คนหนึ่งเก็บซ่อนความเศร้า อีกคนแอบซ่อนความรัก เมื่อพวกเขากลับมาพบกันอีกครั้ง หัวใจที่ถูกปิดกั้นจะยังสื่อถึงกันได้อยู่ไหม..."พูดสิว่า...รัก"

say “you love me” พูดสิว่า…รัก - Chapter 05 โดย Sweet Pea | สวีทพี @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,ดราม่า,วัยว้าวุ่น,อื่นๆ,ไทย,เพื่อนรัก,โรแมนติก,รักวัยรุ่น,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

say “you love me” พูดสิว่า…รัก

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,ดราม่า,วัยว้าวุ่น,อื่นๆ,ไทย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

เพื่อนรัก,โรแมนติก,รักวัยรุ่น

รายละเอียด

คนหนึ่งเก็บซ่อนความเศร้า อีกคนแอบซ่อนความรัก เมื่อพวกเขากลับมาพบกันอีกครั้ง หัวใจที่ถูกปิดกั้นจะยังสื่อถึงกันได้อยู่ไหม..."พูดสิว่า...รัก"

ผู้แต่ง

Sweet Pea | สวีทพี

เรื่องย่อ

คนหนึ่งเก็บซ่อนความเศร้า

อีกคนแอบซ่อนความรัก 

เมื่อพวกเขากลับมาพบกัน

หัวใจที่ปิดกั้นจะยังสื่อถึงกันได้อยู่ไหม...

"พูดสิว่า...รัก"

*

*

*

เนื้อหาบางส่วน...

“นิกม์” เสียงอ่อนโยนจากฝ่ายหญิงเรียกรั้งเขาไว้ ขณะกำลังก้าวเดินเข้าไปในบ้านของตัวเอง เขาหันกลับไปมองเธอนิ่ง ใบหน้าเรียบเฉยไม่แสดงความรู้สึกใดใดจากเธอ ทำใจเขากระตุกเล็กน้อย

“...!?” 

“เราไม่ได้จีบแกแล้วนะ” 

“ทำไมถึง...” 

“แกชอบมาทำให้เรารัก และจากเราไป” เธอพูดด้วยน้ำเสียงหยอกเยาะราวกับนี่เป็นเรื่องสนุกเรื่องหนึ่งที่เธอจะแกล้งเขา แต่เขากลับไม่ได้รู้สึกสนุกตามแม้แต่น้อย จึงตอบออกไปไม่ทันได้คิด

“คนเรามันก็ต้องมีหวั่นไหวบ้างแหละ”

สารบัญ

say “you love me” พูดสิว่า…รัก-Prologue 00,say “you love me” พูดสิว่า…รัก-Chapter 01,say “you love me” พูดสิว่า…รัก-Chapter 02,say “you love me” พูดสิว่า…รัก-Chapter 03,say “you love me” พูดสิว่า…รัก-Chapter 04,say “you love me” พูดสิว่า…รัก-Chapter 05,say “you love me” พูดสิว่า…รัก-Chapter 06,say “you love me” พูดสิว่า…รัก-Chapter 07,say “you love me” พูดสิว่า…รัก-Chapter 08,say “you love me” พูดสิว่า…รัก-Chapter 09,say “you love me” พูดสิว่า…รัก-Chapter 10

เนื้อหา

Chapter 05



ตื๊ด~ ตื๊ด ~

เขารอการตอบรับอย่างใจจดใจจ่อ เวลารอบข้างราวกับเดินช้าลงเมื่อปลายสายไม่มีวี่แววจะรับโทรศัพท์ ถ้าครั้งนี้เธอไม่รับคงต้องตัดใจแล้วล่ะ เขากวาดสายตามองขึ้นไปข้างบนบ้านหลังหนึ่ง ในห้องนั้นยังมีแสงไฟสลัวเปิดค้างไว้อยู่

(ฮะ...ฮัลโหล) เสียงงัวเงียเล็ดลอดมาตามสาย

“ไมล์นอนแล้วเเหรอ” 

(อือออ กี่โมงแล้วเนี้ย... โหนี่มันตีสอง แล้วนะ) 

“อ่า โทษทีเห็นว่าไฟห้องนอนยังเปิดอยู่” เขาบอกปลายสายและยังคงเงยหน้ามองตรงไปบนห้องนอนของไมล์

(แกว่าไงนะ!?) 

