ปี 2024 ผมตายและตื่นขึ้นมาใหม่ในปี 1880 โดยมีเขาคอยห้ามไม่ให้ผมตายซ้ำอีกรอบ เรามีกฎง่าย ๆ ที่ต้องทำตาม และกฎข้อสุดท้ายคือ ต่อให้ผมจะอยากตายแค่ไหนแต่ก็ "ห้ามตายจนกว่าเขาจะอนุญาต"

รีบหนีไปก่อนความตายจะหาผมเจอ (Ordinary Peculiar Rules For My Death Wish) - 2 ー เออร์เนสต์ ฮัดสัน โดย Monique Chen @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,พารานอมอล,ลึกลับ,ตะวันตก,ผจญภัย,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

รีบหนีไปก่อนความตายจะหาผมเจอ (Ordinary Peculiar Rules For My Death Wish)

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,พารานอมอล,ลึกลับ,ตะวันตก,ผจญภัย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

รายละเอียด

ปี 2024 ผมตายและตื่นขึ้นมาใหม่ในปี 1880 โดยมีเขาคอยห้ามไม่ให้ผมตายซ้ำอีกรอบ เรามีกฎง่าย ๆ ที่ต้องทำตาม และกฎข้อสุดท้ายคือ ต่อให้ผมจะอยากตายแค่ไหนแต่ก็ "ห้ามตายจนกว่าเขาจะอนุญาต"

ผู้แต่ง

Monique Chen

เรื่องย่อ

Genre : Dark Romanticism+Dark Fantasy (somewhat in between), Coming of Age, (a bit of)Slice of Life


Twitter (X) Tag : #รีบหนีไปก่อนความตายจะหาผมเจอ




ค้นเจอสมุดบันทึกลายมือพิกลเขียนบ่นถึงชีวิตประจำวัน

กับเรื่องราวของผู้คนที่คนเขียนดูไม่ค่อยจะชอบมันสักเท่าไร

ในบันทึกมีคนที่ใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในห้องสมุดแต่ก็หวังจะได้เจอใครสักคน

มีคนที่ชอบผจญภัยแต่ก็ไม่กล้าออกไปไหนไกลกว่าเขตเมือง

แล้วก็มีคนที่อยากตายแต่ดันได้ลองใช้ชีวิตใหม่อีกรอบ

.

.


ในปี 1881 วันพฤหัสบดีและเดือนกันยายน

สุขสันต์วันตายครบ 1 ปีและขอแสดงความเสียใจที่วันพรุ่งนี้ก็ครบ 1 ปีที่ต้องมาอยู่ที่นี่

วันนี้คงไม่มีเรื่องอะไรจะเล่าเหมือนเคย เพราะเอาแต่คิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่

ไม่ว่าจะเหตุกลใดที่ทำให้ผมได้ชีวิตที่สองนี้มา เหมือนอย่างกับมีคนไม่พอใจที่ผมใช้ชีวิตแรกได้ห่วยบัดซบ แต่ขอเรียนให้ทราบตามจริงว่า ชีวิตที่สองนี้ผมก็ไม่ได้ใช้มันได้ดีสักเท่าไร หมายถึงมันเป็นชีวิตที่ผมเองก็ไม่พอใจ และเหมือนจะมีอีกหลายคนที่ไม่ค่อยพอใจที่ผมมีชีวิตอยู่เช่นกัน

...

คำเตือน : ภายในสมุดบันทึกเล่มนี้คงจะมีกลิ่นน้ำมันวาฬติดอยู่บ้าง เพราะใช้มันเป็นเชื้อเพลิงโคมไฟตะเกียง


สารบัญ

รีบหนีไปก่อนความตายจะหาผมเจอ (Ordinary Peculiar Rules For My Death Wish)-เกริ่นนำ .,รีบหนีไปก่อนความตายจะหาผมเจอ (Ordinary Peculiar Rules For My Death Wish)-1 ー วันครบรอบตาย,รีบหนีไปก่อนความตายจะหาผมเจอ (Ordinary Peculiar Rules For My Death Wish)-2 ー เออร์เนสต์ ฮัดสัน

เนื้อหา

2 ー เออร์เนสต์ ฮัดสัน

พอผมเขียนมาถึงตรงนี้ ก็รู้สึกว่าผมน่าจะตั้งใจเล่าเรื่องของตัวเองและมีอารมณ์ร่วมไปกับมันมากขึ้นอีกหน่อย เพื่อที่อย่างน้อยคุณจะได้รู้สึกบันเทิงไปกับมันไม่ใช่หาวนอนเพราะสงสัยว่าตาแก่ (ตอนนี้ผมยังไม่แก่) ปี 1881 กำลังต้องการจะเล่าอะไร

ดังนั้นครั้งนี้เราจะเริ่มกันที่...

