วันหนึ่ง 'กวิน' นักโทษผู้มีวิชาอาคมได้พบกับบางอย่างที่แปลกประหลาด มีระบบผู้ช่วยปรากฎขึ้นตรงหน้าเขา มิหนำซ้ำมันยังพาเขาทะลุไปยังกรุงอยุธยา!
แฟนตาซี,ย้อนยุค,สงคราม,ไทย,แอคชั่น,คนไทย,นิยายแนวระบบ,ระบบผู้ช่วย,ต่อสู้,เวทมนตร์,พระเอกเทพ,คาถาอาคม,กรุงศรีอยุธยา,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ระบบผู้ช่วยจอมขมังเวทย์ในกรุงศรีอยุธยาวันหนึ่ง 'กวิน' นักโทษผู้มีวิชาอาคมได้พบกับบางอย่างที่แปลกประหลาด มีระบบผู้ช่วยปรากฎขึ้นตรงหน้าเขา มิหนำซ้ำมันยังพาเขาทะลุไปยังกรุงอยุธยา!
วันหนึ่ง ‘กวิน’ นักโทษผู้มีวิชาอาคมได้พบกับบางอย่างที่แปลกประหลาด มีระบบผู้ช่วยปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา มิหนำซ้ำมันยังพาเขาทะลุมิติไปที่กรุงศรีอยุธยาอีก!
แต่อยุธยาที่ว่านั่นไม่ใช่อยุธยาแบบที่เขารู้จัก แต่มันต่างโลกเวอร์ชั่นไทย!!!
ตอนที่ 3 นายจันทร์ หนวดเขี้ยว
กวินหรี่ตามองรอบข้างซึ่งเต็มไปด้วยชายฉกรรจ์แต่งตัวโบราณถืออาวุธครบมือ ก่อนจะหันมามองชายที่น่าจะเป็นหัวหน้ากลุ่มซึ่งกำลังชี้ปลายดาบมาทางเขา
‘คนในมิตินี้เป็นมิตรชะมัดเลย’
‘เท่าที่ดูในละครหลังข่าวมา การแต่งตัวแบบนี้น่าจะเป็นแค่ชาวบ้าน’
‘เราต้องพูดจาให้กลมกลืนกับยุคสมัย’
‘ไม่จำเป็นต้องต่อสู้…’
“ข้าเป็นแค่นักเดินทางพเนจรที่ผ่านทางมาเท่านั้น”
กวินว่าพร้อมกับยกมือชูขึ้นเหนือศีรษะแสดงความจำยอม เขาไม่อยากสู้กับคนพวกนี้ถ้าไม่จำเป็น
ชายผู้ซึ่งดูจะเป็นหัวหน้าเพ่งสายตามองกวินอย่างพินิจ ก่อนจะเบือนหน้าไปหาเจ้าเสือไฟที่นอนแน่นิ่งหายใจโรยริน
“พวกข้าคือพรานทมิฬแห่งบ้านระจัน ไอ้เสือไฟนั่นคืออสูรที่พวกข้าตามล่าอยู่”
“พอเห็นว่าเอ็งจัดการมันได้ ก็เลยอยากจะทดสอบดูเพียงเท่านั้นว่าเป็นศัตรูหรือมิตร”
พอว่าจบชายคนนั้นก็เก็บดาบเข้าฝักซึ่งห้อยไว้กลางหลัง
กวินที่เห็นแบบนั้นยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยก่อนจะลดมือลง ดูเหมือนว่าคำพูดที่เขาโกหกนั้นจะได้ผล ท่าทีของชาวบ้านโบราณที่ล้อมอยู่รอบๆ จึงพากันสงบลงและเริ่มเก็บอาวุธ
ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้ากวินหันไปส่งซิกบอกคนอื่นๆ ก่อนจะมีคนในกลุ่มสี่ถึงห้าคนเข้ามาจัดการกับร่างเสือไฟ