เสียงกุกกักดังผ่านโทรศัพท์ ไม่นานไมล์จึงโผล่หน้าออกมานอกหน้าต่างห้องนอน ทำสีหน้าตกใจถึงขีดสุด เพ่งสายตาตรงมายังเขาซึ่งอยู่ด้านล่าง เขาส่งยิ้มให้เธอบาง ๆ

“มาทำอะไรหน้าบ้านคนอื่นดึกดื่นขนาดนี้” 

“คิดถึง” ไมล์ชะงักไปกับคำตอบที่เขาให้ เธอยิ้มเล็กที่มุมปากพร้อมเอ่ย

“เข้ามาในบ้านก่อนสิ เดี๋ยวลงไปเปิดประตูให้” 




“เอานี่สักหน่อยไหมหรือน้ำเปล่า” ไมล์ยื่นกระป๋องเบียร์มาให้พลางถาม เขารับมันมาถือไว้ในมือ เปิดกระป๋องแล้วยกขึ้นมาจิบ แปลกใจที่เธอต้อนรับแขกยามดึกด้วยเบียร์แต่ก็สมกับเป็นเธอดี นิสัยชอบมอมคนรอบข้างให้คายความลับ เธอนั่งลงบนโซฟาสีขาวสะอาดข้างตัวเขา ตั้งแต่เข้ามานั่งภายในบ้าน เขาไม่สามารถละสายตาออกจากไมล์ได้เลย สมองมันมีความคิดมากมายแล่นวนไปมาอย่างหยุดไม่ได้ พอลองย้อนนึกให้ดี ตัวเขาตั้งใจจะคุยกับไมล์เรื่องเมื่อช่วงเย็นวันนี้


เหตุผลที่เขาต้องมานั่งอยู่ตรงนี้เพราะหลังจากตอนนั้นเขาเอาแต่กระวนกระวาย พยายามสงบใจแล้วแต่ก็ไร้ผล ไมล์ไม่ได้ติดต่อกลับมาหาเขาอย่างทุกวัน ไม่มีแม้แต่ความเคลื่อนไหวใด ๆ โซเชียลมีเดีย เขาส่งข้อความหาเธออยู่หลายครั้งแต่ก็ไร้การตอบรับ เขานั่งทบทวนเวียนวนเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่นานจนตัดสินใจมาหาเธอเอง แม้กว่าจะคิดได้ก็ปาไปตีสอง แต่เอาวะ ไม่มีอะไรจะเสีย...

“สรุปจะมานั่งเงียบในบ้านคนอื่นใช่ไหม” 

“เปล่าสักหน่อย แกชวนเราเข้าบ้านเองนะ” นิกม์ตอบกวน ๆ

“ถ้าไม่มีอะไรก็กลับไปเลย จะไปนอนต่อแล้ว” ไมล์จิกตาใส่อย่างเหลืออด อีกฝ่ายคงจะหงุดหงิดที่มาปลุกขึ้นในเวลาแบบนี้ ซ้ำยังมานั่งนิ่งไม่พูดไม่

“อย่าเพิ่งไล่กันเลยครับ” เขาเว้นช่วงครู่หนึ่ง “เพราะอยากจะคุยด้วยถึงได้มา” 

“รีบร้อนทำไม พรุ่งนี้ก็ได้มั้งคะคุณ” 

เขายกเบียร์ขึ้นดื่มไปหลายอึกพลางเรียบเรียงประโยคในหัวให้เข้าทาง มันเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องพูดออกไปให้ชัดเจน เขารู้สึกว่ามันช่างพูดยากเย็นเสียเหลือเกิน

“กลัวว่าจะไม่มีพรุ่งนี้มากกว่า เพราะแกไม่ตอบข้อความ โทรมาตั้งหลายรอบก็ไม่รับแถมยังไม่โทรกลับ” 

“...” 

