ชาย-ชาย,แฟนตาซี,แอคชั่น,ผจญภัย,ตะวันตก,ทะลุมิติ,คอมเมดี้,บู๊,พระเอกเทพ,ตัวร้าย,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
TW :: Trafficking (การค้ามนุษย์) / Emesis (อาเจียน) / Misogyny (การเหยียดผู้หญิง)
‘อาร์ลีน’ หญิงเลอโฉมโดดเด่นแต่ไร้ค่า ด้วยตำหนิใหญ่หลวงเธอนั้นคือชาติกำเนิดอันเป็นทาสจากแดนสงคราม จึงง่ายดายนักที่นางจะถูกนำมาตีราคาในการแย่งชิง ไม่ว่าชาวบ้าน อัศวิน ขุนนางหรือเศรษฐี หากได้บังเอิญเห็นค่าหน้าค่าตานี้เข้าก็ต่างพากันหลงใหลโงหัวไม่ขึ้น เมื่อขายออกจึงพ้นจากทาสกลายเป็นนางบำเรอผู้นำตระกูลเอิร์ล
‘ตุ๊กตาบำเรอ’ ฉายาที่ถูกตั้งให้
ภาพความทรงจำเหล่านี้แล่นวนเวียนอยู่ในหัวคาเลนบ่อยครั้ง เกิดอย่างควบคุมไม่ได้ และง่ายที่จะทำให้เขาประสาทเสียกับสิ่งที่รับรู้ โดยเรื่องราวทั้งหมดถูกส่งมายามเขาหลับใหล
ตอนนี้มันกำลังจะเริ่มฉายหนังชีวิตต่ออีกครั้ง….
เวลากลางวันภายในห้องกว้าง อาร์ลีนนั่งเย็บปักผ้าเช็ดหน้าอยู่ริมหน้าต่างอย่างประณีต นัยน์ตาสีฟ้าสวยกลมโตจดจ่อกิจกรรมตรงหน้า มือบางค่อยๆ บรรจงถักทอด้ายบางสร้างลวดลายทีละนิด นี่คงเป็นงานอดิเรกเดียวที่เธอสามารถทำเพื่อคลายเครียดได้
บัดนี้ชีวิตของอาร์ลีนแทบไม่เรียกชีวิตอีกต่อไป หญิงสาวเสมือนนกงามถูกขังในกรงประดับสวน ผู้คนเดินมาชมดูเล่นยามว่าง ครั้นสนุกสนานพอแล้วก็ผ่านจากไป
ดังนั้นตอนนี้เธออาจจะไม่ใช่มนุษย์…
‘เป็นเพียงเครื่องประดับมีชีวิต’
นั่นคือสิ่งที่อาร์ลีนคิดขึ้นมา ณ ตอนนั้น
‘ไบรตัน’ สกุลตระกูลเอิร์ลซึ่งรับหญิงสาวเลอโฉมเข้ามา หากความเพ้อฝันเชลยยังไม่สลายสิ้น เธอคงเชื่อตามเทพนิยายแสนสวยงามเพื่อปลอบขวัญตน ‘ขุนนางสูงส่งบังเอิญพบรักกับสามัญชนหญิงตกอับ ฟันฝ่าอุปสรรค จากนั้นแต่งงานครองรักกันอย่างมีความสุข’ แต่เรื่องเล่าก็เป็นเรื่องเล่าวันยังค่ำ
ในความเป็นจริง ชายผู้ซึ่งเป็นเจ้าของชีวิตนางได้ตบแต่งกับเลดี้ฐานันดรใกล้เคียงก่อนแล้ว เช่นนั้นการพาเชลยเข้าบ้านย่อมสร้างความไม่พอใจคู่ครองเป็นแน่ เขาหาได้ใส่ใจ จากนั้นทดลองใช้งานอาร์ลีนดั่งสิ่งของหรือเครื่องบำบัดใคร่ บุรุษชนชั้นสูงลุ่มหลงอย่างหนัก กระนั้นเชลยสาวทราบดีว่ามันไม่ใช่รัก…
