เรื่องราวของเด็กหนุ่ม ผู้ใช้ชีวิตเป็นทหารเฝ้าระวังชายแดนที่มีฝีมือร้ายกาจ จนได้สมญานามว่า พยัคฆ์ขาว จนกระทั้งเขาได้ช่วยองค์หญิงใหญ่จากกลุ่มชนเผ่าอาจู แล้วเส้นทางชีวิตของเขาก็ได้เปลี่ยนแปลงไป
แฟนตาซี,แอคชั่น,ผจญภัย,สงคราม,กำลังภายใน,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
เซียนยุทธ์พิชิตฟ้า ใต้หล้าไร้เทียมทานเรื่องราวของเด็กหนุ่ม ผู้ใช้ชีวิตเป็นทหารเฝ้าระวังชายแดนที่มีฝีมือร้ายกาจ จนได้สมญานามว่า พยัคฆ์ขาว จนกระทั้งเขาได้ช่วยองค์หญิงใหญ่จากกลุ่มชนเผ่าอาจู แล้วเส้นทางชีวิตของเขาก็ได้เปลี่ยนแปลงไป
วรยุทธ์ คือศาสตร์ศิลปะการต่อสู้ที่พัฒนามาจากการป้องกันตัวอย่างง่ายๆ ไปเป็นการสังหารศัตรูอย่างมีประสิทธิภาพ ยิ่งนานวันยิ่งมีรูปแบบที่ซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ก่อเกิดกระบวนท่าต่างๆมากมาย โดยมีการหายใจเป็นพื้นฐานของกำลังภายใน
เหล่านักรบต่างถ่ายทอดศิลปะการต่อสู้ให้กับชนรุ่นหลังผ่านคำสอนและม้วนตำรา จนพัฒนากลายเป็นวรยุทธ์
นักรบที่ได้ฝึกฝนวรยุทธ์จะมีความสามารถเหนือกว่าคนทั่วไป สามารถรับมือและเอาชนะคนจำนวนมากเพียงลำพังได้อย่างง่ายดาย ทั้งยังวิ่งเร็วดั่งสายลม มีวิชาตัวเบาที่สามารถกระโดดจากต้นไม้อีกต้นไปยังอีกต้นได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังมีพลังเหนือมนุษย์อยู่ในร่างกาย ไม่ว่าจะใช้หมัดทลายก้อนหินหรือใช้กระบี่ฟันต้นไม้ขาดเป็นท่อนก็ทำได้และยิ่งมีกำลังภายในที่แข็งแกร่งมากขึ้น ก็ยิ่งมีทักษะและร่างกายที่แข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน
แต่ก็มีบ้างคนที่เกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ ที่สามารถจากพัฒนากำลังภายในจนกลายเป็นพลังปราณที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า และแตกต่างจากกำลังภายในอย่างสิ้นเชิง พวกเขาจึงเรียกตนเองว่าผู้ฝึกตน
ผู้ฝึกตนเหล่านี้จะฝึกฝนตนด้วยการบำเพ็ญ โคจรพลังปราณและดูดซับพลังชี่ จากธรรมชาติ พวกเขาจึงสามารถใช้พลังปราณในวิชาที่เหนือมนุษย์และเหนือธรรมชาติได้ สามารถเอาชนะศัตรูมากมายด้วยการปล่อยพลังจากฝ่ามือ ทั้งยังวิ่งเร็วดุจสายฟ้าหรือเหาะเหินเดินอากาศจากภูเขาลูกหนึ่งไปยังภูเขาอีกลูกหนึ่งภายในอึดใจเดียว อีกทั้งมีพลังมหาศาล สามารถใช้ฝ่ามือทลายขุนเขาหรือแม้กระทั้งใช้กระบี่ฟันต้นไม้หลายสิบต้นขาดเป็นท่อนล้วนแต่ทำได้ ด้วยความสามารถที่มากล้นเหล่านี้ ผู้ที่ขึ้นไปจุดสูงสุดของการฝึกฝนพลังปราณจะถูกเรียกว่า เซียน
ซึ่งผู้คนเหล่านี้ต่างเรียกขานตนเองว่าเป็นจอมยุทธ์
นิยายเรื่องนี้ลงทุกวัน
เวลา 07.00น.
