ปี 2024 ผมตายและตื่นขึ้นมาใหม่ในปี 1880 โดยมีเขาคอยห้ามไม่ให้ผมตายซ้ำอีกรอบ เรามีกฎง่าย ๆ ที่ต้องทำตาม และกฎข้อสุดท้ายคือ ต่อให้ผมจะอยากตายแค่ไหนแต่ก็ "ห้ามตายจนกว่าเขาจะอนุญาต"

รีบหนีไปก่อนความตายจะหาผมเจอ (Ordinary Peculiar Rules For My Death Wish) - 1 ー วันครบรอบตาย โดย Monique Chen @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,พารานอมอล,ลึกลับ,ตะวันตก,ผจญภัย,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

รีบหนีไปก่อนความตายจะหาผมเจอ (Ordinary Peculiar Rules For My Death Wish)

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,พารานอมอล,ลึกลับ,ตะวันตก,ผจญภัย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

รายละเอียด

ปี 2024 ผมตายและตื่นขึ้นมาใหม่ในปี 1880 โดยมีเขาคอยห้ามไม่ให้ผมตายซ้ำอีกรอบ เรามีกฎง่าย ๆ ที่ต้องทำตาม และกฎข้อสุดท้ายคือ ต่อให้ผมจะอยากตายแค่ไหนแต่ก็ "ห้ามตายจนกว่าเขาจะอนุญาต"

ผู้แต่ง

Monique Chen

เรื่องย่อ

Genre : Dark Romanticism+Dark Fantasy (somewhat in between), Coming of Age, (a bit of)Slice of Life


Twitter (X) Tag : #รีบหนีไปก่อนความตายจะหาผมเจอ




ค้นเจอสมุดบันทึกลายมือพิกลเขียนบ่นถึงชีวิตประจำวัน

กับเรื่องราวของผู้คนที่คนเขียนดูไม่ค่อยจะชอบมันสักเท่าไร

ในบันทึกมีคนที่ใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในห้องสมุดแต่ก็หวังจะได้เจอใครสักคน

มีคนที่ชอบผจญภัยแต่ก็ไม่กล้าออกไปไหนไกลกว่าเขตเมือง

แล้วก็มีคนที่อยากตายแต่ดันได้ลองใช้ชีวิตใหม่อีกรอบ

.

.


ในปี 1881 วันพฤหัสบดีและเดือนกันยายน

สุขสันต์วันตายครบ 1 ปีและขอแสดงความเสียใจที่วันพรุ่งนี้ก็ครบ 1 ปีที่ต้องมาอยู่ที่นี่

วันนี้คงไม่มีเรื่องอะไรจะเล่าเหมือนเคย เพราะเอาแต่คิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่

ไม่ว่าจะเหตุกลใดที่ทำให้ผมได้ชีวิตที่สองนี้มา เหมือนอย่างกับมีคนไม่พอใจที่ผมใช้ชีวิตแรกได้ห่วยบัดซบ แต่ขอเรียนให้ทราบตามจริงว่า ชีวิตที่สองนี้ผมก็ไม่ได้ใช้มันได้ดีสักเท่าไร หมายถึงมันเป็นชีวิตที่ผมเองก็ไม่พอใจ และเหมือนจะมีอีกหลายคนที่ไม่ค่อยพอใจที่ผมมีชีวิตอยู่เช่นกัน

...

คำเตือน : ภายในสมุดบันทึกเล่มนี้คงจะมีกลิ่นน้ำมันวาฬติดอยู่บ้าง เพราะใช้มันเป็นเชื้อเพลิงโคมไฟตะเกียง


สารบัญ

รีบหนีไปก่อนความตายจะหาผมเจอ (Ordinary Peculiar Rules For My Death Wish)-เกริ่นนำ .,รีบหนีไปก่อนความตายจะหาผมเจอ (Ordinary Peculiar Rules For My Death Wish)-1 ー วันครบรอบตาย,รีบหนีไปก่อนความตายจะหาผมเจอ (Ordinary Peculiar Rules For My Death Wish)-2 ー เออร์เนสต์ ฮัดสัน

