คนหนึ่งเก็บซ่อนความเศร้า อีกคนแอบซ่อนความรัก เมื่อพวกเขากลับมาพบกันอีกครั้ง หัวใจที่ถูกปิดกั้นจะยังสื่อถึงกันได้อยู่ไหม..."พูดสิว่า...รัก"
รัก,ดราม่า,วัยว้าวุ่น,อื่นๆ,ไทย,เพื่อนรัก,โรแมนติก,รักวัยรุ่น,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
say “you love me” พูดสิว่า…รักคนหนึ่งเก็บซ่อนความเศร้า อีกคนแอบซ่อนความรัก เมื่อพวกเขากลับมาพบกันอีกครั้ง หัวใจที่ถูกปิดกั้นจะยังสื่อถึงกันได้อยู่ไหม..."พูดสิว่า...รัก"
คนหนึ่งเก็บซ่อนความเศร้า
อีกคนแอบซ่อนความรัก
เมื่อพวกเขากลับมาพบกัน
หัวใจที่ปิดกั้นจะยังสื่อถึงกันได้อยู่ไหม...
"พูดสิว่า...รัก"
*
*
*
เนื้อหาบางส่วน...
“นิกม์” เสียงอ่อนโยนจากฝ่ายหญิงเรียกรั้งเขาไว้ ขณะกำลังก้าวเดินเข้าไปในบ้านของตัวเอง เขาหันกลับไปมองเธอนิ่ง ใบหน้าเรียบเฉยไม่แสดงความรู้สึกใดใดจากเธอ ทำใจเขากระตุกเล็กน้อย
“...!?”
“เราไม่ได้จีบแกแล้วนะ”
“ทำไมถึง...”
“แกชอบมาทำให้เรารัก และจากเราไป” เธอพูดด้วยน้ำเสียงหยอกเยาะราวกับนี่เป็นเรื่องสนุกเรื่องหนึ่งที่เธอจะแกล้งเขา แต่เขากลับไม่ได้รู้สึกสนุกตามแม้แต่น้อย จึงตอบออกไปไม่ทันได้คิด
“คนเรามันก็ต้องมีหวั่นไหวบ้างแหละ”
ห้องมืดกว้าง เก้าอี้นุ่มเรียงราย มีคนนั่งประจำที่อยู่บางตา หน้าจอยักษ์ตรงหน้ากำลังฉายภาพยนตร์ซึ่งทุกคนตีตั๋วเข้ามาดู เครื่องปรับอากาศดูเหมือนจะเร่งจนแรงสุด ทำให้คนข้างกายเขาถึงกับตัวสั่น
เธอสวมเพียงเสื้อตัวบางคู่กับกางเกงยีนส์ขาสั้น ยัยนี่ชวนมาดูหนังเองแท้ ๆ ดันใส่ชุดแบบนี้เข้ามาก็น่าจะรู้ว่าที่นี่เขาเปิดแอร์หนาวอย่างกับขั้วโลกเหนือ แม้แต่คนที่นั่งถัดจากเรายังถึงกับต้องหอบผ้าห่มมาช่วยบรรเทาความเหน็บหนาว
“หนาวจัง” ไมล์กระซิบข้างหูเขาพร้อมกับโน้มตัวไปซบที่ไหล่อีกฝ่าย หวังจะพึ่งพิงไออุ่น เขาถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกไปคลุมให้ไมล์ เธอมองเขาแล้วยิ้มดีใจ
“ว่าแล้วเชียวว่าต้องหนาว ใส่เสื้อผ้ามาซะบาง” เขากระซิบกลับไปเธอไม่ได้ตอบโต้อะไรกลับนอกจากยิ้มกรุ้มกริ่มและจดจ่อกับหนังที่กำลังเล่นอยู่ต่อ
ถึงแม้ว่าเขาจะสละเสื้อคลุมให้แต่เจ้าตัวก็ยังคงซบไหล่เขาอยู่เช่นนั้น มือข้างหนึ่งของเธอเกยข้ามเบาะมาโดนแขนเขา มือเย็นเฉียบจนเขาต้องคว้ามือของเธอมากุมไว้อย่างช่วยไม่ได้ สัมผัสเย็น ๆ จากมือเล็ก ทำใจเขาร้อนวูบวาบไปชั่วขณะหนึ่ง
ย้อนนึกไปถึงตอนที่พวกได้สัมผัสมือกันครั้งแรก ทั้งที่มือของเธอเย็นยะเยือกแต่เขากลับอบอุ่นในใจราวกับว่าไม่ใช่เขาที่กำลังมอบความอุ่นให้แก่เธอ แต่เป็นไมล์ต่างหากที่ทำหน้าที่นั้นอยู่พวกเขากุมมือกันไว้และจดจ่อกับภาพเคลื่อนไหวตรงหน้า