 

“กระผมชื่อธีโอดอร์ คุณจะเรียกว่าธีโอก็ได้ขะรับ” เด็กผู้ชายคนนั้นแนะนำตัวพลางส่งยิ้มกว้าง จนเห็นฟันหน้าที่เกสบกันทำให้มันดูเหมือนจอบอันเล็กในปาก

 

ไม่ใช่สิ ผมเล่าข้ามไปมากทีเดียว คิดว่าถอยไปไกลกว่านั้นอีกหน่อยดีกว่า

ผมน่าจะยังไม่ได้เล่าว่าในบรรดาข้าวของที่ผมรื้อออกมาจากกล่องไม้เมื่อวันนั้น มีสมุดบันทึกอยู่ 2 เล่ม เล่มหนึ่งเขียนกฎและข้อควรรู้เอาไว้ให้ผมมากมาย ซึ่งไว้ผมจะเล่าให้ฟังครั้งหน้า กับอีกเล่มหนึ่งที่เป็นกระดาษเปล่าเขียนไว้เพียงชื่อเจ้าของเท่านั้น – มันเคยว่างเปล่าจนกระทั่งตกเย็นวันที่ผมเจอมันเป็นครั้งแรก หน้ากระดาษที่เคยว่างเปล่าก็มีรอยน้ำหมึกปรากฏขึ้น

 

‘เข้าไปในบ้าน’

ผมเห็นมันตอนที่เพิ่งตื่นจากการสลบและสติยังไม่ครบถ้วนดีนัก เมื่อได้เห็นรอยน้ำหมึก ผมก็พาตัวเองเดินไปทั่วเพื่อหาว่าใครเป็นคนเขียนหน้ากระดาษนั้น ใช้เวลาเดินวนไปมาอย่างไร้จุดหมายอยู่นานสุดท้ายก็จำใจยอมแพ้ แม้ว่าจะยังไม่ได้เข้าไปถึงในบ้านแต่ก็พอจะตระหนักได้ว่า ถ้าหากมีใครสักคนอยู่ที่นี่จริง ผมควรรู้สึกได้หรือไม่ก็ต้องได้พบแล้ว ไหนจะคำสั่งที่เขาเขียนอีก ถ้าหากต้องการให้เข้าบ้านก็ควรออกมาต้อนรับเสียก่อนไม่ใช่หรือไง

หลังจากพาตัวเองมานั่งที่เดิมได้ครู่หนึ่งถึงได้รู้ว่าผมคงสลบไปนานไม่น้อย เพราะในตอนนี้ผมมองเห็นพระอาทิตย์ที่ทำท่าจะโคจรลงอีกฟากฟ้าแล้ว

ความรู้สึกของเย็นวันนั้นมันหนักอึ้ง เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกได้ว่ายามสนธยาน่ากลัวกว่ารุ่งสางมากนัก ผมที่เคยหวาดกลัวการตื่นในวันรุ่งขึ้นเพราะมันว่างเปล่าเกินไป เพราะไม่มีจุดหมายเสียจนกลัวว่าจะต้องผิดหวังในความว่างเปล่าของตัวเองอีกซ้ำไปมา ทว่าในตอนนี้กลายเป็นว่าความน่ากลัวของพระอาทิตย์ที่กำลังตกลงเรื่อย ๆ กลับทรงอำนาจกว่า ผมกำลังหวาดกลัวความไม่รู้ ไม่รู้ว่าหากผ่านพ้นเข้าสู่พลบค่ำแล้วผมจะต้องเผชิญหน้ากับอะไร มันเป็นความกลัวที่แสนว่างเปล่า รู้เพียงแต่ว่าขณะนั้นในสมองของผมขาวโพลนก่อนจะถูกความมืดกลืนจนหมด แล้วก็กลับมาขาวโพลนอีก เป็นอย่างนั้นซ้ำไปมา ไม่มีความคิด ไม่รู้ว่าต้องรู้สึกอะไร

ผมนั่งมองบรรยากาศรอบกายที่ความมืดค่อย ๆ ทอคลุม โดยที่คิดว่าควรต้องทำอะไรสักอย่างแต่ก็ได้เพียงแต่คิด ผมยังคงนั่งนิ่งทะเลาะกับตัวเองในใจเงียบ ๆ

ตอนแรกมันเงียบ - เงียบจนได้ยินเสียงแกะเล็บของตัวเอง แต่นั่นก็เพียงไม่นานเพราะเมื่อดวงอาทิตย์ยิ่งอ่อนแสงลงและท้องฟ้าสีเข้มเริ่มเกลี่ยกลืนสีส้มแดงนั้น เสียงอึงอันที่ล้อมผมเอาไว้เมื่อเช้าก็เริ่มดังขึ้นอีกครั้ง ไม่ใช่เพียงเสียงแมลงแต่มันมีเสียงมากมายที่ไม่อาจจำแนกได้ มีทั้งเสียงโทนแหลมเหมือนกรีดร้อง และมีทั้งทุ้มต่ำเหมือนกำลังกระซิบสวดอะไรบางอย่างที่ฟังไม่ออก

