เรื่องราวของเด็กหนุ่ม ผู้ใช้ชีวิตเป็นทหารเฝ้าระวังชายแดนที่มีฝีมือร้ายกาจ จนได้สมญานามว่า พยัคฆ์ขาว จนกระทั้งเขาได้ช่วยองค์หญิงใหญ่จากกลุ่มชนเผ่าอาจู แล้วเส้นทางชีวิตของเขาก็ได้เปลี่ยนแปลงไป

เซียนยุทธ์พิชิตฟ้า ใต้หล้าไร้เทียมทาน - ตอนที่ 3 กลับแคว้น โดย JK.Joker @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,แอคชั่น,ผจญภัย,สงคราม,กำลังภายใน,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

เซียนยุทธ์พิชิตฟ้า ใต้หล้าไร้เทียมทาน

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,แอคชั่น,ผจญภัย,สงคราม

แท็คที่เกี่ยวข้อง

กำลังภายใน

รายละเอียด

เรื่องราวของเด็กหนุ่ม ผู้ใช้ชีวิตเป็นทหารเฝ้าระวังชายแดนที่มีฝีมือร้ายกาจ จนได้สมญานามว่า พยัคฆ์ขาว จนกระทั้งเขาได้ช่วยองค์หญิงใหญ่จากกลุ่มชนเผ่าอาจู แล้วเส้นทางชีวิตของเขาก็ได้เปลี่ยนแปลงไป

ผู้แต่ง

JK.Joker

เรื่องย่อ

วรยุทธ์ คือศาสตร์ศิลปะการต่อสู้ที่พัฒนามาจากการป้องกันตัวอย่างง่ายๆ ไปเป็นการสังหารศัตรูอย่างมีประสิทธิภาพ ยิ่งนานวันยิ่งมีรูปแบบที่ซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ก่อเกิดกระบวนท่าต่างๆมากมาย โดยมีการหายใจเป็นพื้นฐานของกำลังภายใน

เหล่านักรบต่างถ่ายทอดศิลปะการต่อสู้ให้กับชนรุ่นหลังผ่านคำสอนและม้วนตำรา จนพัฒนากลายเป็นวรยุทธ์ 

นักรบที่ได้ฝึกฝนวรยุทธ์จะมีความสามารถเหนือกว่าคนทั่วไป สามารถรับมือและเอาชนะคนจำนวนมากเพียงลำพังได้อย่างง่ายดาย ทั้งยังวิ่งเร็วดั่งสายลม มีวิชาตัวเบาที่สามารถกระโดดจากต้นไม้อีกต้นไปยังอีกต้นได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังมีพลังเหนือมนุษย์อยู่ในร่างกาย ไม่ว่าจะใช้หมัดทลายก้อนหินหรือใช้กระบี่ฟันต้นไม้ขาดเป็นท่อนก็ทำได้และยิ่งมีกำลังภายในที่แข็งแกร่งมากขึ้น ก็ยิ่งมีทักษะและร่างกายที่แข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน

 

แต่ก็มีบ้างคนที่เกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ ที่สามารถจากพัฒนากำลังภายในจนกลายเป็นพลังปราณที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า และแตกต่างจากกำลังภายในอย่างสิ้นเชิง พวกเขาจึงเรียกตนเองว่าผู้ฝึกตน 

ผู้ฝึกตนเหล่านี้จะฝึกฝนตนด้วยการบำเพ็ญ โคจรพลังปราณและดูดซับพลังชี่ จากธรรมชาติ พวกเขาจึงสามารถใช้พลังปราณในวิชาที่เหนือมนุษย์และเหนือธรรมชาติได้ สามารถเอาชนะศัตรูมากมายด้วยการปล่อยพลังจากฝ่ามือ ทั้งยังวิ่งเร็วดุจสายฟ้าหรือเหาะเหินเดินอากาศจากภูเขาลูกหนึ่งไปยังภูเขาอีกลูกหนึ่งภายในอึดใจเดียว อีกทั้งมีพลังมหาศาล สามารถใช้ฝ่ามือทลายขุนเขาหรือแม้กระทั้งใช้กระบี่ฟันต้นไม้หลายสิบต้นขาดเป็นท่อนล้วนแต่ทำได้ ด้วยความสามารถที่มากล้นเหล่านี้ ผู้ที่ขึ้นไปจุดสูงสุดของการฝึกฝนพลังปราณจะถูกเรียกว่า เซียน


ซึ่งผู้คนเหล่านี้ต่างเรียกขานตนเองว่าเป็นจอมยุทธ์  

 


นิยายเรื่องนี้ลงทุกวัน

เวลา 07.00น.

