เคทลินกลับมาแก้แค้นเพื่อนรักอย่างซูซานที่ขโมยผลงานของเธอจนตัวเองโด่งดัง ในเมื่อผลงานเปรียบเสมือนกับลูกของเธอเคทลินจึงได้ขโมยลูกของซูซานเป็นการแก้แค้น

Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด - บทที่ 19 บทที่ 19 โดย s.BlackSheep @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,ดราม่า,ผจญภัย,พารานอมอล,ครอบครัว,เวทมนตร์,แฟนตาซี,นักเวท,เวทมนต์,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ดราม่า,ผจญภัย,พารานอมอล,ครอบครัว

แท็คที่เกี่ยวข้อง

เวทมนตร์,แฟนตาซี,นักเวท,เวทมนต์

รายละเอียด

Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด โดย s.BlackSheep @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

เคทลินกลับมาแก้แค้นเพื่อนรักอย่างซูซานที่ขโมยผลงานของเธอจนตัวเองโด่งดัง ในเมื่อผลงานเปรียบเสมือนกับลูกของเธอเคทลินจึงได้ขโมยลูกของซูซานเป็นการแก้แค้น

ผู้แต่ง

s.BlackSheep

เรื่องย่อ

เพราะการแก้แค้นนั้นหอมหวานและทำให้คนคนหนึ่งยอมเปลี่ยนตัวตนเพื่อการแก้แค้นอดีตเพื่อนรัก หากแต่การแก้แค้นของเคทลินนั้นทำให้ใครอีกคนได้ค้นพบการดำเนินชีวิตแบบใหม่ที่เขาเองก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อน การอยู่ร่วมกันของเคทลินและนิคนั้นจะเป็นเหมือนแม่เหล็กคนละขั้วที่แตกต่างแต่ก็ดึงดูดเข้าหากันเสมอ

เมื่อนิคได้เข้ามาในโลกของนักเวทก็เกิดสิ่งที่ไม่คาดฝันมากมาย แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อเขาเป็นคนเลือกที่จะเดินทางนี้เอง และเขาไม่ได้โดดเดี่ยวเพราะมีคนคอยดูแลอย่างเคทลินแห่งเลควูดคอยตามเป็นห่วงอยู่ไม่ห่าง และดูเหมือนจะมีเรื่องวุ่นๆ หลายอย่างรอทั้งสองอยู่เบื้องหน้า

สารบัญ

Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 0 บทที่ 0,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 1 บทที่ 1,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 2 บทที่ 2,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 3 บทที่ 3,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 4 บทที่ 4,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 5 บทที่ 5,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 6 บทที่ 6,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 7 บทที่ 7,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 8 บทที่ 8,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 9 บทที่ 9,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 10 บทที่ 10,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 11 บทที่ 11,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 12 บทที่ 12,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 13 บทที่ 13,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 14 บทที่ 14,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 15 บทที่ 15,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 16 บทที่ 16,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 17 บทที่ 17,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 18 บทที่ 18,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 19 บทที่ 19,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 20 บทส่งท้าย,Katelyn of Laikwood เคทลินแห่งเลควูด-บทที่ 21 ตอนพิเศษ

เนื้อหา

บทที่ 19 บทที่ 19

"เธอจะไม่เข้าไปทักทายเขาหน่อยเหรอ" เฟรย์เอ่ยถามเคทลินเมื่อเห็นเธอหยุดมองร้านชุดแต่งงานของน้องชายขณะออกมาเดินเล่น เคทลินมักเดินผ่านร้านนี้ทุกครั้งเมื่อทั้งคู่ออกมาเดินเล่น

หลังจากเหตุการณ์วุ่นวายทั้งหมดสงบลงยูริเอลได้ประกาศขอโทษต่อผลกระทบที่มิเกลทำไว้ออกทางสื่อต่าง ๆ และประกาศลงจากตำแหน่งประธานสภาเวทมนตร์ พร้อมทั้งทำลายพลังเวทของตนแล้วย้ายออกไปจากเลควูด เขาได้มอบตำแหน่งนี้ให้กับคนที่น่าไว้วางใจอย่างเฟรย์ขึ้นมาแทนที่ และเฟรย์เองทำงานได้ดีไม่แพ้ยูริเอลเลยทีเดียว และในวันที่ว่างจากงานเขามักชวนเคทลินเดินเล่นไปตามเมืองต่าง ๆ เพื่อให้เธอผ่อนคลายความเครียดจากงานที่หนักอึ้งอย่างการเป็นจอมเวทสูงสุด เธอต้องสะสางงานและเงินใต้โต๊ะที่มิเกลก่อไว้จนแทบไม่มีเวลาว่างพอที่จะพักผ่อน และตอนนี้ทุกอย่างก็เข้าที่เข้าทางพอที่จะให้เคทลินได้มีเวลาออกมาเดินกินลมชมวิว

"นายคิดว่าเขาจะรู้สึกอย่างไรที่ได้เจอฉัน" เคทลินเอ่ยถามแต่เธอไม่ได้ต้องการคำตอบจากเพื่อน "ฉันยังกลัวอยู่ จู่ ๆ พี่สาวที่ไม่ได้เจอกันมาเป็นสิบๆ ปีโผล่มาพร้อมกับใบหน้าที่ยังเหมือนเดิมไม่มีริ้วรอยตามอายุอย่างที่ควรเป็น เขาจะตกใจหรือหนีฉันไปอีกหรือเปล่า" สายตาของเธอมองเห็นร่างของคาซเปอร์กำลังก้ม ๆ เงย ๆ จากสมุดที่เขากำลังขีดเขียน มันทำให้เธอนึกถึงสมัยเด็กที่ทั้งสองแบ่งสมุดวาดรูปเล่นด้วยกัน

"ไว้สักวันที่ฉันกล้าพอ..." เคทลินเอ่ยกับสายลมที่พัดผ่านเธอไป

ราวกับได้ยินเสียงผ่านสายลม คาซเปอร์เงยหน้าขึ้นมาจากสมุดในมือแล้วมองมาทางที่เคทลินยืนอยู่ เธอระบายยิ้มให้เขาก่อนจะหายตัวไปพร้อมกับเฟรย์ คาซเปอร์วางมือจากสิ่งที่ทำอยู่แล้วรีบวิ่งออกมามองไปยังฝั่งตรงข้ามของร้านแต่ก็ไม่พบใครเลย


