เรื่องราวของเด็กหนุ่ม ผู้ใช้ชีวิตเป็นทหารเฝ้าระวังชายแดนที่มีฝีมือร้ายกาจ จนได้สมญานามว่า พยัคฆ์ขาว จนกระทั้งเขาได้ช่วยองค์หญิงใหญ่จากกลุ่มชนเผ่าอาจู แล้วเส้นทางชีวิตของเขาก็ได้เปลี่ยนแปลงไป
แฟนตาซี,แอคชั่น,ผจญภัย,สงคราม,กำลังภายใน,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
เซียนยุทธ์พิชิตฟ้า ใต้หล้าไร้เทียมทานเรื่องราวของเด็กหนุ่ม ผู้ใช้ชีวิตเป็นทหารเฝ้าระวังชายแดนที่มีฝีมือร้ายกาจ จนได้สมญานามว่า พยัคฆ์ขาว จนกระทั้งเขาได้ช่วยองค์หญิงใหญ่จากกลุ่มชนเผ่าอาจู แล้วเส้นทางชีวิตของเขาก็ได้เปลี่ยนแปลงไป
วรยุทธ์ คือศาสตร์ศิลปะการต่อสู้ที่พัฒนามาจากการป้องกันตัวอย่างง่ายๆ ไปเป็นการสังหารศัตรูอย่างมีประสิทธิภาพ ยิ่งนานวันยิ่งมีรูปแบบที่ซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ก่อเกิดกระบวนท่าต่างๆมากมาย โดยมีการหายใจเป็นพื้นฐานของกำลังภายใน
เหล่านักรบต่างถ่ายทอดศิลปะการต่อสู้ให้กับชนรุ่นหลังผ่านคำสอนและม้วนตำรา จนพัฒนากลายเป็นวรยุทธ์
นักรบที่ได้ฝึกฝนวรยุทธ์จะมีความสามารถเหนือกว่าคนทั่วไป สามารถรับมือและเอาชนะคนจำนวนมากเพียงลำพังได้อย่างง่ายดาย ทั้งยังวิ่งเร็วดั่งสายลม มีวิชาตัวเบาที่สามารถกระโดดจากต้นไม้อีกต้นไปยังอีกต้นได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังมีพลังเหนือมนุษย์อยู่ในร่างกาย ไม่ว่าจะใช้หมัดทลายก้อนหินหรือใช้กระบี่ฟันต้นไม้ขาดเป็นท่อนก็ทำได้และยิ่งมีกำลังภายในที่แข็งแกร่งมากขึ้น ก็ยิ่งมีทักษะและร่างกายที่แข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน
แต่ก็มีบ้างคนที่เกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ ที่สามารถจากพัฒนากำลังภายในจนกลายเป็นพลังปราณที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า และแตกต่างจากกำลังภายในอย่างสิ้นเชิง พวกเขาจึงเรียกตนเองว่าผู้ฝึกตน
ผู้ฝึกตนเหล่านี้จะฝึกฝนตนด้วยการบำเพ็ญ โคจรพลังปราณและดูดซับพลังชี่ จากธรรมชาติ พวกเขาจึงสามารถใช้พลังปราณในวิชาที่เหนือมนุษย์และเหนือธรรมชาติได้ สามารถเอาชนะศัตรูมากมายด้วยการปล่อยพลังจากฝ่ามือ ทั้งยังวิ่งเร็วดุจสายฟ้าหรือเหาะเหินเดินอากาศจากภูเขาลูกหนึ่งไปยังภูเขาอีกลูกหนึ่งภายในอึดใจเดียว อีกทั้งมีพลังมหาศาล สามารถใช้ฝ่ามือทลายขุนเขาหรือแม้กระทั้งใช้กระบี่ฟันต้นไม้หลายสิบต้นขาดเป็นท่อนล้วนแต่ทำได้ ด้วยความสามารถที่มากล้นเหล่านี้ ผู้ที่ขึ้นไปจุดสูงสุดของการฝึกฝนพลังปราณจะถูกเรียกว่า เซียน
ซึ่งผู้คนเหล่านี้ต่างเรียกขานตนเองว่าเป็นจอมยุทธ์
นิยายเรื่องนี้ลงทุกวัน
เวลา 07.00น.