เนื้อหา

1 ー วันครบรอบตาย

ก่อนหน้านี้ 1 ปี ผมจำได้ว่าวันนั้นผมตาย... เกล็น พอร์เตอร์ เจ้าหน้าที่ประจำค่ายฤดูร้อนที่ไม่ค่อยมีเด็กมาเยี่ยมเยือนสักเท่าไรเสียชีวิตลงอย่างปริศนา

ผมค่อนข้างแน่ใจว่าตัวเองตาย แม้ความทรงจำในตอนนั้นไม่ค่อยแจ่มชัดนัก ไว้มีโอกาสผมคงได้เล่าขยายเรื่องนี้เพิ่มอีกหน่อย เอาเป็นว่ารู้ตัวอีกทีก็เหมือนตัวเองกำลังแหวกว่ายอยู่ในห้วงน้ำสีดำ มืดสนิท เงียบสงัด สัมผัสเดียวที่พอจะรู้ได้ก็คืออาการตะเกียกตะกาย ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเบื้องหลังความตายมันจะทรมานกว่าการใช้ชีวิตแต่ละวันโดยไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใครเสียอีก

แต่ก็นั่นแหละ ผมแหวกว่ายอย่างนั้นอยู่ไม่นาน อีกอึดใจหนึ่งผมก็ตื่นขึ้นมา

ผมอ้าปากสูดอากาศเข้าปอดอย่างเอาเป็นเอาตาย เหมือนปอดที่ขาดอากาศไปพักหนึ่งแปรเปลี่ยนเป็นหลุมดำที่พร้อมจะดูดกลืนทุกอย่างที่ขวางหน้าอะไรแบบนั้น ตอนนั้นผมคิดว่าตัวเองน่าจะอยู่ที่โรงพยาบาลที่ไหนสักแห่งหรือไม่ก็ห้องพยาบาลของค่าย คิดว่าอีกสักเดี๋ยวผมก็จะกลับไปรู้สึกผิดหวังอีกรอบที่ตัวเองแค่ ‘เกือบ’ ตายอีกแล้ว แต่พอเสียงวี้ดในหูมันเบาลง ภาพเบี้ยว ๆ บูด ๆ ในดวงตาเริ่มคมชัดขึ้น ผมก็พบว่าฉากที่ผมกำลังอยู่ในตอนนี้ไม่ใช่สิ่งที่ผมคาดคิดไว้สักตัวเลือกเดียว

เท่าที่สายตาผมพอจะมองเห็นโดยรอบภายใต้ความมืดสลัวซึ่งไม่แน่ใจว่าเป็นตอนก่อนหรือหลังพระอาทิตย์เข้ากะ ผมก็บอกได้แต่ว่ามันเป็นเหมือนภาพถ่ายเก่าที่ผมเคยเห็นในโปสการ์ดวินเทจ หรือไม่ก็โรงถ่ายหนังย้อนยุคสักเรื่อง ดวงตาของผมไม่สู้แสงสักเท่าไร เห็นแต่เพียงสีส้มที่เรือง ๆ ตรงเส้นขอบฟ้าตัดกันกับภาพย้อนเงาของอาคารขนาดใหญ่เบื้องหน้า ผมลองพยายามเพ่งมองก็เห็นว่าโครงสร้างทั้งหมดทำจากไม้ มันเป็นบ้านโบราณแบบที่ผมน่าจะเคยเห็นครั้งสุดท้ายตอนขับรถเล่นในเขตชนบท แต่สภาพมันดูใหม่จนผมสงสัยว่าใครกันที่ลงทุนสร้างบ้านแบบนี้ ในยุคที่ใคร ๆ ก็นิยมบ้านที่ทันสมัยพอให้สามารถติดตั้งอุปกรณ์อำนวยความสะดวก ได้

บอกตามตรงว่าตอนนั้นผมไม่คิดถึงเรื่องมหัศจรรย์อื่นใด นอกจากสงสัยว่าก่อนหน้านี้ตัวเองเมาขนาดไหนกัน ถึงได้มานอนฟุบอยู่หน้าบ้านที่ไม่คุ้นตาแบบนี้

