ชาย-ชาย,แฟนตาซี,แอคชั่น,ผจญภัย,ตะวันตก,ทะลุมิติ,คอมเมดี้,บู๊,พระเอกเทพ,ตัวร้าย,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ฮา….
ชายหนุ่มลืมตาตื่นพร้อมกับหอบหายใจหนัก มือข้างหนึ่งยกปัดผมดำยาวตนออกไปให้พ้นหน้า สายตาค่อยๆ กลอกมองรอบข้างที่ยังคงเห็นว่าเป็นห้องนอน แสงจากตะเกียงตั้งอยู่ตรงมุมห้อง ท่าทีเขาดูงวยงงเหมือนไม่ทราบว่าตนเองผล็อยหลับไปเมื่อใด
ใบหน้าเหลียวมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นวิวทิวทัศน์บ้านเมืองผ่านช่องสี่เหลี่ยมผืนผ้า ยามราตรีนี้ยังคงเงียบเหงา พลันให้ความคิดและความทรงจำต่างๆ เริ่มผุดมาโดยปริยาย
‘ดูเหมือนว่าผมจะรู้สึกแย่กับเรื่องคาเบิลมากกว่าคิดไว้ นั่นเป็นสิ่งที่ผมค้นพบหลังจากที่นอนฝันร้ายมาเกือบสัปดาห์เกี่ยวกับเขา’
เมื่อไม่กี่ปีก่อน ตอนเพิ่งเข้าอยู่ร่างของคาเลน ช่วงนั้นเขาพยายามทำตัวให้คุ้นชินกับโลกใหม่ บ้านเมืองที่ขับเคลื่อนด้วยอำนาจของชนชั้น ความเชื่อศาสนาที่ดูน่าเชื่อถือพอๆ กับการแพทย์ในยุคนี้ การแต่งกายที่มีภูมิฐานสวยงามและบ้างก็ธรรมดา ต่างไปจากชาวบ้านซึ่งไม่ค่อยมีฐานะ
ตรรกะและความคิดมากมายหลายอย่างยังคงล้าหลัง จนเขายังนึกอยากเปลี่ยนทั้งหมดยกแผง แต่นั่นก็เกินความสามารถ สิ่งที่ชายหนุ่มทำได้คือการใช้ชีวิตตามใจตนเองเท่านั้น พยายามไม่กระทบกรอบสังคมใดสังคมหนึ่งจนเตะตาเกินไป
“คงเหนื่อยแย่เลยสินะ”
คำพูดปลอบประโลมจากคาเบิลแม้ว่าจะเรียบง่าย แต่ได้ยินกี่ครั้งเขามักรับรู้ได้ถึงความใส่ใจของอีกฝ่าย มันอบอุ่นในแบบพ่อที่ต้องการถามไถ่ลูกชายไม่มีผิดเพี้ยน
“วันนี้ก็เขียนนิยายทั้งวันเหรอ?”
“ใช่ ใกล้จะถึงเวลาส่งต้นฉบับเลยต้องรีบน่ะ”
ขณะเดียวกันมันก็ดูห่างเหิน ยามเขาสนทนากับคาเบิลโดยที่ไม่ได้มองหน้ากันด้วยซ้ำ อีกคนเอาแต่กดแป้นเครื่องพิมพ์ดีดไม่หยุด ทำงานตลอดราวกับว่านั่นคือลมหายใจ คาเลนไม่เคยทักท้วงอะไรเพราะเขารู้ว่าการทำแบบนั้นมันคงก้าวก่ายอีกฝ่ายเกินไป
เพียงแค่อยู่บ้านหลังเดียว ใต้ชายคาเดียวกัน ก็อุ่นใจมากแล้วสำหรับคาเลน
“ตอนนี้เริ่มจะปรับตัวได้แล้วสินะ”
“เรื่องอาหารการกินคงพอถูกปากนายอยู่ใช่ไหม?”