(ลงวันละหนึ่งตอนตามเวลา)
** ฝากติดตามนิยายเรื่องนี้ของผมด้วยนะครับ นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายที่ผมยินดีนำเสนอและเขียนออกมาให้ดีที่สุด หวังว่าทุกท่านจะชอบนิยายเรื่องนี้ของผมนะครับ ขอบคุณท่านเข้ามาอ่านครับ**
อ๋องซ่งสะดุงตื่นขึ้นจากเสียงที่ดังจากด้านนอกห้อง เมื่อลืมตาขึ้นแล้วหันไปทางต้นเสียงซึ่งเป็นเสียงการต่อสูงอันดุเดือด ก็เห็นเยี่ยซูซูยืนอยู่หน้าประตูด้วยสีหน้าเรียบเฉย แล้วไม่นานเสียงเล่านั้นก็หายไป จนอ๋องซ่งแปลกใจ
" ออกไปดูหน่อยสิว่าเสียงอะไร? " อ๋องซ่งพูดขณะค่อยๆ ลุกขึ้นมานั่ง
" ขอรับ " เยี่ยซูซูกุมมือรับทราบคำสั่งก่อนเปิดประตูเดินออกไปจากห้องนอนอ๋องซ่งด้วยท่าทางเคร่งครึม
เขาเดินตามทางเดินผ่านห้องโถงใหญ่ไปยังประตูจวน เมื่อเปิดประตูออกสิ่งแรกที่เขาเห็นคือเราใช้ชุดดำนอนเรียงรายไร้สติบนพื้นแล้วผู้ที่ยืนตรงกลางของเหล่าชายชุดดำเหล่านั้นเป็นบุรุษที่มีร่างกายเป็นมนุษย์มีหัวเป็นเสือขาวแววตาดุร้าย
เยี่ยซูซูมองดูชายคนนั้นด้วยสีหน้าตกผลึกเพราะไม่เคยเห็นคนที่มีหัวเป็นเสือเช่นนี้มาก่อน จากนั้นก็กวาดสายตามองเหล่าชายชุดดำด้วยสีหน้าเคร่งครึม
‘ แม้เจ้าพวกนั้นจะไม่ใช่นักรบชั้นยอดจากกององครักษ์ แต่ก็เป็นยอดฝีมือระดับ 5 จากสำนักตรวจสอบ แต่ไม่คิดเลยว่าจะถูกจัดการด้วยคนเพียงคนเดียวเช่นนี้ได้ เจ้าเดรัจฉานมหนุษย์นั้นมันเป็นใครกัน?! ’ เยี่ยซูซูคิดในใจพลางจ้องมองหลงจินอย่างไม่กระพริบตา
แล้วในขณะนั้นเอง หลงจินก็หันมามองเยี่ยซูซูด้วยแววตาสัตว์ร้าย จนเยี่ยซูซูสัมผัสได้ถึงแรงกดดันและเยือกเย็นที่ส่งผ่านแววตาคู่นั้นมาที่เขา
แต่ทว่าหลงจินกลับไม่ได้คิดจะทำสิ่งใด เพียงแค่หันมองด้วยความสงสัยเพียงเท่านั้นว่าใครที่เดินออกมาจากในจวนหลังใหญ่
เมื่อหลงจริงเห็นสีหน้าที่ตกตะลึงของเยี่ยซูซู จึงกลัวว่าชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าจะเข้าใจผิด จึงยกมือขึ้นพร้อมกับจะอ้าปากเอ่ยอธิบายเพื่อไม่ให้เข้าใจผิด แต่เยี่ยซูซูเห็นการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยของหลงจินนั้น ด้วยภาพที่อยู่ตรงหน้าไม่อาจทำให้เขาคิดเป็นอื่นได้ เขาจึงชักกระบี่ในมือแล้วพุ่งเข้าหาหลงจินอย่างรวดเร็ว แล้วใช้ท่าแทงไปที่กลางอกของหลงจิน
