ผมนากิ แมวขาวสุดเจ๋งแจ๋วที่ถูกแม่เลี้ยงใจร้ายถีบออกจากบ้านเด็กกำพร้า อะไรนะ?! ให้ฉันไปหาเงินในสภาพแบบนี้เนี่ยนะ?!! จริง ๆ มันก็ไม่ยากหรอก~ แต่ทำไม...ฉันต้องลงดันเจี้ยนกับไอ้จิ้งจอกขี้เก๊กนี่ด้วย!!!
ดราม่า,แอคชั่น,ตลก,แฟนตาซี,ชาย-ชาย,โลกครึ่งสัตว์,เวทมนตร์,หวาน,อาณาจักร,นักผจญภัย,ดันเจี้ยน,โรงเรียนเวทมนตร์,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ผมนากิ แมวขาวสุดเจ๋งแจ๋วที่ถูกแม่เลี้ยงใจร้ายถีบออกจากบ้านเด็กกำพร้า อะไรนะ?! ให้ฉันไปหาเงินในสภาพแบบนี้เนี่ยนะ?!! จริง ๆ มันก็ไม่ยากหรอก~ แต่ทำไม...ฉันต้องลงดันเจี้ยนกับไอ้จิ้งจอกขี้เก๊กนี่ด้วย!!!
ผู้แต่ง
YANI
เรื่องย่อ
“หลบไปซะไอ้จิ้งจอกสมองกล้าม ฉันจะจัดการมันเอง” ผมพูดอย่างเย้ยหยันกับชายร่างสูงข้าง ๆ และเดินไปหาเจ้าแมงมุมยักษ์เบื้องหน้าอย่างขึงขังมั่นใจ
กะอีแค่แมงมุมยักษ์ฉันไม่ต้องพึ่งหมานั่นหรอก~
ผมกำมือเดินไปหาเจ้าแมงมุมร้ายอย่างท้าทาย ดวงตาของมันแดงก่ำ มีฟันใหญ่แหลมคม และตัวใหญ่มาก ๆ ... ใหญ่เกือบเท่าบ้านหลังย่อมเลยนะนั่น แต่กลัวซะที่ไหน!
“แกตัวเท่ามดจะไปทำอะไรมันได้?” ผมชะงัก ไอ้หมาจิ้งจอกข้างหลังมันพูดจาถากถางพลางกอดอกด้วยท่าทีดูถูก แถมยังชายตามองผมอย่างกับเห็นแมลง วิ่งกลับไปต่อยสักทีดีไหมเนี่ย!
“เงียบไปเลย! เก็บปากไว้กินหญ้าเถอะ! ฉันไม่ต้องการให้หมาจิ้งจอกอย่างแกช่วย!!” ผมชี้หน้าด่าชายร่างสูงอย่างฉุนเฉียว หูและหางพลันก็ตั้งขึ้นตามอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน
“ก็ถ้าโดนมันเล่นงานขึ้นมาก็อย่าขอให้ฉันช่วยก็แล้วกันไอ้แมวเด็ก!!”
เจ้าจิ้งจอกนั่นมันตะคอกกลับมาด้วยความโกรธเกรี้ยวยิ่งกว่าเก่า แต่แมวแกร่งอย่างผมสนใจพวกสมองกล้ามซะที่ไหน!
“คอยดูเถอะ!!”
หลังจากดูเชิงได้พักนึง ผมโก่งตัวกระโจนใส่เจ้าแมงมุมยักษ์ตรงหน้าหวังจะใช้กรงเล็บเฉือนตามัน
แต่มันกลับพ่นใยมาพันตัวผมจนเหลือแต่หัวโผล่ออกมา อะไรเนี่ย! ใยเหนียวชะมัด! ผมตกลงพื้นแข็ง ๆ และพยายามดิ้นสุดแรง
แต่เจ้าแมงมุมน่าเกลียดนั่นมันใช้ขาหน้าดึงร่างของผมที่ถูกห่อใยขึ้นไปห้อยต่องแต่งอยู่เหนือหัวมัน ก่อนที่ปากอันใหญ่โตของมันจะอ้าออกเผยให้เห็นฟันคมกริบนับไม่ถ้วน กลิ่นโคตรเหม็นคาวเลย!
แต่อะไรเนี่ย นี่ฉันต้องตายตั้งแต่เริ่มเลยเหรอ! ไม่ได้นะ ยังไม่ทันได้เงินสักแดงแถมฉันยังมีน้องที่ต้องกลับไปหาอีกนะ! ถึงจะไม่อยากพูดก็เถอะแต่...
