คนหนึ่งเก็บซ่อนความเศร้า อีกคนแอบซ่อนความรัก เมื่อพวกเขากลับมาพบกันอีกครั้ง หัวใจที่ถูกปิดกั้นจะยังสื่อถึงกันได้อยู่ไหม..."พูดสิว่า...รัก"
รัก,ดราม่า,วัยว้าวุ่น,อื่นๆ,ไทย,เพื่อนรัก,โรแมนติก,รักวัยรุ่น,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
say “you love me” พูดสิว่า…รักคนหนึ่งเก็บซ่อนความเศร้า อีกคนแอบซ่อนความรัก เมื่อพวกเขากลับมาพบกันอีกครั้ง หัวใจที่ถูกปิดกั้นจะยังสื่อถึงกันได้อยู่ไหม..."พูดสิว่า...รัก"
คนหนึ่งเก็บซ่อนความเศร้า
อีกคนแอบซ่อนความรัก
เมื่อพวกเขากลับมาพบกัน
หัวใจที่ปิดกั้นจะยังสื่อถึงกันได้อยู่ไหม...
"พูดสิว่า...รัก"
*
*
*
เนื้อหาบางส่วน...
“นิกม์” เสียงอ่อนโยนจากฝ่ายหญิงเรียกรั้งเขาไว้ ขณะกำลังก้าวเดินเข้าไปในบ้านของตัวเอง เขาหันกลับไปมองเธอนิ่ง ใบหน้าเรียบเฉยไม่แสดงความรู้สึกใดใดจากเธอ ทำใจเขากระตุกเล็กน้อย
“...!?”
“เราไม่ได้จีบแกแล้วนะ”
“ทำไมถึง...”
“แกชอบมาทำให้เรารัก และจากเราไป” เธอพูดด้วยน้ำเสียงหยอกเยาะราวกับนี่เป็นเรื่องสนุกเรื่องหนึ่งที่เธอจะแกล้งเขา แต่เขากลับไม่ได้รู้สึกสนุกตามแม้แต่น้อย จึงตอบออกไปไม่ทันได้คิด
“คนเรามันก็ต้องมีหวั่นไหวบ้างแหละ”
เสียงดนตรีแจ๊สเนิบช้า คลอภายในร้านกาแฟแห่งหนึ่ง บรรยากาศผ่อนคลาย ลูกค้ามีไม่มากนักจึงยิ่งทำให้รอบข้างไม่วุ่นวาย นิกม์มองออกไปนอกกระจกร้านชื่นชมสวนหย่อมสไตล์ญี่ปุ่นร่มรื่น ไผ่ลู่ลมชวนให้ใจสงบ ต่างจากเสียงแชตข้อความของคนตรงข้ามที่ดังอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่มานั่งที่ร้านก็ไม่ได้พูดคุยกับเขานอกจากถามว่าจะสั่งอะไร จะกินเค้กกับเธอไหม
เขาจิบกาแฟพลางลอบมองหญิงสาวตรงหน้าที่กำลังจดจ่ออยู่กับหน้าจอโทรศัพท์มือถือและบทสนทนาในกล่องข้อความนั้นมากกว่าคนที่มาด้วยอย่างเขา นิกม์แอบมองท่าทางของหญิงสาวอยู่เงียบเชียบ แม้จะดูไม่สนใจอะไร แต่กลับรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าระยะห่างระหว่างพวกเขามันได้ถูกทำลายลงไปแล้ว พวกเขาสนิทสนมกันมากขึ้น เริ่มพูดคุยหยอกล้อกันได้แถมยังมากกว่าสมัยมัธยมปลายเสียด้วยซ้ำ
ตลอดทั้งสัปดาห์นับจากกลับมาเจอกัน พวกเขาไปถ่ายรูปตามสถานที่ต่าง ๆ ภายในเมืองเล็กแห่งนี้และจบลงที่ร้านกาแฟร้านใดร้านหนึ่งหลังเสร็จภารกิจ ไมล์เป็นฝ่ายชวนเขาเนื่องจากเจ้าตัวมีโปรเจคงานถ่ายภาพของมหาลัยที่เธอต้องทำให้เสร็จ ระหว่างที่ไปเธอมักจะอัปโหลดรูปที่ถ่ายและเช็คอินพร้อมแท็กชื่อเขาลงโซเซียลเสมอ เหตุนั้นเพื่อน ๆ ในไทม์ไลน์จึงดูสนอกสนใจในความสัมพันธ์ของทั้งคู่ แน่นอนว่าไม่มีใครไม่รู้เรื่องระหว่างเขาและคนรักเก่า
น่าประหลาดใจที่ไมล์ไม่รู้เรื่องนี้หรือกำลังทำเป็นไม่รู้?
