ชาย-ชาย,แฟนตาซี,แอคชั่น,ผจญภัย,ตะวันตก,ทะลุมิติ,คอมเมดี้,บู๊,พระเอกเทพ,ตัวร้าย,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ชายหนุ่มลืมตาตื่นขึ้นรับรู้ได้ว่าร่างตนนั้นหนักอึ้งเหลือหลาย ภาพพร่าๆ ที่ทอดสายตามองตอนนี้คือเพดานห้องขาวหมอง ไม่นานทัศนวิสัยปรับชัดครั้นกะพริบตาอีกครั้งสองครั้ง เขานอนนิ่งครู่หนึ่งก่อนจะกลอกมองรอบๆ ตัว พบว่าราวินนั่งเฝ้าอยู่ข้างๆ เขา
“ฉันสลบไปเหรอ?”
“ครับ”
อัศวินตอบกลับด้วยท่าทีเรียบเฉยเช่นเดิม
“งั้นเหรอ? คงทำเอานายกับบิทเทอลำบากแย่เลยสินะ”
“ใช่ แกทำ”
สิ้นคำพูดนั้นจึงปรายมองตามเสียงอันคุ้นเคย คนกล่าวก็ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นคุณพระเอกซึ่งยืนกอดอกพิงกำแพงฝั่งตรงข้ามเตียงที่เขานอนอยู่ นัยน์ตาสีฟ้าใสฉายแววไม่พึงใจไม่คิดปกปิด คาเลนซึ่งอาการยังไม่คงตัวมากเพียงหลุบมองลงอย่างรู้สึกผิดและเมื่อยล้า
“ขอโทษ”
“...”
บิทเทอไม่ได้ตอบกลับอะไร ถึงกระนั้นถ้าสังเกตจากบรรยากาศอึมครึม เขารู้สึกได้เลยว่าตอนนี้พระเอกกำลังโกรธไม่น้อยเลยทีเดียว
“ครั้งแรกเรื่องคำสาปย้อนกลับ แกไม่บอกฉันแต่ให้รามุสรู้ก็ยังพอให้อภัย แต่คราวนี้แกอาการกำลังแย่ แต่เลือกไม่บอกทั้งหมอนั่นหรือฉัน ปล่อยให้ตัวเองเป็นลมล้มพับไปแบบนั้น… ทำไม? แกอยากตายตั้งแต่ศิลาแรกแล้วรึไง? ไหนล่ะที่บอกว่าดูแลตัวเองได้ไม่เป็นตัวถ่วง”
ราวินได้ยินคำต่อว่าคาเลนก็ไม่ได้ออกปกป้องอะไร เพียงแค่จับสายตามองแผ่รังสีเคืองใจออกมา คนป่วยพิษคำสาปไม่โต้เถียงอะไร เขารู้ความผิดตัวเองดี การพยายามปกปิดมันเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำกับคนร่วมเดินทาง
เพราะมันแสดงถึงความไม่ไว้วางใจ จนในที่สุดก็นำไปสู่การสร้างปัญหาให้ผู้ร่วมเดินทางด้วยกันเอง
‘ผมน่ะเข้าใจที่ราวินเป็นห่วง เข้าใจที่บิทเทอกำลังว่าผมฉอดๆ แต่….ผมรู้’
‘ตามนิยายแล้วบิทเทอแทบจะไม่ใส่ใจในสิ่งที่ไม่จำเป็นกับตัวเอง เขาจะแคร์อะไรก็ตามที่คิดว่าเป็นสิ่งสำคัญเท่านั้น ใส่ใจแบบพอประมาณแต่บางครั้งก็เย็นชา และการเดินทางครั้งนี้มีเราเป้าหมายชัดเจนแล้วเขาก็มีจุดประสงค์ของตัวเองที่เดินทางพร้อมกับผม ดังนั้นผมไม่อยากให้เขากังวลในเรื่องของผมมากจนเกินไป’
