เรื่องราวของเด็กหนุ่ม ผู้ใช้ชีวิตเป็นทหารเฝ้าระวังชายแดนที่มีฝีมือร้ายกาจ จนได้สมญานามว่า พยัคฆ์ขาว จนกระทั้งเขาได้ช่วยองค์หญิงใหญ่จากกลุ่มชนเผ่าอาจู แล้วเส้นทางชีวิตของเขาก็ได้เปลี่ยนแปลงไป

เซียนยุทธ์พิชิตฟ้า ใต้หล้าไร้เทียมทาน - ตอนที่ 6 ผู้มาเยือนจากเมืองหลวง โดย JK.Joker @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,แอคชั่น,ผจญภัย,สงคราม,กำลังภายใน,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

เซียนยุทธ์พิชิตฟ้า ใต้หล้าไร้เทียมทาน

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,แอคชั่น,ผจญภัย,สงคราม

แท็คที่เกี่ยวข้อง

กำลังภายใน

รายละเอียด

เรื่องราวของเด็กหนุ่ม ผู้ใช้ชีวิตเป็นทหารเฝ้าระวังชายแดนที่มีฝีมือร้ายกาจ จนได้สมญานามว่า พยัคฆ์ขาว จนกระทั้งเขาได้ช่วยองค์หญิงใหญ่จากกลุ่มชนเผ่าอาจู แล้วเส้นทางชีวิตของเขาก็ได้เปลี่ยนแปลงไป

ผู้แต่ง

JK.Joker

เรื่องย่อ

วรยุทธ์ คือศาสตร์ศิลปะการต่อสู้ที่พัฒนามาจากการป้องกันตัวอย่างง่ายๆ ไปเป็นการสังหารศัตรูอย่างมีประสิทธิภาพ ยิ่งนานวันยิ่งมีรูปแบบที่ซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ก่อเกิดกระบวนท่าต่างๆมากมาย โดยมีการหายใจเป็นพื้นฐานของกำลังภายใน

เหล่านักรบต่างถ่ายทอดศิลปะการต่อสู้ให้กับชนรุ่นหลังผ่านคำสอนและม้วนตำรา จนพัฒนากลายเป็นวรยุทธ์ 

นักรบที่ได้ฝึกฝนวรยุทธ์จะมีความสามารถเหนือกว่าคนทั่วไป สามารถรับมือและเอาชนะคนจำนวนมากเพียงลำพังได้อย่างง่ายดาย ทั้งยังวิ่งเร็วดั่งสายลม มีวิชาตัวเบาที่สามารถกระโดดจากต้นไม้อีกต้นไปยังอีกต้นได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังมีพลังเหนือมนุษย์อยู่ในร่างกาย ไม่ว่าจะใช้หมัดทลายก้อนหินหรือใช้กระบี่ฟันต้นไม้ขาดเป็นท่อนก็ทำได้และยิ่งมีกำลังภายในที่แข็งแกร่งมากขึ้น ก็ยิ่งมีทักษะและร่างกายที่แข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน

 

แต่ก็มีบ้างคนที่เกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ ที่สามารถจากพัฒนากำลังภายในจนกลายเป็นพลังปราณที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า และแตกต่างจากกำลังภายในอย่างสิ้นเชิง พวกเขาจึงเรียกตนเองว่าผู้ฝึกตน 

ผู้ฝึกตนเหล่านี้จะฝึกฝนตนด้วยการบำเพ็ญ โคจรพลังปราณและดูดซับพลังชี่ จากธรรมชาติ พวกเขาจึงสามารถใช้พลังปราณในวิชาที่เหนือมนุษย์และเหนือธรรมชาติได้ สามารถเอาชนะศัตรูมากมายด้วยการปล่อยพลังจากฝ่ามือ ทั้งยังวิ่งเร็วดุจสายฟ้าหรือเหาะเหินเดินอากาศจากภูเขาลูกหนึ่งไปยังภูเขาอีกลูกหนึ่งภายในอึดใจเดียว อีกทั้งมีพลังมหาศาล สามารถใช้ฝ่ามือทลายขุนเขาหรือแม้กระทั้งใช้กระบี่ฟันต้นไม้หลายสิบต้นขาดเป็นท่อนล้วนแต่ทำได้ ด้วยความสามารถที่มากล้นเหล่านี้ ผู้ที่ขึ้นไปจุดสูงสุดของการฝึกฝนพลังปราณจะถูกเรียกว่า เซียน


ซึ่งผู้คนเหล่านี้ต่างเรียกขานตนเองว่าเป็นจอมยุทธ์  

 


นิยายเรื่องนี้ลงทุกวัน

เวลา 07.00น.

