ "กระจกโบราณ...ถูกสะกดไว้"

"งั้นเราต้องไปทำลายไอ้กระจกนั่นงั้นเหรอ" ลูซิเฟอร์หันไปทางเฟรย์เพื่อขอคำตอบ และเขาก็พยักหน้าให้เป็นคำตอบ "นี่เรามาแก้ปัญหาหนึ่งเพื่อนำไปสู่อีกปัญหาหนึ่งงั้นเหรอ" ลูซิเฟอร์กลอกตาอย่างเหนื่อยหน่าย เขาปลีกตัวไปทางยูริเอลเพื่อรักษาทางนั้นต่อ

"ระวัง..." มิเกลพูดเสียงเบาแต่ก็ดังพอที่เคทลินจะได้ยิน "...เธอจะถูกมันครอบงำ"

"เก็บไว้เตือนตัวเองเถอะ" เคทลินตอบ เธอแตะบ่าอัสมิตาและบอกให้พอแค่นี้ก่อนจะเรียกทุกคนมารวมตัวกัน

"ฉันจะจัดการตัวต้นเหตุเอง" เธอกวาดสายตามองทุกคนกระทั่งเห็นสายตาของนิคทำให้เธอเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมา "นิคเองก็จะไปกับฉันด้วยเพราะงั้นไม่ต้องห่วง"

"เอางั้นก็ได้ เพราะฉันคงต้องพายูริเอลไปรักษาก่อน เขาถูกดึงพลังเวทไปเยอะพอสมควรเลย" ลูซิเฟอร์พูดพร้อมกับขอตัวกลับไปยังเซฟเฮ้าส์โดยขอให้เฟรย์ใช้พลังพาพวกเขาไปส่ง

"อ้อ! จริงสิ เธอพอจะรู้วิธีจัดการกับสิ่งที่บาสเตียนทำได้ไหม" เคทลินเอ่ยถามอัสมิตาที่ยืนรอส่งเธอขณะที่เฟรย์ไปส่งคนอื่น ๆ อยู่

"เรื่องนั้นฉันกับคุณเฟรย์จัดการเรียบร้อยแล้วค่ะ" เมื่อเห็นว่าเคทลินเลิกคิ้วด้วยความสงสัยเธอจึงอธิบายต่อ "มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ฉันกับคุณเฟรย์ไม่ค่อยเข้าประชุมใช่ไหมคะ ตอนนั้นเราไปช่วยกันเก็บยาพิษตามจุดต่าง ๆ ซึ่งข้อมูลเรื่องที่บาสเตียนทำนั้นอ้างอิงจากไฟล์เสียงที่ฉันอัดมาได้ อันที่จริงฉันว่าเขาหาทางหลบหน้าคุณเคทลินเลยใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างมากกว่าน่ะค่ะ อ้อ! อีกอย่างคุณยูริเอลเองก็ช่วยด้วยนะคะ ถึงตอนแรกจะดูไว้ใจไม่ได้ก็เถอะ..." อัสมิตายังคงอธิบายถึงเรื่องราวของเธอต่อไป ขณะเดียวกันเคทลินก็เห็นเฟรย์กลับมาพอดีจึงขอปลีกตัวไปหาเขา

"ฉันจะไปด้วย" เฟรย์พูดขึ้น เขาเหลือบมองไปทางนิคที่นั่งพักอยู่ เขายังไม่ชินกับการใช้พลังเวทในระยะเวลานานติดต่อกันสักเท่าไหร่คงจะไม่ดีนักหากให้เคทลินต้องไปกับเขาตามลำพัง

เคทลินมองตามสายตาของเพื่อนก็พอจะเดาความคิดของเขาได้ "ฉันรู้ว่านายกังวล แต่นายรออยู่ที่เซฟเฮ้าส์น่ะแหละ ถ้ามีอะไรฉุกเฉินขึ้นมาจริง ๆ ฉันจะได้กลับไปหานายได้ตลอดไง" เธอถอดกำไลแขนออกมาถือไว้และเฟรย์ก็รู้ทันความคิดของเธออีกเช่นเคย เขาคว้าข้อมือของเคทลินพลางส่ายหน้าไม่ให้เธอทำในสิ่งที่กำลังคิดอยู่ "นายทำแบบนี้มันน่าเจ็บใจอยู่นะ นี่ไม่เชื่อใจคนที่นายขัดเกลาฝีมือมาด้วยตัวเองหรือไง"