ฝ่ามือทั้งสองข้างเย็นชื้นไปด้วยเหงื่อด้วยความกลัวที่มีอยู่ในใจแต่แรก ซึ่งจนกระทั่งขณะหายใจนี้ผมก็ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองหวาดกลัวสิ่งใด อย่างเดียวที่รู้ได้และชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ก็คือยิ่งสีของยามค่ำเข้มขึ้นมากเท่าไร เส้นนำสายตาจากตัวบ้านไปสู่ชายป่านั้นก็ยิ่งดูพิศวง เหมือนมันเป็นเส้นทางที่ถูกปูด้วยพรมสีฝุ่นซึ่งจะนำนักเดินทางโง่เง่าสักคนให้เดินหลงไปสู้เงื้อมมือปีศาจ

และผมตระหนักได้ขณะที่แกะเล็บจนเลือดซิบ ว่าความกลัวกำลังจะทำให้ผมสติแตกจนอาจทำให้นักเดินทางโง่ที่ว่านั่นชื่อ เกล็น พอร์เตอร์ ก็ได้

ในขณะที่สายลมเริ่มพัดไหวอีกครั้ง ผมห่อตัวหลบความหนาวพลางหันรีหันขวางคิดว่าจะเอาอย่างไรกับชีวิตต่อไปดี ตอนนั้นไม่รู้อะไรที่ทำให้ผมนึกอยากเปิดสมุดบันทึกนั่นดูซ้ำอีกรอบ

ถ้าหากสารภาพว่าภาวนาให้มันมีประโยคอื่นเขียนไว้อีก ก็คงดูโง่เต็มที แต่เอาเข้าจริงจะว่าแบบนั้นก็ไม่ผิด

“พระเจ้า...” ผมอุทานออกมาด้วยเสียงตีบตันในลำคอ เมื่อพบว่าสิ่งที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นจริง

‘เข้าไปในบ้าน’ น้ำหมึกสีดำปรากฏขึ้นซ้ำในประโยคเดิม

ผมละล่ำละลักประโยคที่นึกไม่ถึงว่าตัวเองจะพูดออกมา “เข้าไปทำไม คุณอยู่ที่ไหน”

ผมคงใกล้เสียสติเต็มที มันจะมีคนสติดีที่ไหนเชื่อว่าตัวเองเพิ่งเห็นรอยน้ำหมึกปรากฏขึ้นเองบนกระดาษเปล่า ๆ นอกจากนั้นยังเริ่มพูดถามสมุดบันทึกอีก

เป็นดังคาดคำถามของผมไม่ได้รับคำตอบและลมก็เริ่มพัดรุนแรงขึ้น มันหอบเอาเศษดินเศษหญ้าวนหวนในอากาศเหมือนทอร์นาโดลูกย่อม ไม่เพียงแต่จะทำให้วิสัยทัศน์แย่ลง แต่กลับสร้างความน่ารำคาญมากขึ้นเมื่อมันพากันพัดกระทบใบหน้าจนระคายคัน มิหนำซ้ำยังกระทบหน้าต่างบ้านเสียงดังแกรกกราก สลับเสียงกระจกลั่นดังปึงปังเพราะความแรงของลมที่พัดใส่

จากที่เกือบจะมั่นใจว่าไม่มีทางอยู่ดี ๆ จะเดินดุ่มเข้าไปในบ้านคนอื่น แต่ตอนนี้กลับเริ่มลังเล เสียงลมที่เป็นเหมือนเสียงสวดกระซิบดังขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนเป็นตัวส่งให้เสียงแหลมเล็กเหล่านั้นโฉบเฉวียนใกล้ผมเข้ามามากขึ้น

ผมนั่งไม่ติดที่เพราะเหมือนทุกอย่างพยายามเร่งเร้าผมด้วยการล้อเล่นกับความกลัวที่แล่นจุกคอ ผมมองเนื้อที่ใต้บรรทัดที่ยังคงว่างเปล่าสลับกับเส้นทางพิศวงที่นำสู่ความมืดของป่า แล้วอยู่ ๆ สมองที่ขาวโพลนเมื่อครู่ก็กลับมามีความคิดมากมายวิ่งชนกัน เหมือนจอโทรทัศน์โบราณที่สัญญาณไม่ดีในวันฝนตกลมแรง

ผมเป็นบ้าหรือยัง

ผมกำลังคาดหวังอะไร

หรือผมกำลังอยู่ภายใต้การลงทัณฑ์ของพระเจ้าจากบาปฐานไม่ยินดีกับชีวิตที่ได้รับมา

ความคิดเหล่านั้นตัดสลับกันรัวเร็วอย่างที่ผมไม่อาจควบคุม และแน่นอนว่าไม่สามารถหาคำตอบได้สักคำถาม สิ่งเดียวที่พอจะคาดหวังได้ในตอนนี้ไม่ใช่ตัวเอง แต่เป็นสิ่งเดียวที่กำลังสื่อสารกับผมคือสมุดเล่มนั้น ทว่ามันก็ร้ายกาจมากพอที่จะเพิกเฉยต่อคำถามทั้งหมด เหมือนอยากหล่อเลี้ยงผมด้วยความสิ้นหวัง