เคทลินล้มตัวลงนอนบนโซฟาหลังจากที่แยกย้ายกับเฟรย์แล้วเธอก็ตรงกลับบ้านในทันที เสียงเข็มนาฬิกาที่ผนังดังติ๊กต่อกซ้ำไปมาคลอกับเสียงนกฮูกที่ร้องดังอยู่ข้างนอก บ้านของเธอเงียบเหลือเกิน ตั้งแต่นิคกลับไปเรียนบ้านของเธอก็เงียบลงไปเยอะ มันทำให้เคทลินสงสัยว่าที่ผ่านมาเธออยู่กับความเงียบได้อย่างไร แต่ถึงกระนั้นในวันหยุดนิคก็จะมาหาเธออยู่เสมอ ในบางครั้งก็มาพร้อมซูซาน อีกทั้งเธอยังได้รู้ว่าเพื่อนของเธอกับลูกสาวเริ่มที่จะมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันอีกครั้ง นั่นนับเป็นเรื่องที่น่ายินดีสำหรับครอบครัวของเธอ

"เย้ย! เธอมานอนมืดอะไรตรงนี้น่ะ" เรเวนที่เปิดประตูเข้ามาในบ้านสะดุ้งตกใจราวกับเห็นผี

"เป็นคนรักโลกน่ะ ไม่อยากใช้พลังงานให้สิ้นเปลือง" เคทลินตอบปัด เธอยกมือป้องตาเมื่อเรเวนกดสวิตช์เปิดไฟ "แล้วนายจะทำอะไรดึกดื่นป่านนี้น่ะ"

"ดึกอะไรกัน นี่แค่หนึ่งทุ่มครึ่งเองนะ" เรเวนพูดพลางหย่อนตัวนั่งเบียดขาของเคทลินที่เหยียดไปตามแนวยาวของโซฟา เขากดรีโมตเปิดโทรทัศน์เลือกช่องรายการที่ตนเองต้องหารดู

ตั้งแต่เคทลินเป็นจอมเวทสูงสุดตำแหน่งคนปรุงยาก็ถูกโอนย้ายไปให้บาสเตียน เขาอ้างว่าที่ตนทำยาพิษหรือยาต้องห้ามนั้นเป็นเพราะมิเกลสั่ง เขาจึงถูกจองจำอยู่ได้ไม่นานก็ออกมาทำงานได้ตามเดิมแต่ก็ถูกให้ออกจากตำแหน่งผู้อาวุโสไป ดังนั้นตอนนี้เรเวนจึงถือได้ว่าเป็นคน (หุ่นไล่กา) ว่างงาน เขายังคงดูแลสวนของเคทลินอยู่เหมือนเดิมเพียงแต่ไม่ต้องช่วยเธอเฝ้าหม้อปรุงยาหรือบรรจุยาใส่ขวดเหมือนเมื่อก่อนแล้ว อีกอย่างเรเวนไม่มีความต้องการเหมือนมนุษย์ ช่วงกลางคืนเขาจึงเดินไปเดินมาอยู่ในบริเวณบ้านแทนที่จะนั่งเฝ้ายาอยู่ในห้องใต้ดินเหมือนเมื่อก่อน ในบางคืนก็จะได้ยินเสียงเขามาเปิดโทรทัศน์ดูรายการต่างๆ ไปเรื่อย ซึ่งนั่นทำให้ตัวเลขในใบเสร็จค่าไฟเพิ่มขึ้นมาเช่นกัน

"ฉันรู้สึกว่าพวกกามันฉลาดขึ้นนะ เดี๋ยวนี้มันไม่หนีฉันเลยแม้แต่น้อย" เรเวนเริ่มต้นบ่น

"พวกมันไม่เคยกลัวนายมาตั้งแต่แรกแล้วต่างหากล่ะ" เคทลินตอบ เธอพลิกตัวหลบแสงไฟที่ส่องสว่าง

"แต่เธอสร้างฉันให้เป็นหุ่นไล่กานะ"

"แค่รูปลักษณ์ นายอยากเป็นอะไรก็เป็นไปเถอะ นายจะต้องอยู่กับฉันไปจนกว่าฉันจะตายนั่นล่ะ"

เรเวนชะงักไปครู่หนึ่ง หัวฟักทองของเขาหันมามองแผ่นหลังของเคทลิน "เรื่องของนิคเธอเป็นอะไรหรือเปล่า"

เคทลินนอนนิ่งไม่ได้ตอบในทันที หลังจากที่เรื่องราวในตอนนั้นจบลงนิคก็ป่วยหนักเนื่องจากร่างกายรับพลังเวทจำนวนมากที่ถูกใช้ในระยะเวลาสั้น ๆ ไม่ไหว เขามีไข้สูงตลอดเวลาและไม่มีเรี่ยวแรงที่จะลุกเดิน เฟรย์บอกว่าหากไม่มีเวทวัตถุที่ช่วยดูดซับพลังไว้เขาคงตายไปแล้ว นั่นทำให้เธอคิดได้ขึ้นมาว่าโลกของเธอกับโลกของนิคนั้นมันต่างกัน และเขาสมควรที่จะอยู่ในโลกที่เขาควรอยู่ ด้วยเหตุนี้เองเธอจึงผนึกพลังของเขาไว้อีกครั้งและรอให้นิคตัดสินใจด้วยตัวเขาเอง

"จะว่าไม่เป็นไรก็คงไม่จริง" เคทลินตอบพลางลุกขึ้นนั่งเอนหลังกับพนักพิง สายตาจ้องมองรายการที่เรเวนเลือกดู "แต่เอาเถอะ แบบนั้นก็ดีกับตัวนิคที่สุดแล้ว ฉันให้เวลาเขาคิดทบทวนนานพอแล้ว และตอนนี้เขาก็โตพอที่จะตัดสินใจอะไรโดยไม่ต้องปรึกษาฉันได้แล้วล่ะ"