"มันเสี่ยงเกินไป สิ่งนั้นสามารถครอบงำมิเกลได้ แสดงว่ามันมีพลังมากกว่าเขา" เฟรย์พูดเตือน เวทโบราณเป็นสิ่งที่ควรจะหายสาบสูญไปจากโลกนี้ มันเป็นเวทที่เก่าแก่ นั่นหมายความว่าพลังของมันย่อมมีปริมาณมากพอที่จะอยู่รอดจนถึงทุกวันนี้ได้ ไม่มีใครรู้ว่ามันเป็นอะไร สิ่งมีชีวิต จิตวิญญาณ มโนภาพ หรืออะไรก็ตาม มันไม่มีอะไรที่เป็นนามธรรมแต่ก็สามารถที่จะเข้ามาแทรกแซงความคิดของเราได้ และล่อลวงคนด้วยเล่ห์กลต่าง ๆ จนสามารถยึดร่างเป็นของตัวเองได้

"อย่าลืมสิว่าฉันมีนิคอยู่ด้วยทั้งคน" เคทลินพูด "พลังของเรามันสามารถใช้ร่วมกันได้ ฉันพิสูจน์มาแล้ว"

"พิสูจน์ด้วยการที่หัวใจหยุดเต้นงั้นเหรอ" เฟรย์พูดเบาลงแต่น้ำเสียงของเขานั้นกลับเต็มไปด้วยความหงุดหงิด เขาไม่อยากให้นิคมาได้ยินบทสนทนานี้ ครั้นจะใช้โทรจิตก็กลัวว่าจะทำให้เคทลินต้องใช้พลังเวทเสียเปล่าโดยใช่เหตุก่อนที่จะต้องใช้พลังอีกครั้ง "เธอต้องให้ฉันเป็นบ้าก่อนหรือไงถึงจะหยุดทำอะไรเสี่ยงชีวิตแบบนี้"

"ให้ตายเถอะ ฉันไม่อยากจะชวนทะเลาะตอนนี้นะ" เคทลินคำรามลอดไรฟัน

"ไม่ได้ชวนทะเลาะ ก็เธอเล่นเอาตัวเองไปเสี่ยงตลอด นาธานอุตส่าห์ฝากฝังเธอไว้กับฉันนะ"

"อันที่จริงตอนหัวใจหยุดเต้นฉันไปเจอนาธานมาด้วย"

"ไม่ต้องมานอกเรื่อง เธอเอาอะไรมารับประกันความปลอดภัยของเธอ --"

"ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย ตกลงนะ" เคทลินรีบพูดขัดขึ้นมาก่อนที่จะถูกเพื่อนบ่นจนหูชา

เฟรย์ถอนหายใจ เขายกมือทั้งสองข้างขึ้นมาลูบใบหน้าแล้วถอนหายใจอีกครั้ง "ตกลง" เขาตอบ "ถ้ามีอะไรฉุกเฉินต้องรีบกลับมาทันที"

"นายไม่ใช่ผู้ปกครองฉันนะ แต่ตกลงตามนั้นก็ได้ ส่วนเจ้านี่..." เคทลินชูกำไลที่เธอเพิ่งถอดออกเมื่อครู่ขึ้นมาให้เฟรย์ดู "ฉันจำเป็นต้องให้นิค"

เฟรย์พยักหน้ารับอย่างจำยอม เขาเรียกนิคให้มาสมทบก่อนจะพูดแนะนำเรื่องต่าง ๆ ให้กับทั้งสอง รวมถึงกำชับเรื่องความปลอดภัย ส่วนอัสมิตาก็ทำหน้าที่บอกให้มิเกลนำทางทั้งสองไปยังบ้านของเขา เนื่องจากไม่มีใครรู้เลยว่าบ้านของเขานั้นตั้งอยู่ที่ไหน และมิเกลก็ตอบตกลงอย่าง่ายได้ ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าที่ตอบตกลงนั้นเป็นตัวมิเกลเองหรือเป็นเวทโบราณที่เชื้อเชิญทั้งสองให้ไปหามัน