“ช่วยด้วยไอ้หมาสมองกล้าม!!!” ผมตะโกนสุดเสียงจนแสบคอไปหมด แต่ก็เหลือบไปมองเจ้าหมานั่นหวังได้รับคำตอบที่ดี
“เฮ้อ... ฉันบอกแกแล้วใช่ไหมไอ้แมวเด็ก” เจ้าจิ้งจอกถอนหายใจหน้าตายและมองดูผมห้อยต่องแต่งอย่างไร้ทางหนี
อยู่ ๆ จากที่กำลังโดนหย่อน ตัวผมกลับโดนเหวี่ยงเป็นวงกลมเร็วขึ้นเรื่อย ๆ ไอ้แมงมุมเวรนี่ทำอย่างกับฉันเป็นของเล่นเลย!
มันเหวี่ยงตัวผมไปมาจนเริ่มเวียนหัวแต่เจ้าหมานั่นก็ยังยืนกอดอกดูอยู่แบบนั้น
“ช่วยทีเถอะ! ฉันยังมีน้องที่ต้องกลับไปหานะ! เวียนหัวจะแย่อยู่แล้ว~!!”
เพราะโดนเหวี่ยงจนมึนทำให้เห็นแต่โลกที่หมุนไปมาผมเลยไม่รู้ว่าเจ้าหมานั่นรับคำขอหรือเปล่า
แต่ในตอนนั้นจู่ ๆ จากที่โดนเหวี่ยงไปมาผมก็รู้สึกเหมือนกำลังร่วงอีกครั้ง
“ว้าก!!” ถึงจะมึนจนไม่รู้เรื่องแต่ผมก็ร้องออกมาด้วยความตื่นตระหนก ตกลงข้างล่างทั้งที่มีปากแมงมุมรออยู่ฉันก็ตายน่ะสิ!!
แต่ตอนที่ร่างของผมกำลังร่วงหล่นอย่างไม่มีอะไรฉุดรั้ง ทันใดนั้นผมก็รู้สึกเหมือนมีอะไรมาประคองร่างที่ห่อใยของผมเอาไว้ สิ่งนั้นวางผมลงกับพื้นหินขรุขระ
“เฮ้! ไหวหรือเปล่าไอ้แมวเด็ก!!” ผมได้ยินเสียงเจ้าหมานั่นอยู่ใกล้ ๆ อาการมึนของผมเริ่มหายไป
ในที่สุดสายตาเจ้ากรรมก็กลับมามองเห็นอีกครั้ง สิ่งที่ผมเห็นคือโยชิโระที่ดูผมเหมือนเอ่อ...กังวลเหรอ ไม่สิ น่าจะแค่สงสัยมากกว่า
“โอย...อยากอ้วกแต่ไม่มีอะไรอยู่ในท้องด้วยซ้ำ...” ผมโอดครวญและพึมพำด้วยสีหน้าที่ซีดเซียว ไม่เอาแบบนั้นอีกแล้วนะขอร้อง...
“งั้นผมจะตามนายน้อยไปช่วยต่อรองก็แล้วกันนะครับ” เจ้าหนูพูดหน้าระรื่นและดูจะมั่นใจมาก ผมเลยตามน้ำและให้เขาตามมาด้วย
ผมกลับมาที่โบสถ์อีกครั้ง บรรยากาศแบบเดิม คนก็ไม่มากเหมือนเดิมและนักบวชชราคนเดิมก็เดินมาหาผมอย่างเป็นมิตรเช่นเดิม
“กลับมาแล้วเหรอพ่อหนุ่ม~ คราวนี้เตรียมของมาหรือเปล่า?” ผมพยักหน้าอย่างเรียบนิ่ง บาทหลวงยิ้มกว้างขึ้นเล็กน้อยราวกับดีอกดีใจก่อนจะพูด
“งั้นตามมาเลย~ ทางนี้เองก็เตรียมการไว้แล้วเหมือนกัน”
บาทหลวงเดินนำเราเข้าไปในส่วนลึกของโบสถ์ ผ่านห้องพิธีทางศาสนาและอื่น ๆ จนไปถึงห้องหนึ่ง ที่นั่นคือห้องบูชาศาสดาสุดกว้างขวาง มีรูปปั้นขนาดใหญ่อยู่ที่สุดทางของห้องและมีการจุดเทียนที่หน้ารูปปั้นนั้น
ผมเห็นบาทหลวงที่ดูเยาว์วัยกว่านักบวชชราอีกสี่ถึงห้าคนกำลังสวดภาวนากันอย่างขมักเขม้น ที่บอกว่าเตรียมการไว้แล้วคือแบบนี้เองเหรอ?