เรเวนใช้มือยัดฟางตบบ่าปลอบใจเคทลิน "อย่าลืมว่าฉันจะอยู่กับเธอไปจนถึงวันสุดท้ายของชีวิตก็แล้วกัน ต่อให้เธอไม่มีใครฉันก็ยังอยู่ข้างเธอเสมอ"

"รู้อะไรไหม" เคทลินเอ่ย เธอยกมือของเรเวนออกไปจากบ่าแล้วปัดเศษดินเศษฟางออกไปจากเสื้อ "ฉันสามารถย้ายนายไปอยู่ร่างอื่นได้นะถ้านายต้องการ ฉันมีความสามารถพอที่จะทำอะไรแบบนั้นได้แล้วล่ะ"

"โอ้ ต้องขอบคุณสำหรับน้ำใจของเธอและต้องขอปฏิเสธ ฉันชอบร่างนี้ โดยเฉพาะหัวที่ถอดออกมาได้แบบนี้" เรเวนตอบพลางดึงหัวของตัวเองออกมาวางบนตักโดยที่ใบหน้านั่นหันไปทางเคทลิน "ทำแบบนี้แล้วมันได้เห็นอะไรแปลกใหม่อยู่เสมอเลยล่ะ"

"ถ้านายว่างั้นก็ตามนั้นล่ะ" เคทลินเสมองไปทางโทรศัพท์ที่เธอวางทิ้งไว้บนโต๊ะตรงหน้าพลางเอื้อมมือไปหยิบมันมาอ่านข้อความที่เพิ่งส่งมาเพื่อเบนความสนใจจากเรเวนที่ถอดหัวตัวเองออกมาเล่น หากมองว่าเขาเป็นมนุษย์ที่กำลังเล่นกับศีรษะของตัวเองอยู่ก็ชวนให้รู้สึกสยดสยองอยู่ไม่น้อย ยิ่งเรเวนชอบถอดหัวตัวเองวางไว้แกล้งเธออยู่เรื่อยตั้งแต่เขาว่างงาน

"โอย ให้ตาย" เคทลินสบถเมื่ออ่านข้อความจบ เธอรัวนิ้วพิมพ์ข้อความตอบกลับไป ทันทีที่กดส่งข้อความไปอีกฝ่ายก็โทรหาเธอทันที

"นี่มันนอกเวลางาน" เธอพูดเริ่มต้นบทสนทนาด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจ

"ฉันรู้ ๆ แต่เธอจะให้ฉันทำไงได้ล่ะนี่มันเรื่องด่วนจริง ๆ นะ" เสียงของลูซิเฟอร์ดังมาจากปลายสาย เคทลินได้ยินเสียงเกว็นพูดปรามน้องชายอยู่ใกล้ ๆ กัน

"เห็นว่าฉันเป็นผู้อำนวยการแล้วจะเอาทุกเรื่องมาปรึกษาได้ว่างั้น" เคทลินเดินหนีเสียงโทรทัศน์ลงไปคุยที่ห้องใต้ดินแทน

ลูซิเฟอร์มักมาปรึกษาเธอเรื่องที่สถาบันกับเธออยู่เสมอ จากเหตุการณ์นั้นเขาถูกเสนอชื่อเข้ารับตำแหน่งผู้อาวุโสแต่ลูซิเฟอร์ก็ปฏิเสธที่จะรับมัน เขาได้ขอเปลี่ยนจากตำแหน่งผู้อาวุโสเป็นสถาบันเวทมนตร์แห่งเลควูดที่จะสอนผู้ที่สนใจเวทในด้านต่าง ๆ โดยลูซิเฟอร์จะรับหน้าที่เป็นอาจารย์สอนเรื่องการรักษาโดยใช้พลังเวท เกว็นเองก็ได้ลงจากตำแหน่งผู้อาวุโสและมาเป็นอาจารย์สอนเรื่องการพยากรณ์แทน และยังมีเวทอีกหลายแขนงที่รับหน้าที่โดยนักเวทผู้เชี่ยวชาญคนอื่น ๆ อัสมิตาเองก็ถูกดาวิตซึ่งเป็นผู้บริหารทาบทามให้มาทำงานในสถาบัน แต่เธอยังคงไม่เชื่อมั่นในความสามารถของตนจึงเลือกที่จะทำงานเสมียนควบคู่กับตำแหน่งผู้อาวุโสตามเดิม อีกทั้งเธอยังบอกว่าความสามารถเรื่องการควบคุมจิตใจของเธอควรถูกปิดเป็นความลับและไม่ควรเผยแพร่เวทด้านนี้ให้กับใครเพราะมันค่อนข้างอันตรายหากไปอยู่ในมือคนที่ไม่ดี

"เธอเป็นแค่ผู้อำนวยการในนามเท่านั้นแหละ คุณดาวิตต่างหากล่ะที่เป็นผู้อำนวยการตัวจริง --" เสียงพูดของลูซิเฟอร์ที่เจือไปด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวขาดหายไปก่อนที่เสียงปลายสายจะกลายเป็นเสียงสงบนิ่งของเกว็นแทน

"ต้องขอโทษที่รบกวนเวลาพักผ่อนด้วยค่ะ แต่ไหน ๆ ก็โทรหาคุณเคทลินแล้วก็ต้องขอปรึกษาเรื่องนี้เลยแล้วกันค่ะ"

"ว่ามา" เคทลินตอบอนุญาต เธอใช้มือปัดฝุ่นหนาเตอะบนเก้าอี้ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่นั่งประจำของเฟรย์เมื่อครั้งที่ต้องมานั่งประชุมกันในห้องนี้แล้วนั่งลงพร้อมฟังเรื่องที่เกว็นจะปรึกษา มือที่เปื้อนฝุ่นก็เช็ดกับกระโปรงสีดำจนมันเป็นรอยฝ่ามือแต่เธอก็ไม่ยี่หระกับมันนัก

"วันนี้เพิ่งจะมีเด็กคนหนึ่งมาสมัครเรียนด้วยตัวเองค่ะ แต่เธอมีอายุเพียงแปดปีเท่านั้น อีกทั้งยังไม่มีใครในครอบครัวเป็นนักเวทมาก่อน..."