‘แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า... สิ่งที่ผมทำตอนนี้มันคือการฝืนตัวเองสุดๆ ’
“เดี๋ยวผมขอตัวไปเอายากับน้ำเช็ดตัวมาให้นะครับ”
ราวินเห็นว่าคาเลนตื่นขึ้นมาอาการยังหนักอยู่ จึงขอตัวออกไปตระเตรียมของจำเป็นให้ ต่อมาภายในห้องจึงเหลือเพียงแค่เขากับบิทเทอสองคน บรรยากาศทุกอย่างนั้นเงียบกดดันอย่างเดิม เจ้าของเรือนผมสีบลอนด์ขาวผละแผ่นหลังจากกำแพงมานั่งปลายเตียง นัยน์ตาสีฟ้าจดจ้องมองเหมือนว่าต้องการคำตอบบางอย่าง
“บอกเหตุผลมาว่าทำไมนายไม่บอกพวกฉัน”
ชายผมยาวดำเงียบไปครู่หนึ่ง “ตอนนั้นฉันคิดว่าอีกเดี๋ยวก็คงหาที่พักอยู่แล้ว ไว้ได้ห้องพักค่อยจัดการอาการทุกอย่างเอาเองน่าจะไหว” พระเอกได้ฟังคำตอบนั้นก็ถึงกับขมวดคิ้วเป็นปม
“นายคิดว่าตัวเองเป็นใคร? ป่วยคำสาปขนาดนี้แต่ยังมาพูดอีกว่าไม่ให้ฉันรู้เพราะเหตุผลเหลวไหลแค่นั้น”
“ฉันเป็นแอนนาลิสท์”
“ขนาดหมอยังชุบชีวิตคนไม่ได้ ดังนั้นต่อให้แกเป็นแอนนาลิสท์หรือฮันเตอร์แกก็ตายได้”
คาเลนอดไม่ได้จนเผลอหลุดยิ้มออกมา ถึงตอนนี้จะโดนดุเป็นครั้งที่สอง แต่ไม่รู้ทำไมมันถึงได้รู้สึกดีแปลกๆ แบบนี้ หรือว่าตอนนี้สมองกับร่างกายเขากำลังทำงานผิดปกติหมดแล้วกันนะ? ชายผมยาวดำหัวเราะเบาก่อนจะถามกลับไป
“พูดมาขนาดนี้? นายจะบอกว่าเป็นห่วงฉันรึไง?”
“ก็ใช่น่ะสิ”
บิทเทอตอบกลับทันทีเสียงดังฟังชัด คนฟังหัวเราะในลำคอก่อนส่งยิ้มเจื่อนกลับ
“ฮ่ะๆ ซาบซึ้งใจจัง~ ชักอยากจะกอดขอกำลังใจนายแล้วสิ”
คุณพระเอกถอนหายใจอ่อน “เอาเป็นว่าจะครั้งนี้หรือครั้งต่อไป ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นนายต้องหัดพึ่งพาฉันบ้าง เข้าใจมั้ย?” คาเลนได้ยินแบบนั้นจึงเผยรอยยิ้มกว้างส่งกลับอย่างปลื้มปริ่ม
‘รู้สึกอุ่นใจชะมัด’
“ได้—-” บิทเทอลุกขึ้นจากปลายเตียงมานั่งข้างๆ จนตอนนี้พวกเขาอยู่ใกล้กันมาก ห่างเพียงแค่หนึ่งช่วงแขนเท่านั้น คาเลนผงะสบตากับคุณพระเอกที่มองมาอย่างเงียบนิ่ง “นี่ อยู่ใกล้ๆ คนป่วยมันไม่ดีมั้งครับ คุณฮันเตอร์”
ฮันเตอร์ยื่นมือมาแตะลำคอเขา แล้วค่อยๆ เลื่อนแตะข้างแก้ม
“เอ่อ...”