“สภาพอากาศนายคงเริ่มคุ้นชินได้บ้างแล้ว”
“ถ้าสงสัยอะไรก็ถามฉันมาได้พร้อมจะตอบเสมอ”
หนึ่งในสิ่งที่ทำให้คาเลนรู้สึกสงสัย คือการพูดจาการเสนอแนะของคาเบิลนั้นแลดูเป็นพวกปัญญาชน จึงน่าแปลกที่อีกฝ่ายกลับเชื่อเขาในเรื่องที่ว่า ‘ตื่นขึ้นมาก็อยู่ในร่างลูกชายอีกฝ่าย’ อะไรแบบนั้น อาจเพราะคาเบิลเป็นนักเขียนถึงได้มีการคิดวิเคราะห์เชิงสร้างสรรค์เยอะมั้ง? หรือว่าคำสอนศาสนาสมัยนี้มันมีเรื่องนี้แทรกอยู่ด้วยกันนะ ถึงได้ดูไม่แปลกใจเลย
‘นึกไปแล้ว คาเบิลก็แค่นักเขียนวัยกลางคนที่มีนิสัยแปลกๆ เท่านั้นเอง’
พอคาเลนค่อยๆ ใคร่ครวญถึงอดีตที่เขาใช้ร่วมกับคาเบิลทีละนิด ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมทุกคืนที่ผ่านมาเหมือนกลืนหายใจนอนอย่างไงอย่างงั้น เพราะบ้านหลังนี้ไม่เหลือชายผู้ใจดีคนนั้นอีกแล้ว จะให้เรียกว่าพ่อคงพูดไม่ได้เต็มปาก แต่ถ้าตามสมัครใจของตัวเขาเองแล้ว
ชายหนุ่มก็อยากเรียกคาเบิลว่า ‘พ่อ’ สักครั้งเช่นกัน
‘แต่….ตอนนี้คงสายไปแล้ว’
คาเลนนึกแล้วถอนหายใจออกมา ปัดเป่าความกระอักกระอ่วนภายในออกไป เขาลุกขึ้นจากเตียงตรงไปยังห้องทำงานของคาเบิล มันเป็นภาพที่เขาจำได้ดี ชั้นหนังสือวางเรียงเอาไว้ชิดผนังเกือบรอบห้อง เชิงเทียนกับกองกระดาษมากมายวางไว้ไม่เป็นระเบียบบนโต๊ะกว้างกลางห้อง
อย่างสุดท้าย โต๊ะทำงานขนาดกลางอีกตัวซึ่งหันเข้าหาหน้าต่างบานกว้าง มีเครื่องพิมพ์วางเอาไว้อย่างเงียบเหงา ตอนนี้คนใช้เครื่องพิมพ์ดีดนี้ไม่อยู่แล้ว มันจึงดูโหวงเหวงในสายตาเขา
ตึก!
“อุ๊ยแม่ร่วง!?”
เสียงสันหนังสือร่วงตกพื้นว่าน่าตกใจแล้ว เสียงอุทานของคาเลนนั้นกลับน่าผวาใจไปกว่าหลายเท่า เขาหันมองหนังสือเล่มหนึ่งที่ร่วงไปเมื่อครู่ก่อนจะลากเก้าอี้มานั่ง
“เอาล่ะ แกเป็นผีใช่มั้ย? ถ้าแกไม่ใช่พ่อของฉันที่ชื่อว่าคาเบิล เป็นผีเร่ร่อนหลงเข้ามาละก็ออกไปซะ! ไม่งั้นฉันจะปรับเงินที่แกมาอาศัยโดนพลการ! อย่าหาว่าฉันไม่เตือน!”
เขาเก๊กขรึมพร้อมเพ่งมองหนังสือเล่มนั้นอย่างจับผิด แต่… แน่นอนว่านอกจากจะไม่มีอะไรตอบรับกลับมาแล้ว เขายังเหมือนคนสติแตกพูดคนเดียวอีกต่างหาก
‘ตอนนี้ผมเป็นบ้าไปแล้วสินะ พระเจ้า’
ชายหนุ่มนึกแบบนั้นพลางประสานกุมมือไว้กลางอก มองเพดานอย่างอดสูในตัวเองกึ่งประชดประชัน แต่สักพักเขากลับนึกเอะใจขึ้นได้ ‘ว่าไปแล้ว เราไม่เคยอ่านนิยายของคาเบิลเลยหนิ’
‘งั้น...ลองดูสักเล่มแล้วกัน’
เมื่อตัดสินใจได้จึงก้มลงหยิบหนังสือเล่มที่ตกขึ้นมา แล้วพาร่างตนเองกลับไปนั่งที่เก้าอี้อย่างเดิม เขาเริ่มคลี่เปิดอย่างเบาหวังจะเพลิดเพลินกึ่งสำรวจผลงานเจ้าบ้านนี้ แต่ทันทีที่เริ่มอ่านเนื้อหาข้างใน ฉับพลันร่างกายก็แข็งทื่อไปราวถูกเสกให้กลายเป็นหิน
‘แท่นศิลาคำสาป?’