"อ่าฮะ" เคทลินตอบรับ

"สถาบันของเราไม่จำกัดอายุก็จริง แต่ที่ผ่านมายังไม่มีคนธรรมดาเข้ามาเรียนเลยสักคน แม้แต่คนที่เป็นนักเวทมาแต่กำเนิดก็ยังมีน้อยเลยค่ะ แต่นี่เป็นเด็กแปดขวบที่สามารถใช้พลังเวทได้โดยไม่มีเชื้อสายนักเวทเลยสักรุ่น" เกว็นยังคงพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่สงบนิ่งแต่เจือไปด้วยความประหลาดใจต่อนักเวทน้อยคนนี้ "อันที่จริงนี่เป็นเพียงประเด็นรองค่ะ ประเด็นหลักคือผู้ปกครองของเด็กคนนี้ไม่รู้ว่าลูกของตัวเองมีพลังเวทและเขาค่อนข้างจะอคติกับพวกนักเวทหรือสายพันธุ์อะไรก็ตามที่ไม่ใช่มนุษย์ทั่วไป"

"ว้าว นั่นปัญหาใหญ่เลยทีเดียว" เคทลินพูดตามความจริง ตั้งแต่เปิดสถาบันมาสิ่งที่เป็นปัญหาใหญ่ที่สุดก็คือผู้ปกครองของเหล่านักเวทเด็ก ๆ นี่ล่ะ บางครอบครัวเลือกที่จะไปใช้ชีวิตแบบคนธรรมดาแต่ลูกของเขากลับปรารถนาที่จะศึกษาพลังเวทที่ผู้ปกครองของตนละทิ้ง และสุดท้ายแล้วผู้ปกครองก็จะมาโวยกับเธอไม่ก็ผู้บริหารสถาบันว่าอยากให้ทำลายพลังเวทให้บ้างล่ะ อยากให้กล่อมลูก ๆ ให้ละทิ้งโลกเวทมนตร์บ้างล่ะ หนักที่สุดที่เคยเจอก็คืออยากให้ปิดสถาบันเพราะมันทำให้เด็กเพ้อฝันที่จะอยู่ในโลกเวทมนตร์ ความจริงแล้วสิ่งที่สถาบันมุ่งเน้นสอนที่สุดก็คือการควบคุมพลังเวทและการใช้พลังเวทในทางที่ถูกเท่านั้น การสอนเวทเฉพาะทางนั้นบรรดาอาจารย์จะเป็นคนคัดอีกทีหนึ่ง ดังนั้นเคทลินจึงค่อนข้างมั่นใจว่าจะไม่มีนักเวทแย่ ๆ หลุดไปจากสถาบันได้

"ใช่ไหมล่ะคะ" เสียงเกว็นถอนหายใจดังออกมาจากปลายสาย เธอเองก็ต้องคอยรับมือกับผู้ปกครองเหมือนกันจึงเข้าใจสถานการณ์นี้ดี "เอาล่ะค่ะ มาที่ปัญหารองลงมาก็คือทำไมเด็กอายุแค่นี้ถึงมีพลังเวทได้ อย่างเรา ๆ กว่าจะแสดงพลังเวทออกมาได้ก็ตอนห้าขวบ แต่นี่เป็นแค่เด็กธรรมดากลับใช้พลังเวทขั้นต้นได้ตั้งแต่แปดขวบโดยที่ไม่มีใครสอน"

"เอ่อ เกว็น อย่าลืมสิว่าฉันก็เป็นแค่คนธรรมดา" เคทลินแย้ง เธอพิจารณาอย่างถี่ถ้วนด้วยสมองที่ต้องการจะล้มตัวนอนลงเตียงเต็มทนว่าควรทำอย่างไรกับเด็กคนนี้ดี "เพียงแต่ปัญหาของเด็กคนนี้คืออายุ เคยมีบันทึกไว้ไหมว่าคนธรรมดาจะแสดงพลังเวทออกมาอายุน้อยที่สุดเท่าไหร่"

"น้อยที่สุดก็สิบเก้าปีค่ะ"

"อืม...ก่อนหน้านี้เธอบอกว่าเด็กใช้พลังได้"

"ใช่ค่ะ"

เคทลินครุ่นคิดถึงสิ่งแปลกใหม่ที่เกิดขึ้น เวทมนตร์มีอะไรให้ประหลาดใจและไม่สามารถคาดการณ์ได้อยู่เสมอ ทุกคนมักพูดแบบนั้นและมันก็เป็นความจริงมาตลอด แม้กระทั่งกับเธอที่ใช้ชีวิตอยู่กับเวทมนตร์มาครึ่งชีวิตก็ยังมีอะไรให้ประหลาดใจได้อยู่เสมอ

"ฉันว่าเราจัดการกับเรื่องผู้ปกครองก่อนเลย ส่วนเด็กต้องจับตาดูเป็นพิเศษ เพราะหากโตขึ้นมาคงมีพลังเวทที่เยอะน่าดู" เคทลินแนะ

"เห็นด้วยค่ะ วันนี้แกเพิ่งจะแสดงการเรียกสายน้ำให้ดู ถึงจะไม่มากนักแต่สำหรับเด็กอายุเท่านี้ก็ถือว่าเก่งมากเลยล่ะค่ะ"

"เด็กคนนี้ชื่ออะไรนะ"

"เอลินอร์ค่ะ เอลินอร์ ดูบัวส์ "

"เธอว่าเด็กคนนี้โตมาจะเป็นคนแบบไหนกัน" บางอย่างดลใจให้เคทลินถามแบบนั้น บางทีคงเป็นเพราะความเหมือนของเธอกับเอลินอร์ทำให้เกิดความสนใจขึ้นมา

"ฉันเองก็คงให้คำตอบไม่ได้หรอกค่ะ แต่ถ้าอยากให้ฉันดูนิมิตละก็รบกวนจ่ายเพิ่มด้วยนะคะ"