ผมนั่งนิ่งอยู่พักใหญ่ ดวงตามองเหม่อไปยังรั้วไม้ที่อยู่ไกลออกไป ส่วนในหัวไม่มีความคิดอะไร มันว่างโล่งเหมือนถูกระบายสีดำจนเต็ม เหมือนผมยังอยู่ระหว่างเส้นแบ่งบาง ๆ เรื่องความเป็นความตาย ไม่รู้ว่าตัวเองในตอนนี้จัดว่าเป็นสสารประเภทไหน - มนุษย์ วิญญาณ หรืออื่น ๆ - ผมนิ่งนานจนกระทั่งรู้สึกตัวว่ามันแปลกเกินไป ผมไม่ได้ตื่นขึ้นมาบนเตียงของโรงพยาบาลหรือตื่นมาเจอใบหน้ากังวลของคนที่ผมไม่รู้จัก ไม่ใช่แม้กระทั่งตื่นมาในห้องนอนของตัวเองด้วยซ้ำ

กลับกันรอบกายผมไม่มีใคร และพอตั้งสติมองดี ๆ ก็พบว่ามันมีเพียงบ้านแบบเซนทรัลฮอลล์คอทเทจ ตั้งตระหง่านอยู่บนพื้นที่กว้างขวางซึ่งร่มรื่น (แกมรก) ไปด้วยต้นไม้หลากสายพันธุ์ ทั้งหมดนั้นคือภาพแรกที่ผมได้เห็นหลังรวบรวมสติกลับมาได้ โดยทีแรกก็ดูเป็นมิตรแต่เพียงครู่เดียวความประหลาดของมันก็เริ่มสำแดง

ความใหญ่โตของบ้านโบราณเบื้องหน้าทำให้ผมรู้สึกเหมือนมันกำลังยืนจังก้ามองมาด้วยหน้าต่างที่ดูคล้ายดวงตาไร้อารมณ์หลายคู่เรียงกัน ความรู้สึกที่บ้านหลังนี้ส่งให้ผมมีเพียงความหดหู่พิกล ขณะเดียวกันนั้นก็ได้กลิ่นดินกลิ่นหญ้าที่ทับถมกันจนเหม็นเน่า – คงเป็นพวกปุ๋ยหมัก – กลิ่นนั้นลอยมาตามลมพร้อมกับเสียงหวีดหวิวที่เหมือนกับเสียงกรีดร้องดังก้องจากในป่า เสียงเหล่านั้นดังอึงอันจนหัวตื้อ พยายามมองไปโดยรอบก็ไม่เจอทิศทางเสียงจึงเดาได้ว่าต้นกำเนิดเสียงคงจะล้อมผมไว้เสียทุกทิศทาง ยิ่งทำให้บรรยากาศนั้นดูพิกลเข้าไปใหญ่

แล้วพอฟ้าสาง ดวงตาของผมก็เริ่มมองเห็นรายละเอียดต่าง ๆ ได้ชัดขึ้น ที่สุดสายตามีหมอกหนากำลังห่มคลุมยอดไม้ และเส้นทางที่นำสายตาผมไปจรดชายป่าก็มีแต่ต้นไม้หงิก ๆ งอ ๆ ยืนต้นกันรายทาง ผมนิ่วหน้าฉงนเพราะเท่าที่จำได้แม้ว่าตัวผมจะเกิดและเติบโตที่ด้านขวาสุดของสหรัฐอเมริกา เป็นเมืองเล็ก ๆ ในชนบทที่ห่างไกล แต่ก็ไม่มีพื้นที่หรือบริเวณใดในความทรงจำที่พอจะคล้ายกันกับที่นี่เลย – ไม่มีที่ใดที่ผมพอจะเมาจนเดินมาฟุบหลับได้แน่ – แต่การจะบอกได้ว่าที่ไหนเป็นที่ไหน ใช่หรือไม่ใช่ ก็คงต้องเริ่มจากการสำรวจเสียก่อน...

แต่ว่าพอผมยืนขึ้น ยังไม่ทันจะได้เดินสำรวจผมก็ต้องนั่งลงที่เดิม ไม่ใช่เพราะมึนหัวจากพิษสุราหรือกัญชา แต่เป็นเพราะตอนลุกขึ้นดันเผลอเตะเข้ากับกล่องไม้ขนาดประมาณหนึ่งฟุต (เชื่อแล้วว่าเวลาที่คนเราไม่ค่อยมีสติ ต่อให้มีกล่องใบใหญ่วางไว้ที่ตัวเราก็แทบจะไม่สังเกตสักนิด)

“ให้ตาย...”