(ลงวันละหนึ่งตอนตามเวลา)

** ฝากติดตามนิยายเรื่องนี้ของผมด้วยนะครับ นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายที่ผมยินดีนำเสนอและเขียนออกมาให้ดีที่สุด หวังว่าทุกท่านจะชอบนิยายเรื่องนี้ของผมนะครับ ขอบคุณท่านเข้ามาอ่านครับ**

 

สารบัญ

เซียนยุทธ์พิชิตฟ้า ใต้หล้าไร้เทียมทาน-ตอนที่ 1 บุรุษหนุ่มหลงจิน,เซียนยุทธ์พิชิตฟ้า ใต้หล้าไร้เทียมทาน-ตอนที่ 2 พยัคฆ์ขาว,เซียนยุทธ์พิชิตฟ้า ใต้หล้าไร้เทียมทาน-ตอนที่ 3 กลับแคว้น,เซียนยุทธ์พิชิตฟ้า ใต้หล้าไร้เทียมทาน-ตอนที่ 4 ใต้แสงจันทร์,เซียนยุทธ์พิชิตฟ้า ใต้หล้าไร้เทียมทาน-ตอนที่ 5 การจากลา,เซียนยุทธ์พิชิตฟ้า ใต้หล้าไร้เทียมทาน-ตอนที่ 6 ผู้มาเยือนจากเมืองหลวง,เซียนยุทธ์พิชิตฟ้า ใต้หล้าไร้เทียมทาน-ตอนที่ 7 การพบเจอกันครั้งแรก,เซียนยุทธ์พิชิตฟ้า ใต้หล้าไร้เทียมทาน-ตอนที่ 8 ภารกิจ,เซียนยุทธ์พิชิตฟ้า ใต้หล้าไร้เทียมทาน-ตอนที่ 9 จงหยวน

เนื้อหา

ตอนที่ 3 กลับแคว้น

เหล่านักรบชนเผ่าต่างจ้องมองหลงจินอย่างระแวดระวัง เพราะการที่พวกเขาจับตัวองค์หญิงแห่งแคว้นตงฉินไว้แล้วคิดส่งตัวนางให้กับแคว้นจงหยวน ซึ่งพยัคฆ์ขาวแห่งแคว้นตงฉินคงไม่มีทางให้อภัยพวกเขาเป็นอันขาด พวกเขาคงถูกพยัคฆ์ขาวสังหารเป็นแน่

ยามนี้จิตใจของเหล่านักรบชนเผ่าต่างสั่นไหวด้วยความตื่นกลัว เพราะการเพชิญหน้ากับพยัคฆ์ขาว มีเพียงความตายเท่านั้นที่รอพวกเขาอยู่ พวกเขาจึงได้แต่ยืนมอง หลงจินที่กำลังยืนโอบเอวองค์หญิงใหญ่พลางกวาดสายตามองไปรอบๆ ด้วยแววตานิ่งเฉยแต่แฝงความดุดันของพยัคฆ์ร้าย

แล้วในขณะนั้นองค์หญิงใหญ่มองหัวเสือสีขาวดั่งหิมะลายน้ำเงินดั่งท่องณภาด้วยใบหน้าตกตะลึง เพราะนี้เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นคนที่มีหัวเสือใกล้ๆ เช่นนี้

" ต้องขออภัยด้วย " หลงจินหันมากล่าวกับองค์หญิงใหญ่อย่างช้าๆ พลางเก็บดาบเข้าฝัก จากนั้นก็ใช้นิ้วสกัดจุดบริเวณไหลซ้ายและขวาอย่างรวดเร็ว เพื่อคลายจุดให้กับนาง

ความรู้สึกเจ็บปราดหนึ่งก่อนที่จะกลายเป็นชาจากการถูกสกัดจุด เพื่อคลายจุดจนนางขยับตัวได้ แต่นางไม่สามารถทรงตัวให้ยืนได้ราวกับร่างกายนั้นอ่อนแรง แต่ยังดีที่หลงจินประคองนางเอาไว้ไม่ให้นางล้ม ไม่นานนางก็สามารถทรงตัวยืนขึ้นได้ หลงจินจึงปล่อยมือออกจากตัวนางพร้อมกับที่นางขยับตัวถอยห่างจากหลงจินด้วยความรู้สึกแปลกๆ