ชายคนนั้นหันมองกวินจรดจากหัวจนถึงปลายเท้า
“เอ็งมาจากที่ใดกัน ข้าไม่ยักจะเคยเห็นว่ามีใครแต่งตัวประหลาดเช่นนี้”
“ข้ามาจากที่ซึ่งไกลห่างพอสมควร”
กวินว่าตอบ
ชายแปลกหน้าเผยยิ้มบาง ก่อนที่ใบหน้าจะเริ่มเปลี่ยนไปและแสดงออกว่าเป็นมิตรมากขึ้น
“จัดการกับอสูรได้ แสดงว่าฝีมือเอ็งนั้นก็คงไม่ธรรมดา”
พอว่าจบเขาก็หันมองสหายซึ่งรุมล้อมอยู่รอบตัวเขา
“ข้าชื่อ ‘จันทร์’ คนระแวกนี้เรียกข้าว่าจันทร์ หนวดเขี้ยว”
เมื่อได้ยินแบบนั้นกวินก็ชะงัก ตอนแรกเขาได้ยินว่าบ้านระจันก็มองข้ามไป แต่พอได้ยินชื่อของชายตรงหน้ามันก็กระตุ้นให้เขานึกออก เพราะในยุคของเขามีเรื่องเล่าของชายคนนี้ ตำนานวีรชนผู้กล้าหาญแห่งบางระจัน นายจันทร์หนวดเขี้ยว
“ระบบอธิบายที”
กวินส่งเสียงกระซิบเบาๆ ออกมาเพื่อถามระบบ
[ใช่ค่ะ ชายคนนี้คือวีรชนชาวบ้านบางระจัน นายจันทร์ หนวดเขี้ยว แต่ถ้าจะพูดให้ถูกคือเขาคือนายจันทร์ในโลกคู่ขนานค่ะ ตอนนี้เขาคือพรานทมิฬ ระดับ 5 ดาว]
กวินยิ้มแห้งเมื่ออ่านข้อความทั้งหมดจบ ดูเหมือนโลกนี้จะมีแต่อะไรน่าสนุกเต็มไปหมดเลย
“ข้ามีชื่อว่ากวิน เป็นนักพเนจร”
นายจันทร์ยิ้มกว้างอย่างเป็นมิตร
“อือ ถ้าเอ็งไม่รังเกียจ คืนนี้ก็ไปพักที่บ้านระจันก่อนจะเป็นอะไรไป ตอนนี้ก็ใกล้จะมืดค่ำแล้ว”
กวินที่ได้ยินแบบนั้นก็แหงนหน้ามองฟ้า อย่างที่นายจันทร์ว่า ท้องฟ้าเริ่มมืดแล้วและวันนี้เขาก็เหนื่อยมามากพอ เขาควรหาที่พัก
กวินยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย แต่สิ่งที่กวินสนใจที่สุดคือหมู่บ้านบางระจันในมิตินี้ ตอนเด็กเขาชอบดูหนังเรื่องนี้มาก เขาอยากจะรู้จริงๆ หมู่บ้านบางระจันมันเป็นยังไง
“เอ็งพูดถูก”
ความวุ่นวายจบลงอย่างไม่ยากเย็น หลังจากทำความเข้าใจกันรู้เรื่อง กวินก็ถูกพาตัวเดินทางไปที่หมู่บ้านและหาที่พักให้อย่างมีน้ำใจ
หมู่บ้านนี้นั้นไม่ได้ใหญ่โตอย่างที่กวินคิด มันเป็นชุมชนขนาดเล็กที่มีบ้านไม่ถึงสามสิบหลังคาเรือน บ้านส่วนใหญ่นั้นเป็นบ้านฟางคล้ายกระท่อมซะมากกว่า แต่ก็มีบางหลังที่แตกต่างเพราะทำจากไม้ไผ่
‘นี่สินะ หมู่บ้านบางระจันในตำนาน’
กวินคิดขณะถูกพาสำรวจหมู่บ้าน ถึงจะเป็นหมู่บ้านบางระจัน แต่ดูเหมือนว่านอกจากนายจันทร์แล้วจะไม่มีวีรชนคนอื่นเลย ในมิตินี้หมู่บ้านบางระจันมีเพียงแค่นายจันทร์คนเดียวเท่านั้น และในมิตินี้เขายังเป็นนายบ้านอีกด้วย