เป็นเพียงความโปรดปรานต่อตุ๊กตาบำเรอ
ผู้นำตระกูลไบรตันชอบพอนางจนทำบางอย่างสุดเหี้ยมหาญ ขณะเดียวกันก็สร้างอารมณ์คุกรุ่นให้ภริยาตน โดยเขาตัดสินใจนำชื่อ ‘อาร์ลีน’ ตั้งชื่อเมืองที่ตนเองปกครอง หนำซ้ำเหล่าชายชนชั้นสูงซึ่งเทิดทูนในความสวยทาสจากแดนสงคราม ต่างพากันเห็นดีเห็นงามอย่างไร้เหตุผล
แม้ความหลงใหลจะเคยท่วมท้นมากเพียงใด
เช่นนั้นกลับหลีกหนีความจริงไม่ได้ว่า ท่านชายตระกูลเอิร์ลเริ่มเบื่อหน่ายเธอแล้ว ถึงอาร์ลีนจะมีใบหน้างดงามแต่เมื่อถูกครอบครองเป็นเวลานาน เจ้าของย่อมเกิดความจำเจ สำหรับเธอแล้ว มันไม่ใช่เรื่องน่าเจ็บปวดใจเลย ออกจะดีด้วยซ้ำที่ไม่ถูกรั้งตัวไปทำเรื่องอย่างว่า ไม่ต้องสวมเสื้อผ้าบางอวดเรือนร่าง
ตอนนี้เธออยู่ในที่ของตนเองอย่างสงบ ไม่พบปะกับใครทั้งสิ้นหากว่าไม่จำเป็น บางทีนี่คงเป็นสิ่งที่อาร์ลีนพึงพอใจที่สุดตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ก็เป็นได้
แต่มันไม่ง่ายเช่นนั้น….
อ่อก! แค่กๆ ๆ ๆ
หลังรับประทานอาหารกลางวันไป นางบำเรอตกกระป๋องเกิดคลื่นไส้อาเจียนใส่กระโถน สิ่งที่พบไม่ใช่แค่เศษอาหารที่ทานเข้าไป แต่ส่วนแปลกปลอมบางอย่างในนั้นคือ ‘แมลง’ รูปร่างของมันประหลาด จะเหมือนผึ้งก็ไม่เชิง จะเหมือนต่อก็ไม่ใช่
เธอมองค้างอยู่อย่างนั้นสักพัก แต่เลือกละความสนใจจากมัน ไม่เรียกแพทย์และอยู่ในห้องตนเองต่อไป อาการหลายๆ อย่างเริ่มตามมา ร่างกายเย็นแต่ศีรษะกลับร้อนจนมีเหงื่อซึม เพียงขยับปลายนิ้วยังยากลำบาก ฉะนั้นคงไม่ต้องพูดถึงการลุกจากเตียงนี้ไป
ไม่นานจากนั้นอาร์ลีนจึงสลบ แล้วตื่นขึ้นมารับฟังข่าวร้าย
“เธอติดพิษจากแมลง เธอกำลังจะตาย”
“...งั้นเหรอคะ”
หญิงรูปงามยังคงมีสีหน้าหมองหม่นอย่างเดิม ไม่ได้แสดงความเสียใจหรือทุกข์ร้อนออกมา นอนอยู่นิ่งๆ ไม่ร้องขออะไรรวมถึงการรักษา คลับคล้ายต้องการรอความตายเท่านั้น
และเมื่อเธอได้ตายไป...
