โรงเรียนสอนให้หนูมีความรับผิดชอบ แต่โรงเรียนที่ป๊ะป๋าเรียนมาเขาไม่สอนเหรอ ป๊ะป๋าไปรังแกคุณคนสวย แต่ไม่รับผิดชอบเนี่ยนะ หนูอายที่มีป๊ะป๋าแบบนี้นะ — “มั่วแล้ว! คุณคนสวยต่างหากที่แกล้งป๋า แกล้งจนท้อง!!!”
ชาย-ชาย,โอเมกาเวิร์ส,ครอบครัว,รัก,ดราม่า,omegaverse,ปะป๊าอย่าโง่ ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
#ป๊ะป๋าอย่าโง่ (omegaverse)โรงเรียนสอนให้หนูมีความรับผิดชอบ แต่โรงเรียนที่ป๊ะป๋าเรียนมาเขาไม่สอนเหรอ ป๊ะป๋าไปรังแกคุณคนสวย แต่ไม่รับผิดชอบเนี่ยนะ หนูอายที่มีป๊ะป๋าแบบนี้นะ — “มั่วแล้ว! คุณคนสวยต่างหากที่แกล้งป๋า แกล้งจนท้อง!!!”
รู้ถึงไหน อายถึงนั่น!
คนอย่าง 'ป๊ะป๋าวัชระ' อัลฟ่าหนุ่มที่เพียบพร้อมทุกอย่าง เงินทอง อาชีพมั่นคง และมีลูกชายปากดี (จัด) แก่แดด เถรตรง ดูเป็นผู้ใหญ่เกินวัย ถึงกระนั้นก็ยังไปทำคนอื่นท้องและจะทิ้งอย่างไม่ไยดี!!!
ที่สำคัญเป็นพี่ชายสุดสวยที่ 'ภูริภัทร' ชอบมาก ๆ ด้วย
"ป๊ะป๋าช่างเลวนัก กล้ารังแกพี่สุดสวยของภูทำไม!!! ภูจะเอาเลือดบนหัวป๋าออกเดี๋ยวนี้!"
"เดี๋ยวนะภู นิธิศสุดสวยของภู (พอ) รังแกป๋าต่างหาก รังแกจนท้อง! ไอ้เด็กแก่แดดไม่รู้เรื่อง!!!"
"ไม่จริ๊งงงงง!"
ฟีลป๊ะป๋ากับลูกหยุมหัว
และ
พ่อหนุ่มหน้าสวยกับหนุ่มธุรกิจพ่อเลี้ยงเดี่ยว
คำเตือน :
Omegaverse
multiverse
blood เลือด , death ความตาย
Profanity คำหยาบคาย pregnancy ตั้งครรภ์
Sexual explicit เนื้อหามีความโจ่งแจ้งในเรื่องเพศ
Violence การใช้ความรุนแรง gun ปืน
Verbal abuse ทำร้ายทางวาจา
Toxic family ครอบครัวที่ไม่มีสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน (ญาติผู้ใหญ่)
บทที่ 1
เด็ก (ไม่) เดียงสา
ภายในโรงเรียนเอกชนที่ส่วนใหญ่มักจะเลิกเรียนเวลาบ่ายสามโมง ปล่อยให้กลับบ้านหรือเข้าร่วมชมรมเพื่อเสริมสร้างความรู้ใหม่ ๆ และมิตรภาพที่ดีต่อกัน
สำหรับเขาแล้ว ยังไม่ได้สนใจชมรมอะไรเป็นพิเศษ จึงเลือกที่จะกลับบ้านดีกว่า กระนั้นขณะนี้เวลาห้าโมงเย็นกับอีกสามสิบนาที ต้องนั่งรอคนที่บ้านมารับอยู่ใต้ตึกเรียนอยู่คนเดียว
ขอขีดเส้นใต้เน้นย้ำว่า ‘คนเดียว’ ชัด ๆ