ไม่นานนักบาทหลวงชราก็เริ่มแนะนำ “รูปปั้นตรงหน้าของเราคือผู้นำของศาสนจักรหรือท่านศาสดาสึรุ ท่านเป็นคนเดียวที่จะช่วยเหลือพ่อหนุ่มได้ เราได้บอกท่านล่วงหน้าไว้แล้วว่ามีคนอยากพบและจะให้ข้อเสนอที่ดีมาก~ ขอเราเชิญท่านมาที่นี่ก่อนสักครู่”
สิ้นคำกล่าวเจ้าบาทหลวงเฒ่าก็เดินผ่านบาทหลวงคนอื่น ๆ ไปที่หน้ารูปปั้นและกางมือออกจนสุดแขน
“โอมท่านศาสดาสึรุได้โปรดรับฟังสาวกของท่าน ตอนนี้ผู้ที่อยากพบท่านมารออยู่ตรงนี้แล้ว โปรดปรากฏกายลงมา ณ ที่แห่งนี้ด้วยเถิด...”
บาทหลวงก้มหัวแสดงความนอบน้อมอย่างจริงจัง จากนั้นรูปปั้นก็เปร่งแสงสีทองสว่างไสว ตามมาด้วยเสียงที่แหบเล็กน้อยของชายชราดังออกมาจากรูปปั้น “ข้ามาตามคำเรียกขานของเจ้าแล้วสาวกเอ๋ย~”
เหล่าบาทหลวงหยุดสวดภาวนาและถอยออกไปคนละฝั่ง ผมและเจ้าหนูคนรับใช้มองดูด้วยความตะลึงไม่น้อย
ไม่นานอะไรบางอย่างก็ออกมาจากแสงของรูปปั้น มันคือร่างส่องสว่างสีทองที่ค่อย ๆ ลอยลงมาตรงหน้าของนักบวชชราอย่างนุ่มนวลราวกับขนนก
นี่น่ะเหรอผู้นำของศาสนจักรที่เป็นหนึ่งในสามนักเวทผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุคโบราณ พึ่งเคยเห็นกับตาครั้งแรกเลย...
มีคำกล่าวมากมายที่ฉันเคยได้ยินเกี่ยวกับเขา...ว่าไม่มีอะไรที่ปิดบังเขาได้ ไม่มีอะไรที่เขาไม่รู้ ไม่มีเวทใดที่เขาใช้ไม่ได้ และไม่มีอะไรที่เขารักษาไม่หาย...
ทั้งที่ยืนอยู่ไกลแต่ผมก็ยังรู้สึกได้ถึงเวทมนตร์อันมหาศาล นี่คือพลังของผู้นำศาสนจักรงั้นเหรอ..? ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมทุกคนถึงยำเกรงขนาดนั้น... ราวกับว่าแม้แต่พลังของคนทั้งอาณาจักรยังไม่สามารถเทียบเคียงเขาได้เลย
มองผิวเผินร่างนั้นเหมือนชายใส่ชุดสีทองยาวราวกับนักปราชญ์ของชนชั้นสูง และถือไม้เท้าขนาดใหญ่
ร่างนั้นยกไม้เท้าขึ้นและเคาะลงพื้นเบา ๆ สองครั้งจนเกิดเสียงกระทบไปทั่วบริเวณ ทันใดนั้นแสงเจิดจ้าก็หายไปรวมถึงแสงที่เคลือบร่างของเขา ปรากฏออกมาเป็นชายชราเผ่าแกะร่างสูงในชุดนักปราชญ์สีขาวตัดกับขอบสีทองน่าเลื่อมใส
เขามีเคราสีขาวยาวลงมาถึงอก ใส่หมวกนักบวชทรงสูงและมีเขาแกะขนาดใหญ่ม้วนเป็นเกลียวไปด้านหลัง... เขาใส่แว่นและมีโหนกแก้มชัดเจน ริ้วรอยบนใบหน้าบ่งบอกถึงอายุที่ไม่ใช่น้อย ๆ
นอกจากนั้นไม้เท้าที่เห็นในตอนแรกยังมีคริสตัลสีเหลืองขนาดใหญ่อยู่ตรงปลายด้านบน
เขามองพวกเราก่อนจะเอ่ยปากพูด “นั่นคงเป็นคนที่อยากเจอข้าสินะ”