"เธอใส่นี่ไว้" เคทลินพูดพลางใส่กำไลให้กับนิคเป็นการบังคับเขา "เฟรย์อุตส่าห์ยอมให้นายใช้เลยนะ" เธอพูดพลางหันไปขยิบตาให้กับเพื่อนที่ทำสีหน้าบูดบึ้งกลับ

"เอ่อ ขอบคุณนะครับ" นิคไม่แน่ใจว่าควรดีใจหรือไม่ที่เฟรย์ให้เขายืมใช้มัน เพราะสีหน้าของเขาดูจะไม่พอใจสักเท่าไหร่

"งั้นเราไปกันเถอะ" เคทลินพูดก่อนจะเทเลพอร์ตโดยพึ่งการนำทางของมิเกลไปยังบ้านของเขา

"เรากลับไปรอที่บ้านกันเถอะ" เฟรย์เอ่ยปากชวนอัสมิตา ทั้งคู่หายไปในพริบตาทิ้งโถงสภาที่อยู่ในสภาพรอการบูรณะไว้เบื้องหลังพร้อมกับบรรดาพรรคพวกของมิเกลที่ยังคงหลับไปอีกนานจนกว่าเวทที่ร่ายไว้จะคลายลง


เพียงพริบตาเดียวทั้งสามก็มาโผล่ที่หน้าบ้านซึ่งตั้งอยู่บนภูเขาสูงที่สามารถมองเห็นทิวทัศน์ทั้งเมืองได้หากเป็นช่วงกลางวันที่ไม่ได้มืดมิดเหมือนคืนนี้ แสงจากเสี้ยวจันทร์คืนแรมไม่อาจให้แสงสว่างที่เพียงพอที่จะส่องถึงป่าที่มืดเช่นนี้ได้ ทั้งสองจึงต้องเรียกลูกไฟออกมาเพื่อหาทางเข้าไปในตัวบ้าน บ้านแห่งนี้เหมือนถูกทิ้งร้างไว้นาน หน้าบ้านมีเรือนกระจกขนาดเล็กที่มีเศษกระจกกระจัดกระจายอยู่ทั่วบริเวณ ข้างในมีกระถางต้นไม้วางระเกะระกะไปหมด แต่เมื่อเข้ามาในตัวบ้านก็ค้นพบว่าไฟบ้านนั้นยังคงใช้ได้

นิคจูงเชือกที่มัดข้อมือมิเกลไว้เดินตามหลังเคทลินไปตามทางที่จะลงไปชั้นใต้ดิน ชั้นใต้ดินที่นี่ดูจะซับซ้อนกว่าบ้านของเคทลินนัก เธอต้องหาที่เปิดทางไปยังชั้นใต้ดินอยู่พักใหญ่จึงจะสามารถเปิดได้ ไฟสีส้มในห้องใต้ดินนั้นทำให้บรรยากาศของมันดูน่าขนลุกกว่าเดิม กลิ่นเหม็นอับคละคลุ้งไปทั่ว อีกทั้งยังมีฝุ่นอยู่ทั่วทั้งห้อง แต่สิ่งหนึ่งที่สะกดสายตาของเธอคือกระจกติดผนังธรรมดา ๆ บานหนึ่ง กรอบไม้ของมันมีราขึ้นเขรอะ อีกทั้งตัวกระจกเองก็มีฝุ่นเกาะเสียหนาราวกับไม่ถูกใช้งานมาเป็นปี ๆ

"ในที่สุด..." เสียงหนึ่งดังขึ้นกึกก้องไปทั่วห้อง เสียงของมันแหบพร่าราวกับคนแก่ "...ผู้สืบทอดที่แท้จริงของเรา เคทลินแห่งเลควูด"