ที่พักที่กวินได้นั้นคือกระท่อมชายป่าซึ่งมีหมอนผ้าห่มอำนวยความสะดวกครบครัน ถึงจะแค่นั้นแต่กวินที่ติดคุกมาแสนนานจนพอเห็นของพวกนี้เขาก็แทบจะน้ำตาไหล
หลังจากคนที่มาส่งกวินกลับกันไปหมดแล้ว กวินก็เข้ามาในกระท่อมแล้วทิ้งตัวลงนอนอย่างสบายอุรา ไม่รู้ว่าผ่านมากี่สิบกี่ร้อยปีแล้วที่เขาไม่ได้นอนเอนหลังสบายกายเช่นนี้ พอได้นอนมันก็ทำให้หนังตากวินแทบปิด
แต่…
กวินลุกขึ้นนั่งพร้อมกับมองหลังมือตน ตอนนี้เขายังไม่เข้าใจเกี่ยวกับทุกอย่างมากนัก ว่าเพราะอะไรเขาถูกส่งมาที่นี่ ทำไมรูปลักษณ์การแต่งตัวของเขาถึงเปลี่ยนไป ทำไมเขาถึงมีระบบ และระบบก็ไม่สามารถตอบคำถามพวกนี้ได้เช่นกัน
ตอนนี้เขาจะมองข้ามมันไปก่อน เพราะส่วนที่เขาควรคิดที่สุดคือการเริ่มต้นชีวิตใหม่ในโลกใบนี้
เขาหยิบเขี้ยวเสือไฟจากกระเป๋ากางเกงขึ้นมาจ้องมอง
‘เราควรเรียนรู้โลกนี้ให้ไวที่คิดสุด และเจ้าเขี้ยวนี่มันจะช่วยเราได้’
กวินยกยิ้มมุมปากก่อนจะทิ้งตัวลงนอนอีกครั้ง
‘ตอนนี้ก็พักผ่อนก่อนแล้วกัน’
เขาหยิบผ้าขึ้นมาห่มร่างตัวเอง ตอนนี้คงเป็นช่วงเวลาที่สงบที่สุดในหลายสิบปีที่เขาเคยติดคุกมา สายลมพัดผ่านหน้าต่าง เสียงนกและแมลงคอยบรรเลงขับกล่อม
‘นี่สินะ บรรยากาศคลาสสิคแห่งยุคไทยโบราณ’
ตอนที่ 4 เควส!?
กวินนั่งอยู่ที่บันไดเรือนที่ตนอาศัย มือข้างหนึ่งถือมีดสั้น อีกมือนั้นถือไม้ที่กำลังแกะสลักอยู่อย่างสงบนิ่ง ตอนนี้ผ่านมาราวๆ เจ็ดวันแล้วที่เขาอาศัยอยู่บ้านระจันเพื่อตั้งหลักและปรับตัวให้เคยชิน
ตอนนี้เขาเริ่มจะเรียนรู้โลกใหม่ได้ประมาณนึงแล้ว เขาเริ่มเข้าใจกลไกลของพรานทมิฬและอสูรในบางส่วน พรานทมิฬนั้นจะได้รับภารกิจมาจากเรือนพราน ซึ่งเป็นสถานที่แจกภารกิจและเป็นตัวกลางระหว่างผู้ว่าจ้างการล่าและพรานทมิฬ
กวินวางไม้แกะสลักลงข้างตัวก่อนจะหยิบยาสูบที่พันด้วยใบตองแห้งขึ้นมาคาบไว้ ตอนนี้เขาเริ่มจะคุ้นชินกับยุคสมัยนี้ขึ้นบ้างแล้ว จอมขมังเวทย์ใช้ปลายนิ้วจุดไฟลนยาสูบ ก่อนจะสูดลึกเข้าปอดแล้วพ่นออกมาจนควันฟุ้งกระจาย
แต่ในขณะที่เขากำลังคิดอะไรไปเรื่อยทบทวนข้อมูลในหัว ก็มีบางอย่างเด้งขึ้นมาตรงหน้าเขา
[เควส!]
‘เควส?’
