ชาย-ชาย,แฟนตาซี,แอคชั่น,ผจญภัย,ตะวันตก,ทะลุมิติ,คอมเมดี้,บู๊,พระเอกเทพ,ตัวร้าย,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
หลังบิทเทอตอบรับข้อเสนอสุดแปลกประหลาด พวกเขาต่างแยกย้ายไปรับผิดชอบหน้าที่การงานของตนเอง ตกลงกันไว้ว่าค่อยมาคุยเรื่องนี้ต่อตอนเวลาว่างก็ไม่สายไป จนมาถึงเย็นวันหนึ่ง ฮันเตอร์หนุ่มได้ตัดสินใจมาบ้านคาเลนเพื่อหารือเรื่องแท่นศิลาคำสาปอีกครั้ง
ชายผมยาวดำเปิดประตูออกมาต้อนรับอย่างแปลกใจ เพราะทีแรกเขากะจะเป็นคนไปคุยกับอีกฝ่าย แต่ท่าทางนักล่าเสพติดภูตดูจะตื่นเต้นกับข้อเสนอเลยมาหาเขาซะเอง
“ท่าทางนายจะสนใจข้อเสนอฉันเอามากๆ เลยนะ”
“ก็ใช่”
‘การที่ผมตัดสินใจทำเรื่องนี้มันไม่ง่ายเลยที่จะสำเร็จ ดีไม่ดีเปอร์เซ็นต์ที่สำเร็จจะน้อยกว่าจนริบหรี่ด้วยซ้ำไป การพึ่งพระเอกย่อมเป็นตัวที่ดีเสมอ’
คนเป็นเจ้าบ้านเดินไปหย่อนตัวนั่งลงในห้องรับแขก บิทเทอสาวเท้าตามถึงกับชะงักไปเมื่อเห็นข้าวของมากมายที่วางอยู่บนโต๊ะเตี้ย ไม่ว่าจะเป็นหนังสือ เอกสาร และจานอาหารใส่พาสต้าราดซอสเนื้อส่งกลิ่นหอมกรุ่นอ่อนๆ คุณพระเอกเห็นแบบนั้นพลันขมวดคิ้วมองอีกฝ่าย
“ทำไมมันรกขนาดนี้…”
ปกติบิทเทอคงไม่พูดเสียมารยาท แต่เพราะเป็นคาเลนจึงกล้ากล่าวออกมา
“ทำงานก็ต้องเปลี่ยนบรรยากาศบ้างสิ เอาแต่อุดอู้อยู่ในห้องมันก็ไม่ดีหรอกหน่า~”
สายตาฮันเตอร์หนุ่มเลื่อนมองจานอาหารอย่างขุ่นเคือง คาเลนถึงจะสังเกตได้ว่าอีกคนรู้สึกไม่ชอบใจกับการกระทำตน แต่เขาเลือกไม่แยแสปฏิกิริยานั้น แล้วยังมีหน้ามาใช้ส้อมม้วนเส้นพาสต้าเข้าปากต่ออีก
“อยากกินด้วยเหรอ?”
“นี่มันห้องรับแขก”
“แต่นี่มันบ้านผมครับ คุณฮันเตอร์เจ้าระเบียบ” บิทเทอถอนหายใจ ก่อนคาเลนจะยิ้มแล้วพูดชักชวน “กินมั้ยล่ะ? ฉันทำไว้เยอะอยู่นะ”
“ไม่จำเป็น”
โครกกก….
ปฏิเสธไม่ทันขาดคำเสียงท้องร้องก็ดังขึ้น คราวนี้ไม่ได้มาจากหนุ่มทะเล้นแต่เป็นหนุ่มผมบลอนด์ขาวที่ทอดสายตามองด้วยสีหน้าบึ้งตึง จากนั้นชายผมยาวดำมัดม้วนต่ำจึงเผยยิ้มอย่างขบขันเย้าแหย่
“คงไม่มีเหตุผลที่ต้องปฏิเสธแล้วนะ บิทเทอ”
จากนั้นทั้งสองคนจึงกินมื้อเย็นด้วยกันโดยปริยาย คาเลนกินไปพลางอ่านเอกสารกับหนังสือ บิทเทอพยายามจะไม่ใส่ใจในการกระทำนั้น แต่ไม่พ้นสายชายผมยาวดำที่นั่งตรงข้ามกลอกตามองแฝงความขบขัน
‘อาจจะดูไม่ค่อยออก แต่บิทเทอออกแนวเจ้าระเบียบ...นิดหน่อย? เขาไม่สนหรอกว่าผมกินอาหารห้องไหน ตรงไหน แต่เขาสนเพราะผมกินอาหารไปด้วยอ่านเอกสารไปด้วย แบบไม่กลัวว่ามันจะตกใส่เอกสารมั้ยต่างหาก แต่นั่นก็ไม่เป็นปัญหาอะไร’
‘ยังไงพระเอกคนหล่อคนนี้ก็ไม่ใช่คนที่ชอบบังคับเรื่องไม่เป็นเรื่องแค่นี้หรอก’
“เอกสารพวกนั้นเกี่ยวกับแท่นศิลาคำสาปเหรอ?”