ร่างนางเชลยบำเรอจึงถูกนำเอาไปฝังไว้ในสวนร้าง มันตั้งอยู่ท่ามกลางป่าใหญ่ห่างออกจากเมืองพอควร หลายต่อหลายคนมองว่าเธอตายไปอย่างไร้ค่าและถูกเมินเฉย แต่แท้จริงแล้ว นั่นเป็นคำร้องขอหญิงสาวเอง ก่อนสิ้นลมหายใจนางได้กล่าวไว้กับชายผู้เป็นเจ้าของชีวิต
“ฉันไม่ต้องการหลุมศพ ไม่ต้องการอนุสรณ์”
“ขอที่ที่สงบห่างไกลจากผู้คนเท่านั้น”
อาร์ลีนกล่าวเช่นนั้นและตายไป
เมื่อโลงศพส่งมาถึงสวนร้างแห่งนี้ จึงถูกฝังลงกลางทุ่งดอกไฮเดรนเยียบานสะพรั่งตามฤดูกาล ไม่มีใครดูแลคอยตัดแต่งพวกมันเลย จึงทำให้ไม้ดอกไม้ประดับพวกนี้ขึ้นรกไปทั่ว
ในวินาทีที่ทุกคนฝังเธอเสร็จและจากไป ทิ้งไว้เพียงแค่บรรยากาศเงียบเหงาวังเวง เสียงอาร์ลีนก็ดังก้องในหูคาเลนผู้ซึ่งรับชมภาพจำเหล่านี้ เธอไม่ได้ตัดพ้อถึงชีวิตตนเอง
แต่มันคือ…คำสาปแช่ง
‘ขอสาปแช่งให้ชีวิตเขามีเพียงความโศกเหมือนฉันชั่วกัปชั่วกัลป์ ไม่อาจหาความสุขสันต์ ไม่อาจจะหลบเลี่ยงความเจ็บปวดทั้งปวง และไม่อาจจะได้รับความตายที่สงบสุข’
‘พวกเขาไม่ควรค่าแก่การ ‘ตาย’ และไม่ควรค่าแก่การ ‘มีชีวิต’ อย่างสุขสบาย’
หลังจากนั้นทุกอย่างจึงเงียบไป หลงเหลือแค่บรรยากาศสงบปลอดโปร่งปราศจากการถูกเพ่งเล็ง สวนดอกไฮเดรนเยียกว้างขวางเอนไหวตามสายลมพัดผ่าน คล้ายว่ากำลังคอยปลอบประโลมการจากไปของอาร์ลีนเงียบๆ
‘ความเศร้าโศก นั่นคือสิ่งที่เธอเป็น’
คาเลนตื่นขึ้นมาพร้อมกับอาการปวดหัวหนัก คราวนี้เป็นโชคดีที่เขาไม่ได้โดนเจ้าของชื่อคำสาปหลอนประสาทมากเหมือนครั้งก่อนๆ แต่ยังได้ยินเสียงแมลงกระพือปีกและเสียงสะอื้นเธอดังอื้ออึงอยู่ ช่วงแรกเขาทั้งรำคาญปนหงุดหงิดไม่น้อย แต่ผ่านไปพักหนึ่งก็พอยอมรับได้บ้าง
‘ตั้งแต่โดนคำสาปอาร์ลีนเล่นงาน ผมก็ได้รู้เรื่องราวหลายๆ อย่างเกี่ยวกับเธอ แต่มันไม่ใช่แค่การล่วงรู้ความทรงจำเท่านั้น เธอน่ะตามหลอกหลอนและปั่นประสาท ซึ่งเป็นธรรมดาของคำสาปย้อนกลับใส่คนเรียกชื่อ ปกติผมคงจัดการได้ แต่นี่มันคำสาปของแท่นศิลาคำสาป’
‘ดังนั้น มันไม่ง่ายเลยที่ผมจะรับมือกับมัน’
‘เอ่อ แต่เรื่องนั้นช่างก่อนเถอะ เพราะตอนนี้น่ะ...’