ยังไงก็ตามเขาไม่คิดจะเล่าให้เธอต้องมารับรู้ความทุกข์ของเขา เพราะเรื่องบางเรื่องต่อให้พูดออกไปก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงทั้งยังจะทำให้อีกฝ่ายอึดอัดไปด้วยเสียเปล่า ๆ ดังนั้นเขาตัดสินใจจะลืมมันไปให้หมด ทิ้งอดีตไว้ในอดีตปล่อยมันไว้อย่างนั้นคิดว่าดีที่สุดแล้วต่อทุกคน
นิกม์ยอมรับว่าช่วงเวลาเหล่านี้อาจจะยอดเยี่ยมที่สุดในชีวิตของเขาแล้วก็ได้ ตัวเขาสบายใจทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้หญิงสาวร่าเริงคนนี้ ความสดใสจากไมล์กำจัดความเศร้าหมองออกจากตัวเขาไปโดยสิ้นเชิง สายตาเขาจ้องมองไปยังสาวยิ้มเก่งตรงหน้า เพิ่งจะรู้สึกว่าตัวเองกำลังยิ้มตามอีกฝ่ายอยู่ก็ตอนที่รอยยิ้มสดใสจากไมล์ผลิบาน
“ยิ้มบ้าอะไรของแกนิกม์” ไมล์ถามเสียงกลั้วหัวเราะ เจ้าตัวอมยิ้มเพ่งมองกดดันจะเอาคำตอบ เขาเลิ่กลั่กหน้าเริ่มร้อนผ่าวเมื่อรู้คำตอบในใจ เพียงแต่จะให้บอกโต้ง ๆ ว่ากำลังคิดถึงความอิ่มเอมใจซึ่งได้รับจากเจ้าของคำถามก็เกรงว่าจะคล้ายกับคำสารภาพรัก
“โอยยยยฟินมากแก เค้กนุ่มละลายในปากสุด ๆ” แต่ตัวเธอคงไม่ได้สนใจกับคำตอบแล้ว หลังจากเจ้าตัวได้ลิ้มรสหอมหวานจากเค้กของร้านกาแฟที่พวกเขานั่งมาได้สักพักใหญ่ หน้าตามีความสุขอะไรขนาดนั้นคุณเธอ เขาส่ายหน้าไม่เข้าใจอีกฝ่ายแต่ไม่วายลอบอมยิ้มอยู่ลำพัง
“อร่อยขนาดนั้นเลย มันก็เหมือนกันทุกร้านนั่นแหละน่า”
เธอมองตาค้อนใส่เขา ดึงช้อนที่คาบอยู่ในปากออกพร้อมกับตักเค้กคำโตยื่นมาให้เขาลิ้มลอง
“ลองชิมดูสิ อ้ามมมมม” ถึงจะเขินกับการโดนไมล์ป้อนเค้กกลางร้านกาแฟแต่เอาเข้าจริงคงไม่มีใครมานั่งสนใจเหรอก เอ๊ะ...เมื่อกี้มันเรียกว่าจูบทางอ้อมรึเปล่านะ เขาชักจะเพ้อเจ้อไปกันใหญ่ นี่เขากำลังคิดบ้าอะไรอยู่วะเนี่ย
“แกมีแฟนรึเปล่า” หน้าเขาเหวอไปเลยเหตุมาจากตอบสนองต่อความเร็วในการเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไม่ทัน ยังไม่ทันได้ตอบเลยว่ารสชาติเค้กเป็นยังไงก็พาโบยไปเรื่องอื่นซะงั้น แถมยังเป็นหัวข้อตอบยากอีก
“ไม่มีหรอก”
“จริงดิ!? ไหงเป็นงั้นไปได้ท่าทางแกออกจะมีคนรุมล้อม”
“นั่นมันแกต่างหาก คนเข้ามาจีบเยอะเลยสิ เลือกใครมาเป็นแฟนสักคนยัง”
“ยังไม่มีเหรอก รอใครสักคนชัดเจนกว่านี้ก่อน...” ดวงตาเธอฉายแววเศร้าหม่นจนเขาแปลกใจ อีกทั้งตัดบทจบย้อนมาที่เรื่องของเขาอีกครั้งทันที “เออ ช่างเถอะ ว่าแต่แกล่ะ ทำไมไม่มีแฟนสักที อย่าบอกนะว่าไม่คิดจะนอกใจเราไปมีคนอื่นน่ะ ฮ่า ๆ”
เหลือเชื่อจริง ๆ เลย ยังจะแกล้งพูดเล่นอีก...
