คนหนึ่งเก็บซ่อนความเศร้า อีกคนแอบซ่อนความรัก เมื่อพวกเขากลับมาพบกันอีกครั้ง หัวใจที่ถูกปิดกั้นจะยังสื่อถึงกันได้อยู่ไหม..."พูดสิว่า...รัก"

say “you love me” พูดสิว่า…รัก - Chapter 09 โดย Sweet Pea | สวีทพี @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,ดราม่า,วัยว้าวุ่น,อื่นๆ,ไทย,เพื่อนรัก,โรแมนติก,รักวัยรุ่น,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

say “you love me” พูดสิว่า…รัก

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,ดราม่า,วัยว้าวุ่น,อื่นๆ,ไทย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

เพื่อนรัก,โรแมนติก,รักวัยรุ่น

รายละเอียด

คนหนึ่งเก็บซ่อนความเศร้า อีกคนแอบซ่อนความรัก เมื่อพวกเขากลับมาพบกันอีกครั้ง หัวใจที่ถูกปิดกั้นจะยังสื่อถึงกันได้อยู่ไหม..."พูดสิว่า...รัก"

ผู้แต่ง

Sweet Pea | สวีทพี

เรื่องย่อ

คนหนึ่งเก็บซ่อนความเศร้า

อีกคนแอบซ่อนความรัก 

เมื่อพวกเขากลับมาพบกัน

หัวใจที่ปิดกั้นจะยังสื่อถึงกันได้อยู่ไหม...

"พูดสิว่า...รัก"

*

*

*

เนื้อหาบางส่วน...

“นิกม์” เสียงอ่อนโยนจากฝ่ายหญิงเรียกรั้งเขาไว้ ขณะกำลังก้าวเดินเข้าไปในบ้านของตัวเอง เขาหันกลับไปมองเธอนิ่ง ใบหน้าเรียบเฉยไม่แสดงความรู้สึกใดใดจากเธอ ทำใจเขากระตุกเล็กน้อย

“...!?” 

“เราไม่ได้จีบแกแล้วนะ” 

“ทำไมถึง...” 

“แกชอบมาทำให้เรารัก และจากเราไป” เธอพูดด้วยน้ำเสียงหยอกเยาะราวกับนี่เป็นเรื่องสนุกเรื่องหนึ่งที่เธอจะแกล้งเขา แต่เขากลับไม่ได้รู้สึกสนุกตามแม้แต่น้อย จึงตอบออกไปไม่ทันได้คิด

“คนเรามันก็ต้องมีหวั่นไหวบ้างแหละ”

สารบัญ

say “you love me” พูดสิว่า…รัก-Prologue 00,say “you love me” พูดสิว่า…รัก-Chapter 01,say “you love me” พูดสิว่า…รัก-Chapter 02,say “you love me” พูดสิว่า…รัก-Chapter 03,say “you love me” พูดสิว่า…รัก-Chapter 04,say “you love me” พูดสิว่า…รัก-Chapter 05,say “you love me” พูดสิว่า…รัก-Chapter 06,say “you love me” พูดสิว่า…รัก-Chapter 07,say “you love me” พูดสิว่า…รัก-Chapter 08,say “you love me” พูดสิว่า…รัก-Chapter 09,say “you love me” พูดสิว่า…รัก-Chapter 10

เนื้อหา

Chapter 09

@Plus, Tree bar

“ไมล์ นิกม์ ทางนี้ ๆ” ไอรินเพื่อนร่วมชั้นตอนมัธยมปลายส่งเสียงเรียกพวกเขาสองคนที่กำลังเดินเข้าไปในร้าน หลังจากเขาขนของกลับมาถึงบ้านจู่ ๆ ไมล์ก็ส่งข้อความหาเขาบอกว่าจะเข้าไปรับเขาที่หอพัก เพราะนัดรวมตัวกับชาวแก๊งไว้ซึ่งนิกม์คิดว่าตอนนี้เขาคงเข้าใจคำว่าชาวแก๊งของไมล์ผิดไปสักเล็กน้อย เพราะเท่าที่เห็นจำนวนคนที่พอคุ้นหน้าคุ้นตาแล้วเหมือนจะยกกันมาทั้งรุ่น!