เมื่อไม่มีสิ่งใดปรากฏขึ้นบนหน้ากระดาษ สายตาของผมจึงเลื่อนมองไปยังหน้าต่างและบานประตูที่อยู่เบื้องหลังด้วยไร้ทางเลือก ความมืดภายในบ้านมีพลังดึงดูดบางอย่างเหมือนกำลังพยายามเต็มที่เพื่อจะดึงให้มือผมเอื้อมไปบิดลูกบิด ผมต้านแรงนั้นด้วยความลังเลซึ่งเกิดจากความไม่รู้ที่จุกแน่น ทว่ายิ่งลังเลยิ่งช้า ผมก็ยิ่งรู้สึกว่าสิ่งที่ผมกำลังกลัวมันใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ใกล้เข้ามาเสียจนผมสะท้านไปทั้งสันหลัง

สมองไม่อาจประมวลหาเหตุผลให้ตัวเองได้ แม้แต่การกระทำใด ๆ ก็ไม่อาจคิดคำสั่งที่เป็นเหตุเป็นผลได้ ในที่สุดแล้วมันจึงตัดสินใจทำตามความคิดสำเร็จรูปที่มาในรูปแบบคำสั่งในสมุดบันทึก

“เฮงซวยเอ้ย” ผมสบถด้วยทั้งหงุดหงิดเพราะรู้สึกต่อต้านความคิดตัวเอง และด้วยทั้งความกลัวไร้เหตุผลที่รุกไล่เสียจนหมดทางไป

ผมป่ายมือตะกายคลุกคลานดึงตัวเองหนีเงื้อมมือล่องหนที่เป็นเหมือนเงาซึ่งพยายามไล่ล่า เถลือกไถลลุกจากพื้นที่นั่งอยู่ก่อนเพื่อตรงไปยังบันไดสี่ห้าขั้นที่ทอดสู่ประตูบ้าน – ยากเหลือเกินในการจะไต่ลากตัวเองให้พ้นผ่านมันไปในแต่ละขั้น – แต่ไม่มีจังหวะให้หยุดพยายามสักวินาทีเดียว กระทั่งในที่สุดก็ลากตัวเองโซเซขึ้นมาถึงพะไลบ้านได้สำเร็จ

เสียงไม้กระดานหน้าบ้านลั่นเอี๊ยดอ๊าดตามจังหวะการลากเท้า มีบางแผ่นที่ตะปูหลุดหายจนทำผมเกือบเสียหลักล้มตอนเอี้ยวมองความมืดเบื้องหลัง

ผมไม่เข้าใจ

แม้กระทั่งในตอนที่บิดประตูบ้านเข้าไป ผมก็ไม่เข้าใจ

ทำไมถึงกลัว ทำไมถึงหนี แล้วสิ่งนั้น สิ่งที่กำลังไล่ล่าผมคืออะไร

และไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดเมื่อผลักประตูเข้ามาภายในบ้านได้สำเร็จ ความหวาดกลัวและความรู้สึกสะท้านวาบไปทั้งสันหลังถึงได้พลันเบาลง...

 

ผมทรุดกองอยู่กับพื้นหน้าประตูอยู่เกือบ 10 นาที หอบหายใจรุนแรงอย่างกับกลัวอากาศหมดปอด ไม่กล้าเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่าง ไม่กล้าเหลือบมองเงาที่โฉบเฉวียนไปตามหน้าต่างทุกบานเหมือนกำลังมองหาผม

ในขณะที่หลบสายตาจากหน้าต่าง สายตาผมก็เหลือบเห็นสมุดบันทึกที่ตกอยู่ข้างตัว หน้ากระดาษที่เปิดกางไว้ปรากฏรอยน้ำหมึกอีกครั้ง มันไม่ใช่คำตอบที่ผมถามแต่เป็นคำสั่งอีกข้อ

‘คุณไม่ควรออกไปพ้นเขตฟาร์ม’

สาบานว่าตั้งแต่เกิดมาไม่เคยรู้สึกใกล้เส้นสติแตกเท่าครั้งนี้มาก่อน ความไม่รู้ฆ่าคนได้ ผมเชื่อแบบนั้น โดยเฉพาะเมื่อตัวเองกรีดร้องไร้เสียงออกมาเพราะกลัวอะไรก็ตามที่อยู่ข้างนอกได้ยิน

“นี่มันเรื่องอะไร บอกผม...สักอย่าง” ผมกลืนก้อนเสียงลงคอแล้วบีบเสียงให้เบาที่สุด กระนั้นก็ยังดังที่สุดภายในความเงียบของบ้านอันมืดสนิทนี้ “สักอย่าง”

ไม่มีคำตอบให้คำถาม แม้จะพยายามขยุ้มเปิดพลิกหน้าสมุดสักกี่หน้า ก็ไม่มีร่องรอยน้ำหมึกที่เขียนขึ้นเพื่อให้คำตอบแม้ประโยคเดียว

“ได้โปรด ผมไม่เข้าใจ”

ถ้าผมอายุน้อยกว่านี้ก็คงปล่อยโฮออกมาแล้ว แต่น่าเสียดายที่การร้องไห้ไม่ใช่สิ่งที่มีไว้สำหรับผู้ใหญ่ สิ่งที่ทำได้เลยมีเพียงความรู้สึกเจ็บแปลบเมื่อนิ้วที่ใช้กุมขมับจิกเข้าเนื้อ

“ได้โปรด...”