แต่เมื่อนางหันมองไปรอบๆ ตัวนางก็พบกับเหล่านักรบชนเผ่าที่ยืนล้อมทั้งสอง นางจึงขยับเข้าไปใกล้หลงจินแล้วมองรอบๆ ด้วยสีหน้าเป็นกังวลและหวาดกลัวอยู่ภายในใจ

หลังจากหลงจินปล่อยมือออกจากองค์หญิงใหญ่ หลงจินก็สบัดดาบอีกเล่มแล้วเก็บเข้าไปในฝักดาบที่อยู่ด้านหลัง องค์หญิงใหญ่รู้สึกแปลกใจเมื่อเห็นหลงจินเก็บดาบ

ส่วนเหล่านักรบชนเผ่าต่างพากันรูสึกโล่งใจเมื่อเห็นหลงจินเก็บดาบ ไม่นานนักชายวัยกลางคนก็วิ่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าของหลงจิน ชายวัยกลางคนร่างกายสูงผอมผมยาวสีดำ เขาคือ เก่อซาง รองหัวหน้ากลุ่มชนเผ่าแห่งนี้ เขายืนโค้งกายพลางยิ้มอย่างเป็นมิตรด้วยท่าทางตื่นตระหนก

" ข้าเป็นรองหัวหน้า นามว่า เก่อซาง หากเจ้าต้องการที่จะออกไป พวกข้ายินดีหลีกทางให้ ขอเพียงแค่เจ้าไม่ทำอะไรพวกข้าก็เพียงพอ " เก่อซางกล่าวเสียงสั่น

หลงจินมองเก่อซางครู่หนึ่งก่อนที่จะจับมือขององค์หญิงใหญ่จนนางสะดุ้งด้วยความตกใจแล้วเดินผ่านเก่อซางไปอย่างไม่เหลียวมอง เมื่อหลงจินเดินผ่านเก่อซางไปเขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก ก่อนที่จะหันมองตามหลังของพยัคฆ์ขาวที่เดินจูงมือองค์หญิงแห่งแคว้นตงฉินไป โดยที่นักรบชนเผ่าหลีกทางให้และไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ในระยะ 5 ก้าวเลยสักคนเดียว

เก่อซางก็เดินตามหลังหลงจินอยู่ห่างๆ จนถึงประตูค่าย หลงจินและองค์หญิงใหญ่เดินออกจากค่ายไป เหล่านักรบชนเผ่าต่างพากันโล่งใจ แต่แล้วหลงจินก็หยุดเดิน เมื่อเก่อซางและเหล่านักรบชนเผ่าเห็นอย่างนั้นใบหน้าพลันเปลี่ยนเป็นเคร่งครึมด้วยความกังวลทันที

" เจ้าเป็นองค์หญิงจริงๆ ใช่ไหม " หลงจินหันไปถามองค์หญิงใหญ่

" จะ.. เจ้าค่ะ! ข้าเป็นองค์หญิงจริงๆ เจ้าค่ะ " องค์หญิงใหญ่ตอบด้วยความตกใจเล็กน้อย เมื่อหลงจินได้ยินอย่างนั้นก็หันไปหาเก่อซาง

" เมื่อข้าพาองค์หญิงกลับไปแล้ว ไม่นานกองทัพแคว้นตงฉินหรือไม่ก็กองทัพแคว้นจงหยวนต้องมาที่นี่อย่างแน่นอน และข้าหวังว่าหากข้ากลับมาที่ที่อีกครั้งคงไม่เห็นพวกเจ้าอยู่แล้ว… " หลงจินหันกลับมากล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยก่อนที่จะเดินต่อไป เก่อซางขมวดคิ้วด้วยสีหน้าเป็นกังวลมองหลงจินและองค์หญิงใหญ่เดินจากไปท่ามกลางทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่จนหายลับสายตาไป เก่อซางยืนมองสักพักก่อนที่จะเดินเข้าไปในค่ายด้วยสีหน้าเคร่งครึม

หลงจินพาองค์หญิงใหญ่เดินเท้าตั้งแต่ *ยามซื่อ จนถึง *ยามเซิน โดยไม่หยุดพักท่ามกลางทุ่งหญ้าอันเขียวขจีแสนกว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด เพราะมองไปทางไหนก็เห็นแต่เส้นขอบฟ้าเท่านั้น