กวินเลิกคิ้วมอง นี่คือสิ่งที่เขารอมานาน เพราะจากที่เคยได้รู้จากระบบ ถ้าทำเควสระดับ 7 ดาวสำเร็จจะได้รับรู้ข้อมูลเกี่ยวกับสาเหตุที่ส่งเขามาที่นี่
[เควสระดับ 1 ดาว]
[ปกป้องหมู่บ้านบางระจันจากการล่มสลาย]
[หากท่านปกป้องได้จนครบ 3 วันจะถือว่าเควสเสร็จสิ้น]
[รางวัล : ระบบจะตอบคำถามเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับสาเหตุที่ท่านถูกส่งมาที่นี่]
กวินถึงขั้นลุกขึ้นยืน เขาเริ่มจะเข้าใจกลไกของระบบนี่ขึ้นบ้างแล้ว แสดงว่าถ้าเขาทำเควสสำเร็จแต่ละครั้งเขาจะได้คำตอบที่ตนสงสัยได้หนึ่งอย่าง ส่วนระดับข้อมูลจะขึ้นอยู่กับความยากของเควส
‘ไอ้ระบบเวรนี่… เห็นเราเป็นตัวตลกรึไง?’
‘ปกป้องหมู่บ้านบางระจันงั้นเหรอ? อย่าบอกนะว่าแม้แต่ในมิตินี้ที่ไม่มีสงคราม แต่บางระจันก็ยังจะต้องแตกอยู่ดี’
กวินคีบมวนยาสูบออกจากปากพลางกับถอนหายใจ
‘แค่ปกป้องบางระจันก็พองั้นสินะ’
กวินเริ่มคิดวิธีที่จะทำเควสเพราะสุดท้ายแล้วเขาก็ไม่มีทางเลือก และเขาก็ไม่รู้เลยว่าบางระจันจะแตกเพราะอะไร
“นี่ระบบ แกรู้มั้ยว่าบางระจันจะแตกเพราะอะไร?”
[ดิฉันรู้เพียงข้อมูลที่มีอยู่แล้วเท่านั้นค่ะ ไม่อาจรับรู้ข้อมูลในอนาคตได้]
กวินส่ายหน้าอ่อนพอได้รับคำตอบแบบนั้น
[แต่ดิฉันมีคำแนะนำดีๆ ค่ะ]
“รีบๆ ว่ามา”
[แนะนำให้ท่านไปสมัครเป็นพรานทมิฬค่ะ ท่านจะได้ข้อมูลของอสูรในระแวกนี้ บวกถึงความลับที่มีแค่พรานทมิฬเท่านั้นที่สามารถรู้ได้ เพื่อจะได้นำข้อมูลพวกนั้นมาวิเคราะห์เพื่อหาความเป็นไปได้ของการล่มสลาย]
เมื่อกวินได้เห็นแบบนั้นก็ยกมือขึ้นกอดอกครุ่นคิด อย่างที่ระบบว่า ถ้าเกิดเขาไปสมัครเป็นพรานทมิฬบางทีเขาก็อาจจะได้ข้อมูลที่สามารถนำมาวิเคราะห์
แต่..
“ไม่ใช่ว่าแกให้ข้อมูลได้ทุกอย่างเหรอระบบ?”