กระทั่งจอยักษ์ขึ้นเครดิตเหล่าผู้สร้าง ความคิดในหัวเขาก็ยังคงฟุ้งกระจายไปทั่วจนแทบไม่ได้ใส่ใจเรื่องราวในหนังที่เพิ่งจะจบไป คนข้างกายยังคงซบเขาไว้อย่างนั้น ไออุ่นจากลมหายใจโรยรินต้นคอ
เขาเหลือบมองเธอผล็อยหลับไปตอนไหนกันนะ เขายิ้มบางมองใบหน้าของเธอ สีหน้าไร้อารมณ์ ทว่ากลับแฝงความรู้สึกอ่อนโยน เขาจ้องมองไมล์อย่างตั้งใจพลางลูบปอยผมซึ่งปรกข้างแก้มไปทัดหู
เจ้าตัวเริ่มรู้สึกตัวตื่น ดวงตากลมโตใสค่อย ๆ เปิดกว้าง ยั่วยวนเขาให้หลงเสน่ห์ ใบหน้าเขาขึ้นสีแดงระเรื่อจนต้องยกแขนขึ้นมาปกปิดมันไว้ พร้อมทั้งเสมองไปทางอื่น
“กะ...กำลังว่าจะทิ้งให้นอนเฝ้าโรงหนังซะหน่อย” เขาเอ่ยแก้เขินพลางลุกเดินออกจากที่นั่ง ไมล์เร่งตามแล้วกระโดดมาเกาะแขนเขา ส่งเสียงยียวน
“จะทิ้งเราไปจริง ๆ เหยอออออ”
“จะทิ้งไว้ก็สงสารพนักงาน ต้องมาเก็บกวาดแก” เขาเหล่หางตามอง คนข้างกายทำแก้มป่องพร้อมสะบัดหน้าหนีไปทางอื่นเป็นที่เรียบร้อย เขาอมยิ้มตามกับท่าทีของเธอ
เขารู้สึกว่าเธอน่ารักดีนะเวลาไมล์แสดงท่าทางงอแงใส่ทุกอิริยาบถที่ไมล์แสดงออกตอนนี้เขารู้สึกว่าตัวเขากำลังครอบครองมันไว้เพียงคนเดียว เพราะคงไม่มีใครจะสามารถอยู่ใกล้พระอาทิตย์ดวงน้อยอย่างเธอที่พร้อมจะแผดเผาทุกสิ่งรอบข้างได้
นิกม์ยิ้มดีใจที่ได้อยู่ในวงโคจรของดวงตะวันสดใส
ครืน... ครืน...
โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงสั่นขึ้น เขาหยิบขึ้นมาดูมันโชว์เบอร์ของเพื่อนที่มหา’ ลัย ไม่ต้องคิดอะไรมากเขาก็ปิดมันลงและยัดเก็บลงตามเดิม เพราะไม่มีธุระอะไรจะต้องคุยกันแล้วนี่น่า
นอกจากเรื่องสอบที่อาจารย์เลื่อนออกไปเป็นช่วงอาทิตย์หน้าเท่านั้น ตามจริงเขาควรจะสอบเสร็จแล้วแท้ ๆ แต่ดันเลื่อนออกไปจนเริ่มเบื่อ เขาแอบคิดว่าอาจจะไม่ไปสอบแล้ว ความจริงไม่รู้ว่าควรจะกลับไปเรียนที่มหาลัยอีกดีไหมด้วยซ้ำ
“ไม่รับสายล่ะ” ไมล์ถามขึ้นเมื่อเหลือบเห็นหน้าจอโทรศัพท์ของเขาทัน
“อ๋อ ขี้เกียจคุย”
“หูยยยย เย็นชาจังนะคุณนิกม์” ไมล์พึมพำอย่างไม่ยี่หระ
ถนนคนเดิน ช่วงพลบค่ำ
ฝูงคนมหาศาลเดินสวนไปมาควักไขว่ เขาและไมล์เดินเบียดเสียดท่ามกลางผู้คนอย่างยากลำบาก ตลาดช่วงค่ำที่เหล่าวัยรุ่นมักมาเดินเล่นมากกว่าจับจ่าย (?) สองข้างทางตั้งร้านค้าเรียงยาว ไม่ว่าจะของกินเล่น เสื้อผ้า เครื่องประดับ และอื่น ๆ อีกมากมาย
เดินฝ่าฝูงชนไปได้สักระยะหนึ่งนิกม์ก็แวะเข้าไปหลังร้านขายน้ำแห่งหนึ่ง ไมล์ดูงง ๆ แต่ก็เดินตามเข้าไปและพบว่านี่เป็นร้านของเพื่อนเขา ซึ่งมาตั้งขายเป็นประจำ นิกม์จัดแจงหาเก้าอี้มาให้ไมล์นั่ง มันเป็นเก้าอี้พลาสติกสีแดงซีดดูง่อนแง่นคงเพราะผ่านฝนผ่านร้อนมานานปี
