คนหนึ่งเก็บซ่อนความเศร้า อีกคนแอบซ่อนความรัก เมื่อพวกเขากลับมาพบกันอีกครั้ง หัวใจที่ถูกปิดกั้นจะยังสื่อถึงกันได้อยู่ไหม..."พูดสิว่า...รัก"

say “you love me” พูดสิว่า…รัก - Chapter 01 โดย Sweet Pea | สวีทพี @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,ดราม่า,วัยว้าวุ่น,อื่นๆ,ไทย,เพื่อนรัก,โรแมนติก,รักวัยรุ่น,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

say “you love me” พูดสิว่า…รัก

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,ดราม่า,วัยว้าวุ่น,อื่นๆ,ไทย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

เพื่อนรัก,โรแมนติก,รักวัยรุ่น

รายละเอียด

คนหนึ่งเก็บซ่อนความเศร้า อีกคนแอบซ่อนความรัก เมื่อพวกเขากลับมาพบกันอีกครั้ง หัวใจที่ถูกปิดกั้นจะยังสื่อถึงกันได้อยู่ไหม..."พูดสิว่า...รัก"

ผู้แต่ง

Sweet Pea | สวีทพี

เรื่องย่อ

คนหนึ่งเก็บซ่อนความเศร้า

อีกคนแอบซ่อนความรัก 

เมื่อพวกเขากลับมาพบกัน

หัวใจที่ปิดกั้นจะยังสื่อถึงกันได้อยู่ไหม...

"พูดสิว่า...รัก"

*

*

*

เนื้อหาบางส่วน...

“นิกม์” เสียงอ่อนโยนจากฝ่ายหญิงเรียกรั้งเขาไว้ ขณะกำลังก้าวเดินเข้าไปในบ้านของตัวเอง เขาหันกลับไปมองเธอนิ่ง ใบหน้าเรียบเฉยไม่แสดงความรู้สึกใดใดจากเธอ ทำใจเขากระตุกเล็กน้อย

“...!?” 

“เราไม่ได้จีบแกแล้วนะ” 

“ทำไมถึง...” 

“แกชอบมาทำให้เรารัก และจากเราไป” เธอพูดด้วยน้ำเสียงหยอกเยาะราวกับนี่เป็นเรื่องสนุกเรื่องหนึ่งที่เธอจะแกล้งเขา แต่เขากลับไม่ได้รู้สึกสนุกตามแม้แต่น้อย จึงตอบออกไปไม่ทันได้คิด

“คนเรามันก็ต้องมีหวั่นไหวบ้างแหละ”

สารบัญ

say “you love me” พูดสิว่า…รัก-Prologue 00,say “you love me” พูดสิว่า…รัก-Chapter 01,say “you love me” พูดสิว่า…รัก-Chapter 02,say “you love me” พูดสิว่า…รัก-Chapter 03,say “you love me” พูดสิว่า…รัก-Chapter 04,say “you love me” พูดสิว่า…รัก-Chapter 05,say “you love me” พูดสิว่า…รัก-Chapter 06,say “you love me” พูดสิว่า…รัก-Chapter 07,say “you love me” พูดสิว่า…รัก-Chapter 08,say “you love me” พูดสิว่า…รัก-Chapter 09,say “you love me” พูดสิว่า…รัก-Chapter 10

เนื้อหา

Chapter 01



Part I

นิกม์




‘เราชอบแกวะ’ 


เสียงหนึ่งดังแว่วในหัวของชายหนุ่มขณะนี้เขานั่งอยู่บนรถสองแถวประจำทาง เขามองไปรอบ ๆ และพบว่าไม่มีใครเลยนอกจากตัวเองและลุงคนขับรถซึ่งอยู่ด้านหน้า ไอลมร้อนตีใส่หน้าทำให้เขาได้สติว่าเสียงนั้นคงเป็นเสียงในความทรงจำของตัวเขาเอง

นี่เป็นครั้งแรกในรอบปีที่เขามีโอกาสได้นัดเจอกับเพื่อนสมัยมัธยมปลาย จุดหมายปลายทางในวันนี้จึงเป็นโรงเรียนมัธยมประจำจังหวัดเล็ก ๆ