ผมมองหน้าสมุดยับยู่ยี่อย่างสิ้นหวัง และในที่สุดภายใต้ความมืดที่มีเพียงแสงสลัวจากแสงจันทร์ทอพอให้เห็น รอยน้ำหมึกที่กลายมาเป็นที่ยึดเหนี่ยวเดียวของผมก็ปรากฏขึ้น

‘ผมสื่อสารกับคุณผ่านสมุดได้เท่านั้น หาปากกาให้เจอ ผมว่ามันคงอยู่ในลิ้นชักโต๊ะสักตัว’

แม้จะดูเหมือนคำแนะนำ แต่นั่นก็เป็นคำสั่งอยู่ดี – คำสั่งใหม่โผล่มาอีกข้อแล้ว

ผมตกอยู่สภาพที่ไม่คิดว่าตัวเองมีทางเลือกมากนัก ยอมรับว่ากลัวทั้งสิ่งที่อยู่ข้างนอกและสมุดบันทึกประหลาดนี่ แต่ตามความรู้สึกแล้วพลังงานของสมุดดูเป็นมิตรกว่าอะไรอะไรที่โฉบวนอยู่รอบบ้านมากนัก และด้วยสถานการณ์ที่พยายามบีบบังคับให้ผมเลือกอะไรสักอย่าง ตัวเลือกเชื่อฟังคำสั่งลึกลับก็ดูจะเป็นความคิดที่ไม่เลวร้ายนัก

ดวงตาของผมมองเห็นในความมืดได้ไม่ดี ผมใช้หลังมือดันหน้าแก้มเหมือนทุกทีเพื่อขยับให้แว่นเข้าที่ แต่ครั้งนี้กลับพบว่ามันว่างเปล่า ผมทำแว่นตาหล่นหายไปตอนไหนไม่ทราบได้ อาจเป็นตอนที่กระเสือกกระสนจะเข้ามาในบ้าน หรือหายไปตอนตาย แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่ผมใส่ใจนักตราบใดที่ยังพอเพ่งมองเห็นเงารางของสิ่งต่าง ๆ ภายในบ้านได้อยู่บ้าง แม้จะมองเห็นแค่ไม่เกิน 2 ฟุตเบื้องหน้าแต่ผมก็ยังทู่ซี้จะหาทางสำรวจบ้านให้ได้ เพื่อที่อย่างน้อยไม่เจอปากกาก็เจอสวิตช์ไฟ พอมีแสงสว่างหลาย ๆ อย่างมันก็จะง่ายขึ้นอีกหน่อย

ถกเถียงกับตัวเองในหัวเสร็จก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นพร้อมกับเสียงพื้นไม้ลั่นเสียงดัง ผมค่อย ๆ ย่างเท้าตรงไปอย่างเงียบเชียบโดยที่ในตอนนั้นผมยังไม่ยืนเต็มความสูง เพราะพะวงว่าจะถูกมองเห็นผ่านหน้าต่างได้ ตอนนั้นผมเริ่มถามตัวเองว่าสภาพการเดินไปในความมืดและต้องคอยใช้มือป่ายแปะไปตามผนังหรือแม้กระทั่งอากาศเบื้องหน้าเช่นนี้ คือสิ่งที่คนตาบอดต้องเผชิญในทุก ๆ วันงั้นเหรอ จนชั่วขณะหนึ่งผมก็นึกสะท้อนใจที่ตัวเองไม่เคยนึกชอบใจการเกิดมาครบพร้อมของตัวเองเลย แต่สุดท้ายผมก็ยังไม่ได้ซาบซึ้งกับการมีชีวิตอยู่ดี คิดดูสิแม้กระทั่งในวันที่ตายไปแล้วผมยังต้องมาใช้ชีวิตลำบากลำบน จับต้นชนปลายไม่ถูกอยู่แบบนี้เลย

จากตอนแรกที่รู้สึกตื่นตระหนกไปหมดจนทำอะไรไม่ถูก ตอนนี้อาการเริ่มดีขึ้นแล้วเพราะได้หันเหความสนใจของตัวเองไปกับการหาวิธีเดินไม่ให้ชนโน่นชนนี่ในบ้าน ผมเดินสำรวจห้องที่อยู่ขวามือเป็นอย่างแรก และพบว่าน่าจะเป็นห้องอาหารจึงลืมเรื่องการบังเอิญเจอปากกาไปได้เลย ต่อมาตั้งใจจะเดินไปยังห้องด้านซ้ายมือแต่เพราะหน้าต่างมันมากเกินไป ผมจึงเลี่ยงไม่เข้าไป

