คนหนึ่งเก็บซ่อนความเศร้า อีกคนแอบซ่อนความรัก เมื่อพวกเขากลับมาพบกันอีกครั้ง หัวใจที่ถูกปิดกั้นจะยังสื่อถึงกันได้อยู่ไหม..."พูดสิว่า...รัก"
รัก,ดราม่า,วัยว้าวุ่น,อื่นๆ,ไทย,เพื่อนรัก,โรแมนติก,รักวัยรุ่น,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
say “you love me” พูดสิว่า…รักคนหนึ่งเก็บซ่อนความเศร้า อีกคนแอบซ่อนความรัก เมื่อพวกเขากลับมาพบกันอีกครั้ง หัวใจที่ถูกปิดกั้นจะยังสื่อถึงกันได้อยู่ไหม..."พูดสิว่า...รัก"
คนหนึ่งเก็บซ่อนความเศร้า
อีกคนแอบซ่อนความรัก
เมื่อพวกเขากลับมาพบกัน
หัวใจที่ปิดกั้นจะยังสื่อถึงกันได้อยู่ไหม...
"พูดสิว่า...รัก"
*
*
*
เนื้อหาบางส่วน...
“นิกม์” เสียงอ่อนโยนจากฝ่ายหญิงเรียกรั้งเขาไว้ ขณะกำลังก้าวเดินเข้าไปในบ้านของตัวเอง เขาหันกลับไปมองเธอนิ่ง ใบหน้าเรียบเฉยไม่แสดงความรู้สึกใดใดจากเธอ ทำใจเขากระตุกเล็กน้อย
“...!?”
“เราไม่ได้จีบแกแล้วนะ”
“ทำไมถึง...”
“แกชอบมาทำให้เรารัก และจากเราไป” เธอพูดด้วยน้ำเสียงหยอกเยาะราวกับนี่เป็นเรื่องสนุกเรื่องหนึ่งที่เธอจะแกล้งเขา แต่เขากลับไม่ได้รู้สึกสนุกตามแม้แต่น้อย จึงตอบออกไปไม่ทันได้คิด
“คนเรามันก็ต้องมีหวั่นไหวบ้างแหละ”
วันปัจฉิมนิเทศ
นิกม์เดินเข้ามาในห้องเรียนเพื่อรื้อของที่ระลึกซึ่งติดไว้ตามเสื้อนักเรียนโดยมีเพื่อนร่วมรุ่นเป็นคนมาติดไว้ให้เพื่อขอบคุณและกล่าวอำลากัน เนื่องจากมันเยอะเกินไปจึงต้องเอามันออกเสียบ้าง ขืนเขาออกไปจากโรงเรียนสภาพนี้คงจะสร้างความลำบากในการเดินทางไม่ใช่น้อยแถมยังจะเป็นเป้าสายตาอีกต่างหาก
ไม่นานชุดนักเรียนที่เคยเต็มไปด้วยของฝากจากเพื่อน ๆก็หายไปจนหมด เหลือไว้เพียงรอยปากกาที่เขียนข้อความจารึกไว้บนเสื้อเท่านั้น ถือเป็นความทรงจำที่จะทำให้เราได้นึกถึงช่วงเวลานี้ แม้สุดท้ายมันอาจจะถูกยัดทิ้งไว้ในลิ้นชักจนเน่าก็ตามที
“นิกม์” ไมล์เรียกชื่อของนักเรียนชายหัวเกรียนจากหน้าห้องเรียนขณะที่กำลังเก็บของบนโต๊ะซึ่งได้รับจากรุ่นน้องหลังเสร็จพิธีจบการศึกษา เขาหันไปมองเธอพร้อมกับทำหน้าสงสัย เอียงคอเล็กน้อยให้เด็กสาวในชุดนักเรียนซึ่งอยู่หน้าประตู “กลับบ้านด้วยกันไหม” เธอถามขึ้น เขาจึงพยักหน้าแทนคำตอบ รีบยัดของบนโต๊ะใส่ถุงกระดาษและเดินไปหาไมล์ดูเธอเองก็มีของเยอะพอสมควร เธอวางถุงกระดาษลงและรื้อหาของในกระเป๋าเป้นักเรียน
“เราให้” เธอยื่นดอกเดซี่ช่อเล็กให้เขาพร้อมกับการ์ดใบจิ๋ว เขารับมาพร้อมยิ้มขอบคุณและให้ของที่ระลึกจากเขาเพื่อตอบแทนเธอ
“ขอบคุณนะไมล์”