เคทลินขำพรืดออกมาทันทีที่เกว็นพูดเรื่องเงิน "ไว้ฉันค่อยใช้บริการเมื่อจำเป็นแล้วกัน อ้ออีกอย่างฉันลืมบอกพวกเธอไปเลย"

"อะไร! ให้เงินเดือนเพิ่มงั้นเหรอ!" เสียงของลูซิเฟอร์ที่หายไปกลับมาดังอีกครั้ง

"เงินเดือนน่ะช่างมันก่อน แต่เดือนหน้ามีงานสำคัญกว่า" เคทลินพูดพลางยิ้มเล็กยิ้มน้อยกับความว่างเปล่าในห้อง "เดือนหน้ามีงานแต่งของนิคนะ"

"อะไรนะ!" เสียงของเรเวนที่กำลังเดินลงมานั้นดังเสียยิ่งกว่าเสียงลูซิเฟอร์กับเกว็นรวมกันเสียอีก...


ในวันที่อากาศสดใสเสียงแสดงความยินดีดังมาอย่างต่อเนื่องในสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง หญิงชายคู่หนึ่งในชุดสีขาวกำลังพูดคุยกับแขกที่มาร่วมงาน จู่ ๆ สายลมที่พัดเอื่อยกลับรุนแรงทำเอากลีบดอกไม้จากต้นพลัมร่วงหล่นลงมาและพลิ้วไหวไปตามสายลม พลันปรากฏร่างของหญิงสาวคนหนึ่งท่ามกลางกลีบดอกไม้ ผมสีไวน์แดงยาวสลวยที่ถูกถักเป็นเปียพาดบ่ามาข้างหน้าไหวไปตามแรงลมเช่นเดียวกับเดรสสีชมพูแขนกุดยาวกรอมข้อเท้า แขนที่ไร้ซึ่งอาภรณ์นั้นมีกำไลฝังอเมทิสต์สวมไว้อยู่ ข้างกันเป็นชายที่ดูมีอายุ เขาทำทรงผมเช่นเดียวกับเพื่อนสาวเพียงแต่ผมของเขานั้นมีสีดำสนิท เขาใส่สูทสีเทาอ่อนและดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะไม่ค่อยชอบชุดที่ตนใส่นัก

"คุณเคทลิน!" เจ้าบ่าวร้องเสียงหลงเมื่อเห็นแขกผู้มาใหม่ปรากฏตรงหน้า

เฟรย์ที่อยู่ข้างกันกลอกตาให้กับเจ้าเด็กที่ติดเคทลินราวกับว่าเธอเป็นแม่ของเขาก่อนจะขอปลีกตัวไปสมทบกับนักเวทคนอื่น ๆ ที่ตามมา ทิ้งให้เคทลินกับนิคพูดคุยกันตามลำพัง

"ไง ไม่เจอกันนานเลยนะ" เคทลินเอ่ยพลางยิ้มทักทายเจ้าสาวที่ยืนอยู่ข้างนิค เขาเคยพาเคธีมาทำความรู้จักกับเธอที่บ้านแล้ว และเคธีเองก็เป็นคนดีพอที่เธอจะวางใจให้ดูแลนิคได้ เธอพูดทักทายเคทลินก่อนจะปลีกตัวไปทักทายแขกคนอื่น

"นั่นสินะครับ ช่วงนี้หลาย ๆ อย่างมันยุ่งไปหมด" นิคยิ้มแห้งให้แทนคำขอโทษที่เขาไม่ได้ไปหาเคทลินเลยในช่วงสามสี่เดือนมานี้

"ช่างฉันเถอะน่า ปล่อยคนแก่แบบฉันไว้แล้วไปใช้ชีวิตของตัวเองเถอะ" เคทลินพูดกลั้วหัวเราะ เธอดีดนิ้วหนหนึ่งพลันขวดโหลขนาดเท่าฝ่ามือก็ปรากฏขึ้นในมือ "จะจัดการกับพลังเวทของเธอตอนนี้เลยไหมล่ะ เผื่ออยากจะกล่าวคำสาบานในฐานะคนธรรมดา"

"นั่น...ก็ดีนะครับ" นิคตอบอย่างไม่มั่นใจ พอถึงเวลาที่ต้องเอาพลังออกจากตัวก็ทำให้เขาใจหายไม่น้อย คงเป็นเพราะพลังนี้ทำให้เขารู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่เชื่อมต่อตัวเขากับเคทลิน

"ถ้านายยังไม่มั่นใจละก็ฉันค่อยทำตอนที่นายพร้อมดีกว่า" เคทลินยกนิ้วขึ้นจะดีดให้ขวดโหลหายไปอีกครั้งแต่ก็ถูกนิคห้ามไว้

"เปล่าหรอกครับ ผมแค่รู้สึกว่า..." นิคเงียบไปครู่หนึ่ง จู่ ๆ เขาก็รู้สึกเขินอายที่จะพูดประโยคถัดไปขึ้นมา "ผมรู้สึกเสียดายพลังพวกนี้ มันเป็นสิ่งที่เชื่อมผมกับคุณเคทลินเข้าด้วยกัน"

เคทลินระเบิดหัวเราะออกมาเมื่อได้ฟังสิ่งที่นิคพูด นั่นทำให้เขารู้สึกเขินอายจนอยากจะหนีไปจากเธอเสียเดี๋ยวนี้

"นี่พ่อหนุ่ม พลังเวทไม่ได้เป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์เสียหน่อย ต่อให้ไม่มีมันเธอก็ยังพูดคุยกับฉันได้เหมือนเดิมนี่ อีกอย่างชีวิตเธอคงจะดีกว่าถ้าไม่มีมัน ดูอย่างฉันสิ หัวหมุนไม่เว้นวัน" เคทลินพูดติดตลกกลบเกลื่อนความรู้สึกของเธอ เธอก็ไม่ได้รู้สึกดีนักหรอกที่จะต้องริบพลังที่ทำให้อายุของนิคยืนยาว เพราะเธอไม่อยากเห็นคนที่เธอรักต้องตายก่อนหรอกนะ "อีกอย่างฉันจะเก็บพลังของเธอไว้ในนี้เพราะงั้นไม่ต้องห่วงหากเธอเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมา ฉันให้เกว็นเพิ่มความแข็งแรงเป็นพิเศษเพราะงั้นพลังของนายจะถูกเก็บไว้อย่างดี"