ตอนที่ผมเกือบจะหมดหวังในการเดินไปในความมืดอย่างไม่มีจุดหมาย และเสียงลมนอกบ้านรวมถึงเงาที่พยายามมองหาผมคงหมดหวังไปแล้ว เพราะเสียงทั้งหมดนั้นเงียบไปหมด เหลือไว้เพียงแต่เสียงฝีเท้าและเสียงพื้นไม้ที่ลั่นเป็นระยะ ในที่สุดมือที่เขรอะฝุ่นก็ปัดไปเจอวัตถุที่สามารถสร้างแสงสว่างให้ผมได้เสียที

มันไม่ใช่สวิตช์ไฟ

มันคือตะเกียงน้ำมันที่ลักษณะเหมือนแก้วใบสั้นกับใบยาวซ้อนกัน โดยมีใบสั้นที่อยู่ด้านล่างบรรจุน้ำมันเอาไว้ ผมขมวดคิ้วมองโครงเงาราง ๆ ของมันอย่างนึกสงสัยเพราะมันถูกเติมน้ำมันเอาไว้พร้อมใช้งาน คงไม่ใช่ของที่เอาไว้ประดับบ้านแน่ แต่คนแบบไหนที่ยังคงจุดตะเกียงในบ้านกัน

ไส้ตะเกียงเองก็อยู่ในสภาพดีและเพียงไม้ขีดไฟก้านเดียวก็ทำให้ผมได้เห็นในสิ่งที่ผมภาวนาถึงมานาน เปลวไฟค่อย ๆ ลุกไหม้สร้างแสงสว่างเล็กน้อยจนมากขึ้นพอให้เห็นภาพโดยรวมของทั้งบ้านใต้แสงสลัวและกลิ่นฉุนหืนของน้ำมัน

เครื่องเรือนดูเก่าแบบทำใจให้ชินตาได้ยาก มันเก่าชนิดที่ไม่ใช่การแต่งบ้านด้วยรสนิยมวินเทจหรือเรโทรอะไรพวกนั้น มันดูเก่าทั้งที่สภาพมันใหม่เหมือนเครื่องเรือนทั่วไปที่เราเห็นมันมาตลอดเวลาสิบยี่สิบปีในบ้านตัวเอง

ความรู้สึกแรกที่ผมมององค์ประกอบบ้านมีแค่นั้น

และไม่ว่าจะเป็นเพราะโชคยังพอมี หรือเป็นเพราะมีใครบางคนตั้งใจจัดแจงมันไว้ บนโต๊ะข้างทางขึ้นบันได – ตัวเดียวกับที่ผมเจอตะเกียงน้ำมัน – ผมก็เจอปากกากับขวดน้ำหมึก ผมไม่ได้ตาฝาด และคุณไม่ได้อ่านผิด

มันคือปากกาขนนกและขวดน้ำหมึก

ผมแทบจะสบถออกมาเพราะสุดทนกับสถานการณ์บ้าบอที่ต้องเจอ กระนั้นสมองมันกลับบอกผมว่าดีแล้วที่ทำตามคำสั่งสำเร็จไปอีกข้อ ก่อนจะสั่งให้สองเท้าของผมก้าวกลับไปที่หน้าประตูซึ่งผมทิ้งสมุดบันทึกเปิดอ้าเอาไว้

‘ผมสื่อสารกับคุณผ่านสมุดได้เท่านั้น หาปากกาให้เจอ ผมว่ามันคงอยู่ในลิ้นชักโต๊ะสักตัว’

ในสมุดยังคงไม่มีประโยคอื่นเพิ่มเข้ามา ผมอ่านมันทวนซ้ำอีกรอบขณะกำขนห่านกับขวดหมึกในมือแน่น ผมกำลังจะทำในเรื่องที่งี่เง่าที่สุดเท่าที่เคยทำ แม้จะตายไปแล้วและสิ่งที่ต้องเจอตอนนี้ก็ดูเหนือจริงเหลือเกิน แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะเป็นเรื่องที่ผมทำใจให้ชินได้ง่ายเสียเมื่อไร

ผมยักไหล่พลางส่ายหัวอย่างหมดอาลัย ถ้ารู้ว่าตายแล้วชีวิตหลังความตายมันวุ่นวายขนาดนี้ สาบานเลยว่าจะไม่คิดถึงการตายสักวินาทีเดียวตอนยังมีชีวิต

“บอกผม...มาว่า...ที่นี่คือที่ไหน” ผมพึมพำประโยคที่เขียนด้วยความทุลักทุเล นี่เป็นครั้งแรกที่ต้องเขียนด้วยปากกาขนนก (น้ำหมึกมันเปรอะไปหมดเพราะจุ่มหมึกออกมามากเกินไป) ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเขาไม่ใช้ปากกาแบบปกติ เช่น ปากกาลูกลื่นแท่งละ 8 เซ็นต์อะไรพวกนั้น