(ลงวันละหนึ่งตอนตามเวลา)

** ฝากติดตามนิยายเรื่องนี้ของผมด้วยนะครับ นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายที่ผมยินดีนำเสนอและเขียนออกมาให้ดีที่สุด หวังว่าทุกท่านจะชอบนิยายเรื่องนี้ของผมนะครับ ขอบคุณท่านเข้ามาอ่านครับ**

 

สารบัญ

เซียนยุทธ์พิชิตฟ้า ใต้หล้าไร้เทียมทาน-ตอนที่ 1 บุรุษหนุ่มหลงจิน,เซียนยุทธ์พิชิตฟ้า ใต้หล้าไร้เทียมทาน-ตอนที่ 2 พยัคฆ์ขาว,เซียนยุทธ์พิชิตฟ้า ใต้หล้าไร้เทียมทาน-ตอนที่ 3 กลับแคว้น,เซียนยุทธ์พิชิตฟ้า ใต้หล้าไร้เทียมทาน-ตอนที่ 4 ใต้แสงจันทร์,เซียนยุทธ์พิชิตฟ้า ใต้หล้าไร้เทียมทาน-ตอนที่ 5 การจากลา,เซียนยุทธ์พิชิตฟ้า ใต้หล้าไร้เทียมทาน-ตอนที่ 6 ผู้มาเยือนจากเมืองหลวง,เซียนยุทธ์พิชิตฟ้า ใต้หล้าไร้เทียมทาน-ตอนที่ 7 การพบเจอกันครั้งแรก,เซียนยุทธ์พิชิตฟ้า ใต้หล้าไร้เทียมทาน-ตอนที่ 8 ภารกิจ,เซียนยุทธ์พิชิตฟ้า ใต้หล้าไร้เทียมทาน-ตอนที่ 9 จงหยวน

เนื้อหา

ตอนที่ 6 ผู้มาเยือนจากเมืองหลวง

หลายวันผ่านไป หลังจากที่องค์หญิงใหญ่เดินทางกลับเมืองหลวง ขบวนทหารคุ้มกันก็ได้เดินทางกลับค่ายต้าเป่ย แต่ทว่าครั้งนี้มีรถม้าขนาดใหญ่สีดำโดยมีทหารม้าสีดำสวมชุดสีดำสนิทสวมหมวกปีกบานทรงกลมท่าทางสงบนิ่งล้อมรอบรถม้าสีดำ 20 นาย ซึ่งวิ่งตามหลังรถม้าที่มีฮูหยินจางนั่งอยู่พร้อมกับคนรับใช้ ซึ่งรถม้าสีดำนั้นมีชายกลางคนวัย อายุ 50 ปี ผิวขาวเหลืองผมยาวหนวดยาว รูปร่างผอมสูงสวมชุดยาวสีเขียวเข้มจนเกือบดำปักลายก้อนเมฆสีทองด้วยไหมทองคำเขาคือ อ๋องซ่ง หรือ จ้าวอี้ซ่ง พี่ชายต่างมารดาของ ฮ่องเต้จ้าวอี้ชิงแห่งแคว้นตงฉิน

อ๋องซ่งนั่งนิ่งด้วยท่าทางเคร่งครึมพลางนึกถึงคำบอกเล่าของหลานสาวของตน ที่ได้กล่าวถึงเรื่องราวของวีรบุรุษพยัคฆ์ขาวที่ฝ่าวงล้อมศัตรูเข้าไปช่วยนางอย่างกล้าหาญ นางกล่าวด้วยความยิ้มแย้มดวงตาเป็นประกาย ซึ่งเป็นครั้งแรกที่องค์หญิงจ้าวหลินอิงกล่าวถึงบุรุษแล้วยังมีความสุขมากเช่นนี้ มันเลยทำให้อ๋องซ่งอยากรู้จักบุรุษผู้นี้ขึ้นมาทันที