คาเลนเลื่อนสายตามอง ค้นพบว่าตัวเองนอนกอดบิทเทอจากข้างหลัง เขาค้างอยู่ท่านี้มาพักใหญ่พลางกะพริบตามองปริบๆ อย่างไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าตัวเองนอนสบายอีท่าไหนถึงได้มากอดคุณพระเอก แต่น่าแปลกคืออีกคนไม่ยักปัดมือตนออก
ชายผมดำยาวค่อยๆ เขยิบเข้าใกล้พร้อมพิงศีรษะลงบนท้ายทอยชายตรงหน้า ได้ยินเสียงลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะ น่าแปลกกว่านั้นคือพระเอกมักจะมีออร่าคำสาปอยู่รอบตัวเสมอ แต่ตอนนี้สิ่งเดียวที่เขาสัมผัสได้มีเพียงไออุ่นส่งออกมา
‘เอาไงดีล่ะ ไหนๆ ก็ไหนแล้ว ...ขออยู่แบบนี้ต่ออีกหน่อยแล้วกัน โอกาสที่จะให้คุณพระเอกขี้หวงตัวมาอยู่ในอ้อมแขนมันไม่ใช่ง่ายๆ เลย เพราะถ้าเห็นแววอันตรายค่อย—’
“...”
ขณะสำราญกับการได้ใกล้ชิดหนุ่มผมบลอนด์ขาว พอเงยหน้ามองขึ้นมาอีกก็เห็นสายตาคู่หนึ่งจับจ้องมาที่ตนก่อนอยู่แล้ว ไม่ใช่ใครเลยแต่เป็นพระเอกซึ่งถูกกอดนั่นเอง เพิ่มเติมคือเหลียวกลับมาเพ่งสายตาพิฆาตใส่คาเลนอย่างกินเลือดกินเนื้อ
พริบตาเดียวไออุ่นนั้นหายวับกลายเป็นมวลอากาศหนาวเหน็บยันกระดูก
‘โอเค อันตราย อันตรายมากๆ ๆ ๆ ’
“แฮะๆ ”
คนทะเล้นซึ่งไม่รู้ว่าจะแก้สถานการณ์ได้ยังไง เพราะตนถูกจับได้แบบคาหนังคาเขาคาตาขนาดนี้ จึงเลือกหัวเราะกลบเกลื่อนไป ก่อนบิทเทอจะออกปากบอกปนสั่งมา
“ปล่อยสิ”
“ได้เลยค้าบ~”
สิ้นเสียงคาเลนจึงยอมปล่อยมือจากรอบเอวของอีกฝ่าย จากนั้นส่งยิ้มยียวนเผื่อว่าบรรเทาหนักเป็นเบาได้บ้าง ฮันเตอร์เปลี่ยนท่าลุกนั่งเอนแผ่นหลังพิงหมอน นัยน์ตาสีฟ้าใสจับจ้องมองอีกคนด้วยความขุ่นเคืองใจ
“ไม่คิดว่าที่แกทำมันแปลกรึไง”
‘แปลกเหรอ? เป็นคำที่ไม่ได้ยินนานเลยแฮะ แต่พอนึกไปนึกมามันก็ไม่แปลกที่หมอนี่จะถามแบบนี้ บิทเทอยังคงเป็นคนยุคก่อน แต่ผมไม่ใช่... เลยมีหลายครั้งที่ผมลืมไปว่าที่ที่ผมอยู่ ยังไม่มีการยอมรับในหลายๆ เรื่อง ทั้งเรื่องการกดขี่เพศหญิง สังคมชายเป็นใหญ่ อำนาจซึ่งกระจุกอยู่ที่พวกขุนนางชนชั้นสูงนั่น หรือความหลากหลายรสนิยมทางเพศอย่างเกย์ เลสเบี้ยน ไบเซ็กชวล แล้วอะไรต่อมิอะไร ผมพูดได้เต็มปากว่ามันมีความล้าหลังเต็มไปหมดอะนะ’
‘และนั่นมันทำให้ผมรู้สึกขัดใจ จนอยากจะเป็นคนเอาแต่ใจ’