“กลุ่มเราล่ะ ยังไม่มาเหรอ ไหนแกบอกว่านัดรวมก๊วนเราไง” ไมล์เอ่ยถามไอริน ดูเหมือนว่าเจ้าตัวเองก็ไม่ได้คาดหวังถึงคนทั้งสายชั้นเช่นกัน

“เดี๋ยวก็มากันแล้วมั้ง พวกเยลลี่กับปั้นเพิ่งโทรมาบอกว่าจะมาช้าหน่อยแต่คงใกล้มากันแล้วแหละ” รินอธิบาย ไมล์ได้แต่พยักหน้าเข้าใจ พร้อมกับนั่งลงตรงข้ามกับไอรินโดยมีนิกม์นั่งลงข้าง ๆ เธอ

“จะกินอะไรก่อนไหม เรายังไม่ได้กินไรเลยอ่ะ” ไมล์หันมาถามเขา

“อือ ไมล์อยากกินอะไรสั่งมาเลย เดี๋ยวเรากินด้วย” เขาบอกไมล์และหยิบเมนูที่วางอยู่ยื่นไปให้เธอ

“กูสั่งเบียร์รอพวกมึงแล้วนะ ถ้าจะเอาอะไรเพิ่มก็สั่งเลย” รินเสริมสักพักไมล์ก็จดเมนูอาหารลงในกระดาษเสร็จสรรพก็ลุกออกไปตรงเคาน์เตอร์ร้านให้บิลแก่พนักงาน ระหว่างที่เธอกำลังจะเดินกลับมาเธอถูกเรียกโดยเพื่อนอีกกลุ่ม เขามองเธอพูดคุยกับเพื่อนกลุ่มนั้นสักพัก จนกระทั่งไอรินพูดขึ้น

“ไม่ทักไม่ทายกันเลยนะนิกม์” 

“อะไร ก็ทักแล้วไงตอนมาถึง” นิกม์ตอบไอริน

“พยักหน้าทักอะนะ เรียกทักเหรอวะ” 

“สวัสดีครับคุณไอริน” 

“กวนตีน” 

“ก็คุณรินอยากให้ทัก ไม่ได้กวนเพื่อนเลยจริง ๆ ครับ” น้ำเสียงยียวน

“หึหึ ไอ้นิกม์...” ไอรินจ้องหน้าเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย

“…” 

“…” 

บทสนทนาเงียบไปครู่หนึ่ง เหมือนไอรินจะพูดอะไรแต่ไม่ยอมพูดออกมาสักทีจนเขาต้องเป็นฝ่ายเริ่มเอง

“อะไรของมึงไอ้ริน มาเดดแอร์ใส่กู” 

“ไม่มีไร ไม่อยากพูดละ” 

“เอ้า มึงนี่!” 

ไมล์เดินกลับมานั่งที่โต๊ะ หอบนำความสดใสเข้ามาทำลายความขุ่นมัวรอบบริเวณเพื่อนทั้งสองคนที่นั่งจ้องกันอย่างเอาเรื่อง พร้อมพาสมาชิกอย่างเยลลี่และปั้นเข้ามาสมทบด้วย ไม่นานนักเพื่อน ๆ คนอื่นก็เริ่มทยอยมากันจนเต็มโต๊ะ จนตอนนี้บรรยากาศรอบ ๆ เริ่มคึกคักขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อาจเพราะแอลกอฮอล์เริ่มเข้าปากกันทุกคนแล้ว 

ทั้งที่เพื่อนของพวกเขาพูดคุยกันมันส์ปากแต่เขาและไมล์กลับพูดคุยกันอยู่สองคน เขาไม่อยากละสายตาจากรอยยิ้มที่เปื้อนแก้มแดงของเธอสักวินาทีเดียว ดูเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขล้นซะจนเขาหุบยิ้มแทบไม่ได้เช่นไมล์ ไมล์ยื่นมือมาจับมือเขาเล่น ดูเธอพินิจพิเคราะห์เรียวนิ้วของเขาอย่างเพลิดเพลิน

“มือใหญ่จัง มือเราเล็กนิดเดียวเอง” 

“อยากมือใหญ่บ้างเหรอ” 

“เปล่า แค่ชอบคนมือใหญ่” 