"แล้วที่เราผูกจิตไว้ล่ะครับ" นิคถาม เขายังอยากใช้พลังนี้ได้อยู่เพราะมันเป็นเพียงพลังเดียวที่เชื่อมกับเคทลินโดยตรง อีกอย่างหากมีเหตุฉุกเฉินขึ้นมาเขาก็สามารถใช้พลังได้

"ถ้าเธอยังอยากใช้มันฉันจะเก็บส่วนนั้นเอาไว้ในตัวให้ก็ได้" เคทลินพ่นลมหายใจกับความโลเลของนิค "เอาเถอะ พลังนี้ไม่ได้ทำให้อายุของเธอแปลกไปกว่าคนปกติหรอก เพราะมันเป็นแค่การผูกเข้ากับจิต" เธออธิบายพลางผายมือไปทางม้านั่งให้เขานั่งลงก่อนที่เธอจะเริ่มทำการดึงพลังของเขาออกมา

ครั้งก่อนที่เคทลินร่ายเวทกับร่างกายของนิคเขาอยู่ในสภาพที่หลับใหล ครั้งเขามีสติครบจึงรู้สึกได้ถึงพลังจำนวนมากในร่างกายที่กำลังไหลเวียนอยู่ เขาไม่ได้ใช้พลังเวทอีกเลยตั้งแต่ตอนที่เคทลินผนึกมันไว้อีกครั้งตอนจบเรื่อง ถึงกระนั้นตลอดเวลาที่ไม่ได้ใช้มันก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกไม่สะดวกสบายแแต่อย่างใด

"หายใจเข้าออกตามปกติเลย ไม่ต้องเกร็ง ถ้าเธอเกร็งฉันจะงัดพลังออกมายาก" ทันทีที่เคทลินพูดจบนิคก็พ่นลมหายใจที่กลั้นไว้ออกมา

"เกี่ยวด้วยงั้นเหรอครับ" นิคถาม เขาพยายามหายใจเข้าออกตามปกติแต่ก็ยังคงเกร็งอยู่

"ไม่เกี่ยวหรอก แค่เห็นเธอกลั้นหายใจจนหน้าเขียว กลัวจะเป็นลมไปก่อน โน่นแน่ะ เจ้าสาวของเธอมองมาทางนี้ไม่เลิก" เคทลินบุ้ยปากให้นิคหันไปมองเคธีที่กำลังจ้องเขม็งมาทางทั้งสอง ระหว่างที่นิคเผลอเธอก็ใช้มือที่วางอยู่เหนืออกของเขาดึงพลังเวทสีฟ้าสว่างใส่ลงไปในขวดโหลที่เธอเตรียมมาก่อนจะเรียกเฟรย์ให้เอาพลังเวทของนิคไปเก็บไว้ที่บ้านของเธอ และทุกอย่างก็เสร็จสิ้นอย่างรวดเร็วโดยที่นิคเองก็ไม่ทันรู้ตัว

"รู้สึกอย่างไรบ้าง" เคทลินถาม เธอพยักหน้าบอกกับเคธีว่าเจ้าบ่าวของเธอนั้นทำธุระเสร็จแล้ว

"อืม..." นิคหยัดตัวลุกขึ้นจากม้านั่ง เขายืดตัวไปมาก่อนจะหันมาตอบ "รู้สึกสบายตัวขึ้นเยอะเลยครับ"

"แหงสิ พลังเยอะขนาดนั้นดันไปกระจุกอยู่ในภาชนะเล็ก ๆ แบบเธอ" เคทลินลุกขึ้นตาม เธอใช้มือป้องแสงแดดมองเคธีที่กำลังหิ้วชายกระโปรงของเธอมาทางนิค "เดินไปเดินมาแบบนี้ชุดเลอะก่อนพิธีจะเริ่มกันพอดี" เคทลินบ่นก่อนจะเดินไปทางเคธีแล้วใช้มือลูบไปตามเนื้อผ้าของชุด พลันรอยเปื้อนทั้งหมดก็หายไป

"ขอบคุณค่ะ" เคธียิ้มขอบคุณ เคทลินไม่แปลกใจเลยว่าทำไมนิคถึงได้เลือกเธอคนนี้ รอยยิ้มของเธอเป็นเหมือนแสงอาทิตย์อย่างที่นิคเคยบอกไว้

"เวทนี้น่าจะอยู่ได้จนเสร็จพิธี เธอจะได้เดินแบบสบายใจไม่ต้องกลัวชายกระโปรงเปื้อนอยู่แบบนี้ วันนี้วันสำคัญของพวกเธอนะ" เคทลินอธิบายให้ฟังพร้อมรอยยิ้ม

"ผมว่าผมควรคืนนี่ให้คุณยูริเอลด้วย" นิคถอดแหวนอำพันของยูริเอลออกมา ในตอนนี้เขาไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้มันอีกแล้ว "คุณเคทลินพอจะรู้ไหมครับว่าเขาอยู่ที่ไหน"

"ฉันว่าเธอเก็บไว้ดีกว่า ยูริเอลเองก็คงไม่อยากเห็นอะไรที่ทำให้นึกถึงอดีตบ่อย ๆ นักหรอก" เคทลินมองสีของอำพันแล้วชวนให้คิดถึงเจ้าของเก่าของมัน ตั้งแต่เขาย้ายออกไปจากเลควูดก็ไม่มีใครติดต่อเขาได้อีกเลยแม้แต่เฟรย์ เขาบอกเพียงแค่จะย้ายไปยังที่ที่มีแต่ความสงบ นั่นทำให้เคทลินสงสัยว่ายังมีสถานที่อื่นที่สงบกว่าเลควูดอีกงั้นเหรอ