“ตัวนายร้อน เพราะงั้นนอนพักซะ”
ว่าจบจึงลุกขึ้นสุดส่วนสูงพร้อมกับส่งยิ้มบางให้จนเห็นลักยิ้มเหนือมุมปากซ้ายอันเป็นเสน่ห์เอกลักษณ์ “ถ้าพรุ่งนี้นายยังไม่หายดี เราจะยังไม่เดินทางต่อ”
“แต่—-”
“นอน อย่าเถียง”
“ครับ”
คนโดนดุยอมนอนนิ่งบนเตียงไม่ขยับเขยื้อนใดๆ คนสั่งเห็นแบบนั้นพลันกระตุกยิ้มอย่างพอใจ ไม่นานราวินก็กลับเข้าห้องมาพร้อมถังน้ำ ผ้าขนหนู และยา คอยดูแลถามไถ่คนป่วยใกล้ชิด กระทั่งชายฝืนสังขารหลับไปด้วยพิษไข้และร่างกายเมื่อยล้า จึงเหลือเพียงบิทเทอกับอัศวินที่ยังคงตื่นอยู่
ขณะนี้ฮันเตอร์ยืนกลางห้องกว้างปรายตามองเฟอร์นิเจอร์จำนวนที่มีไม่มากนัก ข้าวของน้อยชิ้นจัดวางพอสำหรับพักอาศัยเท่านั้น ตอนคาเลนสลบเขารีบมากจนไม่เป็นอันสังเกตอะไรต่ออะไร จึงเพิ่งมารู้ว่าที่ที่เขาพักในคืนนี้เป็นบ้านหลังหนึ่งซึ่งอยู่รอบนอกเมืองพอควร ฮันเตอร์หนุ่มเกิดสงสัยว่าบ้านหลังนี้เป็นของตัวราวินหรือไม่
“คุณหิวมั้ยครับ?”
“ก็หิว”
บิทเทอตอบกลับหันไปมองพบว่าราวินเดินมายื่นถุงผ้าสีน้ำเงินให้ เขาเลิกคิ้วก่อนจะรับมาแบบงงๆ จากนั้นอัศวินหนุ่มก็เดินหายไปอีกห้องหนึ่งหน้าตาเฉย คุณพระเอกมองฉงนก่อนจะเปิดดูถุงผ้า เห็นว่าข้างในมีลูกกวาดแบบเดียวกับที่คาเลนเคยให้เขาระหว่างเดินทาง
“หมอนั่นเป็นอัศวินหรือคนขายลูกกวาดเนี่ย?”
ถึงจะบ่นแบบนั้นออกมา นักล่าเสพติดภูตกลับหยิบของหวานเม็ดพอดีคำโยนเข้าปากไปโดยไม่คิดอะไร ไม่นานราวินก็เดินกลับออกมาพร้อมขวดแก้วเปล่า บิทเทอมองอีกฝ่ายที่ยังคงแสดงท่าทางเรียบนิ่งก่อนจะออกปากถาม
“คุณรู้ว่าคาเลนโดนคำสาปย้อนกลับอยู่แล้วใช่ไหม?”
“ครับ”
“แล้วรู้รึเปล่าว่าคาเลนจะจัดการเรื่องนี้ยังไงต่อ”
ราวินเงียบนิ่งไปครู่หนึ่ง “ผมคิดว่าตอนนี้เขากำลังเตรียมการถอนคำสาปอยู่น่ะครับ ยังไม่ทราบวิธีการเลยเตรียมของที่สั่งไว้ก่อน พรุ่งนี้ท่านคาเลนคงจะบอกเองว่าจะต้องทำยังไงบ้าง”
“งั้นเหรอ…”
พระเอกพยักหน้ามองขวดแก้วเปล่าในมืออัศวิน เดาไว้ว่าอาจจะเป็นหนึ่งในของที่คาเลนบอกให้ราวินเตรียมเพื่อทำการถอนคำสาปก็เป็นไปได้
‘เจ้าบ้านั่นหักโหมตัวเองเก่งจริงๆ เลย… ’
ฮันเตอร์หนุ่มถอนหายใจ ก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟากว้างกลางห้อง ราวินเดินเอาขวดแก้วเปล่าวางไว้บนโต๊ะไม้ จากนั้นตรงไปเปิดตู้หยิบเอาแก้วสองใบและขวดบรรจุของเหลวสีอำพันออกมา บิทเทอนั่งเท้าคางมองไปยังราวินซึ่งก้าวมาหย่อนกายลงบนเก้าอี้ตัวตรงข้าม อีกฝ่ายวางของในมือทั้งหมดแล้วจึงออกปากถามเสียงเรียบ