ผมสบถกับตัวเองด้วยเสียงที่พยายามกดให้เบาที่สุดทั้งที่รู้ว่าคงไม่มีใครได้ยิน แล้วค่อยนั่งลงมองกล่องที่เอียงทื่ออยู่บนพื้นหญ้าสีเขียวเป็นหย่อมสลับกับดินสีเข้ม และผมก็ลองเปิดมันออก ไม่มีความลังเลใด ๆ ตามประสาคนที่ไม่มีความระมัดระวัง รอบคอบ หรืออะไรที่ใกล้เคียงคำเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย

พูดจริง ๆ ในสมองผมไม่ได้คิดอะไรนอกจาก ‘กล่องอะไร’ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะสัญชาตญาณในอาชีพเดิมของผม - นี่ผมไม่ได้พยายามแก้ตัวนะ - เพราะต้องทำงานกับเด็ก ๆ ถ้าเจออะไรแปลกปลอมมันก็เป็นหน้าที่ที่ผมต้องตรวจสอบมัน

บางคนบอกว่าใช้ชีวิตแบบผมควรจะตายเร็วกว่าชาวบ้านเขา แต่เชื่อไหมตั้งแต่ได้ยินคำนี้มาผมเห็นคนอื่นตายก่อนผมไปหลายคนแล้ว ส่วนตัวผมที่ไม่ได้อยากจะมีชีวิตสักเท่าไรก็ไม่ตายอย่างที่เขาว่ากันสักที

“ใช้ชีวิตแบบนี้ก็ยังไม่ตายสักที คนมันไม่ถึงที่ตายก็ไม่ตายจริง ๆ สินะ” ผมบ่นประโยคประจำตัวออกมา ขณะที่ไขสลักกล่องออกสำเร็จ

พอพูดถึงเรื่องไม่ถึงที่ตาย ดวงด้านการมีชีวิตของผมดูเหมือนจะดีกว่าชาวบ้าน ตั้งแต่เด็กจนโตผมแทบจะไม่เคยป่วย ไม่มีสักนิดที่เฉียดใกล้คำว่าตายโดยธรรมชาติ ที่ใกล้คำว่าตายที่สุดก็ดูจะเป็นการตายจากภายใน ด้วยเหตุผลนั้นแหละที่ทำให้ผมไม่ได้กังวลเรื่องที่อาจประมาทจนนำไปสู่การตายได้ กลับกันผมอยากตายมากกว่าอยากมีชีวิตอยู่เพื่อหายใจไปวัน ๆ เสียอีก

แต่เอาเถอะ กลับไปเรื่องเปิดกล่องนั่นต่อก่อนที่คุณจะเริ่มสับสนว่าผมต้องการจะสื่อสารอะไร - ถ้ารู้สึกก็ไม่แปลกหรอก เพราะตอนที่ผมกำลังเขียนอยู่นี้ ผมก็สับสนมากอยู่เหมือนกัน

“สมุดปกหนัง พันด้วยเชือก กับอะไรอีก...” ไม่มีอะไรน่าสงสัยอยู่ในกล่องนั้น – จริง ๆ มันก็น่าสงสัยแหละ ผมคิดไม่ออกเลยว่าสถานการณ์แบบไหนที่จะทำให้คนเราตื่นมาเจอกล่องไม้บรรจุสมุดปกหนัง 2 เล่มกับเศษกระดาษวางอยู่ตรงหน้า

สมุดเล่มนั้นไม่มีอะไรเขียนไว้บนปก เป็นเพียงสมุดปกหนังสีเข้มมีกลิ่นอับเล็กน้อย สภาพโดยรวมของมันดูเหมือนหนังสือทำมือเก่า ๆ ที่ไม่ใกล้เคียงคำว่าประณีตนัก ทั้งวิธีการตัดหนัง การเย็บเข้าเล่ม และกระดาษภายในก็ดูไม่เท่ากันเหมือนฉีกด้วยมือมากกว่าใช้กรรไกรหรือแท่นตัดกระดาษ มันดูเป็นงานทำมือโดยแท้แบบที่ใช่ว่าจะหาได้ยากแต่ก็คิดไม่ออกเหมือนกันว่าใครจะอยากมีมันไว้ทำไม นอกจากทำคอนเทนต์ออนไลน์ ไม่ก็เป็นพร็อพถ่ายหนัง

