คนหนึ่งเก็บซ่อนความเศร้า อีกคนแอบซ่อนความรัก เมื่อพวกเขากลับมาพบกันอีกครั้ง หัวใจที่ถูกปิดกั้นจะยังสื่อถึงกันได้อยู่ไหม..."พูดสิว่า...รัก"

say “you love me” พูดสิว่า…รัก - Chapter 06 โดย Sweet Pea | สวีทพี @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,ดราม่า,วัยว้าวุ่น,อื่นๆ,ไทย,เพื่อนรัก,โรแมนติก,รักวัยรุ่น,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

say “you love me” พูดสิว่า…รัก

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,ดราม่า,วัยว้าวุ่น,อื่นๆ,ไทย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

เพื่อนรัก,โรแมนติก,รักวัยรุ่น

รายละเอียด

คนหนึ่งเก็บซ่อนความเศร้า อีกคนแอบซ่อนความรัก เมื่อพวกเขากลับมาพบกันอีกครั้ง หัวใจที่ถูกปิดกั้นจะยังสื่อถึงกันได้อยู่ไหม..."พูดสิว่า...รัก"

ผู้แต่ง

Sweet Pea | สวีทพี

เรื่องย่อ

คนหนึ่งเก็บซ่อนความเศร้า

อีกคนแอบซ่อนความรัก 

เมื่อพวกเขากลับมาพบกัน

หัวใจที่ปิดกั้นจะยังสื่อถึงกันได้อยู่ไหม...

"พูดสิว่า...รัก"

*

*

*

เนื้อหาบางส่วน...

“นิกม์” เสียงอ่อนโยนจากฝ่ายหญิงเรียกรั้งเขาไว้ ขณะกำลังก้าวเดินเข้าไปในบ้านของตัวเอง เขาหันกลับไปมองเธอนิ่ง ใบหน้าเรียบเฉยไม่แสดงความรู้สึกใดใดจากเธอ ทำใจเขากระตุกเล็กน้อย

“...!?” 

“เราไม่ได้จีบแกแล้วนะ” 

“ทำไมถึง...” 

“แกชอบมาทำให้เรารัก และจากเราไป” เธอพูดด้วยน้ำเสียงหยอกเยาะราวกับนี่เป็นเรื่องสนุกเรื่องหนึ่งที่เธอจะแกล้งเขา แต่เขากลับไม่ได้รู้สึกสนุกตามแม้แต่น้อย จึงตอบออกไปไม่ทันได้คิด

“คนเรามันก็ต้องมีหวั่นไหวบ้างแหละ”

สารบัญ

say “you love me” พูดสิว่า…รัก-Prologue 00,say “you love me” พูดสิว่า…รัก-Chapter 01,say “you love me” พูดสิว่า…รัก-Chapter 02,say “you love me” พูดสิว่า…รัก-Chapter 03,say “you love me” พูดสิว่า…รัก-Chapter 04,say “you love me” พูดสิว่า…รัก-Chapter 05,say “you love me” พูดสิว่า…รัก-Chapter 06,say “you love me” พูดสิว่า…รัก-Chapter 07,say “you love me” พูดสิว่า…รัก-Chapter 08,say “you love me” พูดสิว่า…รัก-Chapter 09,say “you love me” พูดสิว่า…รัก-Chapter 10

เนื้อหา

Chapter 06



“นี่หลับแล้วเหรอ” เขาเอ่ยถามคนที่นอนอยู่ข้างกายโดยไม่ได้หันไปมอง

“ยังเหรอก” 

“จริง ๆ ให้เราลงไปนอนข้างล่างก็ได้นะ นอนพื้นก็ยังได้” 

“ไม่เป็นไร เราไม่ซีเรียสกับเรื่องหยุมหยิมพวกนี้เหรอก” 

เขาหันหน้าไปมองไมล์ ใบหน้านิ่งเรียบไม่บ่งบอกถึงอารมณ์ใด สายตาของเธอจับจ้องไปยังเพดานห้อง เขาได้แต่ครุ่นคิดว่าภายใต้ใบหน้าไร้ซึ่งอารมณ์นั่นกำลังคิดถึงสิ่งใดกันแน่ คนข้างกายเหมือนจะรู้ตัวว่าถูกจ้องอยู่จึงนอนตะแคงข้างมาทางเขา ดวงตาคู่สวยสบมองเขาเนิ่นนานก่อนจะเอื้อนเอ่ยบางอย่าง

“ตอนที่ไปเรียนมหา’ ลัยแรก ๆ เราได้เจอกับคนคนหนึ่ง เขาคล้ายแกมากเลยอะ” 

“งั้นเหรอ” 

“คล้ายมากจนเราเผลอรู้สึกดีด้วยเลยแหละ พวกเราเหมือนแฟนกันมากเลยนะ เขาก็ปฏิบัติกับเราเหมือนคนรัก เพียงแต่ว่าแค่เฉพาะตอนที่อยู่ด้วยกันสองคนเท่านั้น” 

“ก็ดีไม่ใช่เเหรอ” 

“จะว่าดี มันก็นะ... ดีแหละ ถ้าอยู่ต่อหน้าเพื่อน ๆ เขาแสดงออกไปมากกว่านี้บ้าง ไม่ใช่ท่าทีห่างเหินกับเราอย่างกับคนที่ไม่สนิท” 

“...” 