บิทเทอถามแล้วส่งเส้นพาสต้าม้วนเข้าปาก
“ใช่ แอบไปไถ่ข้อมูลมานิดหน่อยน่ะ”
คาเลนเลือกผละสายตาจากหน้ากระดาษแล้วกินอาหารต่อ อีกอย่างคือจะได้สนทนากับชายตรงหน้าถนัด “อยากบอกอะไรในฐานะฮันเตอร์มั้ย?” และคำถามนั่นทำคนฟังเงียบไปขณะหนึ่ง
“นายเป็นพวกชอบโดนสั่งสอนรึไง?”
“ถ้าบิทเทอ โลฮาสเป็นคนเฆี่ยนตีสั่งสอนก็น่าสน”
ชายผมยาวดำว่าแล้วยักคิ้วหลิ่วตาใส่อย่างหยอกล้อ ทำคู่สนทนาถอนหายใจออกอย่างอิดออด แต่ก็ไม่วายแอบตงิดใจกับว่า ‘เฆี่ยนตี’
“ศิลาไม่ได้อยู่ในสถานที่ที่หาได้ง่าย พลังของมันคาดเดาได้ยาก ขอบเขตคำสาปของแท่นศิลาคำสาปกว้างแค่ไหนไม่มีใครรู้ เพราะงั้นถ้านายคิดจะไป ก็อย่าไปสู้จนตายแบบโง่ๆ แล้วกัน” บิทเทอเงียบไปเพื่อเคี้ยวอาหารก่อนจะพูดต่อ “อีกอย่าง นายรู้ได้ยังไงว่าถ้าทำลายศิลาพวกนั้นแล้วจะไม่เกิดเรื่องอันตรายตามมา”
“เรื่องนั้นฉันไม่แน่ใจ แต่ถ้าทำลายศิลานั่น คำสาปที่ทำให้เกิดโรคสาปกายศิลาจะหายไป”
บิทเทอได้ยินแบบนั้นจึงมองนิ่ง “ไปเอาข้อมูลแบบนั้นมาจากไหน?”
‘อย่างน้อยเขาก็ควรรู้เรื่องนี้ไว้เพื่อความสะดวกในการไปถึงเป้าหมาย จริงๆ ตามเนื้อเรื่องเดิมของนิยายแล้ว บิทเทอไม่มีทางจะรู้เรื่องนี้ได้ในช่วงต้นเลย แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แล้ว เพราะผมกำลังจะสปอยล์นิยายให้พระเอกฟัง(?)’