“โทษทีนะ ฉันคงรัดแน่นไปจนนายนอนไม่เต็มอิ่มสินะ”
คาเลนตอบกลับไปพลางหัวเราะเบาๆ ทำทีว่าไม่ใส่ใจเหตุการณ์ก่อนหน้า บิทเทอเห็นแบบนั้นก็ไม่ได้ถามอะไรกลับ เพียงแค่ทอดสายตามองอย่างใช้ความคิด ปราศจากการถือโทษโกรธคนทะเล้น
‘ไม่ได้บอกว่าไม่อยากให้ทำสักหน่อย ไอ้โง่’
ฮันเตอร์หนุ่มนึกคิดแบบนั้น ก่อนหนุ่มผมยาวดำจะลุกจากเตียงตรงไปยังโซฟา เขาชะโงกหน้าดูพบว่าราวินกำลังหลับอยู่ แต่ยังไม่ทันปลุก อัศวินหนุ่มก็ตื่นพร้อมกับยันกายนั่งทันที คาเลนเลิกคิ้วมองอย่างแปลกใจ เพราะการตื่นอีกฝ่ายไม่แสดงอาการสะลึมสะลือแม้แต่น้อย เหมือนคนหลับตาและลืมตาเท่านั้น
“ท่านคาเลนตื่นเช้ามากเลยนะครับ”
“เมื่อกี้นายหลับตาเฉยๆ ”
“หลับจริงๆ ครับ แต่ตื่นมาเพราะท่าน”
คนฟังยิ่งขมวดคิ้วเข้าไปใหญ่ จากนั้นเดินมานั่งเก้าอี้ที่วางข้างหน้าต่างอยู่ตรงข้ามราวิน ประกอบกับมีแสงแดดอ่อนๆ ยามเช้าส่องทอดเข้ามายังด้านใน สร้างบรรยากาศผ่อนคลายแกมอบอุ่น จนเมื่อนั่งได้สักพักเขาจึงเริ่มบทสนทนา
“ราวิน ฉันมีอะไรจะถามนายหน่อย”
“ครับท่าน” ชายหนุ่มรอฟังคำถามอย่างจดจ่อ
“นายรู้เรื่องของอาร์ลีนขนาดไหน?”
ราวินเงียบไปยังไม่ตอบอะไร ส่วนบิทเทอพอตื่นขึ้นก็ลุกจากเตียงไปสูบบุหรี่ตรงหน้าต่าง แม้ว่าเขาจะแสดงท่าทางเหมือนไม่สนใจสองคนร่วมทาง แต่หูยังคงคอยทำหน้าที่สดับฟังบทสนทนา
“ท่านทราบเรื่องราวทั้งหมดแล้วสินะครับ”
“ประมาณนั้น” คาเลนพยักหน้ามองไปอย่างพินิจพิเคราะห์ “บอกมาว่านายมีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับอาร์ลีน”
พระเอกเบือนสายตาออกจากบานหน้าต่าง มองอัศวินหนุ่มที่ตอนนี้กำลังถูกตั้งคำถามและยังไม่ตอบอะไรกลับไป คาเลนเห็นราวินยังคงเงียบจึงพูดต่อ
“นายไม่ใช่คนรักของเธอ ไม่ใช่เพื่อน แต่นายเป็นลูกของอาร์ลีนใช่ไหม?”
ราวินส่ายหน้า “ผมไม่ใช่บุตรอาร์ลีนครับ”
“งั้นมีเหตุผลอะไรที่นายต้องห่วงใย คอยไปเยี่ยมเยียนเธอที่นั่นด้วย”
เขาเงียบไปพักหนึ่ง “ในตอนที่ผมยังเป็นแม่ทัพนำพลทหารออกรบทำสงครามอยู่ หนึ่งในอัศวินทัพผมมี ‘เพรล’ เขาคือบุตรของอาร์ลีน แต่ระหว่างออกรบเขาตายไป ตอนเพรลยังมีชีวิตอยู่ เขาบอกว่าถ้าสงครามจบเมื่อไรก็อยากจะไปเจอแม่ตนเองสักครั้ง”
“เขาร้องขอให้นายไปแทนเหรอ?”