‘ บุรุษพยัคฆ์ขาว หลงจิน หึ ชักอยากจะรู้จักเร็วๆ แล้วสิ…’ อ๋องซ่งคิดในใจด้วยท่าทางเคร่งครึม แล้วเมื่อนึกถึงชื่อของหลงจินก็ยิ่งทำให้หน้าของเขาตึงยิ่งกว่าเดิม

ดวงตะวันใกล้ลับขอบฟ้า ขบวนเดินทางก็มาถึงค่ายต้าเป่ย โดยมีคังฉีออกมาต้อนรับ คังฉีควบม้าเข้ามาหาจางซือหรงแล้วกุมมือคำนับ

" ท่านแม่ทัพ "

" หลงจินล่ะ " จางซือหรงกล่าวถามทันที

" ไม่อยู่ขอรับ แต่ท่านไม่ต้องห่วงข้าส่งนกสื่อสารไปแล้วขอรับ พรุ่งนี้หลงจินน่าจะกลับมาขอรับ " คังฉีพูด

" ดีมาก เช่นนั้นเจ้าไปเตรียมที่พักให้ท่านอ๋องที่เรือนใหญ่เถอะ ข้าจะพาท่านอ๋องไปพักที่นั่น " จางซือหรงพูด

" ขอรับ " คังเฟงฉีกุมมือคำนับแล้วรีบควบม้าออกไป จากนั้นจางซือหรงก็ได้สั่งการให้ทหารทุกนายแยกย้ายไปพักผ่อน จากนั้นก็ควบม้าไปทางรถม้าสีดำแล้วไปหยุดอยู่ด้านหน้า ห่างจากรถเพียงเล็กน้อยแล้วกุมมือคำนับ

" วันนี้เย็นมากแล้วพรุ่งนี้เช้าข้าน้อยจะพาหลงจินมาพบท่านขอรับ " จางซือหรงพูดขณะกุมมือก้มหน้า

" เหตุใดถึงเจอวันนี้ไม่ได้… ข้าต้องการเจอตัวเขาวันนี้ " อ๋องซ่งกล่าวเสียงเรียบแต่แฝงด้วยความไม่พอใจ

" หลงจินไปลานตระเวนแนวชายแดน พรุ่งนี้เช้าถึงจะกลับมาขอรับ ต้องขออภัยท่านอ๋องจริงๆ ขอรับ " จางซืหรงพูด

" ก็ได้ หากเขาทำหน้าที่อยู่ข้าก็ไม่มีปัญหาอะไร…" อ๋องซ่งกล่าว

" ขอบคุณขอรับ เช่นนั้นข้าจะนำทางท่านไปที่พัก " จางซือหรงพูด

" นำไปเถอะ " อ๋องซ่งพูดเสียงเรียบ

" ขอรับ " จากนั้นจางซือหรงก็ควบม้านำหน้ารถม้าสีดำไปช้าๆ จนถึงที่พักซึ่งเป็นเรือนหลังใหญ่ที่เคยเป็นที่พักขององค์หญิงใหญ่ ภายในอาณาเขตจวนหลังนั้นไม่มีใครนอกจากคนของอ๋องซ่งที่ยืนกระจายรอบจวน เมื่ออ๋องซ่งเดินเข้าไปในจวนแล้ว จางซือหรงที่ยืนอยู่หน้าทางเข้าเขตจวนก็กำลังจะเดินกลับด้วยความรู้สึกหนักใจที่กล่าวคำลวงกับอ๋องซ่ง

" เดี๋ยวก่อนขอรับ " ชายชุดดำกล่าวขึ้น จางซือหรงก็หันมามองทันที

" มีอะไรเหรอขอรับ " จางซือหรงพูดด้วยความสงสัย

" หากจะนำสิ่งใดมาให้ท่านอ๋องก็นำมาให้พวกเราเสียก่อน พวกเราจะนำไปให้ท่านอ๋องเองขอรับ " ชายชุดดำกล่าว