“อ๋อ งั้นก็ชอบเราด้วยสิ เราก็มือใหญ่นะ” เขาพูดขึ้นพร้อมประสานมือเทียบกับฝ่ามือเล็กของเธอ มือหนาแทบจะครอบครองมือของเธอไว้ เขาจึงกุมมือนั้นไว้โดยซ่อนมันไว้ใต้โต๊ะไม่ให้ใครเห็น เขาอยากจะให้เธอมั่นใจและยอมรับเขามากกว่านี้ก่อน

“สรุปมึงมีแฟนยังไอ้ไมล์” อยู่ ๆ รินก็ถามขึ้น ไมล์จึงเหลือบตามองเขาเป็นเชิงไม่รู้จะตอบอย่างไรดี

“ไม่มีเว้ย” 

“ทำไมไม่มี ตอนม. ปลายนี่ฮอตไม่ใช่เหรอ” 

“ตอนนู้นอ่ะใช่ แต่ตอนนี้ยังไม่มีคนขอสักทีไง” เธอตอบยิ้ม ๆ เป็นยิ้มเศร้า ทำเอาเขาเจ็บแปล๊บในใจ เขาไปต่อแทบไม่เป็น นี่คือไมล์รอเขาขอคบอยู่ ใช่รึเปล่านะ เขาไม่ได้คิดไปเอง เขาได้แต่แสดงสีหน้านิ่งเรียบปล่อยมือที่กุมอยู่ของเราออกก่อนจะขอตัวลุกไปเข้าห้องน้ำ ต้องไปตั้งสติ เพราะใจเขาเต้นแรงถี่ขึ้น ถ้าขืนจับมือเธอและอยู่ตรงนั้นต่อไปไมล์ต้องรู้ตัวแน่

เขาจัดการทำธุระส่วนตัวเสร็จก็เดินออกมายืนหน้าที่สูบบุหรี่ เขาหยิบบุหรี่ออกจากซองมาหนึ่งม้วนกำลังจะจุดสูบ แต่ต้องชะงักมือไว้ พอมองไปที่ซองก็นึกได้ว่ามันเป็นเพียงซองเตือนใจเพื่อจะเลิกสูบ ช่วงที่ภีมเสียไปเขาเริ่มสูบบุหรี่หนักขึ้นเพื่อระบายความเครียด ตอนนั้นเขาไม่รู้ว่าจะทำยังไง ทุกอย่างมันมืดไปหมดจนสุดท้ายกลายเป็นคนเสพติดบุหรี่ไป กระทั่งกลับมาเจอไมล์เขาก็รู้สึกดีขึ้นจนไม่ต้องพึ่งมันอีก

“ไอ้นิกม์” 

“อ้าว มีไรริน” เขาถามคนตรงหน้าที่เดินเข้ามาหาเขา เขาคิดไว้แล้วว่าไอรินต้องอยากพูดอะไรกับเขาแน่ ๆ

“สงสัย” 

“เรื่องไร” 

“มึงจะขอไมล์คบตอนไหน กูดูออกนะว่ามึงรู้สึกดีกับไมล์” 

“อือ” 

“อืออะไรของมึง รีบ ๆ ทำให้มันชัดเจนถ้าไอ้ไมล์ไปคบกันคนอื่นมึงจะเสียใจ” 

“ใครวะ” 

“มึงไม่ต้องรู้หรอก แต่กูมั่นใจว่าไมล์ก็รู้สึกดีกับมึง อย่างน้อย ๆ มันก็เคยชอบมึงไม่ใช่เหรอ ตอนม. ปลาย” 

“หลังปีใหม่” ถ้าไมล์ดูโอเคจะไปไปต่อกับเขา เขาก็พร้อมจะเดินหน้า

“กูจะไปบอกไมล์ให้นะ ฮุฮุ” จบคำนั้นรินก็วิ่งลู่กลับไปที่โต๊ะทันที จะให้ห้ามก็ไม่ทันได้ออกเสียงตัวแรกเสร็จด้วยซ้ำ


รอก่อนนะไมล์

.

.

.

