เพื่อแก้แค้นแล้วผมคงต้องหาตัวช่วย และบัฟผมคือคุณพระเอกพูดน้อยต่อยหนักนั่นเอง

พาพระเอกมาเป็นตัวร้าย - Chapter 7 เป้าหมายเดียวกัน โดย RGeraniuM @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ชาย-ชาย,แฟนตาซี,แอคชั่น,ผจญภัย,ตะวันตก,ทะลุมิติ,คอมเมดี้,บู๊,พระเอกเทพ,ตัวร้าย,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

พาพระเอกมาเป็นตัวร้าย

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ชาย-ชาย,แฟนตาซี,แอคชั่น,ผจญภัย,ตะวันตก

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ทะลุมิติ,คอมเมดี้,บู๊,พระเอกเทพ,ตัวร้าย

รายละเอียด

เพื่อแก้แค้นแล้วผมคงต้องหาตัวช่วย และบัฟผมคือคุณพระเอกพูดน้อยต่อยหนักนั่นเอง

ผู้แต่ง

RGeraniuM

เรื่องย่อ




Writer : RGeraniuM
Illust : UNe1st
Typography : Rainrily & LaLina




!!WARNING!!
!คำเตือนค่ะคำเตือน!
           นิยายเรื่องนี้เขียนขึ้นมาเพื่อความบันเทิงส่วนตัวไรท์เองล้วนๆ 
            แนววายแฟนตาซี มีตั้งแต่ฉากผ่อนคลาย อบอุ่นใจ จนถึงดราม่าแอนดาร์กระดับปานกลาง
ในเรื่องมีฉากที่ใช้ความรุนแรงและเลือดสาดบ้าง เพราะงั้นอ่านโปรดระวังและใช้วิจารณญาณนะคะ

ในส่วนของโพตัวเอกนั้นไม่ฟิกโพ (ผลัดกันรุกผลัดกันรับ) แล้วนอกจากคู่ชาย-ชายแล้ว เรื่องนี้คู่รองอยู่อีกสองคู่ซึ่งเป็นคู่หญิง-หญิงกับคู่ชาย-หญิงค่ะ

***ฉากเซ็กซ์มีการอ้างอิงวิธีการบางส่วนแต่ไม่สมจริงทั้งหมดนะคะ อย่างไรก็ตาม ทางไรท์แนะนำกับผู้อ่านว่าก่อนมีเซ็กซ์ควรเตรียมตัวเตรียมใจ ถูกต้องตามหลักสุขอนามัยเป็นอย่างดีเสมอค่ะ

สารบัญ

พาพระเอกมาเป็นตัวร้าย-Prologue Prologue ,พาพระเอกมาเป็นตัวร้าย-Chapter 1 ที่มาที่ไป,พาพระเอกมาเป็นตัวร้าย-Chapter 2 ออดอ้อนเผื่อได้,พาพระเอกมาเป็นตัวร้าย-Chapter 3 ทำงานแลก,พาพระเอกมาเป็นตัวร้าย-Chapter 4 “รูปภาพสั่งตาย”,พาพระเอกมาเป็นตัวร้าย-Chapter 5 ตามข้อตกลงไง,พาพระเอกมาเป็นตัวร้าย-Chapter 6 เรียนรู้ความเห็นอกเห็นใจ,พาพระเอกมาเป็นตัวร้าย-Chapter 7 เป้าหมายเดียวกัน,พาพระเอกมาเป็นตัวร้าย-Chapter 8 ไม่เป็นตัวถ่วงหรอก,พาพระเอกมาเป็นตัวร้าย-Chapter 9 ชอบแย่งของพระเอก,พาพระเอกมาเป็นตัวร้าย-Chapter 10 คนที่ใครๆ ก็เคยเห็น,พาพระเอกมาเป็นตัวร้าย-Chapter 11 ตามเงาดำไป,พาพระเอกมาเป็นตัวร้าย-Chapter 12 “ศิลาแห่งลาเมนท์”,พาพระเอกมาเป็นตัวร้าย-Chapter 13 ความช่วยเหลือจากอัศวิน,พาพระเอกมาเป็นตัวร้าย-Chapter 14 กริชเงา,พาพระเอกมาเป็นตัวร้าย-Chapter 15 พอดีไม่ค่อยชอบหน้า,พาพระเอกมาเป็นตัวร้าย-Chapter 16 น่าเป็นห่วงสุดๆ ,พาพระเอกมาเป็นตัวร้าย-Chapter 17 ไปอยู่ด้วยกันทำไม?,พาพระเอกมาเป็นตัวร้าย-Chapter 18 คุณพระเอกเป็นบ้าอะไรค้าบบบบ!!,พาพระเอกมาเป็นตัวร้าย-Chapter 19 มองเพราะคุ้นหน้า?,พาพระเอกมาเป็นตัวร้าย-Chapter 20 นอนตรงไหนใช่ปัญหา,พาพระเอกมาเป็นตัวร้าย-Chapter 21 ทำไมไม่บอกฉัน,พาพระเอกมาเป็นตัวร้าย-Chapter 22 เพราะหิวไง