(ลงวันละหนึ่งตอนตามเวลา)
** ฝากติดตามนิยายเรื่องนี้ของผมด้วยนะครับ นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายที่ผมยินดีนำเสนอและเขียนออกมาให้ดีที่สุด หวังว่าทุกท่านจะชอบนิยายเรื่องนี้ของผมนะครับ ขอบคุณท่านเข้ามาอ่านครับ**
ณ แนวหุบเขาซีเป่ย หุบเขาทิศตะวันตกของแคว้นตงฉิน ติดกับแนวชายแดน ซึ่งนอกชายแดนนั้นเป็นทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่และเป็นอาณาเขตของชนเผ่าอาจูที่อาศัยอยู่ท่ามกลางทุ่งหญ้า
แล้วในหุบเขาซีเป่ยแห่งนี้ มีค่ายทหารขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางหุบเขาซีเป่ย ที่มีพื้นที่เป็นต่อด้านยุธศาสตร์ เพราะอยู่ตรงกลางของเทือกเขาสูงใหญ่ดั่งกำแพงหินที่ไม่อาจทลายได้ ค่ายนั้นก็คือค่ายต้าเป่ย แห่งแคว้นตงฉิน ค่ายใหญ่ที่ทำหน้าที่รักษาแนวชายแดนทางทิศตะวันตก จากชนเผ่าทุ่งหญ้าและแว่นแคว้นใกล้เคียง
ภายในค่ายขนาดใหญ่นั้น ตรงกลางค่ายเป็นเรือนไม้ขนาดใหญ่สูง 4 ชั้น บริเวณชั้นสุดท้ายเป็นศาลาไม้หลังคาหกเหลี่ยมเสาหกต้นขนาดใหญ่ ตรงกลางมีชายวัยกลางคนสวมชุดสีเขียวเข้มอย่างไม่เรียบร้อย ร่างกายกำยำล่ำสัน มีหนวดเคราหน้าตาดุดันน่าเกรงขาม ผิวกายสีน้ำตาลเข้ม นั่งพื้นข้างโต๊ะไม้สักเงางาม มีสุราสองขวดวางไว้พร้อมกับถั่วลิสงคั่วสุข เขายกสุราดื่มอย่างช้าๆ พลางหยิบถั่วลิสงคั่วโยนเขาปาก ด้วยจิตใจอันสงบนิ่ง เขาคือ จางซือหรง แม่ทัพผู้ดูแลค่ายต้าเป่ยแห่งนี้ และไม่ไกลมากนักมีชายหนุ่มใบหน้าเรียบเฉยใส่ชุดแขนยาวสีเขียว ข้อมือสวมเกราะหนังสีน้ำตาลนั่งขัดสะหมาดด้วยท่าทีสุขุมสายตาทอดยาวไปเบื้องหน้าอย่างไร้จุดหมาย เขาคือ คังฉี รองแม่ทัพแห่งค่ายต้าเป่ย จางซือหรงหันไปมองคังฉีที่นั่งสงบเงียบ
" ช่วงนี้ข้ายังไม่เห็นเจ้าหลงจินเลย เจ้ารู้ไหมว่ามันไปอยู่ที่ไหน? " จางซือหรงพูดด้วยน้ำเสียงเรียบ คังฉีหันมองด้วยท่าทีเรียบเฉย
" ป่านนี้เจ้านั้นคงไปอยู่บนเขาสายลมเหมือนเคยล่ะมั้งขอรับ " คังฉีพูดอย่างสุภาพด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
" นั่นสินะ… หึ เจ้านั่นชอบไปอยู่ที่นั้นเป็นอาทิตย์ แม้จะเป็นเขตของชนเผ่าอาจู แต่เจ้านั่นก็ไม่เคยหวาดกลัวเลยสักนิด หึ หึ หึ… " จางซือหรงพูดพลางยิ้มมุมปากอย่างสบายอารมณ์