“ดื่มมั้ยครับ”
คนถูกถามเลิกคิ้วตอบรับอย่างประหลาดใจ “เอาสิ” ราวินจัดการรินวิสกี้ใส่แก้วปริมาณพอๆ กัน ก่อนหนึ่งในสองใบนั้นจะส่งถูกให้ฮันเตอร์หนุ่ม
“เรายังไม่เคยทำความรู้จักกันอย่างเป็นทางการเลยนะครับ คุณโลฮาส”
“นั่นสิ คงเพราะไม่ค่อยมีโอกาสเท่าไร”
อันที่จริงพวกเขาใช้เวลาร่วมกันบ่อยครั้ง แต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่พูดคุยเป็นเรื่องเป็นราวเพื่อทำความรู้จักกันจริงๆ จังๆ เหตุเพราะราวินนั้นเงียบอยู่เสมอ จะออกปากพูดแต่ละครั้งก็ไม่กี่ประโยค ส่วนบิทเทอคอยแต่สังเกตอัศวินคนนี้ส่วนใหญ่ ไม่ได้เข้าเสวนาอะไรมาก
ชายผมบลอนด์ขาวยกจิบของเหลวลงคอ ก่อนจะเปิดประเด็นถาม
“ตอนเจอกันครั้งแรก นายช่วยพวกเราออกมาจากสวนร้างนั่นงั้นเหรอ?”
“ใช่ครับ”
“เป็นยังไง?”
ราวินมองคู่สนทนานิ่ง “ลำบากตอนแบกหามพวกท่านออกมานิดหน่อย แต่อยู่ในช่วงที่สัตว์ป่ากับภูตไม่ออกมา เลยไม่เกิดเรื่องอะไรน่ะครับ”
“ทำไมนายถึงช่วยคนแปลกหน้าอย่างพวกฉันล่ะ?”
“การทิ้งคนไว้กลางป่ามันออกจะเป็นเรื่องที่โหดร้ายไป การช่วยก็ไม่ได้หนักหนาอะไร”
“เหตุผลมีแค่นั้นน่ะเหรอ?”
“ครับ”
บิทเทอหรี่ตามองก่อนจะยกจิบวิสกี้ลงคออีกอึกหนึ่ง นัยน์ตาสีมรกตของอัศวินตรงหน้ายังคงสงบนิ่งตลอดการตอบคำถามและดื่มไปพลาง
‘ถ้าหากว่าไม่ถาม หมอนี่ก็แทบจะไม่บอกอะไรเลย แต่ถึงจะตอบตามคำถาม ทำไมกลับยังรู้สึกตงิดใจได้ขนาดนี้กันนะ?’
เขาได้แต่ตั้งคำถามในใจตนเองอย่างนั้น ไม่รู้ถึงที่มาที่ไปของชายคนนี้เลย ทราบเพียงว่าเป็นอัศวินแปลกหน้าที่ต้องการร่วมเดินทางและติดตามคาเลน การปรากฏตัวโดยให้ความช่วยเหลืออย่างน่าสงสัย คนคนนี้จึงเพียบพร้อมไปด้วยปริศนามากมาย
“ยังไงก็ขอบคุณอีกครั้งที่ช่วยตอนนั้นแล้วกัน”
“ยินดีครับ” ราวินจิบดื่มแล้ววางแก้วลงบนโต๊ะก่อนถามกลับ “ผมมีเรื่องอยากจะทราบน่ะครับ”
“อะไรเหรอ?”
“ท่านร่วมเดินทางครั้งนี้เพราะอะไร?”
“...”
“คงจะเสียมารยาทเกินไปสินะครับ ต้องขออภัยด้วย”
ชายผมบลอนด์ขาวเลือกที่จะไม่ตอบคำถาม เพียงแค่เพ่งสายตามองอัศวินเท่านั้น จากนั้นความเงียบจึงกลมกลืนไปกับบรรยากาศในห้องนี้อีกครั้ง ก่อนถูกทำลายลงด้วยคำถามใหม่จากฮันเตอร์
“เพรล”
บิทเทอสังเกตได้ว่าราวินชะงักไปเล็กน้อยยามชื่อนี้ถูกขาน ฉับพลันอิริยาบถทุกอย่างก็กลับมาเป็นไปตามธรรมชาติอย่างเดิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ทหารคนนี้เป็นหนึ่งในอัศวินทัพนายตอนออกรบสินะ”
“ครับ”
“เขาเป็นคนแบบไหน”
“ทำไมคุณสงสัยในเรื่องนี้เหรอครับ?”