ขนทั่วทั้งร่างของเคทลินพลันลุกเกรียวทันทีที่เสียงนั้นสิ้นสุด เธอหันรีหันขวางไปทั่วห้องแต่ก็ไม่พบอะไร เมื่อหันไปทางนิคก็เห็นเขามองไปรอบๆ ห้องเช่นเดียวกัน เขาปล่อยให้มิเกลนั่งลงบนเก้าอี้เขรอะฝุ่นตัวหนึ่ง ทันทีที่นั่งลงฝุ่นก็ตลบไปทั่วทำให้ทั้งสองไอโขลกกันยกใหญ่

"ผู้สืบทอดที่แท้จริงงั้นเหรอ" มิเกลหัวเราะหึให้กับเสียงนั้น เขาเคยได้ยินมันมาก่อน เพราะเขาเป็นคนที่รับข้อเสนอของมันและถูกครอบงำอย่างตอนนี้อย่างไรล่ะ

"เวลาของแกหมดแล้วล่ะ" เสียงปริศนาดังขึ้นอีกครั้ง มันหัวเราะด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่าพลันเสียงกรีดร้องของมิเกลก็ดังขึ้น เขาดิ้นทุรนทุรายอย่างทรมานก่อนจะหยุดลงในไม่กี่วินาทีต่อมา ดวงตาของเขาไร้ซึ่งประกายอัญมณีดังที่ควรจะมี "ถือว่าเป็นดอกเบี้ยที่เราให้ยืมพลังไป" เสียงหัวเราะของมันช่างไม่น่าฟังเอาเสียงเลย

นิคสร้างแนวป้องกันขึ้นรอบตัวทั้งคู่ เขาจับมือเคทลินไว้แน่น สายตาสอดส่องมองหาที่มาของเสียงไปทั่วแต่ก็ไม่พบอะไร

"ของแบบนั้นทำอะไรเราไม่ได้หรอก เพราะเราไม่มีตัวตน เป็นแค่เสียงที่เกิดขึ้นในหัว" มันหัวเราะชอบใจเมื่อเห็นนิคสะดุ้งโหยงตอนที่เสียงของมันดังขึ้นจากทางขวาของเขา

"ต้องการอะไร" เคทลินเอ่ยถาม พลันเสียงหัวเราะก็เกิดขึ้นอีกครั้ง

"คนที่ต้องการคือเธอต่างหากล่ะ" มันตอบ เสียงของมันผ่านหูซ้ายเธอไปก่อนจะดังขึ้นอีกครั้งที่หูขวา "ไม่งั้นเธอคงไม่มาหาเราถึงที่นี่หรอกจริงไหม"

"ฉันมากำจัดแกต่างหาก" เคทลินกระชับมือของนิคแน่น

"โอ้ ช่างน่ากลัวจริง ๆ" มันพูดด้วยน้ำเสียงล้อเลียน "เธอลองมองมาในกระจกนี่สิ"

เคทลินมองเข้าไปในกระจกอย่างไม่รู้ตัว เธอได้ยินเสียงนิคร้องห้ามเธออยู่ไม่ไกล แต่เธอไม่ได้สนใจเสียงนั้นเลยแม้แต่น้อย สิ่งที่ดึงความสนใจคือภาพในกระจก เธอเห็นตัวเธอและนาธานที่กำลังโอบไหล่เธออยู่ และในอ้อมแขนของเธอก็มีเด็กทารกคนหนึ่งอยู่

"เคท เธออุ้มลูกนานไปแล้วนะ ส่งมาให้ผมบ้างสิ" เคทลินได้ยินเสียงของนาธานอยู่ข้าง ๆ และในอ้อมกอดของเธอนั้นกำลังโอบอุ้มเด็กทารกคนหนึ่งอยู่ ครู่หนึ่งเธอรู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ในห้องที่มีบรรยากาศน่าขนลุก แต่พอลองมองดูดีๆ ที่นี่คือบ้านของเธอเอง

"โทษที ฉันเหม่อไปหน่อย" เธอพูดพลางส่งต่อเด็กน้อยหน้าตาจ้ำม่ำให้กับนาธาน

"งานหนักงั้นเหรอ ลางานสักวันดีไหม" นาธานถามพลางลูบหัวเธออย่างที่มักทำให้ทุกครั้งที่เคทลินมีเรื่องไม่สบายใจ

"ไม่หรอกฉันแค่รู้สึกแปลก ๆ" เคทลินตอบพลางเอนหัวพิงกับไหล่ของอีกฝ่าย "รู้สึกเหมือนฉันกำลังฝันไป..."