ราวินเงียบหลุบสายตามองลง “เปล่าครับ”
“ผมไปยังที่แห่งนั้นเพื่อเข้าใจเรื่องราวของเพรลและอาร์ลีนทั้งหมด เพราะพวกเขาต่างเป็นเหยื่อจากสงครามที่เกิดขึ้นมา”
คาเลนนั่งพิงพนักมองไปยังคู่สนทนาซึ่งตอนนี้ตอบกลับอย่างเรียบนิ่ง
“นายกำลังจะบอกว่า ‘นายแค่อยากเข้าใจ’ อย่างงั้นเหรอ?”
“ครับ”
‘ผมว่าผมคาดเดาหลายๆ อย่างออกมาดีเท่าที่คิดได้ เพราะในนิยายก็ไม่ได้การพูดถึงประวัติศิลาขนาดนั้น แต่เหมือนว่าผมมองผิดไปหน่อย ราวินเป็นคนที่เอาแต่ใจและขี้สงสัยมากกว่าที่คิด เขาเงียบเพื่อที่จะรับรู้เรื่องราวรอบๆ ตัวเอง ตั้งคำถามแต่ไม่ออกปากให้คนอื่นรู้ว่าตัวเองสงสัย จากนั้นค่อยหาคำตอบเอาเอง’
‘ที่น่าสงสัยคือเหตุผลที่เขาเลือกติดตามผมแค่เพราะ ‘ช่วยปลดปล่อยอาร์ลีน’ แค่นั้นน่ะเหรอ?’
“วันนี้คุณไม่ได้โดนอาร์ลีนหลอนประสาทเหรอครับ”
“อ่า….ไม่ เหมือนวันนี้จะเบามือลงเยอะ”
นักล่าเสพติดภูตสูบบุหรี่ฟังอยู่เงียบๆ ถึงกับขมวดคิ้วเป็นปม แล้วถามขึ้นมาอย่างสงสัย “อาร์ลีน? นายโดนคำสาปนั่นเล่นงานอยู่?” คาเลนหันไปมองคุณพระเอกเหมือนเพิ่งนึกได้ว่าอีกคนอยู่ตรงนี้มาตลอด ตอนนี้จะให้แถคงไม่เนียนแล้วน่ะสิ ฉะนั้นการอธิบายคงเป็นหนทางเดียว ดีกว่าปกปิดจนสุดท้ายก็สร้างปัญหาเปล่าๆ
“ใช่”
“ได้ยังไง เราทำลายศิลาแห่งลาเมนท์ไปแล้วไม่ใช่รึไง?”
“ตอนนี้ฉันโดนคำสาปย้อนกลับอยู่ เพราะระหว่างเราต่อสู้ ฉันเรียกชื่อคำสาปน่ะ แล้วคำสาปทรงพลังมากๆ อย่างแท่นศิลา ถึงถูกทำลายไปก็ยังหลงเหลือคำสาปอยู่ จนตอนนี้ยังมีผลกับฉันน่ะนะ”
รับรู้เช่นนั้นบิทเทอจึงจับจ้องไปยังคนบอกแฝงความไม่พึงใจ
“ทำไมไม่บอกฉัน”
“ฉันคิดว่าอีกไม่นานก็น่าจะแก้ไขมันได้เอง แต่เหมือนว่าตอนนี้มันหนักกว่าที่คาดเอาไว้”
“หมายความว่า ถ้าอาการไม่หนักแล้วนายไม่เผลอหลุดปากออกมา ก็คงเก็บเงียบไปเรื่อยๆ ทั้งที่ระหว่างเดินทางนายยังไม่หายดี?” สุดท้ายก็โดนบิทเทอดุจนได้ คาเลนจากทีแรกที่แสดงท่าทีจริงจังออกมาตอนนี้สีหน้าหงอยลงอย่างเห็นได้ชัด สภาพเหมือนหมาน้อยโดนเจ้าของดุ
“ฉันแค่คิดว่ามันไม่ได้แย่อะไร...”