“จนเราไม่แน่ใจซะแล้วล่ะ ว่าจะมีใครที่ชัดเจนกับเราบ้างไหม เราไม่อยากจะเผลอใจให้ใครเพราะเราไม่ได้เป็นคนเข้มแข็งอย่างที่คนอื่นเข้าใจซะหน่อย อือ เราก็เป็นคนหนึ่งที่มีความรู้สึกนะ” 

น้ำตาเอ่อคลอรอบดวงตา นัยน์ตาหญิงสาวร้อนผ่าวกระทั่งน้ำใสท่วมล้นทะลักออกไปดั่งสายน้ำ เขาไม่รู้ว่าไมล์ไปเจอกับผู้คนแบบไหน เขาคนนั้นที่เธอพูดถึงเป็นคนยังไง เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะต้องปลอบประโลมให้เธอคลายความทุกข์ใจออกไปอย่างไร


เขาไม่เคยแม้แต่จะสนใจว่าเธอต้องพบเจอกับอะไร ไมล์เองก็มีความเศร้าในใจที่ปิดบังไว้ภายใต้รอยยิ้มอันสดใสงั้นเหรอ... แย่ซะจริง ที่เพิ่งจะมารู้ตัวเอาปานนี้


ราวกับเรื่องนี้มันจงใจตอกย้ำความเสียใจที่ไมล์ได้รับจากเขา ครั้งที่เคยปฏิเสธเธอไป


“ที่น่าแปลกใจก็คือ เราไม่เคยรู้สึกดีกับใครไปมากกว่าแกเลยนะ” เธอพูดประโยคนั้นออกไปด้วยรอยยิ้มแม้ว่าน้ำตายังคงไม่หยุดไหล ไมล์คว้ามือเขาไปแนบไว้กับแก้มอันอบอุ่น ไม่สิ ความจริงมันร้อนฉ่าต่างหาก ถ้าให้เขาเดาใบหน้านั้นคงจะแดงก่ำด้วยความเขินอาย

เขาดีใจนะ ที่เธอยังคงรู้สึกดีกับเขามากกว่าใคร ทว่าช่องว่างระหว่างพวกเขายังคงเหมือนมีกำแพงหนาวมาขวางกั้นซ่อนไว้อยู่ นิกม์ไม่อยากจะให้มันเป็นเช่นนั้นอีกต่อไปแล้ว เขาจึงยอมคายความลับในใจให้อีกฝ่ายได้รับรู้

“ภีมประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์น่ะ แกคงรู้แล้ว” 

“อื้อ ก็ลองย้อนไปตามอ่านข่าวบ้างแล้ว” 

“จะเริ่มเล่าไงดี คือเรื่องมันกะทันหันแบบไม่ทันตั้งตัวเลย ร่างกายแข็งทื่อไปเลยตอนรู้ ความจริงพวกเราก็เป็นเหมือนเพื่อนสนิทกันมากกว่าล่ะมั้ง จะเรียกว่าคนรักก็ไม่ใช่แบบนั้นเหรอก ก็สนิทและคุยกันได้หลาย ๆ อย่างแหละนะ ที่พูดก็อยากให้เข้าใจนะว่าไม่เป็นไรแล้วจริง ๆ” 

“ขอบคุณนะที่เล่ามันออกมา แค่นี้ก็ดีแล้ว” เธอกระชับมือที่กุมไว้ให้แน่นขึ้น


ไมล์ส่งยิ้มให้อีกฝ่าย เขาจึงพลิกตัวพร้อมกับหันหน้าเข้าหาเธอ เป็นอีกครั้งที่สายตาของพวกเขาจับจ้องกัน ทว่าครั้งนี้เจ้าตัวดันรีบหลับตาปี๋ ตั้งใจจะหลบสายตาเพื่อแก้เขิน

“นอนได้แล้ว ใกล้เช้าแล้วเนี่ย” เธอสั่งเสียงอ่อน

ใจเขาสั่นระรัวเหมือนจะเพิ่งมารู้สึกตัวว่ากำลังนอนร่วมเตียงเดียวกัน แถมไมล์ยังกุมมือเขาไว้ไม่ปล่อยอีกต่างหาก ส่วนตัวเขาเองไม่คิดจะปฏิเสธความอบอุ่นเช่นนี้จากเธอซะด้วยสิ ก็คงจะขอรับความอิ่มเอมใจนี้ไว้ก่อน

เอาเถอะมันออกจะข้ามขั้นตั้งแต่ที่เขาเริ่มรุกจะจูบเธอตอนดื่มเบียร์อยู่ข้างล่างนั่นแล้ว ถ้าแม่ของไมล์ไม่ขัดจังหวะซะก่อนจะเกิดอะไรขึ้นเนี่ย เขารู้สึกหน้าร้อนจี๋เมื่อคิดถึงเหตุการณ์ตอนนั้นจึงข่มตาให้หลับโดยเร็วที่สุดเพื่อสะบัดภาพตอนนั้นออกไป

ว่าแล้วเชียว ไมล์ทำให้หัวใจเขาพองโตและเต้นแรงมาโดยตลอด...