“ไม่อยากให้แกหายไปอีก หรือทิ้งเราไปเหมือนตอนนั้นนะ” 

ดวงตาเบิกกว้างสื่อออกชัดเจนถึงความประหลาดใจ เธอรีบก้มหน้ามองกระป๋องเบียร์ในมือ พลางใช้ปลายนิ้วเรียวลูบขอบกระป๋องเล่นราวกับกำลังครุ่นคิดบางอย่าง ตอนนี้เขาไม่สามารถรับรู้ได้ว่าไมล์คิดหรือรู้สึกแบบไหนกับเขา อย่างเดียวที่มั่นใจคือเขาไม่อยากที่จะสูญเสียคนสำคัญไปจากชีวิตเขาอีกเป็นครั้งที่สอง

“เราไม่เคยหายไปจากแกเลยนะ ที่ผ่านมาเราอยู่เคียงข้างแกมาเสมอไม่ว่าจะฐานะอะไร จริงอยู่ที่เราเลือกที่จะตัดใจกับแกตั้งแต่โดนแกปฏิเสธแต่เราไม่เคยที่จะเลิกเป็นห่วง เลิกกังวล และเลิกคิดถึงแกเลยนะ” เสียงสั่นคลอที่เปล่งออกมา เปี่ยมไปด้วยความรู้สึกจากก้นบึ้งหัวใจ ไมล์เงยหน้าขึ้นมาสบตากับเขา แววตาเศร้าสร้อยของเธอเป็นดั่งมีดที่กรีดเฉือนก้อนเนื้อในอกให้แหลกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

“การที่เราต้องรับรู้เรื่องสำคัญจากคนอื่น ซึ่งแกไม่คิดจะเล่าให้เราฟัง มันอัดอั้นน่ะ ไม่รู้ว่าต้องทำตัวยังไงต่อหน้าแกดี ที่สำคัญมันเจ็บปวดที่ต้องรู้สึกแบบนั้น” 


สิ้นคำจากไมล์เขากระดกเบียร์จนหมดกระป๋องวางลงบนโต๊ะพร้อมกับเอื้อมมือไปสัมผัสมือของคนตรงหน้าอย่างเชื่องช้า ดึงกระป๋องเบียร์ออกจากมือของเธอไปวางไว้ เพื่อที่จะได้กระชับมือพวกเขาให้แน่นพอจะส่งความรู้สึกทั้งหมดที่มีให้อีกฝ่ายได้รับรู้ เธอจะรู้ไหมนะว่าความอบอุ่นจากเธอนั้นได้โอบอุ้มหัวใจอันบอบช้ำดวงนี้ของชายหนุ่มไว้แล้ว

“ขอโทษนะเราแค่ไม่อยากทำให้อึดอัด อีกอย่างเราไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้นแล้ว” ตั้งแต่มีแกเข้ามา... เขาไม่ได้บอกเธอในส่วนสุดท้าย หวังเพียงสักวันมันคงส่งไปถึงเธอ เขาเชื่อว่าคำพูดครั้งนี้หนักแน่นพอที่จะทำให้ไมล์เข้าใจ เขาไม่ได้พูดเพียงเพื่อให้เธอสบายใจแต่ออกไปจากใจจริง

“อือ เราเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะอธิบาย แต่อย่าปฏิเสธความเศร้าที่มีในใจมันไม่ช่วยอะไรนอกจากทำร้ายตัวเอง” 

ถูกต้องแล้วล่ะสิ่งที่ไมล์พูดเป็นความจริง เขาปฏิเสธความเศร้าที่มีในใจ ทว่าสิ่งที่เขาปฏิเสธมาตลอดกลับคือความรู้สึกที่มีต่อไมล์ ปฏิเสธความโศกที่สูญเสียไมล์ไปในวันนั้น เพียงเพราะเขาปฏิเสธเธอ เขาจึงปฏิเสธตัวเอง และเริ่มต้นใหม่กับคนอื่นทิ้งความทรงจำระหว่างพวกเขา ซ่อนไว้ลึกเสียจนหลงลืมมันไปแล้ว


เขาเสียใจที่เป็นเช่นนั้น


ทั้งสองสบตากันเนิ่นนานกระทั่งความรู้สึกบางอย่างในตัวนิกม์เริ่มพุ่งพล่าน ร่างกายขยับตามความรู้สึกไร้การควบคุม เขาค่อย ๆ โน้มตัวลงไปเพื่อจะสัมผัสริมฝีปากอมชมพูของคนตรงหน้า สมองพยายามต่อต้านแต่ไม่เป็นดั่งใจนึกมันยังคงขยับไปเอง แม้จะลังเลว่าควรหรือไม่ควร เสียงในใจจึงตอบแทน ขอเขาเห็นแก่ตัวกับเธอสักวัน เพียงแค่นิดเดียว 


หากเธอไม่ปฏิเสธ...