“จะว่าไงดีละ มันก็มีนะแต่เขาไม่อยู่แล้ว”
“เลิก?”
“จะเรียกแบบนั้นก็ได้”
“อื้อ เสียใจด้วย ขอโทษที่ถามขึ้นมานะ”
"ช่างเถอะน่า ไม่ได้คิดมากอยู่แล้ว"
บรรยากาศชวนอึดอัดเกิดขึ้นระหว่างพวกเขา บทสนทนาจึงสิ้นสุดลงเพียงเท่านั้น ไมล์ไม่ได้เอ่ยถามเรื่องใดใดต่อและก้มหน้าก้มตาจิบกาแฟร้อนคู่กับเค้กอย่างเงียบเชียบ มีบางคราที่เธอดูลังเลราวกับยังมีคำถามที่ติดค้างแต่ลงเอยโดยไม่เอ่ยปากพูดเลยแม้แต่คำเดียว
บ้านนิกม์
ยามค่ำคืนจันทร์ขึ้นเต็มดวงส่องสว่าง ลมกรรโชกผ่านมาวูบหนึ่ง ผมยาวสลวยพัดปลิวไปตามแรงลม กลิ่นหอมอ่อนจางจากตัวหญิงสาวโชยให้อีกฝ่ายใจเต้นตึกตัก พวกเขาสบสายตาประสานกันเสี้ยววินาทีก่อนไมล์จะเสมองไปทางอื่น สถานการณ์ชวนเขินกับท่าทีอึกอักของแต่ละคน ดูท่าชายหนุ่มต้องตัดใจและบอกลาเธอเพื่อปล่อยให้พวกเขาเป็นอิสระจากความกระอักกระอ่วนนี้เสียที
“นิกม์” เสียงอ่อนโยนจากฝ่ายหญิงเรียกรั้งเขาไว้ ขณะกำลังก้าวเดินเข้าไปในบ้านของตัวเอง เขาหันกลับไปมองเธอนิ่ง ใบหน้าเรียบเฉยไม่แสดงความรู้สึกใดใดจากเธอ ทำใจเขากระตุกเล็กน้อย
“...!?”
“เราไม่ได้จีบแกแล้วนะ”
“ทำไมถึง...”