กริ๊ง

ชายหนุ่มชะเง้อมองนอกรถพร้อมกดกริ่งก่อนจะเห็นป้ายโรงเรียนขนาดใหญ่ ทันทีที่รถจอดสนิทเขาก้าวลงจากท้ายรถอย่างหนักแน่นและเดินไปจ่ายค่าโดยสารกับลุงคนขับอย่างคุ้นชิน เจ้าตัวรู้สึกตื่นเต้น ประหม่าจนมือสั่นเพราะในกลุ่มเพื่อนที่นัด มีคนคนหนึ่งที่เขาอยากจะเจอมาด้วยในวันนี้

เขาสูดลมหายใจเฮือกใหญ่เข้าเต็มปอด เดินเข้าไปในโรงเรียนด้วยความคุ้นเคย ก่อนจะตรงไปยังสถานที่นัดพบกับเพื่อนอีกสองคนซึ่งก็คือ ห้องสมุด สมัยก่อนที่นั้นเป็นที่ประจำของเขากับเหล่าเพื่อน

บรรยากาศภายในโรงเรียนยเงียบสงบเช่นเคย เขาคิดว่าอาจเพราะเป็นช่วงปิดเทอมสั้น ๆ ของเด็กมัธยมจึงไม่มีใครมาโรงเรียนนอกจากอาจารย์บางท่าน บรรยากาศสงบก็จริงแต่อากาศร้อนเป็นบ้าเลย เขาหัวเสียกับสภาพอากาศทั้งที่ตอนนี้เป็นช่วงปลายปีที่อากาศควรจะเย็นแต่กลับมีแค่ลมร้อนที่พัดมาอย่างกับเปิดไดร์เป่าผมจ่อไว้ตลอดเวลา


แฮ่!

“เหี้ย!” 

เขาเผลอร้องอุทานคำหยายคายออกไปอย่างลืมตัว เมื่อจู่ ๆ โดนคนตัวเล็กกระโดดตัดหน้าเขาพร้อมกับแลบลิ้นร้องแฮ่แกล้งให้อีกฝ่ายตกใจ นิกม์ก้าวถอยหลังตามสัญชาตญาณในขณะเดียวกันเสียงหัวเราะใสแจ๋วดังลั่นของหญิงสาวตรงหน้าเรียกสติคนโดนแกล้ง

เล่นบ้าอะไรเนี่ย เขาคิดแต่ไม่ได้พูดอะไรออกไปเพราะรู้จักนิสัยของเธอดีว่าชอบแกล้งหยอกคนอื่นเป็นประจำ เขาส่งยิ้มให้คนอารมณ์ดีตรงหน้า รู้สึกเอ็นดูในความร่าเริงของเธอเหมือนเมื่อก่อน

“ตกใจขนาดนั้นเลย” เธอถามด้วยเสียงร่าเริงปนหัวเราะ

“เออดิ ขวัญเสียเลย ต้องเลี้ยงข้าวปลอบขวัญล่ะแบบนี้” 

“โธ่ ไอ้คนเห็นแก่กิน หยอกแค่นี้ทำขวัญสงขวัญเสีย” เธอว่าพร้อมทำแก้มป่อง หน้าเนียนใสอมชมพูทำให้ท่าทางนั่นดูน่ารักเป็นพิเศษ ชายหนุ่มยิ้มเขิน ๆ เพราะรู้สึกประหม่าที่ได้มาเจอกันหลังไม่ได้คุยกันมานาน จึงถามอีกฝ่าย

“แล้วคนอื่นล่ะ?” 

“เสียใจด้วยนะ วันนี้คงต้องเดตกับเราแค่สองคนแล้วแหละ” 

“อ้าว...แบบนี้ไมล์ก็ได้เลี้ยงข้าวเราคนเดียวสิ” 

“เดี๋ยววว ใครบอกจะเลี้ยง” ไมล์โต้กลับทันทีที่โดนชายหนุ่มแหย่เล่น เขาปั่นประสาทเธอหน่อย ๆ ตามนิสัยบุคคลที่กวนตีนที่สุดในสายชั้น ยิ่งหัวใจเขามันเต้นรัวแรงราวกับจะทะลุออกมาจากอกก็ยิ่งส่งให้เขาทำตัวไม่ถูกเข้าไปใหญ่ จนต้องหยอกล้อกวนใจเพื่อนสาวไปอย่างนั้น

“อ่า ๆ ไว้เดินเที่ยวโรงเรียนก่อนแล้วค่อยไปกิน เราเลี้ยงเอง ถือว่าเป็นค่าจ้างเดต” เขาหัวเราะพร้อมกับพยักหน้ารับ และเดินตามหลังเธอไป