05.56 น.


ก๊อก ก๊อก!


เฮือก!

เขาสะดุ้งตื่นขึ้นมาจากห้วงแห่งความฝัน กวาดสายตาไปทั่วบริเวณและตระหนักได้ว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ที่บ้านของคนอื่นที่สำคัญทำไมถึงได้อยู่ในสภาพนอนกอดกันแบบนี้ได้วะ เมื่อคืนแค่จับมือเองนะเว้ย

“ไมล์ แม่จะออกไปดูงานข้างนอกนะ เช้านี้หาอะไรกินเองนะลูก” 

แม่ของไมล์ท่าทางจะอึ้งจนเหวอไป เขาจ้องหน้าหญิง
วัยกลางคนที่เปิดประตูเข้ามาตั้งใจจะปลุกลูกสาวของตนทว่ากลับพบเขาที่โดนเธอนอนกอดไว้อยู่ เขาเด้งตัวขึ้นจากที่นอนพลางสะกิดคนขี้เซาที่ยังนอนหลับไม่รู้ทุกข์ร้อนอะไร

“ถ้างั้นฝากบอกไมล์แทนแม่ด้วยนะ ท่าทางจะไม่ตื่นเหรอก” 

“คะ...ครับ” 

ประตูห้องนอนถูกปิดลงอย่างเบามือ เขาหันไปปลุกไมล์แต่ปลุกยังไงก็ไม่ยอมจะตื่นซะที เอาแต่งัวเงีย อืออ่าอยู่อย่างนั้นจนเขาเลิกล้มความพยายาม เขามองออกไปนอกหน้าต่าง เลิกผ้าม่านออกเล็กน้อยเพื่อดูบรรยากาศภายนอก ในช่วงเช้าของฤดูหนาวเช่นนี้ท้องฟ้ามีหมอกบางเบาปกคลุมทั่วบริเวณ

ไหน ๆ ฟ้าก็ยังไม่สว่างเต็มที่ปล่อยให้ไมล์นอนต่ออีกสักหน่อยจะเป็นไรไป เขาเหลือบมองนาฬิกาบอกเวลาหกโมงเช้า แม้เขาเองจะยังง่วงอยู่ และยังอยากจะนอนต่อก็เถอะ แต่ต้องรีบกลับก่อนเจ็ดโมงนี่สิ ไม่งั้นโดนแม่บ่นหูชาแน่


“อยากจะนอนต่อกับเรารึไง” อยู่ ๆ เสียงจากคนที่นอนอยู่ข้างกายก็ดังขึ้น ดูเธอไม่ได้มีท่าทางง่วงซึมเลยสักนิดเดียว

“อย่าบอกนะว่ารู้สึกตัวแต่ไม่ยอมลุก” เขาถามเสียงเรียบชักจะเคืองที่ปล่อยให้เขาเผชิญหน้ากับแม่ของเธอคนเดียว ยิ่งมารู้ว่าแกล้งหลับมันยิ่งน่าหมั่นไส้

“ใช่แหละ ก็ขี้เกียจคุยกับแม่นี่น่า” 

“จะดีเหรอ พาผู้ชายขึ้นห้องมาซุกไว้เชียวนะ” 

“ใครสนกันเล่า ยังไงแม่ก็ไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้ของเราอยู่ล่ะ ยังไงก็เถอะ ไม่รีบกลับน่ะไม่ดีนะ ไม่ได้บอกคนที่บ้านว่าจะค้าง
ที่อื่นนี่” 

“อ่า โอเค งั้นจะกลับแล้ว” 


ตัดบทจบแค่นั้นเจ้าตัวก็ลงมาส่งข้างล่างและตัวเขาก็ปั่นจักรยานมุ่งหน้ากลับบ้านอย่างไม่ได้เร่งรีบ ระหว่างทางมีหลายอย่างที่ไม่เข้าใจวิ่งวุ่นในหัว แต่อย่างน้อยตอนนี้เขาไม่ได้สับสนเรื่องความรู้สึกที่มีต่อไมล์แล้ว ตอนที่ได้เปิดใจพูดคุยกับเธอมันทำให้เขารู้ว่าเธอไว้ใจและเชื่อมั่นในตัวเขา จึงเล่าเรื่องราวของตัวเองให้เขาได้รู้ และเธอเองก็คงคาดหวังว่าจะได้รับความเชื่อใจจากเขาเช่นกัน


ความรู้สึกของเขาตอนนี้มันชัดเจนกว่าครั้งไหน เขาจะไม่มีวันปล่อยมันทิ้งไปอีก ต่อให้เธอจะปฏิเสธเหมือนที่เขาทำกับเธอ เขาก็ยังยืนยันที่จะ... รักไมล์

เพราะว่า เขารักไมล์

เขาแอบยิ้มอยู่ในใจกับคำสารภาพรักของตัวเองที่อยากจะส่งให้ถึงอีกฝ่ายเร็ว ๆ