“เอาปากกามานี่ เดี๋ยวเราเขียนเสื้อให้” ยังไม่ทันได้ตอบอะไรเธอก็หยิบปากกาที่ใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อของเขาไป แล้วดันตัวเขาให้หันไปข้าง ๆ ก่อนจะเริ่มละเลงปากกาสีลงตรงปกเสื้อ เธอเขียนหยุกหยิกอยู่นานจนเขาชักจะอยากรู้แล้วว่าเธอเขียนอะไรไปบ้าง แน่นอนว่าทันทีที่ไมล์เขียนเสร็จเขาก็ต้องเขียนอะไรลงไว้บนเสื้อนักเรียนเธอบ้าง เผื่อวันใดพวกเขาเกิดคิดถึงช่วงเวลานี้ขึ้นมาจะได้มีอะไรไว้ดูต่างหน้า
บรรยากาศรอบตัวพวกเขาคึกคักไปด้วยกิจกรรมต่าง ๆ ที่จัดขึ้นเพื่ออำลารุ่นพี่ ทว่าระหว่างเดินไปยังลานจอดรถของโรงเรียน ไมล์ที่มักจะมีบทสนทนามากมายกลับเงียบผิดปกติ
การบ่นเรื่องเล็กน้อยในชีวิตประจำวันจนถึงการแนะนำหนังสือเล่มใหม่ให้เขาได้ไปลองอ่านเป็นช่วงเวลาที่เขาสนุกและได้รับพลังงานใหม่ ๆ จากเธอเสมอ แค่คิดว่าวันนี้จะเป็นช่วงเวลาสุดท้ายที่พวกเขาจะได้เจอกันก็ทำให้ตัวเขาใจหวิวไม่น้อยเขาคิดไปเรื่อยเปื่อยถึงแม้จะสงสัยว่าทำไมไมล์เงียบไม่พูดไม่จาแต่เขาไม่คิดจะเปิดบทสนนาใด ๆ นิกม์เพียงแค่เดินตามไมล์ไปอย่างเงียบเชียบ มองการแกว่งไปมาของผมหางม้าสีดำเงาซึ่งเคลื่อนไหวตามจังหวะการเดินของเจ้าตัว
“ไมล์” เขาส่งเสียงเรียกคนข้างหน้าให้หันกลับมา
“มีอะไรเหรอ?” เจ้าตัวหันกลับมาถาม ทำหน้าสงสัยเล็กน้อย เขาจึงรีบก้าวเข้าไปใกล้เธอ ทำให้ระยะห่างของพวกเขาเหลือเพียงนิดเดียว เขาก้มลงมองใบหน้าเรียวยาว แก้มเนียนอมชมพู ริมฝีปากบางเล็ก ยิ่งไปกว่านั้นเหมือนเขาโดนสะกดเมื่อสายตาเลื่อนขึ้นไปประสานกับดวงตากลมโต นัยน์ตาสีนิลแม้จะดูแข็งกร้าว แต่ก็มีเสน่ห์ที่น่าดึงดูด
เขาเอื้อมมือขึ้นไปผูกริบบิ้นสีขาวซึ่งทำท่าจะหลุดออกจากผมหางม้าของไมล์ ใช้เวลาตรงนั้นอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกเหมือนต้องกลั้นหายใจเพราะกลัวอีกฝ่ายจะจับได้ว่ากำลังทำตัวไม่ถูก เธอเหลือบมองเขาอย่างเขินอาย ก่อนจะก้าวถอยหลังหนึ่งก้าวเพื่อรักษาระยะห่างให้พอดี
“ขอบคุณนะตัวเอง ดูแลดีขนาดนี้มาเป็นที่รักเค้าเถอะ” ไมล์เงยหน้ายิ้มทะเล้นใส่ พร้อมกับพูดจาหยอกล้อเช่นเคย เธอเข้ามาควงแขนแล้วลากเขาเดินไปเคียงคู่เธอด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส จนเขาลืมท่าทางเขินอายของเธอเมื่อกี้ไปเสียสนิท สรุปยัยนี่คงแกล้งเขินอีกตามเคย เขาคิด
บางครั้งเขาก็ไม่เข้าใจเธอที่มักทำตัวเป็นแฟนของเขาตลอด การแสดงออกต่าง ๆ ไม่ว่าจะคำพูดคำจา พวกสรรพนามแบบคู่รัก ทว่าบ่อยครั้งก็มักแสดงออกอย่างจริงจัง จนเขาแอบเก็บไปคิดอยู่บ่อย ๆ ว่าที่เธอแสดงออกทั้งหมดเป็นเพราะคิดจีบเขาจริงจังหรือแค่แกล้งหยอกให้เขาสับสนกันแน่นะ
ไม่นานรถจักรยานยนต์สีแดงก็มาจอดอยู่ที่หน้าบ้านของนิกม์ เขารีบลงจากรถพร้อมขอบคุณไมล์ที่มักให้เขาติดรถมาด้วยเป็นประจำเพราะหลังผ่านวันนี้ไปพวกเขาคงไม่สามารถไปกลับด้วยกันแบบนี้ได้อีกแล้ว