" คงมีแต่เจ้านั่นเท่านั้นที่ทำเช่นนั้นได้ เจ้านั่นได้กลายเป็นสัตว์ร้ายสำหรับชนเผ่าอาจูไปแล้ว ท่านก็น่าจะรู้.." คังฉีพูด
" นั้นสินะ… " จางซือหรงพูดพลางมองออกไปนอกศาลาไม้มองท้องฟ้าสีครามแจ่มใสด้วยรอยยิ้มบางๆ จากนั้นก็ยกสุราขึ้นดื่มอย่างสบายอารมณ์
แล้วห่างออกไปนอกเขตชายแดนแคว้นตงฉิน ณ ทุ่งหญ้าอันเขียวขจีแสนกว้างใหญ่ไพศาล มีสถานที่หนึ่งที่มีภูเขาหินสูงใหญ่ดั่งเสาหินตั้งตระหง่า มีต้นไม้และกิ่งไม้ขึ้นเต็มเขา ซึ่งมีภูเขาหินเช่นนี้เกือบร้อยลูกใกล้กัน แต่มีภูเขาลูกหนึ่งที่สูงกว่าทุกลูก อีกทั้งยอดเขามีต้นไม้ใหญ่ขึ้นกางกิ่งก้านใบปกคลุมยอดเขาทั้งหมด
บนยอดเขานั้น มีบุรุษผู้หนึ่งนอนทอดกายบนโขดหินขนาดใหญ่ บนพื้นหินเรียบเนียนเป็นระนาบเดียวกัน รูปร่างผอมไม่สูงมากนัก ผิวกายขาวนวล ใส่เสื้อแขนยาวดูหนาชั้นเดียวสีเขียวเข้ม ซึ่งเป็นชุดทหารของแคว้นตงฉิน ทว่าส่วนศรีษะของเขานั้นกลับเป็นหัวของเสือโคร่งขาวลายน้ำเงินเข้ม ขนเสือพริ้วไหวตามสายลมโชยที่พัดผ่าน พลางกระดิกหูอันยาวไปมาอย่างมีชีวิตชีวา
เขาผู้นี้มีนามว่า หลงจิน เด็กหนุ่มวัย 17 ปี เขามักจะมายังหุบเขาสายลม เพื่อมานอนพักผ่อน เพราะหุบเขาสายลมแห่งนี้นั้น แม้จะอยู่ในช่วงฤดูไหนก็จะมีสายลมเย็นๆ พัดผ่านอยู่ตลอดเวลา เช่นเดียวกับวันนี้ แม้จะอยู่ในช่วงหน้าร้อนของเดือน 4 แต่ก็ยังมีสายลมเย็นฉ่ำพัดผ่านกระทบร่างของชายหนุ่มที่นอนรับลมอย่างสบายใจ
" ลมพัดเย็นสบายดีจริงๆ … หือ? "
ในขณะที่หลงจินนอนอย่างสบายอารมณ์อยู่นั้น หลงจินก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าวิ่งมาเป็นกลุ่มลอยมาตามสายลม เขาก็ลืมตาตื่นขึ้นเผยให้เห็นดวงตาสุขใสนัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มที่แฝงความดุดันของสัตว์ร้าย ภายใต้หัวเสือขาวอันน่าเกร่งขาม
เขายกตัวขึ้นมานั่งพลางยืนมือจับดาบสองเล่มที่มีฝักไม้เก่าๆ วางไว้ข้างกายขึ้นมาแล้วเดินไปริมเขา พลางมองไปข้างหน้าทางด้านที่บุรุษหัวเสือได้ยินเสียงซึ่งมันเป็นเสียงฝีเท้าของม้าที่วิ่งกันเป็นกลุ่มพร้อมกับเอาดาบสะพายไว้ด้านหลังทั้งสองเล่ม
แม้จะอยู่ห่างออกไปเป็น 10 ลี้*แต่ดวงตาของหลงจินก็สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ยิ่งอยู่ที่สูงแล้วมองลงไปยังทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ไร้สิ่งกีดขวางก็ยิ่งมองเห็นได้ชัด