เนื้อหา

Chapter 7 เป้าหมายเดียวกัน

ฮา….


ชายหนุ่มลืมตาตื่นพร้อมกับหอบหายใจหนัก มือข้างหนึ่งยกปัดผมดำยาวตนออกไปให้พ้นหน้า สายตาค่อยๆ กลอกมองรอบข้างที่ยังคงเห็นว่าเป็นห้องนอน แสงจากตะเกียงตั้งอยู่ตรงมุมห้อง ท่าทีเขาดูงวยงงเหมือนไม่ทราบว่าตนเองผล็อยหลับไปเมื่อใด

ใบหน้าเหลียวมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นวิวทิวทัศน์บ้านเมืองผ่านช่องสี่เหลี่ยมผืนผ้า ยามราตรีนี้ยังคงเงียบเหงา พลันให้ความคิดและความทรงจำต่างๆ เริ่มผุดมาโดยปริยาย

‘ดูเหมือนว่าผมจะรู้สึกแย่กับเรื่องคาเบิลมากกว่าคิดไว้ นั่นเป็นสิ่งที่ผมค้นพบหลังจากที่นอนฝันร้ายมาเกือบสัปดาห์เกี่ยวกับเขา’

เมื่อไม่กี่ปีก่อน ตอนเพิ่งเข้าอยู่ร่างของคาเลน ช่วงนั้นเขาพยายามทำตัวให้คุ้นชินกับโลกใหม่ บ้านเมืองที่ขับเคลื่อนด้วยอำนาจของชนชั้น ความเชื่อศาสนาที่ดูน่าเชื่อถือพอๆ กับการแพทย์ในยุคนี้ การแต่งกายที่มีภูมิฐานสวยงามและบ้างก็ธรรมดา ต่างไปจากชาวบ้านซึ่งไม่ค่อยมีฐานะ

ตรรกะและความคิดมากมายหลายอย่างยังคงล้าหลัง จนเขายังนึกอยากเปลี่ยนทั้งหมดยกแผง แต่นั่นก็เกินความสามารถ สิ่งที่ชายหนุ่มทำได้คือการใช้ชีวิตตามใจตนเองเท่านั้น พยายามไม่กระทบกรอบสังคมใดสังคมหนึ่งจนเตะตาเกินไป

“คงเหนื่อยแย่เลยสินะ”

คำพูดปลอบประโลมจากคาเบิลแม้ว่าจะเรียบง่าย แต่ได้ยินกี่ครั้งเขามักรับรู้ได้ถึงความใส่ใจของอีกฝ่าย มันอบอุ่นในแบบพ่อที่ต้องการถามไถ่ลูกชายไม่มีผิดเพี้ยน

“วันนี้ก็เขียนนิยายทั้งวันเหรอ?”