นิกม์เดินไปคุยกับเพื่อนโต๊ะอื่น ๆ นานสักพักกว่าจะกลับไปที่นั่ง พอเขากลับไปที่โต๊ะของตัวเองกลับพบแค่เยล ปั้น ไอริน และมีเพื่อนมาเพิ่มอีกคนคือไอ้แทน นึกว่ามันไปเรียนที่ญี่ปุ่นซะอีก มาอยู่นี่ได้ไงเนี่ย

“ไมล์อ่ะ” เขาถามหาไมล์แต่ทุกคนส่ายหน้าพร้อมเพรียงกัน

“เออ แต่กูเห็นอยู่แถวห้องน้ำนะคุยอยู่กับไอ้สกาย เมื่อกี้เดินผ่าน ก็ทักมันไป” แทนบอก เขาจึงอดไม่ได้ที่จะเหลือบไปมองทางนั้น แม้จะมองจากที่ไกล ๆ ก็เห็นได้ว่าไมล์กำลังพูดคุยกับสกายอยู่จริง ๆ ใจเขาปลิวขึ้นมาทันใดเมื่อเห็นไมล์พูดคุยกับแฟนเก่าของเธอแล้วยังหัวเราะมีความสุขแบบนั้นได้ ไม่รู้ว่าสองคนนั้นพูดคุยอะไรกัน จู่ ๆ สกายก็ลูบหัวของเธออย่างเอ็นดู พวกเขาดูเหมาะสมน่ารักซะจนเขาอิจฉา อิจฉาที่เธอกับเขามีท่าทีสนิทสนมกันขนาดนั้น

ตุ้บ!

เขาลุกขึ้นยืนเดินตรงไปทางที่ไมล์อยู่โดยไม่ได้สนใจเก้าอี้ที่ล้มลงสักนิด เธอหันมามองเขาที่กำลังเดินไปพอดี เธอยิ้มร่าเริงให้เขาเช่นเดิมก่อนจะหันกลับไปสนใจสกาย เมื่อเขาเข้าไปถึงเขาก็ทักสกายด้วยความคุ้นเคย ยังไงซะก็เพื่อนของเขาคนหนึ่งเหมือนกัน

“ไง สบายดีเหรอ” เขาถาม

“เออดี ๆ มึงอะเป็นไงบ้าง เรื่องที่เกิดขึ้นกับแฟนมึง...มึงโอเคใช่ะป่าว” 

“อื้อ ไม่ได้คิดมากแล้ว” 

“ดีแล้วละ กูเข้าใจมึงดีเลยล่ะ” สกายบอกเขา

“อื้อ แต๊งกิ้ว” 

“…”  

บทสนทนาเข้าสู่ความเงียบ ไมล์ทำท่าพูดไม่ออกเหมือนเธอไม่อยากให้เขารับรู้บทสนทนาระหว่างเธอกับสกาย

“งั้นพวกกูไปก่อนนะ, ไปกันเถอะไมล์” เขาดึงข้อมือเธอมาจับไว้พร้อมกึ่งดึงกึ่งลากเธอออกมา ไมล์ทำหน้าเอ๋อ แต่ก็ก้าวตามอย่างว่าง่าย

“เอ่อ...นิก” 

“อย่าเพิ่งพูดอะไรเลยนะ” เขาปราม เพราะกลัวจะเผลอแสดงออกมากไปว่ากำลังหึงหวงและหงุดหงิดที่สกายมาพูดต่อหน้าไมล์เรื่องเข้าใจความรู้สึกเขาดี เหอะ เข้าใจดีอะไรกัน เขากับสกายไม่เหมือนกันสักนิด

“อื้อ” 

หลังจากนั้นพวกเขาก็ไม่พูดไม่จากันอีกเลย นิกม์ครุ่นคิดในใจ ทำไมสกายถึงได้พูดจาอวดดี มาเข้าใจเขาเรื่องภีมได้แบบนั้น หรือว่า นี่เขากำลัง ‘หึง’ อย่างงั้นเหรอ ไม่ใช่หึงสิ เขาหึงไม่ได้ โกรธก็ไม่ได้ ไม่พอใจไม่ได้

เขาไม่รู้ว่าควรจะอธิบายความรู้สึกเช่นนี้ออกมายังไงแค่ตอนนี้เป็นห่วงความรู้สึกของไมล์มากจนไม่รู้จะปลอบใจเธอยังไงกับสิ่งที่เคยเกิดขึ้นระหว่างสกายกับไมล์