ผู้เป็นศาสดายิ้มอ่อน ๆ และเดินมาหาเราอย่างเชื่องช้า เขาเอาแขนซ้ายไขว้ไว้ด้านหลังส่วนอีกข้างก็ถือไม้เท้าใช้ค้ำยืนอย่างเป็นธรรมชาติ
เสียงย่ำเดินและเสียงไม้เท้ากระทบดังเป็นช่วงท่ามกลางความเงียบในห้องบูชา ชายเสื้อที่ยาวเหยียดถูกลากไปบนพื้นตามการเคลื่อนไหวของศาสดาตรงหน้า
เขามาหยุดอยู่ตรงหน้าเราด้วยร่างที่สูงจนน่าตกใจ ฉันดูเตี้ยไปเลยเมื่อเทียบกับเขา
“ทำความเคารพท่านศาสดาครับ” ผมพูดก่อนที่เราทั้งคู่จะโค้งตัวไปด้านหน้าเล็กน้อย
ศาสดาสึรุยิ้มอย่างพึงพอใจก่อนจะเอ่ย “ต้องการให้ข้าช่วยอะไรล่ะ~? ว่ามาได้เลยพ่อหนุ่ม”
ภายใต้คำพูดที่หวังดีนั่น ผมรู้สึกได้ถึงบรรยากาศแปลก ๆ ... ถึงจะไม่น่าไว้ใจยังไงแต่ฉันก็ต้องพึ่งพลังของเขา
“เพื่อนเผ่าแมวของผมโดนพิษรุนแรงที่รักษาไม่ได้ ผมอยากขอให้ท่านช่วยใช้พลังรักษาเขาภายในคืนนี้ได้หรือเปล่าครับ?”
พอพูดจบดวงตาของเขาก็เบิกกว้างเล็กน้อยราวกับประหลาดใจก่อนจะยื่นหน้าเข้ามาพูดเหมือนสนอกสนใจ
“โอ้...อะไรกันนี่~ ข้าได้ยินไม่ผิดใช่ไหม~? พ่อหนุ่มที่เป็นเผ่าจิ้งจอกขนดำกำลังขอให้ข้าช่วยเหลือเผ่าแมวงั้นเหรอ~? ช่างน่าอัศจรรย์จริง ๆ แถมเจ้าตัวยังมาจากตระกูลจิ้งจอกเงินซะด้วย~ น่าประหลาดใจยิ่งกว่า”
นักปราชญ์ตรงหน้ากลับไปยืนตรงและยิ้มกว้างขึ้นเล็กน้อย เป็นเรื่องจริงสินะที่ว่าไม่มีอะไรที่เขาไม่รู้ เผลอ ๆ ตอนนี้เขาคงอ่านใจฉันอยู่ ฉันไม่ควรคิดร้ายหรือก่นด่าอะไรเขา แต่ให้พูดตามตรงฉันไม่ไว้ใจรอยยิ้มนั่นเลย
ด้วยความคิดแบบนั้นผมแสดงสายตาที่แข็งกร้าวไปยังนักปราชญ์ตรงหน้าอย่างไร้ซึ่งความหวาดกลัว
นักปราชญ์หัวเราะคิกคักอย่างอารมณ์ดีก่อนจะกล่าว “รอบคอบดีจังเลยนะ~ เจ้าชื่อว่าอะไรล่ะเจ้าหนุ่มจิ้งจอก?”
จากที่เอามือไขว้หลังเขาเอามือขึ้นมาจับเคราเหมือนอยากรู้อยากเห็น เขาน่าจะรู้ชื่อของฉันอยู่แล้วแต่แค่ถามเป็นพิธี จะไม่ตอบก็ไม่ได้ด้วยสิ
“โยชิโระครับ” ผมตอบอย่างเรียบนิ่ง
“อืม...โยชิโระ ตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมาเจ้าเป็นหนึ่งในเผ่าจิ้งจอกไม่กี่คนที่ไม่ถือตัวและไม่เย่อหยิ่ง ข้าขอชื่นชม... ส่วนเรื่องรักษาเด็กหนุ่มเผ่าแมวคนนั้นน่ะแน่นอนว่าฉันทำได้~ จะดีดนิ้วให้เขาหายดีตรงนี้เลยก็ยังได้นะแต่ฉันขอดูข้อเสนอก่อน~”
ศาสดาสึรุจับปลายคางและยื่นหน้ามาหาผมด้วยแววตาสีทองพร้อมกับแสดงรอยแย้มอันแสนเจ้าเล่ห์ออกมา นี่สินะธาตุแท้ของมัน... ไอ้เห็นแก่ตัวเอ้ย! คิดไว้อยู่แล้วเชียว!