" ได้ขอรับ " จางซือหรงพูดด้วยรอยยิ้ม แล้วชายชุดดำก็เดินจากไป แล้วจางซือหรงก็เดินจากมาด้วยความรู้สึกประหลาดใจที่คนคุ้มกันของท่านอ๋องจะคุ้มกันเคร่งครัดเช่นนี้ ที่ไม่ให้แม้แต่คนนอกเข้าไป

ในช่วงค่ำคืนนั้น อ๋องซ่งนั่งดื่มสุราจากจอกทองด้วยใบหน้าเรียบเฉยราวกับว่าไม่รู้สึกถึงความเข้มข้นอันรุนแรงของสุรากลั่น อ๋องซ่งยกดื่มหมดจอกภายในรวดเดียวแล้ววางลงบนโต๊ะไม้ทรงกลม แล้วยกกาใส่สุราลายมังกรรินใส่จอกทองคำแล้วยกดื่มอีกจอกอย่างรวดเร็ว ภายในห้องนั้นยังมีบุรุษวัยกลางคนผมสีน้ำตาลยาว สวมชุดยาวสีดำถือกระบี่แววตาเยือกเย็นนาม เยี่ยซูซู ยืนอยู่ไม่ห่างพลางจ้องมองอ๋องซ่งอย่างไม่กระพริบตา

" นายท่านคิดดีแล้วเหรอขอรับ ที่จะให้เจ้านั้นทำภารกิจนี้ " เยี่ยซูซูกล่าวถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

" ข้าวางแผนไว้หมดแล้ว หรือเจ้าสงสัยในฝีมือของเจ้านั้น? การที่จะบุกฝ่าค่ายชนเผ่าอาจูแล้วช่วยองค์หญิงหลินอิงออกมาได้นั้น ไม่ใช่ว่าใครจะทำได้ ยิ่งเจ้านั้นสามารถเข้าไปภายในค่ายโดยที่นักรบชนเผ่าอาจูไม่รู้ตัวอีก หากเป็นอย่างที่องค์หญิงหลินอิงได้กล่าวไว้ เขาก็เหมาะกับภารกิจนี้มากแล้ว และอีกอย่าง ภารกิจสำเร็จหรือไม่สำเร็จ ข้าจะสนใจไปใย… " อ๋องซ่งกล่าวประโยคสุดท้ายด้วยรอยยิ้มอย่างมีเลศนัย เยี่ยซูซูยืนนิ่งไม่กล่าวสิ่งใดแต่แววตาของเขากลับบ่งบอกถึงความไม่พอใจออกมา ซึ่งอ๋องซ่งรู้ดีเพราะเยี่ยซูซู ผู้นี้ติดตามอ๋องซ่งมานานกว่า 15 ปี อ๋องซ่งจึงเข้าใจความรู้สึกของข้ารับใช้ของเขาเป็นอย่างดี

" หากเจ้าไม่ไว้ใจ เช่นนั้นข้าจะให้เจ้าทดสอบเขา หากเขาผ่านบททดสอบ เจ้าจะต้องให้เขาทำงานนี้ หากไม่ผ่านข้าจะหาวิธีอื่นเอง " อ๋องซ่งกล่าว

" ข้าน้อยขออภัยในความเอาแต่ใจของข้าน้อยด้วยขอรับ " เยี่ยซูซูกุมมือคำนับกล่าวเสียงเย็น เมื่อได้ยินอย่างนั้นอ๋องซ่งก็ยกจอกทองขึ้นดื่มพลางแย้มยิ้มอย่างมีเลศนัย

ณ บนหุบเขาสายลม หลงจินนั่งหน้ากองไฟในมือถือกระดาษใบเล็ก ซึ่งเป็นจดหมายจากคังฉี เพื่อเรียกตัวหลงจินกลับไปให้เร็วที่สุดเพื่อเข้าพบอ๋องซ่ง เมื่อหลงจินอ่านจนหมดก็โยนกระดาษเข้าไปในกองไฟแล้วลุกขึ้นเดินไปยังริมหน้าผา

‘ อ๋องซ่งเหรอ? ใครละเนี้ย? คนจากวังหลวงเหตุใดถึงอยากเจอตัวเรากันนะ? ’ หลงจินคิดในใจด้วยความสงสัยก่อนที่จะกระโดดริมหน้าผาด้วยความเร็ว