องค์หญิงใหญ่เดินลากขาด้วยความเหนื่อยล้า โชคดีที่ทั้งวันมีเมฆก้อนใหญ่บดบังแสงแดดตลอดทางพร้อมกับลมโชยพัดผ่านทำให้นางเดินต่อไปได้ แม้นางจะเหนื่อยมากเพียงใด แต่นางก็ไม่เคยปริปากบ่นว่าเหนื่อยเลยสักคำ เพราะนางคิดว่าต้องหนีออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุดเท่านั้น

หลงจินเดินนำหน้าห่างองค์หญิงใหญ่ไปกว่า 10 ก้าว เมื่อหลงจินรู้สึกว่าองค์หญิงใหญ่เริ่มช้าลงเรื่อยๆ จึงหันกลับไปมอง ก็เห็นองค์หญิงใหญ่ก้มหน้าก้มตาเดินอย่างช้าๆ ด้วยความเหนื่อยล้า

‘ หากเดินช้าอย่างนี้ คืนนี้คงได้นอนกล้าทุ่งเป็นแน่… ’ หลงจินคิดในใจแล้วเดินเข้าไปหาองค์หญิงใหญ่ เมื่อมายืนอยู่ตรงหน้าองค์หญิงใหญ่ นางก็เงยหน้าขึ้นมาด้วยสีหน้าบ่งบอกถึงความเหนื่อยล้าพลางมองหลงจินดวยความสงสัย

" ขึ้นหลังข้า ข้าจะแบกเจ้าไปเอง " หลงจินพูด องค์หญิงใหญ่รู้สึกดีใจมากที่หลงจินจะแบกนางไป

" ขอบคุณเจ้าค่ะ ท่านวีรบุรุษเสือ " องค์หญิงใหญ่กล่าวด้วยรอยยิ้มดีใจ

" ข้าไม่ใช่วีรบุรุษเสือ ข้ามีนามว่าหลงจิน แล้วองค์หญิงล่ะ มีนามว่าอะไร "หลงจินพูด

‘ หลงจิน? ช่างเป็นชื่อที่แปลกยิ่งนักหากมีศรีษะเป็นเสือเช่นนี้ ’ องค์หญิงใหญ่คิดในใจด้วยความประหลาดใจในชื่อของหลงจิน เพราะคำว่า หลงจิน มีความหมายว่า มังกรทอง แต่ทว่าหัวของเขานั้นเป็นหัวของเสือขาว

" ขออภัยเจ้าค่ะ ที่ข้าไม่ได้แนะนำตัว ข้ามีนามว่า จ้าวหลินอิงเจ้าค่ะ ท่านหลงจิน " องค์หญิงใหญ่พูดด้วยรอยยิ้มมองหลงจินปลดดาบทั้งสองเล่มแล้วยืนให้องค์หญิงใหญ่นางก็รับมาทันที แม้หลงจินจะไม่พูดอะไรแต่นางก็รู้ดีว่าให้เก็บไว้ให้

จากนั้นหลงจินก็หันหลังแล้วนั่งยองเพื่อให้องค์หญิงใหญ่ขึ้นขี่หลัง นี่เป็นครั้งแรกขององค์หญิงใหญ่ที่จะได้ขึ้นหลังของคนอื่นที่ไม่ใช้ข้ารับใช้หรือบิดาของตน นางจึงรู้สึกตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย

‘ ช่างเป็นแผ่นหลังที่กว้างจริงๆ ’ องค์หญิงใหญ่มองแผ่นหลังของหลงจิน แล้วนางก็เอาดาบขึ้นมาสะพายหลังทั้งสองเล่ม ก่อนที่จะขึ้นขี่หลังหลงจินอย่างช้าๆ

ในขณะที่มือสัมผัสโดนขนเสือของหลงจินสัมผัสอันนุ่มฟูและรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูกนางคอยๆ เลื่อนมือกอดคอหลงจินเพื่อที่จะสัมผัสขนอันนุ่มฟูอย่างใกล้ชิดพลางแนบใบหน้าเข้าไปชิดกับหลังศีรษะหลงจิน นางได้กลิ่นหอมดั่งดอกโบตั๋นอ่อนๆ จากตัวของหลงจิน จนรู้สึกตัวเบาโล่งสบายอย่างบอกไม่ถูก เพียงครู่เดียวเท่านั้นนางก็หลับไปอย่างไม่รู้ตัว