พวกเขาเดินเล่นกันทั่วโรงเรียน เก็บเกี่ยวความทรงจำมากมายที่ผ่านพ้นไปแล้ว ระหว่างเดินไปรอบตึกนู้นตึกนี่ ทักทายอาจารย์บางท่านที่เดินผ่านไปมา ก่อนจะขึ้นไปยังห้องเรียนประจำชั้น นิกม์รู้สึกดีที่นาน ๆ ครั้งจะได้แวะเข้ามาโรงเรียนเก่า ซึมซับกับความรู้สึกเก่า ๆ ที่เคยหลงลืม สาวร่าเริงคนเดิมเริ่มวิ่งเข้าไปนั่งที่โต๊ะเรียนประจำของตัวเองด้วยความตื่นเต้น ทั้งที่เรียนจบไปแค่ปีเดียวแท้ ๆ แต่เธอกลับคิดถึงบรรยายกาศที่นี่มากมาย

โรงเรียนก็ยังให้ความรู้สึกเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนไปเลย แม้จะคิดถึงแต่ก็ไม่ได้อยากกลับมาเรียนอีก นี่เป็นเรื่องที่พวกเขาคิดตรงกันโดยไม่ได้พูดออกมา

“คิดถึงเมื่อก่อนเนอะ” ไมล์นั่งเท้าคางบนโต๊ะริมหน้าต่าง สายตาทอดมองออกไปด้านนอก เธอเหม่อมองฟ้าสีครามและแดดจ้าจนรู้สึกแสบตาเพื่อรอนิกม์ต่อประโยค

“อือ ก็คิดถึงแหละ คงเป็นเพราะผูกพันมั้ง” 

“แกคิดถึงอะไรที่สุด” เธอเอ่ยถาม เขาไม่แน่ใจนักว่าความหมายของคำถามนั่นต้องการจะสื่ออะไร แม้พยายามนึกหาคำตอบที่คิดว่าดีที่สุดสำหรับคำถามแล้วแต่ก็ยังหาไม่เจอ หรือที่จริงแล้วตัวเขาแค่ไม่กล้าพูดออกไป

'คิดถึงเธอ'

“ไม่รู้สิ” ไมล์มีสีหน้าผิดหวังกับคำตอบของอีกคน เขารู้ถ้าเป็นเขาก็คงผิดหวังไม่ต่างจากเธอ แต่เพราะไม่อาจจะรู้ได้ว่าอีกฝ่ายคาดหวังคำตอบไว้แบบไหน การไม่พูดออกไปตรง ๆ อาจจะดีซะกว่า

“สำหรับเรา เราคิดถึงแกที่สุดเลย” เธอพูดยิ้ม ๆ พร้อมกับลุกออกจากเก้าอี้ ก่อนจะเดินนำเจ้าหนุ่มทึ่มที่ไม่เคยรู้อะไรเลยออกไป นิกม์ได้แต่เฝ้ามองตามแผ่นหลังของหญิงสาวอยู่เช่นนั้น ในขณะที่ใจเต้นไม่เป็นส่ำ คำพูดที่อยากจะบอกเธอติดจุกอยู่ที่คอหอย ถ้ามีเครื่องแงะคำพูดออกจากปากเขาได้คงยอมให้ทำไปแล้ว เผื่อจะหยุดลังเลแล้วบอกอีกฝ่ายออกไปว่าคิดถึงเธอมากแค่ไหน แต่จะมั่นผิดเรื่องก็ไม่ได้ คำว่า คิดถึง ของพวกเขามันอาจจะคนละความหมายกัน

“จะไปกินข้าวป่าวเนี่ย ยืนทำอะไรอยู่ รีบ ๆ มาขึ้นรถ” 

ไมล์ส่งเสียงเรียกคนที่หลุดไปในความคิดของตัวเองขณะกำลังใส่หมวกกันน็อคสีขาวติดสติกเกอร์รูปดวงอาทิตย์หน้ายิ้มสีซีดเพราะโดนแดดเลีย เธอยืนรอที่มอไซต์สีแดงแปร๊ดคันเก่งของเจ้าตัวระหว่างรอชายหนุ่มขึ้นไปนั่งซ้อน อีกฝ่ายเห็นดังนั้นก็รีบวิ่งไปคว้าหมวกกันน็อคอีกอันที่ถูกเตรียมไว้ให้ พร้อมกระโดดขึ้นซ้อนท้ายอย่างรู้งาน