ทุกอย่างราวกับฝัน เคทลินคลับคล้ายคลับคลาว่าเมื่อครู่เธอยังอยู่กับใครบางคน เธอลุกขึ้นเดินไปยังหน้าต่าง ข้างนอกอากาศเริ่มเย็นแล้ว ผู้คนต่างแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่หนาเตอะเดินขวักไขว่กันเต็มถนน

"ออกไปเดินเล่นกันไหม" นาธานเอ่ยถาม เขาโยกตัวไปมาขณะอุ้มเด็กน้อยอยู่

"อืม..." เคทลินเหม่อมองออกไปข้างนอก มือยื่นออกไปนาบกับกระจกที่เย็นเฉียบจากอากาศภายนอก ไม่รู้ว่าเพราะอะไรในหัวเธอพยายามบอกว่านี่ไม่ใช่ความจริง เธอหันหลังกลับไปมองสามีที่ส่งยิ้มมาทางเธอ "ไม่ดีกว่า อากาศเย็นแบบนี้เจ้าตัวน้อยจะไม่สบายเอา"

เคทลินเดินกลับมานั่งลงข้าง ๆ นาธาน เธอใช้มือลูบใบหน้าของเด็กน้อยอย่างทะนุถนอม เขาช่างดูบอบบางราวกับแก้วที่เพียงออกแรงบีบก็พร้อมจะแหลกคามือ

"นั่นสินะ ว่าแต่พรุ่งนี้เธอจะลาหยุดหรือเปล่า" นาธานเอ่ยถามถึงเรื่องที่คุยไปก่อนหน้า

"คงไม่หรอก เห็นว่ามีประชุมสำคัญ" เคทลินยกมือขึ้นบีบนวดตรงหว่างคิ้วที่ปวดหนึบขึ้นมาเมื่อนึกถึงเรื่องงาน

"เป็นจอมเวทสูงสุดก็เหนื่อยหน่อยนะ ผมเข้าใจเพราะงั้นผมถึงได้ลงจากตำแหน่งไงล่ะ"

คำพูดของนาธานทำให้เคทลินเอะใจขึ้นมา "จอมเวทสูงสุดงั้นเหรอ..." เธอทวนคำอย่างครุ่นคิด ไม่ใช่ว่าเธอเป็นคนปรุงยาของสภาหรอกเหรอ

"คุณเคทลิน" เสียงที่ฟังดูคุ้นหูดังขึ้นในห้อง เธอกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แต่ดูเหมือนจะมีเพียงเธอที่ได้ยินเสียงนั้น

"นี่ไม่ใช่ความจริง" เสียงนั้นยังคงดังอย่างต่อเนื่อง เธอหันไปมองลูกของตนแล้วต้องสะดุ้งโหยงเมื่อเห็นว่าร่างของเด็กน้อยนั้นหลอมละลายราวกับเป็นของเหลว เธอหันมองไปทางนาธานก็เห็นเขานอนนิ่งอยู่กับพื้น ตามตัวมีรอยฟกช้ำสีม่วงจากแรงกระแทก ในมือของเขากำเสื้อโค้ตสีชมพูเปื้อนเลือดไว้แน่น เธอทรุดตัวลงข้างร่างนั้นและคลำหาชีพจรแต่ก็ไม่พบ และเมื่อมองไปรอบตัวเธอก็พบว่าตัวเองยืนอยู่บนถนนแทนที่จะเป็นในบ้านอย่างเมื่อไม่กี่วินาทีก่อน รอบตัวของเธอเต็มไปด้วยเลือดสีแดงที่ไหลออกมาจากตัวนาธาน มันเจือด้วยสายฝนที่กระหน่ำลงมาจนเปรอะชุดกระโปรงสีกรมท่าและมือที่สั่นเทาของเธอ