ทางด้านหลงจินเมื่อองค์หญิงใหญ่ขึ้นมาขี่หลังของเขาอย่างช้าๆ แล้วในตอนที่องค์หญิงใหญ่ก็เริ่มกอดคอ หลงจินก็รู้สึกแปลกใจอยู่ไม่น้อย แต่ทว่ามันกลับมีสัมผัสนึงที่แนบอยู่บริเวณกลางหลังของหลงจิน มันรู้สึกนุ่มนิ่มอย่างที่หลงจินไม่เคยสัมผัสจากที่ไหนมาก่อน มันนุ่มและยืดหยุ่นเกินจะบรรยายได้

‘ ความรู้สึกนี้มันอะไรกัน! ’ ในขณะที่หลงจินแปลกใจอยู่นั้น องค์หญิงใหญ่ก็ขยับตัวเข้ามาแนบชิดหลงจินมากยิ่งขึ้นทำให้ความรู้สึกนุ่มนวลนั้นแนบเขามาใกล้จนหลงจินรู้สึกขนลุก

‘ ช่างให้ความรู้ที่แปลกประหลาดยิ่งนัก.. ความรู้นี้มันอะไรกัน? ’ หลงจินรู้สึกสงสัยอยู่ไม่น้อยแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจแต่อย่างใด ก่อนที่จะลุกขึ้นแล้วออกตัววิ่งด้วยความเร็ว แล้วในขณะวิ่งนั้นเองสัมผัสอันนุ่มนวลนั่นก็ขยับไปมาอยู่ด้านหลังของหลงจินจนรู้สึกได้อย่างชัดเจน จนรู้สึกแปลกๆ และสงสัยอยู่ภายในใจ

หลงจินแบกองค์หญิงใหญ่วิ่งอย่างรวดเร็วไม่ต่างจากม้าศึกจนออกจากทุ่งหญ้า เข้าสู่ชายป่าออกจากเขตชนเผ่าอาจู เข้าสู่เขตชายแดนแคว้นตงฉิน ซึ่งเป็นพื้นที่ป่าเขามีแม่น้ำสายใหญ่ไหลผ่าน หลงจินพาองค์ใหญ่วิ่งมาจนตะวันใกล้จะลับขอบฟ้าจึงหยุดพักใต้ต้นไม้ใหญ่ องค์หญิงใหญ่ลงจากหลังของหลงจิน แล้วนางก็เอาดาบยื่นคืนให้กับหลงจิน

" คืนนี้เราจะพักที่นี่ " หลงจินรับดาบมาสะพายพลางพูด องค์หญิงใหญ่ก็พยักหน้าหนึ่งครั้ง แล้วนางก็ได้ยินเสียงลำธารจึงหันไปตามเสียงนั้น

" ทางนั้นมีแม้น้ำอยู่หากเจ้าอยากไปก็ไปเถอะ ข้าจะก่อกองไฟและหาอาหาร " หลงจินพูด

" แต่ว่า…" แม้องค์หญิงใหญ่จะอย่างไปก็ตามแต่ก็รู้สึกลังเลถึงความปลอดภัยของตน

" เจ้าไปเถอะ ข้าอยู่ที่นี่ เจ้าอย่าได้กังวลไป " หลงจินกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย เมื่อองค์หญิงใหญ่ได้ยินก็ยิ้มออกมาด้วยความเบาใจ เพราะเพียงคำพูดของหลงจินก็ทำให้นางรู้สึกปลอดภัยขึ้นมาทันที

" ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ " องค์หญิงใหญ่พูดด้วยรอยยิ้มแล้วเดินไปตามเสียงลำธาร หลงจินก็เริ่มลงมือก่อกองไฟทันที

*การเรียกช่วงเวลาต่างๆ โดยมี 12 ช่วงเวลา หรือ 12 ยาม มีดังนี้

ยามโฉ่ว คือ 01.00 – 02.59 น.

ยามอิ๋น คือ 03.00 – 04.59 น.

ยามเหม่า คือ 05.00 – 06.59 น.

ยามเฉิน คือ 07.00 – 08.59 น.

ยามซื่อ คือ 09.00 – 10.59 น.

ยามอู่ คือ 11.00 – 12.59 น.

ยามเว่ย คือ 13.00 – 14.59 น.

ยามเซิน คือ 15.00 – 16.59 น.

ยามโหย่ว คือ 17.00 – 18.59 น.

ยามซวี คือ 19.00 – 20.59 น.

ยามห้าย คือ 21.00 – 22.59 น

ยามจื่อ คือ 23.00 – 24.59 น.