“ใช่ ใกล้จะถึงเวลาส่งต้นฉบับเลยต้องรีบน่ะ”

ขณะเดียวกันมันก็ดูห่างเหิน ยามเขาสนทนากับคาเบิลโดยที่ไม่ได้มองหน้ากันด้วยซ้ำ อีกคนเอาแต่กดแป้นเครื่องพิมพ์ดีดไม่หยุด ทำงานตลอดราวกับว่านั่นคือลมหายใจ คาเลนไม่เคยทักท้วงอะไรเพราะเขารู้ว่าการทำแบบนั้นมันคงก้าวก่ายอีกฝ่ายเกินไป

เพียงแค่อยู่บ้านหลังเดียว ใต้ชายคาเดียวกัน ก็อุ่นใจมากแล้วสำหรับคาเลน 



“ตอนนี้เริ่มจะปรับตัวได้แล้วสินะ” 

“เรื่องอาหารการกินคงพอถูกปากนายอยู่ใช่ไหม?” 

“สภาพอากาศนายคงเริ่มคุ้นชินได้บ้างแล้ว”

“ถ้าสงสัยอะไรก็ถามฉันมาได้พร้อมจะตอบเสมอ”

หนึ่งในสิ่งที่ทำให้คาเลนรู้สึกสงสัย คือการพูดจาการเสนอแนะของคาเบิลนั้นแลดูเป็นพวกปัญญาชน จึงน่าแปลกที่อีกฝ่ายกลับเชื่อเขาในเรื่องที่ว่า ‘ตื่นขึ้นมาก็อยู่ในร่างลูกชายอีกฝ่าย’ อะไรแบบนั้น อาจเพราะคาเบิลเป็นนักเขียนถึงได้มีการคิดวิเคราะห์เชิงสร้างสรรค์เยอะมั้ง? หรือว่าคำสอนศาสนาสมัยนี้มันมีเรื่องนี้แทรกอยู่ด้วยกันนะ ถึงได้ดูไม่แปลกใจเลย

‘นึกไปแล้ว คาเบิลก็แค่นักเขียนวัยกลางคนที่มีนิสัยแปลกๆ เท่านั้นเอง’

พอคาเลนค่อยๆ ใคร่ครวญถึงอดีตที่เขาใช้ร่วมกับคาเบิลทีละนิด ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมทุกคืนที่ผ่านมาเหมือนกลืนหายใจนอนอย่างไงอย่างงั้น เพราะบ้านหลังนี้ไม่เหลือชายผู้ใจดีคนนั้นอีกแล้ว จะให้เรียกว่าพ่อคงพูดไม่ได้เต็มปาก แต่ถ้าตามสมัครใจของตัวเขาเองแล้ว 

ชายหนุ่มก็อยากเรียกคาเบิลว่า ‘พ่อ’ สักครั้งเช่นกัน

‘แต่….ตอนนี้คงสายไปแล้ว’

คาเลนนึกแล้วถอนหายใจออกมา ปัดเป่าความกระอักกระอ่วนภายในออกไป เขาลุกขึ้นจากเตียงตรงไปยังห้องทำงานของคาเบิล มันเป็นภาพที่เขาจำได้ดี ชั้นหนังสือวางเรียงเอาไว้ชิดผนังเกือบรอบห้อง เชิงเทียนกับกองกระดาษมากมายวางไว้ไม่เป็นระเบียบบนโต๊ะกว้างกลางห้อง 

อย่างสุดท้าย โต๊ะทำงานขนาดกลางอีกตัวซึ่งหันเข้าหาหน้าต่างบานกว้าง มีเครื่องพิมพ์วางเอาไว้อย่างเงียบเหงา ตอนนี้คนใช้เครื่องพิมพ์ดีดนี้ไม่อยู่แล้ว มันจึงดูโหวงเหวงในสายตาเขา 

ตึก!