ดวงตาไมล์สั่นระริกเมื่อริมฝีปากระหว่างทั้งคู่กันห่างกันเพียงปลายเล็บ ลมหายใจอุ่นร้อนรินรด เสี้ยววินาทีนั่น...


ปัง!

ทั้งสองคนสะดุ้งเฮือกผลักตัวออกจากกันเมื่อเสียงประตูจากชั้นบนส่งเสียงดัง เขาถอนหายใจอย่างอดไม่ได้ ไม่แน่ใจว่าโล่งอกหรือเสียดายกกันแน่ ไมล์ลุกขึ้นจากโซฟาไปที่บันไดจังหวะที่เธอกำลังเดินขึ้นไปผู้หญิงวัยกลางคนในชุดนอนก็ปรากฏตัวขึ้น

“แม่ลงมาทำอะไร” 

“ยังไม่นอนอีกเหรอลูก แม่เห็นไฟมันเปิดอยู่เลยจะลงมาปิด” 

“เพื่อนไมล์มาหา เลยนั่งจิบเบียร์คุยกันนิดหน่อยน่ะ” ไมล์หันมองไปทางนิกม์ที่ตกใจจนกินใบ้ เขารีบยกมือไหว้คุณแม่ของเธอ ในขณะที่หญิงวัยกลางคนจ้องเขม็งใส่เขา แต่หล่อนก็ไม่ได้แสดงความขุ่นเคืองทั้งยังรับไหว้และยิ้มตอบเด็กหนุ่มผู้บุกรุกมาหาลูกสาวยามวิกาล

“ดึกแล้วก็รีบ ๆ นอนล่ะ ให้เพื่อนค้างที่นี่ก็ได้นะกลางค่ำกลางคืนมันอันตราย แถมกินเบียร์กันไปด้วย” หญิงผู้เป็นแม่ว่าด้วยความเป็นห่วงเป็นใย

“ค่ะ ๆ แม่ไปนอนต่อเถอะเดี๋ยวลูกสาวจะรีบนอน” 

ว่าจบหล่อนก็เดินกลับขึ้นไปบนห้องนอน นิกม์กระพริบตาปริบ ๆ แปลกใจที่แม่ของเธอไม่ได้ดุด่ากล่าวว่าอะไรเขาเลย แถมไมล์ยังพูดได้อย่างสบาย ๆ เรื่องมานั่งจิบเบียร์กับผู้ชาย ถึงจะเป็นเพื่อนแต่เขาก็ผู้ชายนะเขานึกว่าตัวเองจะโดนไล่ตะเพิดกลับบ้านแล้ว ที่ไหนได้บอกให้เขาค้างก่อนช่างเป็นคุณแม่ที่ใจกล้าปล่อยลูกสาวเสียจริง


“เออ เดี๋ยวเรากลับแล้วดีกว่า ไมล์จะได้นอนต่อ” 

“อ๋ออื้อ ว่าแต่...แกมายังไง” เธอถาม พร้อมกับเดินมาหยิบเบียร์บนโต๊ะยกดื่มจนหมด

“ปั่นจักรยานมา” ไมล์เบิกตาโตด้วยความแปลกใจ ซ้ำยังถึงขั้นสำลักเบียร์กับคำตอบของเขา จะไม่ให้ตกใจได้ไงก็บ้านของเธออยู่ตรงชานเมืองห่างจากบ้านเขาที่อยู่ในเมืองตั้งสิบกิโล


ลงท้ายเขาก็ค้างที่บ้านของเธอเพราะหญิงสาวยืนกรานและย้ำนักหนาว่าอันตรายเกินจะปั่นจักรยานกลับไป ไว้รอตอนเช้าค่อยกลับจะดีกว่า ยังไงอีกแค่ไม่กี่ชั่วโมง...


หมายความว่าเขาจะได้อยู่กับไมล์สองคนในห้องนอนของเธอรึเปล่านะ?