"เอาล่ะถึงเวลาที่คุณป้าคนนี้ต้องไปเข้าสังคมกับคนอื่นบ้างแล้ว ขอตัวก่อนนะ" เคทลินเดินปลีกตัวออกมาจากหนุ่มสาวทั้งสอง เธอเห็นซูซานมองเธอมาครู่ใหญ่แล้ว เห็นทีถ้าไม่เดินเข้าไปทักทายอีกฝ่ายคงจะไม่ดีเสียเท่าไหร่

"เคทลิน วันนี้เธอแต่งตัวแปลกตานะ -- โอ๊ย!" ลูซิเฟอร์ที่จู่ ๆ โผล่พรวดมาดักหน้าเธอถูกพี่สาวของตนลากกลับไปที่เดิม เมื่อหันไปมองก็เห็นอัสมิตากำลังโบกมือให้เธออยู่

"วันนี้คุณดูดีมากค่ะ" เกว็นพูดแก้ต่างแทนน้องชายปากมากของเธอก่อนจะผายมือให้เธอเดินต่อไป

"นึกว่าเธอจะใส่เดรสดำมาเหมือนงานแต่งฉันเสียอีก" ซูซานเอ่ยทัก ใบหน้าของเธอมีร่องรอยที่บ่งบอกอายุมากขึ้นกว่าครั้งล่าสุดที่เจอกันเสียอีก เคทลินหลับตาลงสลัดความคิดแย่ ๆ ออกไปจากหัวก่อนจะพูดหยอกล้อกับเพื่อน

"งานเธอไม่ใช่งานมงคลเสียหน่อย"

คำพูดแรกของเพื่อนที่ไม่ได้เจอหน้ากันมานานนั้นทำให้ซูซานระเบิดหัวเราะออกมา "โคตรจะอัปมงคล ให้ตาย ฉันไม่น่าไปหลงคารมของไอ้อาร์โนลเลย ไอ้สารเลวนั่น"

"สุดท้ายเราก็กลับมาโสดทั้งคู่แล้ว"

"พอกันทีชีวิตคู่"

"แหม ๆ สองสาวมาทำอะไรกันอยู่ตรงนี้ ขอแจมด้วยคนสิ" เสียงของไมเคิลดังขึ้นมาจากข้างหลังของทั้งสอง เขาใส่สูทสีเหลืองทองซึ่งมันทำให้เขาดูโดดเด่นเกินหน้าเกินตาไหนจะแว่นกันแดดที่ใส่อยู่นั้นยิ่งทำให้เขาดูเตะตายิ่งไปกว่าเดิม ไมเคิลส่งยิ้มหวานเยิ้มให้ทั้งคู่แต่ดูเหมือนมันจะได้ผลแค่กับซูซานเท่านั้น

"สาวอะไรกัน ฉันน่าจะแก่พอเป็นแม่ของนายได้แล้วนะ"

คำพูดของซูซานทำให้ไมเคิลหลุดขำออกมา เคทลินมองค้อนใส่ไมเคิลทีหนึ่งก่อนจะอธิบาย "ไอ้สิ่งนั้นมีอายุมากพอที่จะเป็นโบราณวัตถุได้แล้วนะ"

ซูซานมีท่าทีตกใจ สายตาของเธอกวาดขึ้นลงตั้งแต่หัวจรดเท้าของไมเคิล "มีเคล็ดลับที่ทำให้หน้าดูเยาว์วัยไหมคะ" ซูซานถามทีเล่นทีจริง ทำเอาเพื่อนอย่างเคทลินต้องกลอกตาหลายรอบเสียจนลูกตาแทบจะหลุดออกจากเบ้า

"เคล็ดลับก็คือดื่มเลือดทุกวันเพื่อเพิ่มความงามและเติมพลังชีวิตให้กับตัวเอง" เสียงนิ่งเรียบของเฟรย์ดังขึ้นข้างหลังทั้งสามอีกที เขาย่นคิ้วเข้าหากันเมื่อเห็นไมเคิลกำลังเหยียดยิ้มหวานให้เขา "แต่ทางเรามีผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ที่ช่วยเรื่องริ้วรอย คิดค้นโดยบาสเตียน วาร์กเนอร์นักปรุงยามือหนึ่งของเรา..."

"นี่ ขอคุยด้วยเดี๋ยวสิ" เคทลินหันไปพูดกับไมเคิลขณะที่เฟรย์กำลังขายสินค้าให้กับซูซานอยู่

ไมเคิลยิ้มตอบรับ เขายื่นแขนซ้ายออกมาให้เคทลินจับ เธอกลอกตาไปอีกหนหนึ่งก่อนจะยอมจับแขนของเขาแต่โดยดี หากไม่มีเรื่องจำเป็นเธอคงไม่ยอมทำแบบนี้แน่ ทั้งคู่เดินมานั่งบนม้านั่งตัวเดิมกับที่เคทลินนั่งไปเมื่อครู่ก่อนที่เคทลินจะเริ่มบทสนทนา

"ยานั่น พวกนายสร้างมันมาเพื่ออะไรกันแน่" คิ้วของเคทลินขมวดเข้าหากันทันทีที่เริ่มบทสนทนา ไมเคิลเองก็หุบยิ้มไปแล้วมีสีหน้าที่ตึงเครียดขึ้นมา

"ฉันเองก็ไม่แน่ใจ แต่โอฟีเลียบอกว่าจะทำลายมันทันที --"

"โอฟีเลียเชื่อใจได้มากแค่ไหนกัน" เคทลินพูดเสียงแข็ง เธอเริ่มคลางแคลงใจตั้งแต่เห็นว่ายานั้นทำให้พลังของมิเกลเสื่อมลงด้วยยาเพียงแค่หยดเดียวเท่านั้น และเธอรู้ว่าการมาพูดเรื่องนี้กับไมเคิลค่อนข้างเสี่ยงหากสิ่งที่เธอคิดเป็นความจริง

"ฉันก็ไม่แน่ใจ หลัง ๆ มานี้พี่ปิดบังฉันหลายอย่างและมักจะอ้างว่าเพื่อปกป้องฉัน" ไมเคิลพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง เขาถูนิ้วโป้งบนหลังมาไปมาสายตาภายใต้แว่นกันแดดนั้นเหลือบมองดูท่าทีของเคทลินอย่างระมัดระวัง "รู้อะไรไหม อันที่จริงผู้นำคนก่อนของแวมไพร์ถูกโอฟีเลียฆ่าด้วยแหละ"