ซึ่งสิ่งที่หลงจินเห็นนั้นคือกลุ่มนักรบชนเผ่าอาจูจำนวนสิบกว่าคนกำลังควบม้ามุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ด้วยความเร็ว หลงจินมองกลุ่มคนเหล่านั้นด้วยความสงสัย
‘ เหตุใดพวกมันถึงไปทางนั้นกันนะ? ไม่ใช่ว่าทางนั้นมันเป็นทางไปชายแดนแคว้นจงหยวนหรอกเหรอ? หึ ช่างน่าสงสัยซะจริง? ’ หลงจินคิดในใจพลางแย้มยิ้มด้วยความสนใจ
" ข้าคงต้องไปดูสักหน่อยแล้วสิ " หลงจินกล่าว จากนั้นเขาก็กระโดดลงจากริมเขาแล้วหมุนตัวเหยียบใบไม้ที่ร่วงหล่นจากต้นไม้ใหญ่ราวกับเป็นแท่นเหยียบด้วยวิชาตัวเบาอย่างไม่เร่งรีบจนถึงพื้น ก่อนที่จะพุ่งตัววิ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
อีกด้านหนึ่ง
ณ กลางเนินดินอันเขียวขจี มีกระโจมสีขาวเหลืองหลายพันหลังกางเกาะกลุ่มกันโดยมีรั้วไม้ล้อมรอบอย่างเรียบง่าย มีม้าหลายร้อยหลายพันตัววิ่งรอบพื้นที่ว่างอันกว้างใหญ่ ซึ่งสถานที่แห่งนี้คือหนึ่งในที่พักของกลุ่มชนเผ่าอาจู ชนเผ่าอันยิ่งใหญ่ในทุ่งหญ้าอันยิ่งใหญ่ ซึ่งสถานที่แห่งนี้ก็เป็นเพียงค่ายๆ หนึ่งของชนเผ่าอาจูเท่านั้น
ณ ตรงกลางค่ายเป็นกระโจมขาวหลังใหญ่ทรงแปดเหลี่ยม ซึ่งเป็นกระโจมของหัวหน้ากลุ่ม ภายในนั้นมีกรงเหล็กขนาดใหญ่ ภายในกรงเหล็กมีหญิงสาวผิวพรรณขาวพ่องใส ใบหน้าเรียวเล็กรูปไข่ คิ้วโค้งงอนรับดวงตากลมโตสีน้ำตาล ผมดำยาวสลวยดุจไหม สวมใส่ชุดยาวสีชมพูอ่อนปักลายดอกกุหลาบสวยงาม แม้เนื้อตัวนางนั้นจะมอมแมมเลอะฝุ่นอยู่ไม่น้อยก็ตาม แต่ก็ไม่อาจบั่นทอนความงามของนางไปได้ นางผู้นี้คือ องค์หญิงจ้าวหลินอิง วัย 19 ปี องค์หญิงใหญ่แห่งแคว้นตงฉิน นางนั่งอยู่ภายในกรงเหล็กอย่างสงบนิ่งด้วยใบหน้าอันเศร้าหมอง
ไม่นานก็มีชายร่างใหญ่ใส่ชุดชนเผ่ายาวสีน้ำตาลเข้มเย็บติดกับขนสัตว์ที่คอเสื้อและข้อมือ เดินเข้ามาในกระโจมพร้อมกับแสยะยิ้มจนเห็นฟัน สายตาของเขาจับจ้องมองมาทางองค์หญิงใหญ่ปานจะกลืนกิน เขาคือ อาเล่อสู่ หัวหน้ากลุ่มของชนเผ่าอาจูแห่งนี้
เมื่ออาเล่อสู่เข้ามาในกระโจมหลังใหญ่ก็เดินตรงไปหาองค์หญิงใหญ่จ้าวหลินอิงทันที แล้วยืนเชยชมใบหน้าอันงดงามและส่วนเว้าโค้งขององค์หญิงใหญ่ที่เห็นเด่นชัด แม้สวมใส่ชุดกว่า 3 ชั้นก็ตาม แต่ก็ไม่อาจปิดบังสัดส่วนอันโดดเด่นจนดึงดูสายตาอันหื่นกระหายของอาเล่อสู่ได้