“อุ๊ยแม่ร่วง!?”

เสียงสันหนังสือร่วงตกพื้นว่าน่าตกใจแล้ว เสียงอุทานของคาเลนนั้นกลับน่าผวาใจไปกว่าหลายเท่า เขาหันมองหนังสือเล่มหนึ่งที่ร่วงไปเมื่อครู่ก่อนจะลากเก้าอี้มานั่ง 

“เอาล่ะ แกเป็นผีใช่มั้ย? ถ้าแกไม่ใช่พ่อของฉันที่ชื่อว่าคาเบิล เป็นผีเร่ร่อนหลงเข้ามาละก็ออกไปซะ! ไม่งั้นฉันจะปรับเงินที่แกมาอาศัยโดนพลการ! อย่าหาว่าฉันไม่เตือน!”

เขาเก๊กขรึมพร้อมเพ่งมองหนังสือเล่มนั้นอย่างจับผิด แต่… แน่นอนว่านอกจากจะไม่มีอะไรตอบรับกลับมาแล้ว เขายังเหมือนคนสติแตกพูดคนเดียวอีกต่างหาก

‘ตอนนี้ผมเป็นบ้าไปแล้วสินะ พระเจ้า’

ชายหนุ่มนึกแบบนั้นพลางประสานกุมมือไว้กลางอก มองเพดานอย่างอดสูในตัวเองกึ่งประชดประชัน แต่สักพักเขากลับนึกเอะใจขึ้นได้ ‘ว่าไปแล้ว เราไม่เคยอ่านนิยายของคาเบิลเลยหนิ’
‘งั้น...ลองดูสักเล่มแล้วกัน’

เมื่อตัดสินใจได้จึงก้มลงหยิบหนังสือเล่มที่ตกขึ้นมา แล้วพาร่างตนเองกลับไปนั่งที่เก้าอี้อย่างเดิม เขาเริ่มคลี่เปิดอย่างเบาหวังจะเพลิดเพลินกึ่งสำรวจผลงานเจ้าบ้านนี้ แต่ทันทีที่เริ่มอ่านเนื้อหาข้างใน ฉับพลันร่างกายก็แข็งทื่อไปราวถูกเสกให้กลายเป็นหิน 

‘แท่นศิลาคำสาป?’

ในหนังสือเล่มนี้ไม่ได้เป็นนิยายอย่างที่เขาคิด กลับมีแต่ข้อมูลมากมายที่ส่งมาสู่สายตาชายหนุ่ม มันน่าแปลก เพราะว่าเนื้อความในนี้คือการบันทึกบางอย่างเกี่ยวกับ ‘คำสาป’ ที่เรียกว่า ‘แท่นศิลาคำสาป’ เอาไว้ สายตากวาดอ่านค่อยๆ เรียบเรียงและสรุปใจความภายใน


ในตอนที่เคยหนุ่มนั้น ฉันเป็นนักเดินทางตระเวนไปแดนไกลหลายหนแห่ง และสุดท้ายก็ย้ายถิ่นมาอาศัยปักหลักอยู่ที่นี่ เมืองนี้กับภรรยา ชีวิตเริ่มเข้าสู่ช่วงเวลา ‘สงบ’ ฉันเอาประสบการณ์มากมายหลายอย่างที่ผ่านมาบอกเล่าลงในนิยายตัวเอง ปรุงเสริมเติมแต่งให้เรื่องราวพวกนั้นน่าอ่าน
แต่มีเรื่องหนึ่งที่ฉันไม่เคยลืม และฉันควรจะบันทึกมันเอาไว้ก่อนที่จะจากโลกนี้ไป…