เคทลินเบิกตาโพลงอย่างตกใจ เธอสนิทกับโอฟีเลียเพียงแค่ผิวเผินเท่านั้นและไม่ได้รู้เรื่องของเธอมากเท่าไหร่นัก --

"ว่าไปนั่น" เสียงของไมเคิลดังขึ้นขัดความคิดของเคทลินทันควัน เขาฉีกยิ้มอย่างทุกครั้งก่อนจะหัวเราะออกมา

"ให้ตายเถอะ ฉันคุยเรื่องจริงจังอยู่นะ" เคทลินโวยวายใส่ "ช่างเถอะ ฉันไปคุยกับโอฟีเลียเองก็ได้"

"นั่นสินะ แต่ตอนนี้เราไปร่วมงานก่อนเถอะ เขารวมตัวกันแล้วน่ะ" ไมเคิลชี้นิ้วไปทางนิคที่กำลังโบกมือเรียกเคทลิน ทั้งสองลุกขึ้นจากม้านั่งก่อนที่จะเดินไปร่วมงานมงคลของคนสำคัญ


"น่าเสียดายนะครับที่เรเวนไม่ได้มา" นิคเอ่ย เขานั่งอยู่บนม้าโยกหน้าบ้านมองพระอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้าอยู่กับเคทลินในขณะที่คนอื่น ๆ ยังคงสนุกกับงานเลี้ยงในบ้าน

"ก็น่าเสียดายอยู่หรอก แต่เขาคงรู้สึกอึดอัดแย่ที่ต้องถูกคนอื่นมองตัวเองตลอดทั้งงาน" เคทลินพูดพร้อมทั้งจินตนาการภาพเรเวนที่ตอนนี้คงนอนเอกเขนกอยู่บนโซฟากดเลื่อนช่องโทรทัศน์ เธอยกนาฬิกาขึ้นมาดูเข็มบนหน้าปัดบอกเวลาประมาณหกโมงเศษ อีกไม่นานเธอก็ต้องกลับไปใช้ชีวิตประจำเหมือนเดิม ทั้งต้องสะสางสิ่งที่มิเกลทิ้งไว้ที่ยังหลงเหลืออยู่อีกไม่มาก อีกทั้งยังต้องคอยรับสายโทรศัพท์อีกมากมายหลายสายต่อวัน อย่างวันนี้เธอโยนโทรศัพท์ทิ้งไว้ในกระเป๋าและไม่แตะต้องมันเลยตลอดทั้งวัน

"ไว้ว่าง ๆ ผมจะไปหาเขาให้หายคิดถึงแล้วกัน"

"นายเจอเรเวนครั้งหน้าเขาจะไม่เป็นหุ่นไล่กาแล้วล่ะ" เคทลินยกแก้วเครื่องดื่มขึ้นจิบ สายตามองดูฝูงนกที่บินกลับรังส่งเสียงร้องเจี๊ยวจ๊าว "เขาจะเป็นหุ่นเลี้ยงกาแทน ตอนนี้กำลังฝึกให้กาตัวนึงพูดอยู่ และมันก็พูดได้แค่คำว่าให้ตายสิ"

นิคหัวเราะร่วนกับเรื่องของเรเวน ไม่ว่าจะกลับไปกี่ครั้งทุกคนก็ยังคงเหมือนเดิมอยู่เสมอราวกับเวลาของเคทลินและนักเวทคนอื่น ๆ ถูกหยุดไว้ให้อยู่ในเวลาเดิมมาตลอด พวกเขาทำหน้าที่ของตัวเองมาอย่างยาวนานและยังคงทำมันต่อไป ด้วยอายุที่ยืนยาวกว่ามนุษย์ธรรมดา นิคหันไปมองเคทลินที่กำลังยกแก้วเครื่องดื่มขึ้นจิบ สักวันหนึ่งที่เขาจากไปเคทลินจะรู้สึกโดดเดี่ยวหรือเปล่านะ

"ผมจะพยายามไปหาบ่อย ๆ แล้วกัน"

"นายรู้นี่ว่าจะมาหาฉันอย่างไร" เคทลินหันมายิ้มอ่อนให้กับนิค "แอบใช้เวลางานมาหาฉันยังได้เลย"

"ไหนบอกว่ามันใช้พลังเวทเยอะไงครับ" นิคท้วง เขายังจำได้ว่าเคทลินให้เขาใช้แค่ในกรณีฉุกเฉินเท่านั้น

"อ้อ นั่นโกหก" เธอตอบด้วยน้ำเสียงที่ร่าเริงราวกับการโกหกของเธอไม่สลักสำคัญอะไร เคทลินวางแก้วเปล่าในมือลงกับโต๊ะข้างกันก่อนจะลุกขึ้นบิดขี้เกียจ "ได้เวลาที่ฉันต้องไปแล้ว"

"จะไม่ไปลาคนข้างในก่อนเหรอครับ" นิคมองเข้าไปข้างในผ่านหน้าต่าง ทุกคนดูจะสนุกกับงานเลี้ยงสุดเหวี่ยงเสียจนลืมว่าทั้งสองคนนั่งชมแสงอาทิตย์อยู่นอกบ้าน

"ไม่ละ เดี๋ยวจะทำงานเลี้ยงกร่อยเอา" เคทลินหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดส่งข้อความหาใครบางคนแล้วหันมาโบกมือลานิค "แล้วเจอกันนะ"

"รักษาสุขภาพด้วยนะครับ" เขาพูดเสียงเบา ไม่รู้ทำไมกันตาของเขาถึงได้ร้อนผ่าวขึ้นมา ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงรู้สึกว่าชีวิตต่อจากนี้จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

"คนที่ต้องรักษาสุขภาพคือเธอต่างหาก นิค" พูดจบร่างของเคทลินก็หายไปในพริบตา

"แล้วเจอกันนะครับคุณเคทลิน"