แต่หลงจินมองเห็นการเคลื่อนไว้ของเยี่ยซูซูออกจึงเบี่ยงตัวไปด้านซ้ายหลบอย่างง่ายดาย แล้วเยี่ยซูซูก็ตวัดกระบี่ฟันอย่างต่อเนื่องแต่หลงจินใช้เท้าดีดตัวถ่อยออกห่างอย่างรวดเร็วไปก้าว 5 ก้าว แล้วไปยืนนิ่งมองเยี่ยมซูซูอย่างไม่สบอารมณ์และไม่เข้าใจคนเหล่านี้
" พวกคนในเมืองเป็นเช่นพวกเจ้าทั้งหมดเลยหรือไม่ ที่คิดแต่จะใช้กำลังทำร้ายผู้อื่นโดยไม่ฟังเลยสักนิด " หลงจินกล่าวเสียงเรียบ
" หุบปาก!!! สัตว์เดรัจฉาน เช่นเจ้าไม่สมควรพูดเยี่ยงมนุษย์!!! แล้วข้าไม่คิดที่จะฟังสัตว์เดรัจฉานเยี่ยงเจ้าเช่นกัน!! " เยี่ยซูซูขมวดคิ้วกล่าวเสียงแข็งพร้อมกับจิตสังหารพุ่งพล่าน
" เฮ่อ~ " หลงจินถอนหายใจพลางส่ายหัวด้วยความเหนื่อยหน่ายใจ
' เจ้าพวกเวรนี้ มันวอนหาที่ตายหรือไงกัน หากไม่ใช่คนแคว้นเดียวกันล่ะก็ ข้าคงฆ่ามันก่อนที่จะเอ่ยไปแล้ว! ' หลงจินบ่นภายในใจอย่างไม่สบอารมณ์ที่ถูกเรียกว่าสัตว์เดรัจฉาน
แล้วในขณะนั้น ประตูจวนหลังใหญ่ก็เปิดออกอ๋องซ่งเดินออกมาพลางจ้องมองหลงจินด้วยสีหน้าตื่นตะลึงเพราะเขาไม่เคยเห็นสิ่งแปลกประหลาดเช่นนี้มาก่อน
' คนที่มีหัวเป็นเสืออย่างงั้นเหรอ? เจ้านั้นมันเป็นตัวอะไรกัน?! ' อ๋องซ่งนึกในใจพลางมองหลงจินด้วยความตกใจ เยี่ยซูซูรีบวิ่งมายืนคุ้มกันตรงหน้าอ๋องซ่ง
" ท่านอ๋อง! เข้าไปข้างในก่อนเถอะขอรับ! ที่นี่มันอันตรายเกินไป! " เยี่ยซูซูกล่าวด้วยสีหน้าตึงเครียดขณะจ้องมองหลงจิน แต่อ๋องซ่งก็ยังยืนมองหลงจินด้วยความตื่นตะลึงอยู่อย่างนั้น
' อะไรของเจ้าพวกนี้กัน? ดูท่าคงพูดกันไม่ได้แล้วสิ ' หลงจินคิดในใจพลางมองอ๋องซ่งและเยี่ยซูซูด้วยสายตาเรียบเฉย แล้วในขณะนั้นเอง ฟางซือหรงก็วิ่งมาพร้อมกับคังฉีและทหารสิบกว่าคน วิ่งมาด้วยความตื่นตระหนกหลังจากได้ยินเสียการต่อสู้
เมื่อพวกเขาวิ่งมาถึงก็เห็นเหล่าผู้คุ้มกันของอ๋องซ่งนอนเกลื่อนเต็มพื้น แล้วก็เห็นหลงจินยืนถือดาบสายตาจ้องเข้าไปในจวนก็เห็นเยี่ยซูซูยืนคุ้มกันอ๋องซ่งถือกระบี่มองหลงจิน ฟางซือหรงยืนตัวสั่นด้วยความสับสนและไม่เข้าใจสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้า
" นี่มันเกิดอะไรขึ้น!? " ฟางซือหรงกล่าวด้วยความสงสัยและสับสน อ๋องซ่งหันมองตามเสียงก็เห็นฟางซือหรงจึงนึกดีใจพลางยิ้มออกมา
