คนหนึ่งเก็บซ่อนความเศร้า อีกคนแอบซ่อนความรัก เมื่อพวกเขากลับมาพบกันอีกครั้ง หัวใจที่ถูกปิดกั้นจะยังสื่อถึงกันได้อยู่ไหม..."พูดสิว่า...รัก"
รัก,ดราม่า,วัยว้าวุ่น,อื่นๆ,ไทย,เพื่อนรัก,โรแมนติก,รักวัยรุ่น,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
say “you love me” พูดสิว่า…รักคนหนึ่งเก็บซ่อนความเศร้า อีกคนแอบซ่อนความรัก เมื่อพวกเขากลับมาพบกันอีกครั้ง หัวใจที่ถูกปิดกั้นจะยังสื่อถึงกันได้อยู่ไหม..."พูดสิว่า...รัก"
คนหนึ่งเก็บซ่อนความเศร้า
อีกคนแอบซ่อนความรัก
เมื่อพวกเขากลับมาพบกัน
หัวใจที่ปิดกั้นจะยังสื่อถึงกันได้อยู่ไหม...
"พูดสิว่า...รัก"
*
*
*
เนื้อหาบางส่วน...
“นิกม์” เสียงอ่อนโยนจากฝ่ายหญิงเรียกรั้งเขาไว้ ขณะกำลังก้าวเดินเข้าไปในบ้านของตัวเอง เขาหันกลับไปมองเธอนิ่ง ใบหน้าเรียบเฉยไม่แสดงความรู้สึกใดใดจากเธอ ทำใจเขากระตุกเล็กน้อย
“...!?”
“เราไม่ได้จีบแกแล้วนะ”
“ทำไมถึง...”
“แกชอบมาทำให้เรารัก และจากเราไป” เธอพูดด้วยน้ำเสียงหยอกเยาะราวกับนี่เป็นเรื่องสนุกเรื่องหนึ่งที่เธอจะแกล้งเขา แต่เขากลับไม่ได้รู้สึกสนุกตามแม้แต่น้อย จึงตอบออกไปไม่ทันได้คิด
“คนเรามันก็ต้องมีหวั่นไหวบ้างแหละ”
ข้าวของภายในหอพักของเขา ถูกจัดเก็บลงกล่องอย่างเรียบร้อย พร้อมที่จะย้ายออกเหลือก็แค่เอารถมาขนกลับบ้าน เขาคงคิดถึงที่นี่ สำหรับเขาตอนนี้ที่นี่คงไม่มีอะไรที่น่าจดจำ ดีแล้วที่ตัดสินใจจะทิ้งทุกอย่างที่นี่แล้วเริ่มต้นใหม่สักที
ปัง ๆ ปัง ๆ
เสียงตุบประตูดังลั่น เขารีบลุกขึ้นไปเปิดทันที
“ไอ้นิกม์ ทำไมมึงไม่รับสายหรือตอบแชตกูเลยว่ะ”
อยู่ ๆ ไอ้มิวเพื่อนที่เรียนคณะเดียวกันกับเขาก็เข้ามาโวยวาย หล่อนหยุดชะงักไปทันทีเมื่อเห็นสภาพห้อง มิวขมวดคิ้วงุนงงพร้อมเอ่ยถามอีกครั้ง
“นี่มึงจะย้ายหอเหรอ”
“เปล่า กูลาออกแล้ว มาขนของกลับบ้าน”
“ตั้งแต่ตอนไหนวะ” มิวเอ่ยถามเสียงอ่อน
เขานึกย้อนถึงคืนนั้น
หลังจากที่เขาบอกว่าชอบไมล์ไป เธอก็เอาแต่เงียบและกระดกเบียร์ดื่มแก้วแล้วแก้วเล่าจนสภาพเมาเละ เขาจึงต้องให้เธอซ้อนท้ายมอไซต์และพาขี่ไปส่งบ้าน ระหว่างทางเขาต้องคอยจับมือของเธอให้กอดเอวเขาไว้ตลอด เพราะไม่อยากให้เจ้าตัวตกรถไปจูบกับพื้นถนน