ตลอดการเดินทาง ฉันได้พบกับศิลาประหลาด ไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่พอฉันได้พบกับศิลาพวกนั้นบ่อยเข้าฉันก็รู้ว่าบางอย่างในตัวฉันมันเปลี่ยนไป ตอนแรกฉันยังไม่รู้ว่า ‘สิ่งที่เปลี่ยนไป’ มันคืออะไร พอมาใช้ชีวิตมาเรื่อยๆ จนตอนนี้ถึงได้เข้าใจ
ศิลาพวกนั้นคือ ‘แท่นศิลาคำสาป’ มีอยู่ทั้งหมด 7 หลัก 

ฉันเจอกับศิลาพวกนั้นมาครบทุกหลัก และเพิ่งจะมารู้ตัวว่าฉันติดคำสาปจากศิลาพวกนั้น ร่างกายของฉันเริ่มแข็งเป็นหินแล้ว อีกไม่นานฉันก็คงตาย

‘แปลว่า… เขารู้เรื่องนี้มาตั้งแต่แรกและปิดเป็นความลับจากผม แต่กลับให้บิทเทอรู้เนี่ยนะ’ คาเลนเลื่อนสายตาออกจากหน้าหนังสือชั่วครู่ ‘แอบน่าน้อยใจเหมือนกันนะ’

นึกจบแล้วเขาก็ก้มหน้าอ่านต่อ

พอฉันตายแล้วเขาก็คงต้องอยู่คนเดียว ลูกชายฉัน... 

ฉันเชื่อและรู้ดีว่าเขาดูแลตัวเองได้ แต่เรื่องที่น่ากังวลคือเขาไม่ใช่ลูกชายของฉัน ถึงใช่ แต่นั่นมันก็แค่ร่างกาย เป็นไปได้ฉันก็อยากจะให้เขาใช้ชีวิตต่อไปโดยไม่มีฉัน

ชายหนุ่มปิดหนังสือวางลงบนโต๊ะกว้างอย่างเดิม ‘ผมเกลียดคำพูดที่เรียบง่ายของคาเบิล เพราะไม่ว่าเขาจะพูดให้มันดูเบาบางขนาดไหน มันก็ไม่ช่วยให้รู้สึกเจ็บน้อยลงสักนิดเดียว’ นึกคิดจบเขาก็พรูลมหายใจอย่างขุ่นเคืองต่อหนังสือเล่มนี้ ที่เป็นเหมือนบันทึกการเดินทางของคาเบิล

‘ในนิยายยังไม่มีการพูดถึงโรค ‘สาปกายศิลา’ ชัดเจน แต่ก็มีตัวละครสมทบที่เป็นโรคนี้อยู่ไม่น้อยในช่วงหลังๆ เหมือนผมจะบังเอิญมาเจอขุมทรัพย์ที่เก็บข้อมูลล้ำค่าในนิยายเข้าแล้วสิ เรื่องของ ‘แท่นศิลาคำสาป 7 หลัก’ ถูกเขียนเอาไว้ในหนังสือเล่มนี้ทั้งหมด’

‘แท่นศิลาคำสาปพวกนั้นเป็นแหล่งคำสาปทำให้เกิดโรคสาปกายศิลา…’

‘ทำให้คาเบิลอยู่อย่างเจ็บปวดทรมานหลายปี’
‘ทรมานอยู่นานจนตายไป’



“มีธุระอะไร”

บิทเทอถามผู้มาเยือนเสียงเรียบ ครั้นยามเช้ามาถึงคาเลนก็ตัดสินใจเดินทางมายังตรอกเดิม ซึ่งเป็นสถานที่ที่มักเจอคุณพระเอกบ่อยครั้ง สายตาเรียวเย็นชาจากฮันเตอร์ปรายมองมา คาเลนเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนมุมปากจะยกยิ้ม

“คุณเคยบอกว่าอยากจะให้ผมช่วยรักษาใช่ไหม?”

“นายหาทางรักษาฉันได้แล้วรึไง?”