" ช่างงดงามยิ่งนัก… ชีวิตข้าไม่เคยพบเจอหญิงงามเช่นเจ้ามาก่อน นี่ช่างเป็นวาสนาของข้ายิ่งนัก หากมิใช่ว่าข้าต้องส่งตัวเจ้าให้กับแคว้นจงหยวน ข้าคงเอาเจ้ามาเป็นภรรยาข้าอีกคน ช่างน่าเสียดายจริงๆ หึ หึ หึ " อาเล่อสู่แสยะยิ้มพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นยะเยือก
" หึ หึ หึ เป็นเมียของเจ้าอย่างนั้นรึ ช่างน่าขัน… หากข้าต้องตกเป็นเมียเจ้า ข้าขอตายเสียยังดีกว่า!! และอีกไม่นาน ท่านพ่อของข้าจะนำกองทัพอันยิ่งใหญ่ มากวาดล้างที่นี่ให้สิ้นซาก! เจ้าเตรียมใจเอาไว้เถอะ!! " องค์หญิงใหญ่กล่าวเสียงเรียบขณะสบตาอาเล่อสู่อย่างไม่เกร่งกลัว แม้ร่างกายจะสั่นด้วยความกลัวก็ตาม
" ฮ่า ฮ่า ฮ่า กว่าพ่อของเจ้าจะมาถึง เจ้าก็คงถึงแคว้นจงหยวนแล้ว หากพ่อของเจ้าเป็นห่วงชีวิตเจ้าจริงๆ พ่อเจ้าจะเคลื่อนทัพโจมตีหรือไม่ล่ะ หากเจ้ายังอยู่ในกำมือของข้าอยู่เช่นนี้….หึ ตอนนี้ไม่มีใครช่วยเจ้าได้หรอก.. หรือไม่พ่อเจ้าอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเจ้าถูกจับอยู่ที่นี่ หึ หึ หึ " อาเล่อสู่พูดพลางแสยะยิ้มด้วยความรู้สึกชอบอกชอบใจ องค์หญิงใหญ่เงยหน้ามองอาเล่อสู่ด้วยความโกรธแค้นและหวาดกลัวในเวลาเดียวกัน
อาเล่อสู่เดินไปนั่งที่เก้าอี้ยาวปูด้วยขนสัตว์ แล้วหยิบถ้วยสุราที่วางที่โต๊ะเตี้ยหน้าเก้าอี้ขึ้นมารินสุราแล้วยกดื่มจนหมดในคราวเดียว แล้วชีกเนื้อแกะย่างมากัดกิน พร้อมกับจ้องมองดูองค์หญิงใหญ่ พลางนึกเสียดายอยู่ภายในใจ ที่ตนจะต้องปล่อยหญิงงามเช่นนี้หลุดมือไป ให้กับแคว้นจงหยวน เพื่อที่เขาจะได้มีตำแหน่งหน้าที่ในแคว้นจงหยวน
แล้วในขณะนั้นเอง นักรบชนเผ่าผู้หนึ่งก็เปิดม่านเดินเข้ามาแล้วหยุดยืนเอามือซ้ายแนบอกขวาโค้งตัวทำความเคารพอาเล่อสู่
" ท่านหัวหน้า คนจากแคว้นจงหยวน มาถึงแล้วขอรับ " นักรบหนุ่มกล่าวเสียงเรียบ อาเล่อสู่ได้ยินก็พยักหน้าหนึ่งครั้ง
" ข้ารู้แล้ว เจ้าพานางไปกับข้าด้วย " อาเล่อสู่ลุกขึ้นยืนพลางกล่าวอย่างเนิบช้า จากนั้นก็เดินออกจากกระโจมไป ก็พบว่ามีกลุ่มคน 5 คนกำลังเดินเข้ามาท่ามกลางเหล่านักรบชนเผ่า