"นี่...นิกม์" ไมล์ดึงเสื้อตัวนอกของเขาพร้อมกับส่งเสียงผ่านแผ่นหลังกว้างอย่างเนิบนาบ เขาจึงชะลอรถและให้ความสนใจกับเธอ
"อะไรงั้นเหรอ"
"จอดรถแล้วนั่งเล่นก่อนได้ไหมอะ"
"อือได้"
ทั้งที่ตอบรับแล้วแต่เขากลับขี่รถต่อไปและไม่คิดที่จะจอดพักนั่งเล่นอย่างที่ไมล์ขอไว้ เพียงมุ่งหน้าไปยังตึกหอพักที่อยู่ไม่ไกลมากนัก ซึ่งครอบครัวของเขาเป็นเจ้าของอยู่ ด้วยคิดว่ามันน่าจะปลอดภัยกว่าการไปนั่งพักริมทางในช่วงดึกดื่นเช่นนี้
เสียงรถมอไซต์ดับลง ไมล์ดันตัวเองออกจากแผ่นหลังของเขา พร้อมกับค่อย ๆ ลงจากรถ เธอแสดงสีหน้างุนงงกับสถานที่แปลกตา เขาไม่ได้อธิบายอะไรให้ไมล์ฟังนอกจากเดินนำไปยังห้องพักด้านในสุด เธอจึงได้แต่เดินตามหลังเขาไป บรรยากาศเงียบเชียบ ไร้ซึ่งบทสนทนา ห้องพักไม่ได้อยู่ไกลนักแต่ในความรู้สึกของพวกเขามันช่างเป้นช่วงเวลาที่ยาวนาน
เสียงฝีเท้าของพวกเขาทั้งคู่ดังก้องภายในอาคาร 5 ชั้น และเสียงหัวใจที่เต้นโครมครามซึ่งเขาได้ยินมันอยู่คนเดียว ความจริงคือเขาไม่เคยพาผู้หญิงคนไหนมาที่นี่เลย แม้แต่ภีมที่เป็นคนรักเก่า สถานการณ์ตอนนี้ทำเขาใจสั่น ประหม่าจนทำตัวไม่ค่อยจะถูก และไม่รู้อะไรเหมือนกันเขาจึงพาเธอมาที่นี่
เขาไขกุญแจเข้าไปในห้องพัก พร้อมบอกให้ไมล์เข้าไปล้างหน้าล้างตาให้สร่างเมาจะได้รู้สึกดีขึ้น เธอทำตามอย่างว่าง่ายโดยไม่ปริปากพูดแม้แต่คำเดียว เจ้าของห้องจึงทิ้งตัวลงนอนบนเตียง พลางคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย แม้ตัวเขาตอนนี้จะยังไม่สร่างดีนัก และมันดีจริง ๆ รึเปล่านะที่พาไมล์มาที่ห้องของเขา ถ้าเป็นที่บ้านของเธอ อีกฝ่ายอาจจะสบายใจกว่ารึเปล่านะ อย่างน้อยที่นั้นก็เป็นที่ที่คุ้นเคย แต่ที่นี่มีแค่เขากับเธอพร้อมคนแปลกหน้าอีกหลายชีวิตที่เช่าห้องภายในตึกแห่งนี้
"มีห้องที่นี้ด้วยเเหรอ ห้องใครอ่ะ" ทันทีที่ไมล์เดินออกไปจากห้องน้ำ เธอก็ถามขึ้น พลางใช้สายตาสำรวจรอบห้องขนาด 30 ตรม. ครุ่นคิดเรื่อยเปื่อย
"ห้องเรานี่แหละ ตึกของครอบครัว"
"หูย ล้อเล่นป่ะเนี่ย ไม่เคยรู้ว่ารวยเป็นลูกเจ้าของตึก"
"เอาอะไรมารวย หนี้ทั้งนั้นนนน"
“อ่า อย่างน้อยที่บ้านก็ทิ้งอะไรไว้ให้แหละ”
“อื้อ ก็คงงั้นมั้ง” ”
เธอพยักหน้ารับหัวเราะในลำคอเบา ๆ พร้อมกับเดินไปนั่งตรงเก้าอี้ตัวเล็กบริเวณปลายเตียง ไมล์เริ่มสร่างแล้วดูเหมือนความง่วงจะเข้ามาแทรกแทน