นี่ไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่อะไรสำหรับพวกเขา เพราะเมื่อก่อนก็ซ้อนท้ายรถของเธอเป็นประจำ นิกม์มักติดสอยคล้อยตามไมล์กลับบ้านอยู่เสมอ เนื่องด้วยสมัยเรียนมัธยมเขาขี่มอไซต์ไม่เป็น พาหนะที่ใช้ได้อย่างมากก็แค่จักรยาน ในสายตาของชายหนุ่มไมล์เลยเป็นผู้หญิงเก่ง แข็งแรง ในขณะที่เขาเป็นเพียงเด็กอมมือ อ่อนแอต้องคอยให้ไมล์ช่วยเตือนสติ ทั้งการเรียนและการใช้ชีวิต

เขาเคยฝึกขี่รถจักรยานยนต์นะ แต่ว่าเขาไม่คิดจะบอกอีกฝ่าย เพราะอยากจะนั่งซ้อนท้ายและมองแผ่นหลังเล็กของเธอมากกว่า เขาได้กลิ่นหอมอ่อน ๆ ลอยมาตามแรงลม เป็นกลิ่นที่เขาคุ้นเคยและคิดถึง




@ร้านหมูกระทะ

“ไหนบอกจะกินข้าว นี่มันหมูกระทะ” นิกม์ถามอีกฝ่ายทันทีที่เธอจอดรถหน้าร้านหมูกระทะ ตั้งใจหยอกหญิงสาวให้ปวดหัวเล่นและดูเหมือนจะได้ผลเมื่อเธอกลอกตามองบนพร้อมเถียงกลับไปอย่างไม่ยอมแพ้

“เออน่า อาหารเหมือนกันไหม” ไมล์ตอบยียวนเขาพร้อมเดินไปนำไปหาโต๊ะนั่งตรงมุมสุดของร้าน พวกเขาทำตัวไม่ค่อยจะถูกเท่าไหร่นักเมื่อนั่งอยู่ตรงข้ามและมองหน้าอีกคน ท่าทางเก้ ๆ กัง ๆ เคอะเขินทำให้บรรยากาศรอบตัวดูน่าอึดอัด

เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้มานั่งร้านอาหารปิ้งย่างด้วยกัน ส่วนใหญ่จะมากันเป็นกลุ่มแก๊งมากกว่า

“แกจะกินอะไรก็ไปตักก่อนเลยนะเดี๋ยวเรานั่งรอ” 

“ได้ ๆ แกเอาน้ำอะไรเดี๋ยวกดมาให้” 

เนื่องจากเป็นร้านอาหารแบบบุฟเฟ่ต์จำเป็นต้องบริการตัวเอง นิกม์จึงตั้งใจจะบริการไมล์เป็นอย่างดี ความจริงแล้วเขาเกร็งนิดหน่อยที่ได้นั่งให้เธอมองหน้า สมัยเรียนแม้จะโดนอีกฝ่ายแกล้งหยอกไว้เยอะจนภูมิต้านท้านความเขินมีมากขึ้น แต่สถานการณ์แบบนี้มันต่างกันลิบลับ

“งั้นเอาน้ำแดงละกัน” 

ระหว่างที่นิกม์เดินไปกดน้ำและตักอาหาร เขาแอบลอบสังเกตไมล์อยู่เป็นครั้งคราว เธอหยิบกล้องดิจิตอลของเธอขึ้นมาถ่ายเล่นไปพลาง ๆ ตอนนั้นเองได้มีเพื่อนผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาคุยกับเธอ ท่าทางของเจ้าตัวพูดคุยตอบกลับเขาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มร่าเริง แต่สักพักท่าทางนั้นก็พลันเปลี่ยนไป เธอหุบยิ้มและก้มหน้าลงไม่พูดอะไรต่อ ผู้ชายตัวโตยังคงพูดอะไรสักอย่างต่อ เธอจึงเงยหน้ามองพร้อมพูดบางอย่างออกไปก่อนจะยิ้มให้บาง ๆ ขณะโบกมือลากัน