" เจ้ามาก็ดี เจ้านั้นมันคิดที่จะสังหารข้า! รีบจัดการมันเร็ว! " อ๋องซ่งกล่าวด้วยดวามตื่นตระหนกพลางชี้ไปทางหลงจิน แล้วฟางซือหรงก็หันตามก็ต้องตกใจ
" นี่เจ้าทำสิ่งใดลงไป! " ฟางซือหรงกล่าวด้วยสีสีหน้าตื่นตกใจ
" พวกเขาลงมือกับข้าก่อน ข้าไม่มีทางเลือก " หลงจินกล่าวเสียงเรียบ อ๋องซ่งที่มองดูสถานการณ์ก็มองด้วยความตื่นตะลึง
" พวกเจ้ารู้จักกันเหรอ? " อ๋องซ่งพูดด้วยความความกังวล
" ใช่ขอรับ เขาก็คือ พยัคฆ์ขาวที่ท่านตามหายังไงล่ะขอรับ " ฝางซือหรงกล่าว
" อะไรนะ เจ้านี้นะเหรอพยัคฆ์ขาว? " อ๋องซ่งพูดด้วยความตกใจ
' จริงอยู่ที่ข้าฟังมาจากองค์หญิงหลินอิงแล้วก็ตาม แต่ไม่นึกว่าจะเป็นบุรุษหัวเสือเช่นนี้!! ' อ๋องซ่งคิดในใจด้วยความตกใจอยู่ไม่น้อย
" ต้องขออภัยที่หลงจินผู้นี้ลงมือกับคนของท่าน เขาไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร โปรดให้อภัยต่อการกระทำของเขาด้วยขอรับ " ฟางซือหรงกล่าวด้วยความร้อนร้นพร้อมกับกุมมือขอโทษ
" นี่เจ้าขอโทษซะสิ!! " ฟางซือหรงหันมาตวาดหลงจินด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยว หลงจินจึงเก็บดาบเข้าฝักแล้วกุมมือขึ้นโค้งคำนับอย่างนอบน้อมทันที
" ขออภัยขอรับ ท่านอ๋อง " หลงจินกล่าวเสียงเรียบ
" ช่างเถอะ คนของข้าอาจจะผิดเองที่ไม่รู้ว่าเป็นเจ้า วันนี้ข้าจะยกโทษให้เจ้าก็แล้วกัน " อ๋องซ่งกล่าวพลางจับไปที่ไหลของเยี่ยซูซู แล้วเยี่ยซูซูก็กับกระบี่ของเขาเข้าฝักแต่ก็ยังจ้องมองหลงจินอย่างไม่กระพริบตา
" หากไม่มีสิ่งใดแล้ว ข้าจะไปพักผ่อนต่อ ข้าฝากเจ้าดูแลคนของข้าด้วย แล้วหลังจากทานอาหารเช้าแล้ว เจ้ามาหาข้าด้วยล่ะ " อ๋องซ่งหันไปพูดกับฟางซือหรง
" ทราบแล้วขอรับ " ฟางซือหรงกล่าวขณะกุมมือโค้งคำนับ แล้วอ๋องซ่งและเยี่ยซูซูก็เดินเข้าไปภายในจวน ด้วยความโล่งใจและประหลาดใจไม่หาย
เมื่ออ๋องซ่งทำใจให้สงบได้แล้วจึงหยุดเดินแล้วหันไปหาเยี่ยซูซูด้วยสีหน้าเรียบเฉย
" แล้วเป็นเช่นไรบ้างล่ะ เจ้านั้นผ่านหรือไม่ " อ๋องซ่งพูด
" ผ่านขอรับ เจ้านั้นสามารถหลบดาบของขาได้ถึง 2 ครั้ง ซึ่งข้ามั่นใจได้ว่าเจ้านั้นต้องเป็นยอดฝีมือระดับสูงขั้นกลางอย่างแน่นอนขอรับ " เยี่ยซูซูกล่าวอย่างมั่นใจหลังจากเห็นฝีมือของหลงจินเพียงครู่เดียว
" เช่นนั้นก็ดี ข้าจะได้ตัดสินใจให้เจ้านั่นทำงานนี้ " อ๋องซ่งกล่าวแล้วเดินต่อไปด้วยรอยยิ้ม