ผมกำมือแน่นและแยกเขี้ยวอย่างโกรธเคือง ขอซัดหน้าไอ้แก่นี่สักทีเถอะ!! ผมคิดทั้งหมดนั่นโดยไม่สนใจว่าคนตรงหน้าจะรับรู้ได้หรือไม่ และไม่ได้เกรงกลัวเลย
แต่ก่อนที่จะทำอะไรเกินเลยคนรับใช้ก็จับไหล่ห้ามผมเอาไว้ “ใจเย็น ๆ ครับนายน้อย ต่อจากนี้ผมจะคุยเองครับ”
เจ้าหนูคนรับใช้พูดและออกหน้าแทน นักปราชญ์นั่นกลับไปยืนแบบเดิมแต่ยังคงทำหน้าระรื่น ผมพยายามใจเย็นและยืนกอดอกดูอยู่เฉย ๆ
“ผมเป็นคนรับใช้ของตระกูลจิ้งจอกเงินชื่อนานาชิ แน่นอนครับว่าทางนี้เองก็มีค่าตอบแทนที่สมน้ำสมเนื้อให้ ท่านศาสดาลองพิจารณาดูนะครับ”
พอพูดจบเจ้าหนูรับใช้ก็หยิบการ์ดเก็บไอเทมออกมาจากกระเป๋าเสื้อ เป็นการ์ดแบบเดียวกันกับที่ผมมีติดตัว
จากนั้นเขาก็เอาถุงใส่เงินใบใหญ่ออกมาสองถุงวางอยู่เบื้องหน้าของศาสดาร่างสูง
“เงินถุงใหญ่ที่มีแต่เหรียญทองสองถุง เท่านี้น่าจะพอนะครับ”
เจ้านักปราชญ์ยิ้มอย่างดีอกดีใจก่อนจะเอ่ยถาม “โอ้~ เงินเยอะมากเลยนะ แต่มันออกจะเยอะไปหน่อย...แสดงว่ามีเงื่อนไขอื่นด้วยใช่ไหม?”
มันรู้อยู่แล้วว่าเงื่อนไขคืออะไรแต่ก็ยังจะถาม แบบนี้มันกวนประสาทกันชัด ๆ ! ผมพยายามระงับอารมณ์ที่เดือดพล่านเอาไว้และรอดูต่อไป
เจ้าหนูคนรับใช้ไม่ได้แสดงท่าทีอะไร เขาเพียงตอบกลับอย่างสุขุมเรียบนิ่ง
“ขอแค่ท่านไม่ไปตามตื้อนายน้อยกับเพื่อนของเขาหลังจากรักษาเสร็จก็พอครับ”
ศาสดาสึรุพยักหน้ายอมรับข้อตกลง
“เข้าใจแล้ว ๆ ~ เจ้าหนุ่มจิ้งจอกไปรอที่โรงพยาบาลก่อนเถอะ ข้าขอเวลาคุยกับสาวกก่อนเดี๋ยวจะตามไปทีหลัง” ได้ยินแบบนั้นผมและคนรับใช้ก็ออกมาจากโบสถ์กัน
ดีแล้วที่เจ้าคนรับใช้ต่อรองแบบนั้นเพราะถ้าเจ้านั่นมาตอแยเราทีหลังล่ะก็พวกเราคงไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขแน่ ไม่ได้กลัวว่าจะรำคาญหรือเพราะคำสอนของศาสดาสึรุมันแย่
แต่สิ่งที่ฉันกลัวคือการถูกครอบงำ... ข่าวลือที่ว่าศาสนจักรใช้ความศรัทธาควบคุมผู้อื่นไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลย
เพราะเมื่อใครก็ตามที่ศรัทธาในคำสอนของสึรุจะถูกเวทมนตร์ของเขาเข้าควบคุมให้อุทิศตนเพื่อศาสนจักรเท่านั้น ถึงจะไม่ได้มีผลกับการใช้ชีวิตแต่ก็จะอยู่ใต้อาณัติของเขาโดยปริยาย ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องที่ดีเลย ที่แน่ใจก็เพราะว่าคนที่โบสถ์นั่น...มีแต่เวทมนตร์ศาสดาสึรุคละคลุ้งอยู่เต็มไปหมด