‘พวกนั้นเรียกว่าบูเกอร์ พวกมันมีกันหลายประเภทและคุณคงเคยได้ยินมาบ้าง ดีแล้วที่หนีจากมันมาได้ ทางใต้มีเรื่องพวกนี้แทรกอยู่ในชีวิตเราเป็นเรื่องธรรมดา แนะนำให้รีบชินก่อนจะประสาทเสียไปก่อน’

ไม่มีประโยคหรือคำไหนที่เป็นการตอบคำถามผม และยังตบท้ายด้วยคำสั่งเหมือนเดิม

“คุณ...ยังไม่ได้...ตอบ -”

เขียนยังไม่ทันจบประโยคใหม่ก็ปรากฏขึ้น ตอนนั้นรู้สึกเหมือนอย่างกับแอพแชทสมัยที่ผมยังมีชีวิต (คุณเองก็น่าจะยังใช้มันอยู่ใช่ไหม)

‘จะว่าไปคุณเป็นคนแรกในรอบหลายปีที่ตอบรับคำเชิญของผม ดีใจที่ได้ร่วมงานกัน ผมรับประกันว่าเราจะเป็นทีมที่ยอดเยี่ยม และแน่นอนว่าค่าตอบแทนแสนสงบที่คุณอยากได้ก็อยู่ไม่ไกลเกินจินตนาการแล้ว’

ตอบรับ? ตอบรับอะไร ผมโดนความบังเอิญบังคับโดยไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำ

แล้วน่าโมโหกว่าเดิมตรงที่เขาบอกว่าจะสื่อสาร แต่เท่าที่เห็นเขาก็ยังคงพูดอยู่ฝ่ายเดียวเหมือนเดิม

ผมถอนหายใจหนัก แล้วเกร็งมือเขียนให้เร็วก่อนที่เขาจะเขียนแทรกกลับมาอีก “อย่าหาว่าเสียมารยาท แต่ถ้าคุณยังไม่ตอบคำถามผม ผมจะออกไปฆ่าตัวตายซะ”

ถ้าหูไม่ฝาด ผมว่าผมได้ยินเสียงดังแกรกกรากดังมาจากหน้ากระดาษที่เปิดค้างไว้เหมือนอีกคนหรืออะไรสักอย่างที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกำลังไม่พอใจ

‘ตอนที่คุณอยู่ที่นี่ คุณฆ่าตัวตายไม่ได้ ถ้าไม่อยากจะให้ชีวิตหลังความตายกลายเป็นบทเวียนว่ายชำระหนี้ชั่วนิรันดร์ เลิกคิดเรื่องนั้นไปเสียดีกว่า’

ตอนนั้นผมไม่ได้สนใจสักเท่าไรว่าสิ่งที่เขาพูดหมายถึงอะไร

‘ผมรู้ว่าคุณอยากตาย การตายที่เหมือนหายไปเฉย ๆ ไม่รับรู้อะไรอีก นั่นคือสิ่งที่คุณอยากได้ และผมให้มันกับคุณได้ แค่ฟังและทำตามคำสั่งของผม’

อ่านข้อความรัวเร็วที่ปรากฏขึ้นมาคาตาประโยคแล้วประโยคเล่า ก่อนจะทำได้แค่ถอนหายใจไม่ก็พ่นลมหายใจพรืดอย่างรำคาญ เขาคาดหวังให้ผมทำตามทั้งที่ยังไม่บอกอะไรให้รู้เรื่องสักอย่าง

‘ขอโทษที ผมไม่ได้สื่อสารกับใครมานานเหลือเกิน’ เขาคงเห็นว่าผมเงียบไปนาน

ผมไม่ได้เขียนตอบกลับไปเพราะไม่รู้ว่าต้องตอบอะไร มันมีแต่เรื่องประหลาดที่จนถึงตอนนี้ผมยังไม่เข้าใจเลยว่ามันเกิดขึ้นกับผมได้ยังไง

‘ที่ถามว่าที่นี่คือที่ไหน ที่นี่คือบ้านฟาร์มของตระกูลฮัดสัน เราอยู่ที่นี่กันมาหลายชั่วอายุคน และโชคร้ายที่ผมเป็นคนที่ไม่ได้โอกาสได้สืบทายาทต่อไป ผมรู้ว่าคุณมีคำถามอีกมากมาย แต่คุณจะได้คำตอบเองตลอดระยะเวลาที่อยู่ที่นี่ เพียงแค่เชื่อผม เพราะผมเป็นเพียงคนเดียวที่คุณเชื่อใจได้และเป็นเพียงคนเดียวที่รับรู้การมีอยู่ของคุณที่นี่ คุณจะต้องพึ่งพาผมอีกมากเพื่อปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่คุณอาจไม่เคยจินตนาการมาก่อนตลอดชีวิต’

คำตอบของเขาเป็นการสาธยายยาวยืดที่ตอบคำถามผมคำเดียว ก่อนจะบอกให้ผมเลิกสงสัยและไม่ต้องถามอะไรอีก ในตอนนั้นผมรู้สึกเหมือนตัวเองชินกับการพูดจาเชิงออกคำสั่งตลอดเวลาของเขาเสียแล้ว ด้วยเหตุผลหลากหลายประกอบกัน

เป็นต้นว่า...