“ตามนั้น” คาเลนเอ่ยพลางเลื่อนหนังสือที่วางอยู่ข้างตนเองให้อีกคน บิทเทอหยุดทานอาหารแล้วรับมาทันที สายตาค่อยๆ กลอกอ่านอย่างพินิจ ส่วนคาเลนทานพาสต้าซอสเนื้อรอจนกว่าคู่สนทนาอ่านจบ
“ฉันเข้าใจแล้ว”
หลังจากที่เงียบมาพักหนึ่งบิทเทอก็ส่งหนังสือคืนให้
“แต่ก่อนที่จะทำให้สิ่งที่นายพูดเป็นจริงได้ นายคงตายก่อน”
“อย่าแช่งกันสิ~ เกิดฉันกลัวจนฉี่ราดระหว่างกินอาหารฉันจะโทษนาย”
“ฉันต้องสน?” บิทเทอเลิกคิ้วมองกลับแล้วทานพาสต้าต่อ ส่วนทางด้านคาเลนที่ทานจนหมดจึงหยิบหนังสือเล่มนั้นขึ้นมาอ่านต่อ ครั้นฮันเตอร์หนุ่มกลืนเส้นพาสต้าเสร็จจึงเอ่ยกำชับ หวังเตือนสติและบอกให้อีกฝ่ายรู้ตัวว่ากำลังจะวางแผนทำอะไร
“เรื่องนี้มันไม่ได้จัดการได้ง่ายขนาดนั้น”
“แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้”
“เอาอะไรมามั่นใจ”
“เพราะฉันมีนายอยู่ไงล่ะ บิทเทอ” คนทะเล้นพูดออกมาหน้าตาเฉยเหมือนไม่ได้ผ่านการไตร่ตรองด้วยซ้ำ พลันทำคู่สนทนาถึงกับนิ่งไปแป๊บนึง ก่อนจะกระแอมเสียงแก้อาการกระด้างประหลาด
“ยะ...ยังไง นายก็ต้องรักษาคำสาปฉันด้วย”
คาเลนช้อนนัยน์ตาสีน้ำตาลมองกลับพร้อมเชิดมุมปาก “ฉันไม่ลืมข้อตกลงของเราหรอก เพราะนายน่ะสำคัญที่สุด” ยิ่งได้ฟังคำพูดคำจาจากชายผมดำยาว คล้ายว่าบิทเทอรู้สึกระคายแปลกๆ เหมือนใครเอาขนนกมาจั๊กจี้ใจอย่างไงอย่างงั้น
หลังพวกเขาทานอาหารมื้อเย็นเสร็จ การหารือจึงเริ่มกลับสู่ความจริงจังอย่างที่ควรเป็น แต่ระหว่างคุยก็มีหยอกเล่นบ้างตามประสาอัธยาศัยของคาเลน
โอ๊ะ…
ชายผมยาวดำอ่านหนังสือไปเรื่อยๆ จนสายตาสะดุดเข้ากับเนื้อหาบางอย่าง เขายกมือขึ้นทำท่าเหมือนจะหาอะไรมาเขียนแต่ก็ไม่มี จนเผลอหลุดปากพูดออกไปโดยไม่รู้ตัว
“บิทเทอ ขอปากกาไฮไลท์หน่อย”
“ปากกา...ไฮไลท์?”
‘เอ่าเวร! ลืมตัวไปได้ยังไงเนี่ย ทำไมแกสมองกลวงแบบนี้ห้ะ!?’
คาเลนเพิ่งจะนึกได้เลยตบหัวเองเบาๆ “เอ่อ...ช่างมันเถอะ แต่ดูนี่สิ บางทีถ้านายอ่านตรงนี้น่าจะรู้ว่านี่มันอยู่ที่ไหน” ว่าจบก็หมุนหนังสือหันไปทางบิทเทอพร้อมกับชี้ไปตัวอักษรที่เขาหมายตาไว้
“ ‘รูปปั้นตั้งกลางสวนหญ้าล้อมด้วยร่องน้ำกว้างเป็นวงกลม ทำไมสิ่งก่อสร้างประหลาดถึงได้อยู่กลางสวนร้างกัน?’ ” บิทเทออ่านทวนพร้อมพินิจไปด้วย
“นายรู้สินะว่ามันคือที่ไหน”
“พอเดาได้ ถัดจากเขตที่ฉันรับผิดชอบ นายน่าจะจำได้ว่ามันมีแม่น้ำไหลผ่าน”
“จำไม่ได้”
ฮันเตอร์จากใบหน้าเฉยก็เปลี่ยนมองค้อนใส่ ท่าทีนั้นทำคาเลนหัวเราะฝืดออกมา “ฉันไม่ได้จะพูดกวนนายนะ แต่ฉันจำไม่ได้จริงๆ เลยพูดแบบนั้นต่างหาก” ชายผมบลอนด์ขาวพ่นลมหายใจแล้วอธิบาย
“ในบันทึกไม่บอกว่าอยู่ที่ไหน แต่พอประมาณว่าอยู่ไม่ไกลจากเขตนี้เท่าไร ดังนั้นแม่น้ำสายยาวที่ผ่านเมืองนี้คงยาวจนไปถึงสวนร้างนั้นด้วย”
“นายเคยไปเหรอ? สวนร้างนั่นน่ะ”
“สวนร้างที่มีน้ำไหลรอบสวนน่ะมันมีไม่กี่แห่งหรอก นอกจากว่ามันจะเป็นที่ที่ฉันไม่รู้จักจริงๆ ”
‘ตามนิยายบิทเทอเป็นคนมีแผนแต่เป็นพวกไม่ค่อยพูด กว่าจะปริปากบอกก็ตอนทำทุกอย่างเสร็จไปแล้ว ผมไม่แน่ใจว่าจะทำให้เขาบอกแผนได้ยังไง นอกจากต้องทำให้หมอนี่ไว้ใจเท่านั้น’
‘หรือไม่ผมก็ต้องเป็นคนคิดแผนเอง แล้วค่อยมาคาดเดาขอบเขตความสามารถเขาเองทีหลัง’
คาเลนได้ยินแบบนั้นถึงกับหลุดขำ “เก่งๆ ความรู้แน่นขนาดนี้อยากได้รางวัลมั้ย~ สนใจเอาผมเป็นของขวัญมั้ยครับ คุณฮันเตอร์~” ชายดำยาวมัดม้วนต่ำพูดเสียงหวานมองด้วยสายตาหยาดเยิ้ม แสดงออกเพื่อหยอกล้ออีกฝ่ายอย่างเคยชิน
“สนใจสิ”
“...”