เรื่องนี้มีแค่คนในวังและชนชั้นสูงเท่านั้นที่รู้ แต่ถึงรู้ทางวังก็ไม่ได้ใส่ใจมากเพราะศาสดาสึรุเองก็ไม่ได้ทำเกินขอบเขต แถมเขายังสำคัญต่ออาณาจักรมาก ๆ ในฐานะนักเวทผู้ยิ่งใหญ่
ดีแค่ไหนแล้วที่เราต่อรองกับเขาได้... ที่หน้าทางเข้าผมได้หยุดคุยกับเจ้าคนรับใช้
“ขอบคุณที่ช่วยต่อรอง ตอนนี้หมดธุระของแกแล้วล่ะ”
เจ้าหนูรับใช้ทำหน้าระรื่นและพยักหน้าหนึ่งครั้ง
“เข้าใจแล้วครับนายน้อย ผมขออวยพรให้นายน้อยพิชิตดันเจี้ยนนั้นให้ได้นะครับ” พูดเสร็จเขาก็หายไปด้วยเวทเงาเหมือนตอนที่มา...
ผมตัดสินใจเดินกลับไปที่โรงพยาบาล แต่ไม่ทันได้ไปไหนเสียงที่คุ้นเคยก็ดังขึ้น
“พ่อหนุ่มจิ้งจอก...เธอมาทำอะไรที่นี่ล่ะเนี่ย?”
คุณลุงโทโทริขับรถม้าผ่านมาพอดี ถึงจะประหลาดใจแต่ผมก็ไม่คิดมากและขอเขาติดรถเกวียนไปด้วย
ระหว่างทางเราได้สนทนากันและนั่นทำให้ผมรู้ว่าคนที่พาผมและนากิมาส่งโรงพยาบาลก็คือคุณลุงโทโทริ... เขาดูเป็นห่วงผมกับนากิมาก เพราะงั้นเขาเลยดูแปลกใจตอนเห็นผมอยู่ที่โบสถ์
พอเขาถามว่าทำไมผมถึงไปอยู่ที่นั่นผมก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้เขาฟัง
“อย่างนี้นี่เอง พิษนั่นคงรุนแรงมากจริง ๆ ลำบากแย่เลยนะ... แต่การต่อรองกับท่านศาสดาคงไปได้สวยสินะเธอถึงได้ดูไม่กังวลขนาดนั้น”
“ครับ...” ผมตอบแบบเรียบนิ่ง ถึงนากิจะเป็นแบบนั้นเพราะฉันก็เถอะแต่เดี๋ยวทุกอย่างจะเรียบร้อย ขอแค่ทุกอย่างราบรื่น...
เพราะได้คุณลุงแพะขับมาส่งผมเลยมาถึงโรงพยาบาลเร็วกว่าที่คิด ผมมุ่งหน้าไปที่ห้องผู้ป่วยฉุกเฉินอย่างรวดเร็ว ที่นั่นคุณหมอและพยาบาลยังคงดูอาการของนากิอยู่ไม่ห่าง ทันทีที่เห็นผมคุณหมอก็รีบมาหา
“เป็นยังไงบ้าง? ที่โบสถ์เขาว่ายังไง?” คุณหมอถามอย่างใจเย็น ถึงจะพอดูออกว่าร้อนรนก็เถอะ
แต่ยังไม่ทันที่ผมจะพูดอะไรก็มีแสงสีทองปรากฏขึ้นมากลางห้อง
“ก็พร้อมจะช่วยเหลือนั่นแหละ~ แลกกับเงินนิดหน่อย”
เสียงที่แหบเล็กน้อยของศาสดาสึรุดังขึ้น เขาใช้เวทเทเลพอร์ตวาร์ปมาที่นี่ เขายังคงทำหน้าระรื่นเช่นเคย หมอและพยาบาลตกใจไม่น้อย
“ทะ ทำความเคารพท่านศาสดาครับ! / ทำความเคารพท่านศาสดาค่ะ!!” พวกเขาโค้งตัวแสดงความนอบน้อมอย่างเกรงอกเกรงใจ ส่วนผมก็ยืนกอดอกดูอยู่เฉย ๆ