ผมลองเปิดดูภายในสมุดเล่มนั้นผ่าน ๆ หน้าแรกมีเขียนเอาไว้ว่า “สมุดเล่มนี้เป็นสมบัติของเออร์เนสต์ ฮัดสัน” ส่วนภายในไม่มีการบันทึกอะไรเอาไว้ ทุกหน้าว่างเปล่า จะมีก็แต่รอยประทับนูนของตราสัญลักษณ์เล็ก ๆ ที่มุมขวาบนของทุกหน้า ถ้าเป็นพร็อพสำหรับใช้ถ่ายคอนเทนต์อะไรสักอย่างก็ต้องบอกว่าดูตั้งใจดีไม่หยอก ผมลองหยิบเอาของทั้งหมดจากในกล่องออกมาดูทีละชิ้น มันมีเศษกระดาษที่เหมือนจดหมายกับกระดาษอีกใบที่ดูเหมือนการ์ดเชิญ

แม้ใจหนึ่งจะรู้สึกเกรงใจคนชื่อ ‘เออร์เนสต์ ฮัดสัน’ ที่คงเป็นเจ้าของสิ่งเหล่านี้ กระนั้นผมก็ยังถือวิสาสะรื้อสำรวจทุกอย่างที่อยู่ในกล่องนั้นอยู่ดี...ก็ผมไม่รู้อะไรสักย่างเกี่ยวกับสถานการณ์ตอนนี้เลยนี่ ถ้าเป็นการเล่นเกมอย่างแรกก็ต้องสำรวจทุกอย่างที่ใกล้ตัวใช่ไหมล่ะ


สวัสดี

ผมรู้ว่าคุณอยากตาย


ผมอ่านแล้วนิ่วหน้า ด้านหนึ่งของกระดาษเขียนถ้อยคำประหลาดด้วยลายมือหวัด ๆ ไว้เท่านั้น น้ำหมึกเองก็ดูยังไม่ค่อยแห้งดีนัก เพราะตอนที่ผมอ่านจบและลองพลิกนิ้วดูก็เห็นว่ามีรอยหมึกสีดำติดที่นิ้วหัวแม่มือ นั่นยิ่งประหลาดเข้าไปใหญ่ เพราะมันหมายความว่าใครก็ตามที่เป็นเจ้าของสิ่งเหล่านี้เพิ่งจะจากไปเพียงไม่นานเท่านั้น – ไม่นานพอให้หมึกแห้งเสียด้วยซ้ำ – แต่ในตอนที่ผมตื่นขึ้นมาผมกลับไม่พบใคร หรือร่องรอยอะไรที่เป็นหลักฐานว่าผมไม่ได้อยู่คนเดียวเลย

ผมขมวดคิ้วอ่านข้อความสองบรรทัดนั้นวนซ้ำอีกครั้ง ไม่ได้ปฏิเสธว่าตัวเองอยากตายแต่สงสัยมากกว่าว่าคนแบบไหนที่จะเขียนทักทายกันด้วยถ้อยคำแบบนี้