เขาบอกให้เธอนั่งอย่างระวังด้วยความเป็นห่วงกลัวอีกฝ่ายจะล้มพับไปกับเก้าอี้ เขาคิดไว้ว่าอีกสักหน่อยค่อยออกไปเดินต่อเพราะช่วงนี้คนเยอะจนเดินดูของลำบากเกินไป ท่าทางไมล์ก็ดูล้าตรงข้ามกับความคึกคักรอบตัว
“กินปลาหมึกย่างไหม” ชายหนุ่มชี้ไปที่ร้านหมึกย่างข้าง ๆ ไมล์หันมองตามพร้อมพยักหน้าตอบตกลง เขาจึงเดินไปสั่งลุงคนขายร้านข้าง ๆ ท่าทางสนิทสนม
สักพักพวกเพื่อนคนอื่นของเขาก็มาสมทบโดยไม่ได้นัดหมาย พร้อม ๆ กับหมึกย่างที่จัดใส่กล่องมาเสิร์ฟ
“อ้าว ใครอัญเชิญมึงเนี่ย ไอ้ไมล์ ไม่เจอตั้งนานโผล่มาจากไหนครับบบ” เพื่อนคนหนึ่งที่โผล่มาโดยไม่ได้นัดหมายเอ่ยทักไมล์
นัทเป็นอดีตเพื่อนร่วมห้องสมัยเรียนแต่ย้ายออกกะทันหันด้วยเหตุผลบางอย่าง แม้ทั้งสองจะไม่ได้สนิทกันมากนักแต่ก็รู้จักกันดีพอจะพูดจาหยอกล้อกันได้ทันทีโดยไม่เคอะเขิน
“กูวาร์ปมา พอดีท่านนิกม์อัญเชิญกูมากินหมึกย่าง” ไมล์ตอบ
“สัสกวนตีน...เออไหน ๆ ก็มาเจอกัน เบียร์สักหน่อยไหมมึง”
“ด่าตัวเองเหรอ ดื่มเก่งไม่เปลี่ยน... ขอด้วยสักหน่อยก็ดีฮ่า ๆ”
แล้วพวกเขาก็จัดปาร์ตี้เบียร์และหมึกย่างในมุมมืดหลังร้าน ต้องยอมรับว่านี่ไม่ใช่การดื่มสักหน่อยของไอ้นัทแล้ว แต่มันเยอะมาก ระหว่างดื่มกันไปพูดคุยสัพเพเหระกันไป
สายตานิกม์จับจ้องไมล์ที่ดื่มจนหน้าแดง หูแดง เธอดื่มเข้าไปค่อนข้างมาก เขาเองก็เริ่มมึนนิดหน่อย บรรยากาศเต็มไปด้วยความมึนเมา ตอนแรกก็คึกครื้นดี แต่จังหวะที่เพลงเปลี่ยนเป็นอีกเพลง ก่อนจะเริ่มอินโทรเพลงใหม่ ก็มีเสียงผู้ชายที่เล่นเอ็มวีเพลงนี้ดังขึ้นก่อน
‘สนุกมากเหรอที่ทำให้คนอื่นเขาเป็นบ้าแบบนี้ ชอบ? ไม่ชอบ? พูดดิ’ *
เขาหันไปสนใจ ทุกคนเงียบตั้งใจฟัง จนเพลงดังไปถึงท่อนฮุค
‘รู้ไหมเธอว่าทุกข์นั้นเบาลงเมื่อแบ่งให้ใครสักคน ก็เหมือนที่เธอเคยช่วยให้ฉันยิ้มได้ ก็เหมือนกัน’ **
สายตาเขากับไมล์ประสานเข้าหากันโดยบังเอิญ เธอมองเขาแน่นิ่งไม่หลบหนี ริมฝีปากเผยอออกเพื่อพูดบางสิ่ง เสียงที่เธอเปล่งนั้นราวกับเสียงกระซิบ เขาฟังมันไม่ถนัดนัก จึงเอียงหูเข้าไปฟังใกล้ใกล้
“ชอบ? ไม่ชอบ?” ไมล์พูดขึ้นเต็มเสียง
เขาอึ้ง ทว่ายังคิดทบทวนสิ่งที่ไมล์พูดออกไป ชอบ / ไม่ชอบ
คำตอบมันจะยากตรงไหนล่ะ
“เราชอบไมล์นะ”
ราวกับมีคนเอื้อมมือไปกดปุ่ม pause ไว้ บรรยากาศโดยรอบค้างเติ่ง หยุดนิ่งไป ร้านรวงรอบที่เริ่มเก็บของต่างทยอยขึ้นของขึ้นรถอย่างเชื่องช้า เธอมึนงงยิ่งกว่าคนเมาแล้วภาพตัด แต่เป็นภาพตัดแบบเรียลไทม์ที่ไม่สามารถประมวลผลอะไรได้เลย ไฟรอบข้างดับลง ถนนคึกคักช่วงพลบค่ำผันแปรเหลือเพียงแสงไฟสีส้มสลัวฉายส่องเป็นสปอร์ตดวงเล็กที่ตัวไมล์
ถนนร้างอันเงียบเหงา...
และไมล์หน้าแดงฉ่า ไม่รู้เพราะเมาหรือเขินที่โดนเล่นคืน