“ไม่ต้องเกร็งหรอก~ ไหนขอดูหน้าของเจ้าหนูเผ่าแมวชัด ๆ หน่อยสิ”
ศาสดาสึรุเดินผ่านหมอและพยาบาลไปยังเตียงนากิ แต่ทันทีที่เห็นนากิเขาก็หยุดชะงัก
“กะ เกิดอะไรขึ้นครับ?” คุณหมอถาม ผมเองก็สงสัยไม่ต่างกัน ทำไมเขาถึงมองนากิแบบนั้น? แต่ไม่กี่วิเขาก็กลับมามีท่าทีปกติ
“เปล่า ๆ ไม่มีอะไร~ มารักษาเด็กคนนี้ดีกว่า เอาไอ้เวทรักษากระจอก ๆ นี่ออกไปซะ”
หมอสั่งให้พยาบาลเอาเวทรักษาออกตามคำพูดของศาสดาสึรุ
ทันทีที่ไม่มีเวทรักษาคอยประคองนากิก็เริ่มส่งเสียงอู้อี้และแสดงสีหน้าบิดเบี้ยวจากความเจ็บปวดทรมาน ผมได้แต่อดทนดูอย่างไม่เต็มใจ
“ใจเย็น ๆ เจ้าหนู อดทนไม่นานหรอกเดี๋ยวเจ้าก็หายแล้ว~” ศาสดาสึรุเดินไปข้างเตียงและเอาคริสตัลตรงหัวไม้เท้าสัมผัสที่หน้าผากของนากิ ทันใดนั้นออร่าเวทสีทองก็เคลือบทั้งร่างของเขา
ใช้เวลาไม่นานท่าทางเจ็บปวดของนากิก็ทุเลาลง ทุกคนที่นั่นรวมถึงผมต่างก็อึ้งไม่น้อย
“ขนาดเวทรักษาที่ดีที่สุดยังทำให้พิษนั่นจางลงไม่ได้ด้วยซ้ำ... นี่น่ะเหรอพลังของศาสนจักร...” คุณหมอพูดด้วยความอัศจรรย์ใจ
แค่พริบตาเดียวการรักษาก็เสร็จสิ้น ทันทีที่เขาเอาไม้เท้าออกนากิก็ลืมตาขึ้นเล็กน้อย บ่งบอกว่าเขากำลังฟื้น
ผมตกใจที่เห็นแบบนั้นและพยายามเข้าไป แต่พวกหมอก็ห้ามเอาไว้เพราะจะเข้าไปดูอาการของเขา ผมต้องรออย่างใจเย็นอีกครั้ง
ระหว่างที่พวกหมอกำลังวุ่นศาสดาสึรุก็เดินมาหา ผมกล่าวและโค้งตัวต่อหน้าเขาอย่างซาบซึ้ง “ขอบคุณมากครับ”
ศาสดาสึรุยิ้มรับคำพูดนั้นอย่างยินดีก่อนจะบอก “ข้าจะทำตามสัญญาไม่ต้องห่วง แต่ข้าอยากบอกอะไรกับเจ้าไว้หน่อย...เจ้าโชคดีมากที่มีเขาเป็นคู่หู ข้าขออวยพรให้เจ้าโยชิโระ”
ผมไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูด แต่ยังไม่ทันถามเขาก็ใช้เวทวาร์ปออกไป ต่อจากนั้นคุณหมอก็เดินเข้ามาหาผมอย่างเรียบนิ่ง ผมรอฟังเขาอย่างใจจดใจจ่อ
“อืม...ตอนนี้เด็กคนนั้นพ้นขีดอันตรายแล้ว ถึงไม่มีพิษหลงเหลืออยู่ในร่างกายแต่ก็ต้องนอนพักฟื้นที่นี่อย่างน้อยหนึ่งคืน ตอนนี้เขาสามารถพูดคุยได้แล้ว หมอจะรอข้างนอกนะ”
คุณหมอออกจากห้องไปพร้อมกับพยาบาลที่เหลือ หลังจากเสียงปิดประตูเงียบลงผมก็เดินไปหานากินอย่างใจเย็น
ผมนั่งที่เก้าอี้ข้างเตียงและเรียกชื่อเขาด้วยเสียงที่แผ่วเบา
“นากิ...”