“นายเล่าเรื่องนี้ให้กับคาเลนฟังตอนนั้น พอนึกได้ก็เลยอยากถาม”
ราวินเงียบไปแล้วกล่าวตอบ “เขาเป็นคนคารมดีคอยสร้างสีสันให้เหล่าอัศวินอยู่เสมอน่ะครับ การจากไปของเขาระหว่างการออกรบ ทำอัศวินที่หลงเหลือเครียดและเสียขวัญกำลังใจไม่น้อย พวกเขากล่าวมาเช่นนั้น”
หลังได้รับฟังคำบอกเล่าจากราวินก็เงียบไปไม่ออกความเห็นอะไร บิทเทอไม่ถามคำถามกับชายคนนี้ถึงแม้ว่ามีข้อสงสัยมากมายในหัวก็ตาม เหตุผลเพราะปริศนาเหมือนเป็นสิ่งหนึ่งที่ติดตามตัวราวินราวกับเงายังไงยังงั้น
โฮ่ง!
ฮันเตอร์หนุ่มละความสนใจจากอัศวินหันมองตามเสียง พบว่าตัวส่งเสียงกวนสมาธิเป็นหมาร็อตไวเลอร์โตเต็มวัยนั่งหายใจลิ้นห้อยอยู่ข้างๆ เขา ชายหนุ่มเห็นแบบนั้นเลยขมวดคิ้วเป็นปม
“หมา?”
แกร๊กๆ ๆ
ขณะนั้นเองก็ได้ยินเสียงบางอย่างดังแว่วออกมาจากห้องครัว บิทเทอวางแก้วลงมองตามอย่างสงสัย ก่อนจะหันถามกับราวินที่มองทางเดียวกัน
“ในบ้านนี้มีคนอื่นนอกจากเราด้วยเหรอ?”
“ไม่ครับ ที่บ้านมีเราสามคน”
ได้ความแบบนั้นทั้งสองคนจึงหยุดบทสนทนา ต่างลุกย่องไปยังประตูห้องครัวที่แง้มไว้เล็กน้อย ฮันเตอร์วางมือเตรียมดันเปิด หันมองราวินเองซึ่งตามมาเงียบๆ อยู่ข้างเขา จนจังหวะหนึ่งมือก็ผลักเปิดประตูเข้าไปทันใด
ตึง!?
“เชี่ยแม่ง!?”
เสียงอุทานดังลั่นมาจากชายร่างสูงตรงหน้า แต่คนคนนี้ไม่ใช่บุคคลแปลกหน้าไกลตัวที่ไหน กลับเป็นหนึ่งในคนร่วมเดินทาง คาเลนตอนนี้กำลังกินอาหารจากชามจนเลอะรอบปากไปหมด สีหน้าตกใจเหมือนกับเด็กซนโดนพ่อแม่จับได้ว่าแอบกินขนมกลางดึก
“ตกใจหมดเลย แฮะๆ ”
“...”
“...”
อีกสองบุรุษมองนิ่งค้าง ก่อนคุณพระเอกจะเป็นคนถามกลับไป
“ทำบ้าอะไรของแก?”
“กินข้าวไง”
“ไม่ใช่ว่านายกำลังป่วยติดเตียงอยู่รึไง?”
“ความหิวชนะทุกอย่าง”
ชายผมยาวดำตอบหน้าตาเฉย ยักไหล่แล้วหยิบเนื้อบดต้มในชามเข้าปากต่อ ราวินทอดสายตาไปยังคาเลนพักหนึ่งพลางกล่าวเสียงเรียบ
“นั่นอาหารหมานะครับ ท่านคาเลน”
คนกำลังตักเศษเนื้อเข้าปากชะงักไป หันมามองด้วยสีหน้างวยงงพร้อมตากะพริบปริบๆ
“ห๊ะ?”