เมื่อครู่เธอยังมีพร้อมทุกอย่างแต่เพียงพริบตาเดียวมันกลับพังทลายลงต่อหน้า เคทลินมองดูมือที่สั่นระริกของตน เธอรู้สึกได้ว่าร่างของตนนั้นสั่นเทิ้ม ไม่ใช่ว่าสั่นเพราะความหนาวเย็นแต่หากเป็นเพราะความกลัวที่กำลังก่อตัวขึ้น เธอรู้สึกมวนท้องร่างกายเริ่มรู้สึกชา เสียงร้องเรียกเธอยังคงดังอย่างต่อเนื่องแต่เสียงเหล่านั้นก็ถูกกลืนไปกับเสียงฝนและเสียงหัวใจของเคทลินที่เต้นรัวราวกับจะออกมานอกอกอยู่รอมร่อ

"คุณเคทลิน" เสียงที่คอยร้องเรียกเธอนั้นดังขึ้นที่ข้างหู มืออุ่นของเขาบีบไหล่ที่เปียกชุ่มของเคทลินเบา ๆ "นี่ไม่ใช่ความจริงนะครับ คุณกำลังถูกกระจกนั่นปั่นหัวอยู่" นิคอธิบายขณะมองไปรอบตัว กระจกนั่นใช้บาดแผลในใจของเคทลินเป็นตัวล่อในการครอบงำเธอ ระหว่างที่อยู่ในโลกความจริงเขาพยายามทำลายกระจกนั่นแต่ก็ไม่เป็นผล มิเกลเองก็สลบเหมือด ไม่มีใครช่วยเขาได้ทั้งนั้น นิคจึงลองเข้ามาในความคิดของเคทลินผ่านการผูกจิตระหว่างเขาและเธอจนกระทั่งมาโผล่ที่นี่

"ปั่นหัวงั้นเหรอ" เสียงแหบพร่าของสิ่งนั้นดังขึ้น "เรากำลังชี้แนะแนวทางต่างหากล่ะ"

สายฝนหยุดลงทันทีเมื่อเสียงนั้นพูดจบ เคทลินหันกลับไปยังตำแหน่งที่นาธานอยู่แต่กลับพบกับกองเอกสารบนโต๊ะแทน เมื่อมองไปทางนิคก็เห็นเขาอยู่ในตำแหน่งเดิมเพียงแต่บนอกเสื้อนั้นติดเข็มกลัดบอกตำแหน่งผู้อาวุโสของสภาเวทมนตร์ไว้ นิคมองตามสายตาของเคทลินก็เห็นสิ่งแปลกใหม่ที่ปรากฏขึ้นบนเสื้อ รอบตัวทั้งสองเป็นห้องสีขาวสะอาดตาเหมือนกับห้องทำงานของเคทลินที่สภาราวกับจับวาง

ก๊อก ๆ ๆ

เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น พลันร่างของนาธานก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า ข้างหลังเขามีเด็กน้อยวัยประมาณสิบขวบยืนอยู่ข้างหลัง เคทลินหันไปมองนิคอย่างไม่เข้าใจ เมื่อหันไปตรงหน้าอีกทีก็เห็นเด็กน้อยคนนั้นก็วิ่งรี่เข้ามาเกาะขอบโต๊ะฝั่งตรงข้ามเธอไว้ก่อนจะร้องเรียกเธอ

"คุณแม่ครับ กลับบ้านกันได้แล้ว นี่มันมืดแล้วนะ"

หัวใจของเคทลินกระตุกวูบครู่หนึ่งเมื่อได้ยินเด็กน้อยตรงหน้าพูดขึ้น

"นี่มันไม่จริง" เธอเอ่ยอย่างแผ่วเบาพลางลุกพรวดจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ สีหน้าถมึงทึงของเธอทำให้เด็กน้อยตรงหน้าสะดุ้งด้วยตกใจกลัว

"เคท คุณเหนื่อยงั้นเหรอ ทำไมถึงทำหน้าแบบนั้น" นาธานพุ่งเข้ามาจับมือเคทลินไว้ให้เธอใจเย็นลงแต่ก็ถูกเธอสะบัดมือออกไป