คาเลนยิ้มค้าง
“เพราะฉันต้องให้นายช่วยแก้คำสาป”
“อ๋อ~ แบบนี้นี่เอง”
‘แม่งใจหายหมด’
คุยกันได้พักหนึ่งคาเลนจึงปิดหนังสือ พร้อมส่งเสียงร้องออกมาคล้ายว่าเพิ่งนึกบางอย่างได้ เขาลุกขึ้นสุดส่วนสูงแล้วเดินตรงไปหยิบเสื้อโค้ทยาวมาสวม บิทเทอมองตามด้วยความสงสัยจึงออกปากถาม
“นายจะไปไหน”
“เราสองคนต้องเดินทางกันยาวๆ เลย อีกอย่างระหว่างทางเราน่าจะเจอภูตด้วย เลยว่าจะหาอาวุธมาติดตัวสักหน่อย” คาเลนเงียบไปพลางยิ้มกระหยิ่มออกมา “หรือคุณจะคุ้มกันให้ผมกันล่ะ?”
“ทำไมฉันต้องคุ้มกันให้นาย”
“ก็~ ฉันมันผู้ชายบอบบาง”
นักล่าเสพติดภูตได้คำอธิบายถึงกับมองด้วยสีหน้าไม่เชื่อสุดใจ สายตาเลื่อนมองคนทะเล้นตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างไม่กลัวว่าจะเสียมารยาท เพราะเขารู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่ได้แคร์
“ฉันขอปฏิเสธว่านั่นไม่เป็นความจริง”
“ทำไมล่ะ? คุณฮันเตอร์~”
“นายน่าจะได้เห็นตอนตัวเองต่อยกับภูตพวกนั้นนะ คนบอบบางที่ไหนเข้าไปสู้มันอย่างกับเสือล่ากวาง” คาเลนแอบลอบยิ้มมุมปาก ไม่ปฏิเสธเพราะรู้ดีว่าที่อีกฝ่ายกล่าวนั้นเป็นความจริง คนสติดีที่ไหนเขาเข้าไปสู้กับภูตแบบนั้น
แต่เขาไม่ใช่...
‘เพราะคนอย่างผมมันเท่อะครับ~’
“ยืนแข็งเป็นท่อนไม้ทำไม จะไปก็ไปสิ” บิทเทอว่าพลางสะบัดเท้าเตะหน้าแข้งชายผมยาวดำเบาๆ คนโดนเร่งสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะหันมายิ้มแห้งๆ ตามฉบับคนกวนประสาท
“แฮะๆ ไปกันเถอะ”
ฮันเตอร์หนุ่มถอนหายใจอ่อนเดินต่อโดยไม่แยแส
เมื่อออกมาจากบ้าน คาเลนก็นำทางไปยังสำนักงานแอนนาลิสท์ที่เขาทำงานอยู่ ภายนอกเป็นสถาปัตยกรรมหินปูนขาวขุ่นสูง สายตาบิทเทอจับจ้องมองสถานที่ตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจก่อนจะออกปากถามไปทันที “นายมาที่นี่ทำไม หรือมีอารมณ์อยากทำงานต่อ”
คนถูกถามได้ยินแบบนั้นถึงกับหัวเราะร่าออกมา
“นายเห็นฉันขยันขนาดนั้นเล๊ย?”