“แกชอบมาทำให้เรารัก และจากเราไป” เธอพูดด้วยน้ำเสียงหยอกเยาะราวกับนี่เป็นเรื่องสนุกเรื่องหนึ่งที่เธอจะแกล้งเขา แต่เขากลับไม่ได้รู้สึกสนุกตามแม้แต่น้อย จึงตอบออกไปไม่ทันได้คิด
“อย่าพูดแบบนี้สิ คนเราก็มีหวั่นไหวกันบ้างนะ”
“ฮะ!? นี่แกใช่นิกม์แน่เหรอ เป็นร่างโคลนนิ่งรึเปล่าเนี่ย”
“เออตัวจริงเว้ย คิดว่าใครยื่นหัวโด่อยู่นี่ครับ โคลนนิ่งอะไรเถียงได้” เขาตอบกลับไปทั้งที่ตัวเองเพิ่งจะมาฉุกคิดได้ว่าฟังยังไงก็ไม่ใช่ตัวเขาจริง ๆ เขาไม่เคยพูดจาทำนองนี้กับไมล์ คำพูดเมื่อกี้บ่งบอกว่าลึกลงไปในใจเขายังคงอยากให้เธอรักและตามหยอกล้อเขาเช่นเดิม
“ฮ่า ๆ งั้นเหรอ” ไมล์หัวเราะดังลั่นพร้อมกับพุ่งตรงเข้ามาใส่เขา ง้างมือสองข้างตบแก้มสองฝั่งของเขาถึงแม้จะไม่ได้ทำให้รู้สึกเจ็บอะไรแต่ก็แรงพอที่จะทำให้รู้สึกตัวว่าเขามันช่างไร้สติเสียเหลือเกิน เธอพูดงึมงำบางอย่างก่อนประคองหน้าเขาให้จ้องสบตาเธอ ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ตลอดเวลาอาทิตย์กว่า เราได้กลับมาเจอกัน ไปนู้นไปนี่ด้วยกัน...ฮึ” ไมล์พูดขึ้นโดยไม่ได้ผลักมือออกจากเขา จังหวะหนึ่งถ้าเข้าใจไม่ผิดเหมือนมีเสียงสะอื้นเล็กน้อย เธอจึงเว้นช่วงไว้
“...”
“แกไม่รู้สึกว่านี่มันบ้าบ้างเหรอ เราใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ด้วยกัน มันไม่แปลกไปหน่อยเหรอ”
“ไม่เห็นจะแปลกอะไรสักหน่อย”
“แปลกสิ...!! แปลกมากด้วย”
สิ้นเสียงกราดเกรี้ยวจากไมล์ เธอผลักตัวเองออกจากเขา สายตาจ้องเขาดุดัน พวกเขาประสานตากันนิ่ง ภายในใจเต็มไปด้วยความลังเล ยิ่งเธอไม่ละสายตาออกจากเขามันยิ่งทำให้สับสนว่ามันจะแปลกอะไรที่พร้อมจะกลับมาสนิทกันเช่นเดิม
“ไมล์”
“แกทำแบบนี้กับเราได้ไง นี่แกยังจะปิดบังเราไปเพื่ออะไรวะ”
“แกหมายถึงอะไร”
“เราเจ็บนะเว้ย โดยเฉพาะเรื่องแฟนแกที่...”
“ภีมเสียแล้ว” เขาพูดตัดบทจบอย่างแผ่วเบา ก่อนที่ไมล์
จะได้เอ่ยคำใดใดต่อ
“อือ เรารู้จากเต๋อแล้ว”
“นั่นสินะ”
“เรารอฟังจากแก แต่แกก็ไม่พูดสักที ทุกครั้งที่เรามองหน้าแกคำพูดของเต๋อก็ลอยเข้ามา มันทำให้อึดอัดมากเลยนะ”
“เราทำใจได้แล้ว ตั้งนานแล้วด้วย เลยคิดว่าไม่พูดให้แกอึดอัดจะดีกว่าไง” ทำไมอยู่ ๆ ตัวเขาก็พูดประโยคนี้ออกไปได้โดยไม่ได้เจ็บปวดอะไร จริงอยู่ว่าภีมคนรักของเขาเสียไปตั้งนานแล้วแต่ยังไงเขาก็ยังทำใจไม่ได้อยู่ดีนั้นแหละ และการมาพูดมันออกไปโต้ง ๆ แบบนี้ ทำเขายิ่งรู้สึกผิดต่อภีมมากขึ้นกว่าเดิม
“เราขอโทษนะนิกม์ ไม่ได้ตั้งใจจะทำแกอึดอัด เราเข้าใจแล้วถ้าแกไม่อยากเล่าอดีตก็ไม่เป็นไร” ว่าจบเธอก็หันหลังกลับไปขึ้นคร่อมรถมอไซต์คันเก่ง ทิ้งเรื่องไว้ให้คาราคาซังตามเคย “เราไม่อยากจะคาดหวังอะไรจากความสูญเสียของนิกม์นะ” เธอทิ้งท้ายเพียงแค่นั้นและจากไปอีกครั้ง ภาพวันนี้ช่างเหมือนกับวันนั้น...
วันที่เราได้พบกันเป็นครั้งสุดท้าย