นิกม์โบกมือลาหญิงสาวที่ยังนั่งคร่อมบนรถจักรยานยนต์อยู่ จังหวะที่เขาหันหลังกำลังจะก้าวเข้าไปในบ้าน จู่ ๆ ไมล์ก็ดับเครื่องยนต์ ตั้งขาตั้งรถลง เธอเอี้ยวตัวมาทางเขาแม้เจ้าตัวจะยังคงนั่งอยู่บนเบาะตามเดิม
“ดับรถทำไม จะอยู่เล่นก่อนเหรอ” เขาฉงนใจจึงถามขึ้น
เธอกระโดดลงจากรถ สาวเท้าตรงมาทางเขา อีกทั้งคว้ามือขวาไปจับและบีบมันเบาเบาราวกับต้องการจะสื่อบางอย่าง เธอสูดลมหายใจเข้าลึกและปล่อยมันออกอย่างแรง พร้อมกับค่อย ๆ เผยอปากตั้งท่าจะพูดสิ่งที่ติดค้างในใจ
“เราชอบแกวะ” ราวกับรอบข้างดับวูบไป เขาจ้องดวงตากลมโตอันแข็งกร้าวนั่น ทว่านัยน์ตาสีนิลสั่นระริกราวกับตื่นกลัวสิ่งที่ตนได้เปล่งออกมา พวกเขาสบสายตากันนิ่ง ในหัวของชายหนุ่มขาวโพลนทำตัวไม่ถูกว่าจะตอบรับอีกฝ่ายยังไงดี จนกระทั่งไมล์บีบมือเขาเพื่อเรียกสติกลับมา
“เราขอโทษนะไมล์ คือว่า...” เขาเงียบไปครู่หนึ่ง
“...”
“เรื่องนี้… ค่อยคุยกันอีกทีได้ไหม หลังได้เข้ามหา’ ลัยแล้ว”
“แสดงว่าเรารอแกได้ใช่รึเปล่า” เขาลังเลที่จะให้คำตอบใด ๆ แก่เธอ ในหัวมีความคิดหลากหลายวิ่งวนชนกันไปมามากมาย จนตัดสินใจอะไรไม่ได้ สิ่งที่เขาแน่ใจคือ ตัวเขาน่ะเหรอที่ไมล์ชอบ เขามีอะไรน่าสนใจงั้นเหรอ? หรือเธอแค่แกล้งเขาเล่นอีก ความสับสนกับท่าทางทีเล่นทีจริงเหล่านี้ อันไหนจริงอันไหนหลอกกันนะ...
ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้สึกดีกับเธอ เขารู้ตัวดีว่าค่อนข้างรู้สึกพิเศษกับเธอมากกว่าผู้หญิงคนอื่น ๆ ที่เขารู้จัก แต่ตัวเขาเองขี้ขลาดเกินกว่าจะรับรักใครในตอนนี้ คิดเพียงว่าคนอย่างเขาจะรักษาความรักไว้ได้ไหมก็แค่นั้น
เขาปล่อยมือของไมล์ลงอย่างเชื่องช้า ก้าวถอยหลังออกห่างจากเธอ ดูเธอไม่ออกว่ารู้สึกอย่างไรกับการที่โดนปฏิเสธอ้อม ๆ เช่นนี้ แต่ที่แน่ใจคือแววตาแข็งกร้าวก่อนหน้านี้กำลังมีน้ำใส ๆ รื้นขึ้นมา ไมล์หันหลังกลับไปที่รถจักรยานยนต์คันเก่งและขี่มันออกไปโดยไม่มีคำบอกลาใดใด
ทันทีที่ไมล์จากไป เขาทำได้เพียงมองตามรถจักรยานยนต์วิ่งออกห่างจนลับสายตา อยู่ ๆ ร่างกายก็หนักอึ้งราวกับแบกโลกทั้งใบ เกิดความรู้สึกเจ็บหน่วงบริเวณหน้าอก ไม่สามารถอธิบายมันออกไปเป็นคำพูดได้ รู้แต่เพียงว่าเขาต้องขอโทษกับกระทำอันโง่เขลานี้กับเธอ
รู้สึกผิดที่เป็นต้นเหตุทำให้ดวงตาอันสดใสนั้นต้องเศร้าหมองพวกเขาขาดการติดต่อกันไปนับจากวันนั้นซึ่งตัวเขาเองไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่านั่นจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้พบกับไมล์
แชะ!