ในตอนนั้นผมรู้สึกว่าสายลมเริ่มกระโชกแรงขึ้นกว่าก่อนหน้านี้ ดวงอาทิตย์ที่กำลังขึ้นจากขอบฟ้าไม่ได้ช่วยทำให้อากาศอบอุ่นขึ้นแม้แต่น้อย ซ้ำยังมีหมู่เมฆที่คล้อยเคลื่อนบดบังแสงอ่อนที่พยายามทอทาทั่วฟ้าอีก เสียงอึงอันที่ดังอยู่โดยรอบเริ่มเงียบลงเหมือนเสียงมันจางไปพร้อมกับแสงอาทิตย์อย่างไรอย่างนั้น แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าบรรยากาศน่าสงสัยปนหดหู่ที่ผมรู้สึกมาตั้งแต่แรกจะน้อยลง กลับกันยิ่งลมแรงขึ้นเท่าไรผมยิ่งรู้สึกหนาว และยิ่งหนาวก็ยิ่งหดหู่อย่างบอกไม่ถูก ผมพยายามจะสูดหายใจลึกเพื่อเรียกสติที่เริ่มฟุ้งไปไกล แต่สูดได้เพียงครึ่งลมหายใจก็ต้องหยุดเพราะกลิ่นสาบที่ผมไม่แน่ใจว่าคืออะไรมันฉุนเต็มจมูก ผมมองไปโดยรอบก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้นเดินมุ่งหน้าไปใต้ชายคาบ้านที่มีต้นเซอร์วิสเบอร์รี่ปลูกเรียงกัน เพื่ออะไรไม่รู้แต่อย่างน้อยก็ดีกว่านั่งบื้ออยู่กลางลานโล่ง ๆ นั่น

ผมรู้สึกแย่นิดหน่อยขณะที่เดินเข้ามาใกล้ตัวบ้านเพราะไม่รู้ว่าบ้านโบราณหลังใหญ่นี้เป็นของใคร และการมาถึงของผมนั้นถือเป็นการรบกวนแบบใดแบบหนึ่งหรือไม่ แต่ในตอนนั้นจุดนั้นเป็นทางเลือกหลบลมที่ใกล้ที่สุด

ผมพาตัวเองมายืนอยู่ใต้ชายคาพลางมองต้นเซอร์วิสเบอร์รี่ที่เปลี่ยนสีใบเป็นสีส้มแดงเตรียมพร้อมจะผลัดทิ้งเมื่อฤดูหนาวมาเยือน ความจริงมันก็ไม่ใช่ธุระอะไรของผม แต่พอดูจำนวนต้นและความสูงสลับกับระยะห่างระหว่างมันกับตัวบ้านแล้ว ผมก็พาลคิดไปว่าถ้าเป็นไปได้ผมจะไม่อาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้แน่ ไม่รู้ว่าในอนาคตรากของต้นไม้นี่จะสร้างปัญหาให้ระบบท่อภายในบ้านขนาดไหน ไหนจะปัญหาแมลงที่มาพร้อมกันอีก

หลังจากยืนมองต้นไม้ของคนอื่นอยู่ครู่หนึ่งก็เบี่ยงความสนใจกลับมาที่กระดาษในมือ ผมพลิกดูข้อความด้านหลังที่ต่างกับด้านหน้าโดยสิ้นเชิง มันเป็นตัวหลังสือเล็ก ๆ เขียนติดกันยาว แต่ยังไม่ทันจะได้อ่านแม้แต่อักษรเดียวผมก็พบว่าไอ้นิ้วหัวแม่มือที่เปื้อนหมึกเมื่อกี้ มันประทับลงบนกระดาษจนดูเหมือนเป็นการประทับตรายืนยันไปแล้ว

ผมถอนหายใจขณะที่สายตาเริ่มกวาดหาบรรทัดแรก เพราะอยากรู้ว่าด้านหลังกระดาษแปลก ๆ นี่มันมีเนื้อหาอะไรต่อ


ถ้าคุณพลิกกระดาษแผ่นนี้กลับมาแปลว่าคุณยอมรับที่ว่าตัวเองอยากตาย


ก็ใช่

ผมอ่านประโยคแรกแล้วเออออกับมันภายในใจ ถ้าคำว่า ‘อยากตาย’ หมายถึงการท้อแท้ต่อการมีชีวิต ไม่รู้ว่าในแต่ละวันตื่นมาหายใจทิ้งไปทำไม ก็คงเข้าประเด็นตรงเผง ‘ผมยอมรับว่าอยากตายมาตลอด’


ผมทราบดีถึงปรารถนาอันเงียบงันที่กำลังปั่นป่วนในจิตวิญญาณของคุณ ผมได้ยินเสียงกรีดร้องที่ไม่มีใครได้ยิน เสียงกรีดร้องที่เป็นดั่งคำวิงวอนเพื่อปลดปล่อยตัวเองออกจากภาระแห่งการดำรงอยู่ 