"สนุกมากนักเหรอที่ได้ล้อเล่นกับใจของคนอื่นแบบนี้น่ะ!" เคทลินหันไปทิศทางที่ตรงกันข้ามกับนาธานและเด็กน้อยพร้อมกับตวาดเสียงดังใส่ต้นตอของเรื่องทั้งหมดนี้

"ใจเย็นสิเรายังไม่ได้อธิบายเลยว่า --"

"ไม่ต้องอธิบายอะไรทั้งนั้น พาพวกเราออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้" เคทลินยื่นมือไปจับมือของนิคไว้ เธอพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมมันถึงให้เธอเห็นภาพพวกนี้ แต่ต้องขอบคุณนาธานที่บอกให้เธอปล่อยวางอดีตทั้งหมดลง และต้องขอบคุณนิคที่เรียกสติเธอกลับมา

"ออกไปงั้นเหรอ นี่เป็นภาพในหัวของพวกเธอเอง เพราะงั้นก็ออกไปเองแล้วกัน" ความมืดเข้าปกคลุมทุกทิศทันที เป็นความมืดที่เงียบสงัดจนสามารถได้เสียงหายใจหรือแม้แต่เสียงหัวใจที่เต้นอยู่ในอก

"เธอเข้ามาในนี้อย่างไรนะ" ความเงียบถูกทำลายลงเมื่อเคทลินเอ่ยถามนิค มือของทั้งสองยังคงคอยส่งความอบอุ่นให้กันและกันอยู่ตามเดิม

"กรณีฉุกเฉินที่เคยบอก" นิคตอบ

"อ้อ" เคทลินตอบ เธอเพิ่งรู้ว่าการผูกจิตสามารถทำแบบนี้ได้ด้วย "งั้นเราก็ต้องใช้วิธีเดิมกลับไปที่ร่างงั้นสินะ"


"ยินดีต้อนรับกลับมา" เสียงแหบพร่าของสิ่งนั้นดังขึ้นเมื่อทั้งสองลืมตาตื่นขึ้นมาในโลกความจริง

"ยินดีกับผีสิ" นิคสบถ "ต้องการอะไรกันแน่ อยู่ ๆ ก็ปล่อยเราออกมาง่าย ๆ แบบนี้ ไม่ได้คิดจะยึดร่างเราหรืออย่างไรกัน"

"ปล่อยเหรอ เราไม่ได้คุมขังใครมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว"

"หมายความว่าไง" เคทลินเอ่ยถาม

"เราเป็นแค่พลังเวทที่คอยปลุกด้านมืดในใจออกมา พูดง่าย ๆ ว่าเป็นเพียงคำพูดยั่วยุที่ดังขึ้นในหัว เคยคิดในหัวบ้างไหมล่ะว่าฆ่ามันเสียสิ ปฏิวัติสิ ใส่ยาพิษในแก้วฆ่าคนนั้นดีกว่า ใช่แล้ว นั่นคือเสียงของเรา ส่วนการกระทำต่าง ๆ นั้นล้วนเป็นของเจ้าตัวทั้งสิ้น" เสียงของมันโฉบเฉี่ยวไปทั่วห้องขณะอธิบาย

"ทำแบบนี้แล้วแกจะได้อะไร"

"ได้อะไรงั้นเหรอ โอ้แน่นอน ความสนุกไงล่ะ ครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้วเราเคยกระซิบบอกประธานาธิบดีของประเทศหนึ่งว่าทำสงครามสิ ยึดทรัพยากรประเทศนั้นสิ และนั่นคือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวที่แสนสนุก เพียงแค่จุดประกายเล็กเท่านั้นแหละเขาก็เริ่มสงครามทันที..." เสียงของมันฟังดูเคลิบเคลิ้มไปกับเรื่องราวที่กำลังเล่า "...และไม่นานนักเขาก็เริ่มเกิดความรู้สึกผิดต่อผู้คนที่ต้องล้มตายในสงครามขึ้นมา เราเลยช่วยเติมเชื้อไฟไปเล็กน้อยด้วยการกระซิบบอกว่ามาถึงขนาดนี้ถอยกลับไม่ได้แล้ว ต้องจัดการสงครามนี้จนถึงตอนจบ และตอนจบของเรื่องนี้ช่างสนุกนัก สุดท้ายเขาก็แพ้สงครามไปและจบชีวิตของตัวเองลง โธ่ถัง ความโลภของมนุษย์ช่างสร้างเรื่องราวได้สนุกเสียจริง"