“อาการแกแย่มากหรือน้อยก็ต้องบอกฉัน เข้าใจมั้ย?”
‘โดนดุใหญ่เลย เอาจริงก็ไม่คิดว่าบิทเทอจะสนใจเรื่องนี้อยู่แล้ว หรือเขากังวลว่าผมจะเป็นอะไรไปจนไม่สามารถช่วยรักษาออร่าคำสาปเขาได้? แต่จะห่วงเพราะอะไรก็ช่างเถอะ…. ได้เห็นคุณพระเอกห่วงออกนอกหน้าแบบนี้มันชื่นใจสุดๆ ’
“ค้าบๆ ๆ อย่าดุผมเลยน้า~”
ชายผมยาวดำตอบกลับโดยบนใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มกว้าง อดไม่ได้ที่จะทำฮันเตอร์หลุดถอนหายใจออกมาอย่างเอือมระอา “แล้วเดินทางต่อได้ใช่ไหม?” บิทเทอถามขณะทิ้งบุหรี่ลงบนชามเขี่ย
“ได้อยู่แล้ว ฉันไม่ใช่ผู้ป่วยติดเตียงสักหน่อย”
“งั้นก็ดี อย่าให้มีเรื่องแบบนี้อีกล่ะ”
“ครับๆ ๆ พ่อทูนหัว~”
บิทเทอบ่นคาเลนอยู่พักหนึ่ง จากนั้นพวกเขาจึงเตรียมตัวเก็บข้าวของต่างๆ เริ่มออกเดินทางต่อไปเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา
สภาพอากาศระหว่างไปยังจุดหมายดูดีเหมือนเคย อาจครึ้มเมฆครึ้มฝนบ้างบางช่วง แต่ก็ไม่ถึงกับน่าเป็นห่วง ทั้งสามเดินทางผ่านแต่ละเมืองโดยใช้เวลาทั้งวัน แวะซื้ออาหารพักเหนื่อยเป็นครั้งคราว จนปัจจุบันมาถึงเมืองสุดท้าย ซึ่งหากผ่านออกมาก็สามารถตรงเข้าป่าไปยังเขาบาฮินตามลำดับเป้าหมายที่วางไว้ได้
“ท่านคาเลน”
“หื้อ?”
เจ้าของชื่อนวดขมับตัวเองด้วยท่าทางเหนื่อยล้าขานกลับ หันมองไปข้างๆ เห็นราวินมองมาด้วยสีหน้าเป็นกังวลเล็กน้อย “เราหยุดเดินทางก่อนมั้ยครับ?”
“คิดเล็กคิดน้อยเกินไปแล้ว ฉันแค่เมื่อยนิดหน่อยเอง”
“....ครับ ถ้าเป็นอะไรต้องบอกผมหรือคุณโลฮาสทันทีนะครับ”
“อืม...”
คาเลนตอบกลับในลำคอ ตอนนี้เขารู้ว่าตัวเองอาการเข้าขั้นว่าย่ำแย่เลยทีเดียว แต่ไม่ปริปากขอความช่วยเหลืออะไรเพราะอีกไม่นานจะถึงเวลาหาที่พักแล้ว
ชายหนุ่มจึงเลือกอดทนเอาไว้ก่อน…
อดทนไว้…
อีกเดี๋ยวก็จะได้… พัก แล้ว
สายตาเริ่มพร่าไหววูบจนมองสิ่งรอบข้างไม่ชัดถนัด ทุกอย่างโงนเงนไปมาชวนคลื่นไส้เหลือเกิน ร่างกายหนักอึ้งราวกับกำลังถูกถ่วงรั้งด้วยหินยักษ์ ลมหายใจร้อนพ่นออกทางปากและจมูกหอบๆ
“คาเลน!”
และเสียงบิทเทอคือสิ่งสุดท้ายที่เขาได้ยินก่อนทุกอย่างจะมืดดับไป