ภายในห้องไม่มีอะไรให้เธอสำรวจมากนัก เป็นห้องเรียบง่ายพื้นที่โล่งตรงกลางห้อง มีเตียงขนาด 3.5 ฟุตชิดมุมกำแพง เก้าอี้สตูที่เธอนั่งอยู่ ชั้นหนังสือและโต๊ะคอมซึ่งเปิดเครื่องทิ้งไว้ แสงไฟจากซีพียูสีเขียวฟ้าสว่าง อยู่ทางฝั่งซ้ายของห้อง เธอนั่งเอาหัวพิงผนังห้อง จ้องแสงไฟฝั่งตรงข้ามสะท้อนผนังสีฟ้าอ่อนที่นิกม์ไม่ได้เป็นคนเลือก ตอนนี้เกือบจะเที่ยงคืนแล้ว
"มานอนบนเตียงสิ มีที่ว่างอยู่นะ" ไมล์สะดุ้งขึ้นกับคำพูดของเขา ความหมายของเขามันไม่ใช่ในเชิงอย่างว่านะ แต่เหมือนว่าเธอจะตกใจกลัวกับประโยคนั้นแปลก ๆ จะว่ากันตามตรงไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่ไม่เคยนอนร่วมเตียงเดียวกันเสียหน่อย
"อ๋อ โทษที ๆ เหม่อ ๆ เบลอ ๆ เลยตกใจน่ะ" เธอรีบพูดระรัวก่อนกระโดดขึ้นเตียงอย่างรวดเร็ว
เป็นอีกครั้งที่ภายห้องเข้าสู่โหมดเงียบ ไมล์นอนก่ายหน้าผากฝั่งผนังห้อง เขาคิดว่าเธอน่าจะหลับไปแล้ว จึงลุกขึ้นจะไปปิดไฟเพราะกลัวว่าเธอจะแสบตา
"ทำไมถึงมาเอาป่านนี้ล่ะ" ไมล์พูดขึ้นมาขณะที่ล้มตัวลงนอนอีกครั้ง
"ไม่รู้เหมือนกัน แค่รู้สึก" เขาตอบ
"มันหนักเกินไป เกินกว่าที่เราจะรับไหว"
"เรื่อง?"
"ทุกอย่างที่มันเคยเกิดขึ้น และกำลังเกิดขึ้น รวมไปถึงที่จะเกิดขึ้น"
"..."
"เราไม่รู้ว่าเรายังเป็นตัวเราคนนั้นที่เคยรู้สึกกับแกได้มากขนาดนั้นอีกรึเปล่า"
ราวกับเขาล่วงรู้ถึงความอัดอั้นของเธอ ในไม่ช้าเธอต้องปล่อยโฮออกไปแน่ เขารีบกุมมือเธอไว้และกระชับให้แน่นเพื่อส่งมอบความรู้สึกที่เขามีในใจให้แก่เธอ สื่อไปอ้อม ๆ ว่าเธอไม่จำเป็นต้องด่วนตัดสินใจในความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาเลย ในเมื่อตอนนั้นเขาคือคนที่ปิดกั้นเธอ และโดยไม่ทันได้ตั้งตัวกำแพงที่เขาสร้างขึ้นมาพังทลายลงอย่างง่ายดายจากเธอ ทว่าในขณะเดียวกันนั้นไมล์ได้ปิดประตูที่เคยเปิดรับเขามาตลอดเสียแล้ว
ครั้งนี้ถึงคราวที่เขาจะเป็นฝ่ายทำให้เธอเปิดใจต้อนรับเขากลับไปอยู่ในนั้นอีกครั้ง
มิวจดจ่อรอฟังคำตอบจากเขา เหตุผลของเขาอาจจะฟังดูงี่เง่าไปสักหน่อยสำหรับมิว แต่เขาคิดว่าสิ่งที่เขาตัดสินใจมันเป็นการยอมรับความจริงมากกว่าหนี หรือเอาแต่จมปลักกับอดีตที่มีภีม