'ผมว่าเราควรกำจัดมันนะครับ' นิคส่งโทรจิตให้สัญญาณกับเคทลิน เขาเริ่มที่จะสะอิดสะเอียนกับเรื่องราวที่มันเล่าเสียเต็มทน

'เราสองคนน่าจะจัดการมันได้' เคทลินตอบกลับ

"ดูเหมือนพวกเธอจะลืมไปนะว่าเราคือเสียงในหัว และเราสามารถได้ยินทุกอย่างแม้กระทั่งโทรจิตของพวกเธอ" มันพูดเยอะเย้ยพร้อมกับหัวเราะอย่างชอบใจ "และอีกอย่างกระจกกักเราไว้นั่นทำลายไม่ได้หรอกนะ เรื่องนั้นต้องโทษสามีของเธอน่ะแหละ"

"โอย ให้ตายเถอะ นี่แกเป็นสิ่งที่ฉันต้องเก็บกวาดจากนาธานงั้นเหรอ" เคทลินสบถและไม่ทันที่จะให้อีกฝ่ายตอบกลับเธอและนิคก็รวมพลังกันปล่อยเปลวไฟสีน้ำเงินก้อนใหญ่ไปทางกระจกในทันที ไฟลุกท่วมทั่วทั้งห้องแทบจะในทันที นิคพุ่งไปคว้าตัวมิเกลไว้ก่อนที่เขาจะถูกไฟลุกท่วมได้ทันท่วงที

"ขอโทษนะที่ฉันเผาบ้านนาย" เคทลินพูดด้วยน้ำเสียงแกมประชดขณะยืนมองเปลวไฟกำลังลุกท่วมบ้านของมิเกล ซึ่งอันที่จริงควรจะเรียกว่าบ้านของตระกูลฮิลตัน ภายในบ้านมีร่องรอยของการอยู่อาศัยมาหลายชั่วอายุคน อีกทั้งมันยังเคยเป็นบ้านของนาธานมาก่อน น่าแปลกที่แม้แต่บ้านของจอมเวทสูงสุดยังต้องแพ้ให้กับไฟ พลังของมันทำลายล้างได้หมดจดแม้กระทั่งเวทวัตถุ โดยเฉพาะพลังที่เธอใช้กับนิคเมื่อครู่ มันคงจัดการกับเจ้ากระจกนั่นได้อยู่หมัด

มิเกลกะพริบตาปริบ ๆ มองบ้านของตัวเอง เขาไม่มีแรงมากพอที่จะตอบคำถามของเคทลินด้วยซ้ำ เขารู้สึกเหมือนถูกเจ้านั่นดูดพลังเวทในร่างเขาไปจนหมดสิ้น


"เรากลับบ้านกันไหมครับ" นิคเอ่ยถามขณะกวาดตามองบ้านที่ถูกปกคลุมด้วยสีดำจากเถ้าถ่าน เมื่อครู่เคทลินเรียกให้เฟรย์มารับตัวมิเกลไปเข้าคุกขณะที่เธอเฝ้ากองเพลิงที่กำลังลุกไหม้ไม่ให้ลามไปยังป่าโดยรอบ

"อื้อ กลับบ้านกันเถอะ" เคทลินตอบ เธอเข้าไปตรวจสอบแล้วว่าไม่มีเพลิงหลงเหลือ และตอนนี้ก็เช้าแล้วด้วย เธอยกมือป้องหน้ามองดูพระอาทิตย์ที่กำลังโผล่พ้นขอบฟ้า ช่างเป็นเช้าวันใหม่ที่น่านอนเสียจริง