“งั้นมาทำไม”
คาเลนหรี่ตายิ้มแฝงนัย “มาเอาของขวัญน่ะ”
“ของขวัญ? เวลาแบบนี้เนี่ยนะ”
“งั้นเข้ามาดูด้วยกันมั้ยล่ะ~”
บิทเทอนิ่งคิดก่อนจะพยักหน้ารับ คนนำมามองอย่างพอใจก่อนจะสาวเท้านำเข้าสำนักงานทันที ภายในมีแต่โต๊ะทำงานไร้คนนั่ง คงเพราะเลยเวลาเลิกงานไปแล้วจึงมีคนอยู่ที่นี่จนนับนิ้วได้ คาเลนเลือกที่จะไม่ทักทายใคร นอกจากเขาไม่อยากจะรบกวนคนอื่นๆ อีกอย่างคือเขาไม่ได้มีธุระกงการอะไรกับคนเหล่านั้นด้วย
หนุ่มผมยาวดำเปิดประตูมายังห้องแยกอีกห้องหนึ่ง ปรากฏร่างชายคนหนึ่งนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะเล็กๆ สายตาปรายมองคนมาเยือนแค่แวบเดียว ก่อนจะพูดออกมาด้วยท่าทางเป็นกันเอง
“หว่า~ อย่าบอกนะว่านายพาสาวที่แอบคบมาแนะนำ—”
“อะแฮ่ม!”
คาเลนกระแอมเสียงขัดเพื่อนร่วมงานอย่าง ‘เรบิน’ ทันท่วงที อีกฝ่ายเลิกคิ้วก่อนจะเหลือบมองดีๆ จึงเห็นว่าบิทเทอยืนอยู่ข้างหลังเยื้องจากคาเลนไปเล็กน้อย เขาถึงกับนั่งนิ่งทื่อไปเพราะตนเผลอเสียมารยาทใส่อย่างไม่ได้ตั้งใจ
“เรบิน เอาของฝากของฉันมาให้หน่อย”
“ดะ ได้”
เรบินรับคำมาด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก ร่างโปร่งลุกไปดูตู้สูงที่เก็บข้าวของต่างๆ ไว้เป็นชั้น ไม่นานก็หยิบเอากล่องไม้ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าออกมายื่นให้ คาเลนรับมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ก่อนอีกฝ่ายจะกระซิบพูดกับเขาพอให้ได้ยินแค่สองคน
“ไปพาคนดังที่ไหนมาเนี่ย!”
“ทำไม อยากขอลายเซ็นรึไง”
“ใช่ที่ไหน! หัวใจฉันแทบวายเพราะแก—”
“ขอบคุณที่เอาของฝากให้นะครับ~” คาเลนตัดบทรับของมาแล้วเดินออกจากห้องไปพร้อมกับบิทเทอทันที เรบินได้แต่มองตามอย่างฉงนงงก่อนถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา
“เจ้าบ้านั่นกวนประสาทชะมัด”
ทางด้านชายหนุ่มทั้งสองพอเดินออกมาจากสำนักงาน บิทเทอเลยออกปากถามด้วยความใคร่รู้ “ของฝากที่ว่านั่นคืออะไร” คนถูกถามไม่พูดอะไรเลือกที่จะหยุดฝีเท้าตรงหน้าสำนักงาน เขาเปิดฝากล่องไม้ออกแล้วยื่นให้บิทเทอดู จึงเห็นว่าด้านในคือกริชใส่ฝักหนังไว้อย่างดี
“นี่อาวุธของนายเหรอ?”
“ใช่ ฉันบอกเลยว่ากริชนี้มีความพิเศษ”
“ยังไง”
“เพราะมันมีผมเป็นเจ้าของยังไงล่ะ”
“...”
แม้ว่าชายหนุ่มจะส่งมุกหยอกเล่นมา แต่บิทเทอยังคงแสดงท่าทีสุขุมหรี่ตามองอย่างขุ่นมัวใจ พินิจหาเหตุผลว่าทำไมเขาถึงเลือกเอาอาวุธนี้มา คาเลนสังเกตเห็นท่าทีนั้นก็ยิ้มให้อย่างมั่นใจ
“ไม่ต้องห่วง เห็นแบบนี้แต่ฉันไม่คิดจะเป็นตัวถ่วงนายหรอก บิทเทอ”