ดูเหมือนจะงี่เง่าแต่เขาทำอะไรมากไปกว่านี้ไม่ได้

“นิกม์…” 

“…” 

“นิกม์” เขาหลุดจากภวังค์แล้วหันมาให้ความสนใจเสียงเรียกจากไมล์

“อ๊ะ โทษที ๆ ว่าไง” 

“เราอยากกลับแล้ว” 

“งั้นกลับกันเลยไหม” 

“อือ, พวกมึง...เดี๋ยวกูขอกลับก่อนนะ ใกล้จะเกินเวลาที่บอกที่บ้านแล้วล่ะ” ไมล์เออออกับเขาแล้วหันไปบอกเพื่อน ๆ

และทุกอย่างก็เข้าสู่ความเงียบงันอีกครั้ง เราเดินออกมาเงียบ ๆ เงียบซะจนเขานึกว่าไม่มีเสียงรอบข้างด้วยซ้ำ เธอไม่พูดอะไรเลยจนกระทั่งถึงหน้าหอพักของเขา เขาลงจากมอไซต์เธอก็ถอยรถเปลี่ยนทิศทางและตั้งท่าจะขี่ออกไปโดยไม่บอกลา เขาจึงเป็นฝ่ายต้องรั้งเธอไว้อีกครา

“เดี๋ยวดิไมล์ ให้เราขี่รถตามไปส่งไหม” เขาถามเธอด้วยความเป็นห่วง

“ไม่ต้องหรอก เรากลับคนเดียวได้” 

ไมล์ปฏิเสธเสียงแข็ง น้ำเสียงเยือกเย็นไม่สมกับเป็นเธอ นิกม์ได้แต่อึดอัดในใจกลัวว่าจะเป็นฝ่ายทำให้เธอเคืองเขาที่เข้าไปแทรกในช่วงที่กำลังคุยกับสกาย บางทีความห่วงใยของเขาอาจจะเป็นความจุ้นจ้านสำหรับเธอ เขารู้ตัวดีว่าไม่มีสิทธิ์แสดงออกในเรื่องนี้ เพราะตัวเขาในมุมมองของไมล์อาจไม่ได้ต่างจากสกายนัก

เธอไม่รอให้นิกม์ได้พูดตื้อต่อสักนิด รู้ตัวเธอก็บอกลาแล้วขี่รถออกไปทันที เขาวิ่งเข้าห้องพักเพื่อไปหยิบกุญแจมอไซต์ และขี่ตามหลังเธอไปอย่างรวดเร็ว เขามองตามแผ่นหลังของเธออยู่ไกล ๆ จนระยะเริ่มใกล้ขึ้น เมื่อเธอรู้ตัวว่าเขาตามเธออยู่ จึงหันขวับมาถามด้วยความแปลกใจ

“ตามมาทำไมเนี่ย” 

“เป็นห่วงไง มันดึกแล้วทางบ้านไมล์เปลี่ยวจะตาย อันตราย” 

“ไม่ต้องไง เรากลับได้เกรงใจ” 

“ไม่อ่ะ มันไม่ปลอดภัย” 

“เฮ้อ~ งั้นตามใจล่ะกัน” สรุปเขาก็ดื้อมาส่งเธอถึงหน้าบ้านจนได้

“แกเป็นไรป่าวอ่ะ” 

“เปล่า เราแค่เหนื่อยอะ” 

“หรอ งั้นไมล์ขึ้นไปพักเถอะ” 

“อื้อเค” 

“ฝันดีนะ” 

“…” เธอพยักหน้าเบา ๆ พร้อมกับเปิดประตูรั้วบ้าน

“ไมล์” 

“หื้ม อะไรหรอ” 

“มะรืนนี้ไปเค้าดาวน์ด้วยกันนะ” 

“ได้สิ” 

เธอยิ้มนิ่ง ๆ ให้เขา ในขณะที่ทุกอย่างยังเต็มไปด้วยความสับสน ท่าทีที่ห่างเหินของไมล์ ความรู้สึกแปลกประหลาดได้พุ่งปะทะภายในตัวเขาราวกับมีพลังงานบางอย่างที่กำลังส่งคลื่นสัญญาณบอก

‘สกายต้องพูดอะไรบางอย่างเกี่ยวกับเขาให้ไมล์รู้สึกแย่แน่นอน’