ผมมองเห็นภาพฝันถึงความตายอันแสนสงบที่ยังคงเลือนรางเพราะคุณไม่อาจก้าวข้าม จดหมายเชิญนี้เองที่จะปลดปล่อยคุณให้เป็นอิสระจากโซ่ตรวนซึ่งล่ามคุณไว้กับการมีชีวิตอยู่


ผมเผลอทำหน้ามุ่ยขณะที่ไล่สายตาตามตัวอักษรบนกระดาษ ทั้งเพราะลักษณะของมันชวนให้คิดถึงจดหมายลูกโซ่ของลัทธิไร้สาระอะไรพวกนั้น ทั้งเพราะผมไม่แน่ใจว่าจะรู้แน่ชัดได้อย่างไรว่าข้อความบนกระดาษกำลังคุยกับผม แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าแต่ละอย่างที่อ่านผ่านสายตาเนื้อหามันกระทบใจผมไม่น้อย ทั้งการอยากตายแต่ไม่กล้าตาย ทั้งคำโฆษณาเรื่องความตายแสนสงบ ทั้งหมดนั่นทำให้รู้สึกเหมือนผู้เขียนเข้ามานั่งอยู่ในสมองผมจนรู้ความคิดหลักเกือบหมด

จนถึงตอนนี้คุณอาจจะสงสัยว่าอะไรทำให้ผมเชื่อว่าตัวเองตายแล้ว ความจริงผมก็อยากจะบอกว่าตัวเองคงยังไม่ตาย แค่ ‘เกือบ’ เหมือนทุกครั้ง แต่เชื่อเถอะถ้าคุณได้เจอสถานการณ์เดียวกับที่ผมจะเล่าต่อไป เป็นคุณก็คงเลิกสงสัยไปเองว่าตัวเองตายแล้วหรือแค่โดนอำจากรายการงี่เง่าสักรายการ และผมจะเล่าแบบสั้น ๆ จะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปกับการสับสนของผมมาก เพราะในตอนนั้นผมสับสนอยู่นานว่าผมยังจะต้องมาใช้ชีวิตอีกครั้งในโลกหลังความตายงั้นเหรอ หรือว่าความจริงแล้วผมยังไม่ตาย อาจจะโคม่าอยู่และทั้งหมดนี้เป็นความฝันทั้งสิ้น

ใช้เวลาคิดวนไปมาอยู่นาน แต่ผมก็ยังหาคำตอบไม่ได้และคงไม่มีใครมาให้คำตอบกับผมได้ จะมีก็เพียงแต่ใครสักคนที่สื่อสารกับผมผ่านกระดาษและตัวอักษรเท่านั้น


จงอย่าหวาดกลัวและให้เกียรติผมได้นำทาง ให้ผมได้เป็นดั่งแสงเทียนส่องนำทางสู่แห่งหนที่คุณไม่อาจรู้ ให้ผมได้เป็นผู้ที่จะบันดาลความตายแสนสงบอย่างที่คุณปรารถนา

เพื่อตอบรับอ้อมกอดแห่งความมืดอันเป็นนิรันดร์ ผมใคร่ขอให้คุณยอมรับข้อตกลงเหล่านี้

ข้อแรก ผมจะไม่ขอรับรองผลใด ๆ อันเกี่ยวเนื่องกับความตายซึ่งเกิดจากความตั้งใจของคุณ เพราะผมจะเป็นผู้นำทางให้คุณเอง คุณต้องสัญญาว่าจะทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาชีวิตเอาไว้ให้ได้จนกว่าจะถึงเวลาอันควรที่ผมจะเป็นผู้กำหนดและแจ้งให้คุณทราบภายหลัง ดังนั้นขอแนะนำว่าต่อให้มีเรื่องที่ทำให้อยากตายมากเพียงใด ก็จงมีชีวิตอยู่ต่อจนกว่าจะถึงวันอันสมควร

ข้อสอง ขอให้คุณเก็บรักษาทุกเรื่องราวที่จะได้รู้หลังจากนี้เอาไว้ให้ดี อย่าได้แพร่งพรายออกไปไม่ว่าจะด้วยบังเอิญหรือตั้งใจ ผมเตือนด้วยความหวังดีสุดหัวใจเพราะไม่อยากให้เกิดความยุ่งยากในระหว่างที่เรามุ่งหน้าไปยังเป้าหมาย