“ก็พอนึกออกครับ” คาเลนเว้นช่วงเงียบแล้วหรี่ตามอง “แต่ผมมีข้อแลกเปลี่ยน”

คุณพระเอกมองมาด้วยสายตาใคร่รู้ 

“ว่ามาสิ...”

‘การดึงใครสักคนเข้ามาช่วยในสิ่งที่ผมจะทำต่อไปนี้ พระเอกย่อมเป็นบัฟที่ดีที่สุดแน่นอน ไม่ได้จะบอกว่าทุกอย่างโคจรรอบตัวบิทเทอ หรือไอ้หมอนี่มียันต์กันตาย แต่ทักษะการต่อสู้และแรงจูงใจที่เขาจะมาช่วยผมนั้นมีมากกว่าใครๆ ’

‘เขาคือตัวเลือกที่ดีที่สุดของผมในตอนนี้’

“คุณจะต้องมาช่วยผมทำลาย ‘แท่นศิลาคำสาป’ ”
บิทเทอเบิกตามองกว้าง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเพ่งสายตามองกลับ

“นายคิดจะทำอะไรกันแน่”

‘ไม่แปลกที่บิทเทอจะมีท่าทางแบบนั้น เพราะ ‘แท่นศิลาคำสาป’ เป็นอนุสรณ์คำสาปที่ไม่มีใครกล้าทำลายทิ้ง แม้แต่แตะต้องก็ยังไม่กล้า เพราะทุกๆ ศิลานั่นเคยมีคนพยายามไปทำลายแล้ว แต่ก็ไม่มีใครกลับมาได้สักคน แถมพวกชนชั้นสูงก็เมินเฉยไม่แก้ไขเรื่องนี้ เพราะ...มันยากที่รู้ได้ว่าศิลาแต่ละหลักอยู่ที่ไหน ทำลายยังไง และมันแข็งแกร่งแค่ไหน’

‘ดังนั้นข้อเสนอผมมันเลยไม่ต่างกับบอกว่า ‘ไปตายกัน’ ’

“เพื่อกำจัดคำสาป คุณก็รู้ว่าผมเป็นแอนนาลิสท์ บางครั้งเราก็ตั้งเลือกเป้าหมายที่ใหญ่เข้าไว้”

“นายรู้ตัวรึเปล่าว่ากำลังจะทำอะไร?”

ทั้งสองคนสบตามองกันเงียบๆ ปกติบนใบหน้าของคาเลนมักจะมีรอยยิ้ม ไม่ก็แสดงท่าทางทะเล้นออกมา แต่คราวนี้เห็นได้ชัดถึงความมั่นคงของชายคนนี้ 

“ใช่ ฉันรู้ตัว หรือนายจะปฏิเสธล่ะ?”

คล้ายว่านั่นเป็นคำท้าทาย บิทเทอหรี่ตามองก่อนจะถอนหายใจ “เข้าใจแล้ว ฉันจะรอดูแล้วกันว่านายจะทำอะไร ถ้าหากว่านายไม่มีเหตุผลดีๆ ให้…”
“ฉันจะยกเลิกข้อตกลงทันที”

นี่เป็นคำตอบที่ผิดคาดสำหรับคาเลนอยู่ไม่น้อย ถึงชายหนุ่มจะเก๊กหน้านิ่งใส่ แต่จริงๆ แล้วตอนจ้องตากันใจก็แอบสั่นๆ หวั่นๆ เลยทีเดียว รอยยิ้มค่อยๆ ปรากฏออกมาแล้วตอบกลับไป

“ผมไม่ทำให้คุณผิดหวังแน่”

‘ผมไม่สนหรอกว่าจะได้กลับไปโลกเดิมหรืออยู่โลกนี้อีกนานแค่ไหน’

‘แต่ไอ้ศิลาคำสาปห่าพวกนั้น มันต้องไม่อยู่ดี’