อรุณวันใหม่กำลังขึ้นจากขอบฟ้า หลงจินกลับมาถึงค่ายต้าเป่ยแล้วเมื่อเดินเข้ามาภายในค่ายหลงจินก็พบกับกลุ่มชายชุดดำท่าทางเก่งกาจยืนล้อมจวนหลังใหญ่เอาไว้ เมื่อหลงจินมาเห็นกลุ่มคนแปลกหน้าเหล่านี้ก็เกิดความสงสัยและสนใจขึ้นมาทันที

‘ เจ้าพวกนั้นมันใครกัน? หื่อ? หรือว่าจะเป็นพวกที่มาจากเมืองหลวงกันนะ? ’ หลงจินคิดได้อย่างนั้นจึงเดินเข้าไปดูใกล้ๆ

แต่ทว่าเมื่อเหล่าทหารเห็นหลงจินก็ต่างพากันตื่นตระหนกตกใจขึ้นมาทันที ด้วยหัวเสือโคร่งขาวแววตาดุดันของสัตว์ร้ายราวกับกำลังล่าเหยือ แต่ร่างกายนั้นเป็นมนุษย์จึงทำให้เหล่าผู้คุ้มกันต่างตกใจที่ไม่เคยเห็นมาก่อน จึงชักดาบออกมาด้วยควาตื่นมตกใจ หลงจินเห็นอย่างก็หยุดเดินด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย

" เจ้าตัวประหลาด! หยุดอยู่ตรงนั้นเดี๋ยวนี้! " ชายชุดดำผู้หนึ่งพูดด้วยความตกใจ หวงอี้เฟยได้ยินอย่างนั้นก็เข้าใจทันทีว่าหัวเสือของเขาได้สร้างความตกใจต่อกลุ่มชายชุดดำเหล่านี้

" เดี๋ยวก่อน ข้านะ- " หลงจินพูดพร้อมกับยกมือยอมพลางเดินเข้าไปหาอย่างเป็นมิตร แต่ทว่าแววตาอันดุดันก็ไม่อาจทำให้เหล่าชายชุดดำวางใจได้

" อย่าเข้ามา!.. ฆ่ามัน! " ชายชุดดำกล่าวเสียงดังก่อนที่ชายชุดดำกว่า 19 คน ชักดาบข้างเอววิ่งเข้าหาหลงจินด้วยจิตสังหารหวังหมายเอาชีวิต

ซึ่งผู้ที่อยู่หน้าสุดพุ่งตัวเข้าประชิดหลงจินด้วยความเร็ว กวัดแกว่งดาบฟาดฟันใส่บุรุษหัวเสืออย่างรวดเร็ว แต่หลงจินก็สามารถโยกตัวหลบพร้อมกับก้าวเท้าถอยหนีทีละก้าว แต่การลุกไล่ฟันของชายชุดดำพร้อมกัน 5 คน ถือว่าดีเยี่ยมจึงทำให้หลงจินตัดสินใจชักดาบจากด้านหลังมาปัดป้องอย่างรวดเร็วและหนักหน่วง จนดาบของเหล่าชายชุดดำทั้ง 5 คนกระเด็นด้วยแรง

จากนั้นหลงจินก็ใช้ท่าก้าวพุ่งผ่านชายชุดดำสองคนพร้อมกับใช้ท้ายดาบกระแทกไปที่ท้ายทอยทั้งสองคนจนสลบในทันที แล้วหมุนตัวพร้อมใช้สันดาบฟันที่หัวชายชุดดำอีกสามคน ในพริบตาจนทั้งสามหมดสติล้มลงนอนไปกับพื้น จากนั้นหลงจินก็หันไปมองกลุ่มชายชุดดำอีกสิบกว่าคนที่วิ่งมาล้อมรอบตัวหลงจินเอาไว้ แล้วหลงจินก็ถอนหายใจออกมา

" อย่าหาว่าข้าไม่ปราณีแล้วกัน! " หลงจินก็พุ่งเข้าใส่กลุ่มชายชุดดำเหล่าอย่างรวดเร็ว