"กูทำใจได้แล้วนะเรื่องภีม" เขาเปิดประเด็น
"อือ ก็ดีแล้วล่ะ"
"ดีมั้งนะ ถึงขั้นตามจีบคนคนนึง"
"ลาออกไปตามจีบสาวเหรอมึง" มิวถามแกมแซวขำอย่างไม่ปิดบัง
"เออจะว่างั้นก็ได้" เขาตอบติดตลก ทั้งที่มันก็อาจจะไม่ได้รู้สึกตลกขนาดนั้น
"ใครว่ะ กูรู้ได้ป่ะ"
"เพื่อนสมัยม. ปลาย ส่องเฟสกูเอานะถ้าอยากรู้ คนที่กูแท็กด้วยบ่อย ๆ ช่วงนี้ คนนั้นแหละ"
"ดีแล้วล่ะ ที่มึงทำใจได้... พูดจริง ๆ นะเว้ย ดีจริง ๆ ที่มึงเปิดใจรับคนอื่น"
"อือ"
"อย่าคิดมาก กูจะยอมให้มึงโดยไม่ถามอะไรอีกและยินดีกับมึงจากใจ แค่มึงไม่โทษตัวเองเรื่องภีม"
ไม่มีทางเหรอก ตัวเขาต่อต้านความคิดนั้นของมิวเพียงลำพัง เขารู้ดีว่าไม่มีวันยกโทษให้ตัวเองเรื่องของภีมเด็ดขาด ถ้าหากว่าคืนนั้นเขาไม่เดินหนีหายไปเฉย ๆ และยอมรับฟัง พูดคุยกับภีมดี ๆ ตั้งแต่แรก อุบัติเหตุและเรื่องราวโหดร้ายแบบนั้นก็คงไม่เกิดขึ้น มันเป็นเพราะเขาเอง ทุกอย่าง...
เขายกยิ้มมุมปากบางแทนคำตอบให้แก่มิวโดยเก็บความรู้สึกที่แท้จริงไว้ภายใน
แน่ใจหรือไม่ว่าคุณต้องการลบสิ่งนี้
เขาไม่ลังเลที่จะคลิกข้อความตกลงบนหน้าจอ เพื่อลบโพสต์นี้
นี่เป็นโพสต์สุดท้ายที่เกี่ยวข้องกับภีมแล้ว เขาเลือกที่จะลบเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นที่มหาลัยแห่งนี้ เขาลบทุกแท็ก ทุกความรู้สึก ทุกความเสียใจของเพื่อนที่เวทนาเขา ไม่มีเหลืออีกแล้ว ความทรงจำเหล่านี้มันก็แค่อดีตที่ลบหลักฐานส่วนหนึ่งในชีวิต ลบห้วงเวลาแห่งความเศร้าโศกทิ้งออกไป เขาไม่ต้องการให้ใครมารื้อค้นและพบเจอกับมันหรือเป็นตัวตอกย้ำเขาอีกครั้งในอนาคต เรื่องราวครั้งนี้จะถูกยัดไว้ในส่วนลึก ฝังกลบมันไปตลอดกาล
ทุกอย่างบนหน้าไทม์ไลน์ดูโล่งขึ้นมาในความรู้สึก ราวกับกระโดดข้ามเวลาจากช่วงที่ได้กลับมาเจอและข้ามย้อนกลับไปในช่วงมัธยมปลายที่เคยมีไมล์ เด็กสาวร่าเริง ยิ้มเก่ง ที่มักเข้ามาหยอกล้อเขาด้วยดวงตาสดใส
เขาพับเก็บโน้ตบุ๊คยัดใส่กระเป๋า ทิ้งกุญแจไว้บนโต๊ะเพื่อคืนเจ้าของหอพัก
ปึง!
เสียงปิดประตูห้องพักดังขึ้น เขาแบกกระเป๋าเป้ใบสุดท้ายเดินตรงออกจากหอพักไป ข้าวของอย่างอื่นถูกนำขึ้นท้ายรถกระบะของพ่อเรียบร้อยแล้ว นิกม์พร้อมจะออกเดินทางไปจากที่นี่แล้ว
และเขาไม่คิดจะหวนกลับมา...
ลาก่อนนะ ภีม