[แค่บางอย่างค่ะท่าน ยังมีข้อมูลอีกมากมายในโลกนี้ที่ฉันถูกบล็อคไม่ให้เข้าถึง]
กวินพยักหน้าอย่างเข้าใจ
“งั้นเองสินะ”
กวินไม่ได้สนใจนักจึงกอดอกครุ่นคิดต่อ ตอนนี้เขามองเห็นความเป็นไปได้ชัดขึ้น วิธีการที่พรานทมิฬใช้ต่อสู้กับอสูรในโลกนี้ก็คือเวทมนตร์คาถาอาคม ซึ่งเป็นเรื่องที่กวินถนัดอยู่แล้ว ในโลกก่อนเขาเป็นถึงราชาจอมขมังเวทย์เลยนะ การสมัครเป็นพรานทมิฬคงไม่ใช่เรื่องยาก ที่จะแฝงตัวอย่างแนบเนียน
“แล้วฉันควรไปสมัครที่ไหนล่ะ”
[ในประเทศนี้หากใครต้องการเป็นพรานทมิฬต้องไปที่เรือนพรานค่ะ ซึ่งมันตั้งอยู่ในเมืองหลวง]
กวินพยักหน้าเบาๆ
‘ใช่ นี่คือประเทศไอยราที่มีกรุงศรีอยุธยาเป็นเมืองหลวง’
‘เราต้องเข้าไปในตัวเมืองก่อนสินะ’
‘ถ้าอยากจะปกป้องก็ต้องรู้ก่อนว่าต้องปกป้องจากอะไร’
กวินถอนหายใจอ่อน ดูเหมือนตอนนี้เขาคงต้องพึ่งพานายบ้านสักหน่อยแล้วล่ะ เมื่อสรุปความคิดได้แบบนั้นกวินก็เดินทางไปที่เรือนของนายจันทร์ ซึ่งตอนนี้นายจันทร์นั้นกำลังนั่งสูบยาอยู่ที่ใต้ถุนบ้านตน
เมื่อเห็นกวินมาที่หน้าบ้านนายจันทร์ก็ลุกขึ้นจากแคร่ไม้ไผ่ตรงมาหาผู้พักในหมู่บ้านชั่วคราว
“ว่าไงกวิน เอ็งมีอะไรรึเปล่า?”
กวินไม่ได้อยากจะรบกวนคนอื่นนัก แต่เหมือนตอนนี้เขาต้องพึ่งพาคนอื่นเสียแล้ว
“ข้าอยากจะไปสมัครเป็นพรานที่เรือนพราน แต่ข้าไม่รู้ว่าเรือนพรานอยู่ส่วนใดของอยุธยา เอ็งเป็นพรานทมิฬ เอ็งพอจะช่วยข้าได้หรือไม่”
เขาพูดตรงๆ
เมื่อนายจันทร์ได้ยินแบบนั้นก็เลิกคิ้วสูง
“เอ็งอยากเป็นพรานทมิฬงั้นรึ?”
กวินที่ได้ยินแบบนั้นก็พยักหน้าเป็นการตอบเท่านั้น
“ไม่นึกเลยว่าคนพเนจรอย่างเอ็งจะอยากทำงานแบบนี้ แต่ก็ได้ เอาสิวะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ข้าก็จะได้ไปเรือนพรานพอดี เพราะจะขนเจ้าเสือไฟไปส่งเพื่อรับค่าจ้าง เอ็งก็เดินทางไปกับข้าเลย”
เมื่อได้ยินแบบนั้นกวินก็พยักหน้า เขาตื่นเต้นเล็กน้อยเพราะเขาไม่รู้เลยว่าจะต้องเจอกับกับอะไรบ้าง
และในที่สุดตอนเช้าก็มาถึง
นายจันทร์นั่งอยู่ในเกวียนกับกวิน ข้างๆ พวกเขานั้นมีศีรษะของเสือไฟที่ถูกตัดไว้ การเดินทางเข้าเมืองหลวงกำลังเริ่มต้นขึ้น
นายจันทร์หันมามองทางกวินยิ้มๆ
“ไม่ต้องห่วงไปหรอก ใช้เวลาสองถึงสามวันเดี๋ยวก็ถึง”
กวินที่ได้ยินแบบนั้นถึงขั้นยกมือกุมขมับ เขาไม่มีเวลาขนาดนั้นหรอก ถ้าขืนชักช้าหมู่บ้านแตกแน่ เมื่อสรุปความคิดได้แบบนั้นกวินก็หันไปมองนายจันทร์
“หลับตาแล้วนึกถึงเรือนพรานไว้”
เมื่อได้ยินแบบนั้นนายจันทร์ก็เลิกคิ้วสูง
“ทะ ทำไมรึ?”
กวินยื่นมือไปจับที่ไหล่นายจันทร์เล็กน้อย
“เอาเถอะน่า”
นายจันทร์ดูงงๆ แต่ก็ไม่ได้ขัดอะไร เมื่อกวินเห็นแบบนั้นเขาก็เริ่มพึมพำบางอย่าง
[คาถา : ย่นระยะทาง]
[ผลลัพธ์ : ลดระยะการเดินทางไปยังเป้าหมายให้สั้นลง]