ข้อสาม คุณมีสิทธิ์ถาม แต่จะได้คำตอบเท่าที่คุณสมควรได้รับ เก็บความสงสัยของคุณเอาไว้ย่อมดีกว่า อย่าได้สงสัยอะไรให้สนใจเพียงสิ่งที่ผมบอกเท่านั้น

ขอให้คุณจดจำข้อตกลงเหล่านี้ไว้ให้ขึ้นใจ และโปรดจงรู้เอาไว้ว่าเมื่อคุณยอมรับข้อตกลงแล้วจะไม่มีทางย้อนกลับ หากคุณประสงค์จะร่วมเดินทางไปกับผมได้โปรดประทับรอยนิ้วมือลงบนบัตรเชิญใบนี้


ผมเหลือบมองรอยประทับน้ำหมึกสีดำบนกระดาษสลับกับข้อความสุดท้ายที่ได้อ่าน ในวินาทีนั้นผมตระหนักได้ว่า

ผมได้ยอมรับข้อตกลงประหลาดเหล่านั้นไปแล้ว

และเท่าทันความคิดราวกับรู้ว่าผมอ่านข้อความทั้งหมดจนครบเรียบร้อย อากาศโดยรอบก็พลันเปลี่ยนไป สายลมที่นิ่งไปพักใหญ่เริ่มพัดหวนอีกครั้งพร้อมกับหอบเอาฝุ่นผงจากทั่วพื้นที่โอบรอบตัวผมเอาไว้ ในตอนนั้นผมทำได้เพียงหรี่ตามองอย่างไม่รู้ทิศทาง ภายในปากแห้งผากและเริ่มเต็มไปด้วยฝุ่นเหมือนถูกบังคับให้กินมันเข้าไปเรื่อย ๆ จนมันท่วมท้นไปทั้งลำคอทั้งเริ่มไหลเรื่อยไปยังปอด

ยิ่งพยายามหายใจยิ่งหายใจไม่ออก ยิ่งพยายามตะเกียกตะกายยิ่งรู้สึกไร้หนทาง ทุกความรู้สึกเกิดขึ้นฉับพลันจนผมไม่อาจสาธยายให้ฟังได้ว่ามันทรมานเพียงใด เพราะในตอนนั้นสติการรับรู้ของผมมันวูบไหวเหมือนเปลวเทียนที่อยู่ท่ามกลางพายุ

ในช่วงที่สติสัมปชัญญะของผมกำลังมอดลง ความรู้สึกมันเหมือนกำลังจะตายไม่ต่างจากตอนแรกแต่เทียบแล้วทรมานกว่ามาก ผมสัมผัสได้ถึงทุกความทรมานที่กำลังเกิดกับตัวผม รู้ตัวว่าตัวเองกำลังถูกอำนาจของบางสิ่งกดทับ เปลือกตาหนักอึ้งใกล้จะปิดลงในทุกวินาทีและขณะนั้นเองผมก็เห็นเงาของใครบางคนอยู่ที่ด้านนอกม่านลมที่กำลังพัดโหม

เขาเดินใกล้เข้ามา

ผมเห็นเพียงโครงร่างและดวงตาโชนแสงเหมือนแมวในความมืด

เขาเดินใกล้เข้ามา

ยิ่งใกล้ผมยิ่งหายไม่ออก

เหมือนยิ่งใกล้เปลือกตาก็ยิ่งหนัก ราวกับไม่อนุญาตให้ผมมองเห็นเขา

แล้วไม่ทันไรผมก็วูบหลับไป


นั่นคือความทรงจำแรกที่ผมนึกออกเกี่ยวกับวันนี้เมื่อปีที่แล้ว ความจริงเรื่องมันก็ผ่านมานานพอใช้ได้ โทษทีถ้าผมดูไม่ค่อยตื่นเต้นกับเรื่องนี้เท่าไรตอนที่เล่าให้คุณฟัง แต่เอาเป็นว่านั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมยังอยู่ที่นี่ในวันครบรอบ 1 ปีที่ผมตายแล้วกัน