ภาพความทรงจำระหว่างเขากับไมล์ในอดีตถูกตัดไปด้วยเสียงชัตเตอร์ของกล้อง เขาเงยหน้ามองคนหลังกล้องซึ่งเป็นคนลั่นชัตเตอร์ช่วงขณะที่จิตใจล่องลอยโหยหาสิ่งที่ได้ผ่านไปแล้ว สายตาของเขาเผลอมองไปหาไมล์ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ในหัวยังคงมีคำถามว่าเธอรู้สึกเช่นไรกันแน่จนกระทั่งตอนนี้
“นิกม์ แกเป็นไรรึเปล่า ทำไมเหม่อจัง” ไมล์เอยถาม
“ไม่มีอะไร คิดเรื่อยเปื่อยน่ะ”
“โอยที่รักไม่ต้องเขินเราก็ได้ อยู่ใกล้แค่นี้เองไม่ต้องใจลอยคิดถึงเราขนาดนั้นเหรอกจ้า”
“นี่แน่ะ พูดหยอดแล้วจีบเล่น ๆ ห้ามจีบนะครับ ผมหวงตัว” เขาดีดหน้าผากไมล์อย่างเอ็นดูหลังจากที่เธอพูดติดตลกให้เขา
ขวยเขิน
“โอย เจ็บนะเว้ย” เธอโวยวายไปพลางลูบหน้าผากไปพลาง สักพักก็เหมือนปิ๊งไอเดียขึ้นมา ไมล์ยกกล้อง DSLR ในมือให้เขาดูพร้อมกับยักคิ้วใส่ เขาไม่เข้าใจสักเท่าไหร่ว่าไอ้ท่าทางแบบนั้นมันคืออะไร
“อะไร แกมองหน้าทำไม”
“มาถ่ายรูปคู่กัน”
“ใช้กล้องโปรมาเชลล์ฟี่เนี่ยนะ มือถือก็มีไหม” เขาจึงเขกหัวยัยไมล์อีกหนึ่งโบก
“เออน่า กล้องมือถือมันมืด ใช้อันนี้แหละ” เธอว่าพร้อมกับยื่นกล้องตัวใหญ่ไปข้างหน้า หันเลนส์มาทางพวกเขา ด้วยระยะที่มันค่อนข้างใกล้ทำให้พวกเขาต้องขยับร่างกายเข้ามาแนบชิดกัน ตัวของเธอซ้อนอยู่ข้างหน้า หญิงสาวตัวเล็กกว่าเขานิดหน่อย นิกม์จึงโน้มตัวลงไปให้ใบหน้าของพวกเขาอยู่ในระดับเดียวกัน เขาใจเต้นตึกตักยากที่จะควบคุมให้สงบลง แก้มของทั้งสองอยู่ใกล้กันจนแทบจะแนบติดกัน
ราวกับได้ย้อนกลับไปในช่วงเวลาก่อนการสารภาพรักของไมล์ ระยะห่างระหว่างพวกเขาหดสั้น ความจริงที่เขาเคยปฏิเสธ คำสารภาพรักของเธอนั้นไม่เคยเกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยห่างหายไปไหน นิกม์ตระหนักแล้วว่าไมล์ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยไม่ว่าจะเป็นอดีตหรือปัจจุบันนี้
ในที่สุดเขาก็เข้าใจเสียทีว่ามีเพียงเขาเองที่นั่งเจ็บปวดกับเหตุการณ์ครั้งนั้น เพราะไม่สามารถรักษาคนที่รักจนหมดหัวใจไว้ได้ และโง่ที่ปล่อยคนสำคัญหลุดมือไปโดยไม่คิดจะทำอะไรเลย ไม่เคยรู้ตัวว่ารักอีกฝ่ายมากเพียงใด
ทุกอย่างได้ผ่านเลยไปไม่อาจหลีกหนีความจริง เขาได้สูญเสียผู้คนที่เขารักเพราะความขลาดกลัวของเขาเอง