เขาหันมามองผมด้วยสายตาอ่อนล้าราวกับฉงนสงสัย
“โยชิโระ...เกิดอะไรขึ้นกับฉัน? ...แล้วฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?” เสียงที่เหมือนคนหมดแรงของเขาทำให้ผมรู้สึกผิดขึ้นมาไม่น้อยจากที่มีอยู่แล้ว
“อย่าฝืนพูดเยอะเลยนากิ... ฉันจะเล่าให้ฟัง”
ผมเล่าเรื่องทั้งหมดตั้งแต่ที่เขาหมดสติไป ทั้งเรื่องศาสนจักรและเรื่องการต่อรองกับครอบครัว ซึ่งเขา...ก็เหมือนจะประหลาดใจ
“ทำไมนาย...ถึงยอมเดิมพันขนาดนั้น..เพื่อช่วยฉันล่ะ? ทำไมนายถึง..ยอมเอาความฝันมาเดิมพัน..เพื่อฉันล่ะ?”
ดูจากสีหน้าและหูแมวที่ตก ผมรู้ได้เลยว่าเขากำลังกังวล แถมยังฝืนพูดเยอะอีด ถึงจะหนักใจแต่ผมก็ต้องบอกเขา
“เพราะฉันรู้สึกผิด... ฉันโกหกนายเรื่องที่กลัวคนอื่นในกิลด์มาฆ่าบอสตัดหน้าเรา ฉันรู้อยู่แล้วว่ามันเป็นไปได้... มันเป็นความผิดของฉันเองที่นายต้องโดนพิษจนเจ็บปวดแสนสาหัสแบบนี้ นายเกือบตายเพราะความเห็นแก่ตัวของฉัน... ฉันมันเลวเอง... ขอโทษ...ฉันขอโทษจริง ๆ”
ผมก้มหน้าลงอย่างละอายใจ มือบนเข่าทั้งสองข้างกำแน่นด้วยความรู้สึกผิดอยู่เต็มอก ถ้าเขาจะโกรธโวยวายหรือก่นด่าอะไรผมจะไม่ว่าเลย
แต่ในตอนนั้น อยู่ ๆ ผมก็ได้ยินเสียงผ้าขยับ เมื่อเงยหน้าขึ้นมาผมก็เห็นนากิที่พยายามยันตัวลุกขึ้น
“เดี๋ยวก่อนนากิ! ร่างกายของนายยั-”
ยังไม่ทันพูดจบ ดวงตาของผมเบิกกว้างด้วยความอึ้ง นากิเข้าสวมกอดผมอย่างไม่ลังเล แขนอันลีบเล็กทั้งสองข้างโอบเข้าที่คอของผมอย่างอ่อนโยน
“เลิกโทษตัวเองได้แล้วโยชิโระ..! นายยอมเสี่ยงอันตราย...และเอาความฝันมาเดิมพันเพื่อช่วยฉัน..! แบบนั้นมันใช่คนเลวซะที่ไหน..! ฉันไม่ได้โกรธหรือเคียดแค้นนาย... ฉันยอมเสี่ยงอันตรายลงดันเจี้ยนนั้นเอง มันไม่ใช่ความผิดของนายเลย... ถ้าเกิดไม่มีนายฉันคงไม่ได้กลับไปหาน้องสาวอีกแล้ว ขอบคุณนะโยชิโระ...”
ผมได้ยินเสียงสะอื้นเบา ๆ อยู่ข้างหู พูดไม่ออกเลย... ผมโล่งใจอย่างบอกไม่ถูกราวกับมีคนยกภูเขาออกจากอก นี่เป็นอีกครั้งที่ผมได้เห็นด้านอ่อนแอของนากิ เจ้าแมวมั่นหน้าที่ชอบโวยวายก็มีหัวใจไม่ต่างอะไรจากเรา... คิดแล้วแขนของผมก็โอบกอดร่างบางกลับตามอารมณ์ที่มีร่วมกัน
เจ้าแมวพูดอีกครั้ง “ฉันจะไม่ให้การเดิมพันของนายต้องสูญเปล่า... พรุ่งนี้เราจะไปฆ่าไอ้บอสดันเจี้ยนนรกนั่นกัน”
นากิมีน้ำเสียงที่เข้มแข็งขึ้นสมกับเจ้าแมวตัวแสบที่ผมรู้จัก ดวงตาของผมเบิกกว้างอีกครั้งก่อนจะตอบกลับด้วยเสียงในลำคอ
“อื้ม!”