ทหารแคว้นจงหยวน 4 คนใส่ชุดเกราะเหล็กทับเสื้อแขนยาวสีเหลืองเข้มพกดาบยาวไว้ข้างกายท่าทางน่าหวั่นเกร่งและไม่เกร่งกลัวแม้จะอยู่ท่ามกลางนักรบชนเผ่าอาจูนับหมื่น ส่วนอีกหนึ่งคนสวมชุดยาวสีขาวเหลือง ใส่หมวกปีกบานทรงกลมคลุมผ้าสีขาวยาวปิดบังใบหน้าเดินอยู่ด้านหลังสุดซึ่งทั้ง 4 คน เป็นทหารฝีมือดีของแคว้นจงหยวน ถูกเลือกมาเป็นอย่างดีเพื่อมารับตัวองค์หญิงใหญ่และคุ้มกันโดนเฉพาะ โดยมีนักรบชนเผ่าอาจูพาเดินเข้ามา อาเล่อสู่มองผู้มาเยือนพลางยิ้มอย่างเป็นมิตร
" ยินดีที่ได้ท่านอาเล่อสู่ ข้า เอี้ยนฮกชุน ได้รับมอบหมายจากฝ่าบาท ให้มารับองค์หญิงจ้าวหลินอิงขอรับ " ทหารแคว้นจงหยวนผู้ยืนอยู่หน้าสุดกุมมือกล่าวทักทายด้วยท่าทางสงบนิ่ง
" ยินดีเช่นกัน หึ หึ หึ…. พานางออกมา! " อาเล่อสู่กล่าวเสียงดังด้วยรอยยิ้ม จากนั้นนักรบชนเผ่าก็พาองค์หญิงใหญ่เดินออกมาจากกระโจม นางเดินออกมาอย่างง่ายดายพร้อมกับใบหน้าเศร้าหมอง ทหารแคว้นจงหยวนนามเอี้ยนฮกชุนหันมองปราดหนึ่งเพื่อตรวจสอบความปลอดภัยด้วยสายตาจากนั้น ก็หันมามองอาเล่อสู่ ซึ่งอาเล่อสู่รู้ดีว่าเอี้ยนฮกชุนนั้นสงสัยสิ่งใดจึงแสยะยิ้มออกมาเล็กน้อย
" ข้าดูแลองค์หญิงเป็นอย่างดี ท่านอย่างได้กังวลเลย.. " อาเล่อสู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม
" ขอบคุณท่านอาเล่อสู่ที่ดูแลองค์หญิงเป็นอย่างดี ข้าจะกราบทูลฝ่าบาทให้ทรงทราบว่าท่านตั้งใจเพียงใด " เอี้ยนฮกชุนกล่าวเสียงเรียบ อาเล่อสู่ได้ยินก็แยยิ้มยิ้มด้วยความพึงพอใจ
" ขอบใจท่านมาก หวังว่าฝ่าบาทจะเชิญข้าไปเข้าเฝ้าในเร็ววัน " อาเล่อสู่กล่าว จากนั้นก็หันหลังกลับไปหานักรบชนเผ่าแล้วพยักหน้าเพื่อให้สัญญาณส่งมอบองค์หญิงให้กับทหารแคว้นจงหยวน นักรบชนเผ่าจึงพาองค์หญิงเดินไปหาเอี้ยนฮกชุน
แต่แล้วสายตาของอาเล่อสู่ก็หันไปเห็นใครบางคนที่นั่งอยู่บนหลังคากระโจมของตน อาเล่อสูสะดุ้งด้วยความตกตะลึงเมื่อเห็นอย่างชัดเจน
ด้วยท่าทางตกตะลึงของอาเล่อสู่ทำให้ทุกคนนั้นสงสัยจึงหันไปมองตาม ก็พบกับบุรุษหัวเสือขาวดวงตาสีน้ำเงินเข้ม นั่งอยู่บนหลังคากระโจมอย่างนิ่งสงบ แม้แต่นักรบชนเผ่าที่กำลังส่งมอบตัวองค์หญิงก็ต้องหยุดฉงักแล้วหันไปมองก็ถึงกับตกตะลึงตาค้าง องค์หญิงใหญ่ก็หันไปมองเช่นกันก็ตกตะลึงและตกใจเป็นอย่างมาก เฉกเช่นเดียวกับทุกๆ คนที่มองเห็น ทั้งนักรบชนเผ่าและทหารแคว้นจงหยวน ต่างตกตะลึงไปตามๆ กัน เมื่อได้เห็นบุรุษที่มีหัวเป็นเสือโคร่งขาวอันหน้าหวาดกลัว ซึ่งเหล่านักรบชนเผ่าต่างรู้จักกันดีในนาม
" พยัคฆ์ขาว! "
*ลี้ คือ มาตราวัดระยะทาง 1 ลี้เท่ากับ 500 เมตร