ในหนังสือเล่มนี้ไม่ได้เป็นนิยายอย่างที่เขาคิด กลับมีแต่ข้อมูลมากมายที่ส่งมาสู่สายตาชายหนุ่ม มันน่าแปลก เพราะว่าเนื้อความในนี้คือการบันทึกบางอย่างเกี่ยวกับ ‘คำสาป’ ที่เรียกว่า ‘แท่นศิลาคำสาป’ เอาไว้ สายตากวาดอ่านค่อยๆ เรียบเรียงและสรุปใจความภายใน
ในตอนที่เคยหนุ่มนั้น ฉันเป็นนักเดินทางตระเวนไปแดนไกลหลายหนแห่ง และสุดท้ายก็ย้ายถิ่นมาอาศัยปักหลักอยู่ที่นี่ เมืองนี้กับภรรยา ชีวิตเริ่มเข้าสู่ช่วงเวลา ‘สงบ’ ฉันเอาประสบการณ์มากมายหลายอย่างที่ผ่านมาบอกเล่าลงในนิยายตัวเอง ปรุงเสริมเติมแต่งให้เรื่องราวพวกนั้นน่าอ่าน
แต่มีเรื่องหนึ่งที่ฉันไม่เคยลืม และฉันควรจะบันทึกมันเอาไว้ก่อนที่จะจากโลกนี้ไป…
ตลอดการเดินทาง ฉันได้พบกับศิลาประหลาด ไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่พอฉันได้พบกับศิลาพวกนั้นบ่อยเข้าฉันก็รู้ว่าบางอย่างในตัวฉันมันเปลี่ยนไป ตอนแรกฉันยังไม่รู้ว่า ‘สิ่งที่เปลี่ยนไป’ มันคืออะไร พอมาใช้ชีวิตมาเรื่อยๆ จนตอนนี้ถึงได้เข้าใจ
ศิลาพวกนั้นคือ ‘แท่นศิลาคำสาป’ มีอยู่ทั้งหมด 7 หลัก
ฉันเจอกับศิลาพวกนั้นมาครบทุกหลัก และเพิ่งจะมารู้ตัวว่าฉันติดคำสาปจากศิลาพวกนั้น ร่างกายของฉันเริ่มแข็งเป็นหินแล้ว อีกไม่นานฉันก็คงตาย
‘แปลว่า… เขารู้เรื่องนี้มาตั้งแต่แรกและปิดเป็นความลับจากผม แต่กลับให้บิทเทอรู้เนี่ยนะ’ คาเลนเลื่อนสายตาออกจากหน้าหนังสือชั่วครู่ ‘แอบน่าน้อยใจเหมือนกันนะ’
นึกจบแล้วเขาก็ก้มหน้าอ่านต่อ
พอฉันตายแล้วเขาก็คงต้องอยู่คนเดียว ลูกชายฉัน...
ฉันเชื่อและรู้ดีว่าเขาดูแลตัวเองได้ แต่เรื่องที่น่ากังวลคือเขาไม่ใช่ลูกชายของฉัน ถึงใช่ แต่นั่นมันก็แค่ร่างกาย เป็นไปได้ฉันก็อยากจะให้เขาใช้ชีวิตต่อไปโดยไม่มีฉัน
ชายหนุ่มปิดหนังสือวางลงบนโต๊ะกว้างอย่างเดิม ‘ผมเกลียดคำพูดที่เรียบง่ายของคาเบิล เพราะไม่ว่าเขาจะพูดให้มันดูเบาบางขนาดไหน มันก็ไม่ช่วยให้รู้สึกเจ็บน้อยลงสักนิดเดียว’ นึกคิดจบเขาก็พรูลมหายใจอย่างขุ่นเคืองต่อหนังสือเล่มนี้ ที่เป็นเหมือนบันทึกการเดินทางของคาเบิล
‘ในนิยายยังไม่มีการพูดถึงโรค ‘สาปกายศิลา’ ชัดเจน แต่ก็มีตัวละครสมทบที่เป็นโรคนี้อยู่ไม่น้อยในช่วงหลังๆ เหมือนผมจะบังเอิญมาเจอขุมทรัพย์ที่เก็บข้อมูลล้ำค่าในนิยายเข้าแล้วสิ เรื่องของ ‘แท่นศิลาคำสาป 7 หลัก’ ถูกเขียนเอาไว้ในหนังสือเล่มนี้ทั้งหมด’
‘แท่นศิลาคำสาปพวกนั้นเป็นแหล่งคำสาปทำให้เกิดโรคสาปกายศิลา…’
‘ทำให้คาเบิลอยู่อย่างเจ็บปวดทรมานหลายปี’
‘ทรมานอยู่นานจนตายไป’
“มีธุระอะไร”
บิทเทอถามผู้มาเยือนเสียงเรียบ ครั้นยามเช้ามาถึงคาเลนก็ตัดสินใจเดินทางมายังตรอกเดิม ซึ่งเป็นสถานที่ที่มักเจอคุณพระเอกบ่อยครั้ง สายตาเรียวเย็นชาจากฮันเตอร์ปรายมองมา คาเลนเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนมุมปากจะยกยิ้ม
“คุณเคยบอกว่าอยากจะให้ผมช่วยรักษาใช่ไหม?”