เขาเดินกลับเข้าไปนั่ง คนตรงข้ามยังคงก้มหน้าก้มตาเล่นกล้องในมืออยู่ เขาจึงยื่นแก้วน้ำให้เธอ ทันทีที่เธอสังเกตเห็นมันดูเหมือนเจ้าตัวจะตกใจอยู่สักหน่อยที่เขากลับมาแล้ว เธอมองหน้าเขานิ่งแล้วรับแก้วน้ำไปจากมือของเขา เธอยังคงยิ้มให้เขาผิดกับสีหน้าที่แสดงออกกับผู้ชายคนนั้นลิบลับ

"เมื่อกี้ใครเหรอ คนที่เข้ามาคุย ใช่เพื่อนเราไหม พอดีเราเห็นแค่ข้างหลัง" นิกม์เอ่ยถาม

"อ๋อ เต๋อน่ะ มากินที่นี่เหมือนกัน ก่อนจะกลับเห็นเราเลยเข้ามาทักน่ะ" สิ้นเสียงนั้นเหมือนเธอยังอยากจะพูดอะไรสักอย่างอีก แต่สุดท้ายเธอก็ยื่นกล้องมาให้เขาพร้อมกับลุกขึ้นจากโต๊ะ "จะเอาอะไรอีกไหม เดี๋ยวเราจะไปตักเพิ่ม"

เขาส่ายหน้าแทนคำตอบพร้อมนั่งลงประจำที่ก่อนจะเอาเนื้อไปปิ้งบนกระทะร้อน ระหว่างพลิก ๆ กลับ ๆ รอเนื้อสุก คนหน้านิ่งหยิบกล้องของหญิงสาวขึ้นมาเปิดเล่นพร้อมเลื่อนดูภาพที่เธอถ่ายไว้ขณะอยู่ที่โรงเรียน

วิวรอบตัวอันคุ้นเคย สิ่งของธรรมดาที่วางมุมไว้สวยงาม ดูธรรมดาแต่น่าสนใจ เขาเลื่อนภาพไปเรื่อย ๆ และเพิ่งจะสังเกตได้ว่าอีกฝ่ายถ่ายเขาติดในเฟรมแทบทุกภาพราวกับจงใจเก็บช่วงเวลาที่มีเขาอยู่ รู้ตัวอีกทีหนุ่มหน้านิ่งยิ้มน้อยอย่างเขากลับหุบยิ้มเก็บอาการไม่เป็น กระแสความรู้สึกพองโตในหัวใจ ความหวังที่เคยริบหรี่ดูจะมีแสงนำทางอีกครั้ง


“เออหลังจากนี้ไปถ่ายรูปที่สวนเป็นเพื่อนกันหน่อยนะ” ไมล์เอ่ยขึ้นทันทีที่กลับมาพร้อมของกินเต็มมือ

“ก็ได้อยู่เหรอก ยังไงแกก็ต้องเป็นคนไปส่งเราที่บ้านนะฮ่า ๆ” เขาตอบพร้อมกับหัวเราะ สวนที่เธอว่าคือสวนสาธารณะใกล้ ทางกลับบ้านพวกเขา

“แกจะไปถ่ายอะไร มันมืดแล้วนะ” 

“ช่วงเทศกาล แสงไฟเยอะแยะ จริง ๆ แค่อยากไปถ่ายเล่นเฉย ๆ ไปเถอะน่า” 

“อ่าฮะ ยังไงก็ได้” ความจริงเขาอยากใช้เวลาร่วมกับเธอต่ออีกสักหน่อย จึงไม่คิดจะปฏิเสธ


บทสนทนาระหว่างพวกเขาพลันสดใสขึ้นเมื่อแลกเปลี่ยนเรื่องราวในช่วงที่ห่างหายกันไป พวกเขาคิดว่ามื้อนี้เป็นมื้อที่สนุกและมีความสุขที่สุดวันหนึ่ง ทว่าบรรยากาศและความสงสัยในตอนนั้นยังคงกวนใจทั้งสองทำให้เผลอรู้สึกอึดอัดในที... 

ถึงจะอยากรู้ความจริงก็ตาม แต่ทั้งคู่ไม่กล้าที่จะละลาบละล้วงถามอีกฝ่ายตามตรงและคงเป็นประเด็นอ่อนไหวที่จะส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขา


ไม่ว่าจะด้วยเรื่องใดคำถามเดียวค้างในใจชายหนุ่มคงหนีไม่พ้น...


'ไมล์ แกยังชอบเราอยู่ไหมวะ'