ผมเชื่อเต็มอกว่าตัวเองตายแล้วและนี่คือโลกที่ผมไม่รู้จัก อีกทั้งในเมื่อมันเป็นโลกหลังความตายผมที่ไม่ได้สนใจอยู่แล้วว่าจะอยู่หรือตาย ก็ยิ่งไม่สนใจความปลอดภัยใด ๆ ของตัวเองเข้าไปใหญ่ รวมถึงถ้าเขาบอกว่าเขาสามารถทำให้ผมตายไปเงียบ ๆ อย่างที่อยากทำได้ก็ถือว่าไม่เลว ผมอยากตายจะแย่ แต่ติดที่ไม่เคยกล้า แถมพอตายแล้วยังจะต้องมาใช้ชีวิตรอบสองอีก

ดังนั้นด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้แล้ว ไม่ว่าเขาจะเป็นใครหรือตัวอะไร สำหรับผมที่กำลังใช้ชีวิตที่สองอยู่นั้นก็มองมันเป็นเพียงเกมเกมหนึ่งเท่านั้น ผมจึงตัดสินใจที่จะไม่คาดคั้นเอาคำตอบที่เขาไม่ยอมตอบ และรู้เท่าที่เขาบอก

พวกตัวละครเอกในหนังแฟนตาซีมันก็เป็นแบบนี้กันทั้งนั้นไม่ใช่หรือไง อย่าคาดหวังให้ผมสงสัยอะไรนักเลย บอกตามตรงว่าผมสงสัยแต่เหนื่อยจะหาคำตอบที่ไม่มีจริงเสียแล้ว

‘อีกไม่นานนาฬิกาเรือนใหญ่ในห้องเขียนหนังสือตรงสุดทางเดินจะตีบอกเวลา 3 ทุ่มแล้ว ถ้าเผื่อคุณยังไม่ได้อ่านข้อควรรู้ที่เขียนไว้ในนั้น ผมจะบอกคุณเสียก่อนว่าเรามีกฎข้อหนึ่งที่ต้องปฏิบัติ นั่นคือ คุณจะเข้านอนไม่เกินสี่ทุ่มตรง ห้องนอนของคุณอยู่ชั้นบนซ้ายมือ’

แม้แต่การนอนผมก็ยังต้องนอนตามคำสั่ง แต่ในเมื่อตัดสินใจจะไม่กระด้างกระเดื่องแล้ว ผมก็ไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าจดจำสิ่งเขาบอกพลางเหลือบมองสมุดอีกเล่มที่คงต้องอ่านทีหลัง

“แล้วพรุ่งนี้ผมต้องทำอะไร” ผมสะบัดข้อมือเขียนถามกลับไปด้วยลายมือหวัด ๆ

‘คุณมีงานในฟาร์มต้องทำ ตื่นให้ทันระฆังโบสถ์ลั่น 4 ครั้งในตอนเช้า’

ผมชักสีหน้าหงิกเมื่อได้ยินว่าต้องทำงาน ทั้งยังฉงนเล็กน้อยเมื่อเห็นว่านาฬิกาปลุกที่เขาพูดถึงคือนาฬิกาโบสถ์ โดยในขณะเดียวกันก็มีความรู้สึกคล้ายสะเก็ดไฟสว่างวาบขึ้นภายในใจ เพราะมันฟังเหมือนพรุ่งนี้ผมมีสิ่งที่เรียกว่า เป้าหมาย เหมือนคนอื่นเขาแล้ว

ผมพยักหน้าตอบรับขณะที่เขียนอีกข้อความตอบกลับ

“เดาว่าคุณคือเจ้าของสมุด คุณเออร์เนสต์ ฮัดสันใช่ไหม ผมเกล็น พอร์เตอร์”

อีกฝั่งไม่ได้ตอบกลับในทันทีจนผมต้องเขียนเพิ่มกลับไปแก้เก้อ “แค่คิดว่าควรรู้จักกันไว้”

ผ่านไปอึดใจใหญ่ รอยหมึกสีดำก็ค่อย ๆ ซึมขึ้นมาบนหน้ากระดาษที่เหลือพื้นที่ให้พอเขียนอีกเพียงเล็กน้อย

‘ใช่ คุณเข้าใจถูก โดยหลังจากนี้ขอให้เข้าใจว่าคุณได้ตายจากการเป็นเกล็น พอร์เตอร์แล้ว นับตั้งแต่นี้ไปคุณจะดำรงชีวิตที่นี่ในฐานะเออร์เนสต์ ฮัดสัน และหนึ่งปีนับจากนี้เรามีภารกิจต้องทำร่วมกัน’

“...”

‘ยินดีที่ได้รู้จักนะ คุณเออร์เนสต์ ฮัดสัน’

 

และนั่นก็เป็นกระดาษหน้าแรกในสมุดบันทึกว่างเปล่าที่ผมเจอตอนตื่นจากความตาย