“นายหาทางรักษาฉันได้แล้วรึไง?”
“ก็พอนึกออกครับ” คาเลนเว้นช่วงเงียบแล้วหรี่ตามอง “แต่ผมมีข้อแลกเปลี่ยน”
คุณพระเอกมองมาด้วยสายตาใคร่รู้
“ว่ามาสิ...”
‘การดึงใครสักคนเข้ามาช่วยในสิ่งที่ผมจะทำต่อไปนี้ พระเอกย่อมเป็นบัฟที่ดีที่สุดแน่นอน ไม่ได้จะบอกว่าทุกอย่างโคจรรอบตัวบิทเทอ หรือไอ้หมอนี่มียันต์กันตาย แต่ทักษะการต่อสู้และแรงจูงใจที่เขาจะมาช่วยผมนั้นมีมากกว่าใครๆ ’
‘เขาคือตัวเลือกที่ดีที่สุดของผมในตอนนี้’
“คุณจะต้องมาช่วยผมทำลาย ‘แท่นศิลาคำสาป’ ”
บิทเทอเบิกตามองกว้าง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเพ่งสายตามองกลับ
“นายคิดจะทำอะไรกันแน่”
‘ไม่แปลกที่บิทเทอจะมีท่าทางแบบนั้น เพราะ ‘แท่นศิลาคำสาป’ เป็นอนุสรณ์คำสาปที่ไม่มีใครกล้าทำลายทิ้ง แม้แต่แตะต้องก็ยังไม่กล้า เพราะทุกๆ ศิลานั่นเคยมีคนพยายามไปทำลายแล้ว แต่ก็ไม่มีใครกลับมาได้สักคน แถมพวกชนชั้นสูงก็เมินเฉยไม่แก้ไขเรื่องนี้ เพราะ...มันยากที่รู้ได้ว่าศิลาแต่ละหลักอยู่ที่ไหน ทำลายยังไง และมันแข็งแกร่งแค่ไหน’
‘ดังนั้นข้อเสนอผมมันเลยไม่ต่างกับบอกว่า ‘ไปตายกัน’ ’
“เพื่อกำจัดคำสาป คุณก็รู้ว่าผมเป็นแอนนาลิสท์ บางครั้งเราก็ตั้งเลือกเป้าหมายที่ใหญ่เข้าไว้”
“นายรู้ตัวรึเปล่าว่ากำลังจะทำอะไร?”
ทั้งสองคนสบตามองกันเงียบๆ ปกติบนใบหน้าของคาเลนมักจะมีรอยยิ้ม ไม่ก็แสดงท่าทางทะเล้นออกมา แต่คราวนี้เห็นได้ชัดถึงความมั่นคงของชายคนนี้
“ใช่ ฉันรู้ตัว หรือนายจะปฏิเสธล่ะ?”
คล้ายว่านั่นเป็นคำท้าทาย บิทเทอหรี่ตามองก่อนจะถอนหายใจ “เข้าใจแล้ว ฉันจะรอดูแล้วกันว่านายจะทำอะไร ถ้าหากว่านายไม่มีเหตุผลดีๆ ให้…”
“ฉันจะยกเลิกข้อตกลงทันที”
นี่เป็นคำตอบที่ผิดคาดสำหรับคาเลนอยู่ไม่น้อย ถึงชายหนุ่มจะเก๊กหน้านิ่งใส่ แต่จริงๆ แล้วตอนจ้องตากันใจก็แอบสั่นๆ หวั่นๆ เลยทีเดียว รอยยิ้มค่อยๆ ปรากฏออกมาแล้วตอบกลับไป
“ผมไม่ทำให้คุณผิดหวังแน่”
‘ผมไม่สนหรอกว่าจะได้กลับไปโลกเดิมหรืออยู่โลกนี้อีกนานแค่ไหน’
‘แต่ไอ้ศิลาคำสาปห่าพวกนั้น มันต้องไม่อยู่ดี’