ไม่สิ มีเด็กคนอื่นอยู่สองคน แต่นั่นเป็นลูกครู คงนั่งรอกลับพร้อมกัน ต่างจากเขาที่นั่งรอคนที่บ้านมารับอยู่อย่างนั้น
“วันนี้ก็กลับช้าอีกแล้วเหรอจ๊ะน้อง ‘ภูริ’ มาอยู่กับครูก่อนไหม” ครูสาวคนหนึ่งเดินผ่านมาพอดี จึงทักทายเด็กน้อย
เจ้าของชื่อ ‘ภูริภัทร’ เด็กน้อยวัย 6 ขวบ ชอบมานั่งรอผู้ปกครองอยู่ที่นี่
เป็นประจำ เด็กชายมักจะนั่งนิ่งเงียบ ๆ ไม่ไปวิ่งเล่นที่สนามเด็กเล่นเหมือนเด็กคนอื่น ดูสงบเสงี่ยมและเป็นผู้ใหญ่มากกว่าเด็กวัยเดียวกัน
“ไม่เป็นไรครับ อยู่ตรงนี้ดีกว่าครับ” ภูริยิ้มหวานให้ “ป๊ะป๋าทำงานครับเลยมาช้านิดหน่อย แต่เดี๋ยวก็คงมาแล้ว”
“งั้นเหรอ ให้ครูนิดโทรตามให้ไหมจ๊ะ” ครูนิดคือครูประจำชั้นประถมหนึ่งของภูเอง เธอรู้จักเพราะเป็นครูในแผนกประถมศึกษาเหมือนกัน
“ไม่เป็นไรครับ ภูไม่อยากกวนคุณครูกับป๊ะป๋า”
“แต่อยู่คนเดียวไม่ดีเลยนะจ๊ะ”
“ไม่เป็นไรครับ โอ๊ะ นั่นไง! มาแล้ว ๆ” เอาแต่ปฏิเสธคุณครูซ้ำ ๆ จนกระทั่งใครบางคนเดินเข้ามาใกล้ บวกกับเสียงสดใสของเด็กน้อย เรียกสายตาของครูสาวให้หันไปมอง
“สวัสดีครับคุณครู ผมมารับน้องภูริภัทรครับ” ชายวัยกลางคนยกมือไหว้เธอ ก่อนจะโบกมือไปมาและส่งยิ้มหวานให้น้อง
“ใช่ผู้ปกครองของภูใช่ไหมจ๊ะ” เธอถามเด็กให้แน่ใจ เพราะคนตรงหน้าไม่ได้ดูคล้ายกับภูริภัทรสักเสี้ยวหนึ่งเลย จึงระแวงไม่น้อยที่จะปล่อยเด็กไป
“ครับ ลุงพล เป็นคนขับรถของป๊ะป๋าเอง ปกติลุงก็มารับภูบ่อย”
“อ้อ โอเคจ้ะ ถ้างั้นรีบกลับบ้านได้แล้วนะ” อาจเป็นเพราะเธอเพิ่งย้ายมาประจำตำแหน่งดูแลเด็กโซนนี้จึงไม่ทราบมาก่อน
“ครับ สวัสดีครับคุณครู” ยกมือไหว้คุณครูก่อนจะเดินจับมือลุงพลไป
เมื่อรถเคลื่อนตัวจากโรงเรียนไปแล้ว ภูริภัทรจึงถอนหายใจออกมายาวเหยียด ไม่วายที่ต้องกลับมาทำตัว ‘เป็นเด็กไร้เดียงสา’ อีกครั้ง เพราะตอนนี้
ลุงพลกำลังเหลือบมองผ่านกระจกหน้ารถอยู่
“ป๊ะป๋าอยู่ไหนเหรอครับลุง”
“อยู่บริษัทครับ”
“พาภูไปได้ไหมอ่า”
“หืม? ลุงว่าไปรอที่บ้านดีกว่านะ”
“ไม่เอา ภูอยากเจอป๊ะป๋า”
ลุงพลถอนหายใจ “ก็ได้ ๆ ถ้าเกิดโดนบ่นขึ้นมาลุงไม่รู้ด้วยนะ”
จากโรงเรียนมาถึงบริษัทใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงก็ถึงแล้ว เด็กน้อยเดินเข้าไปในตึกอย่างช่ำชองเส้นทาง พนักงานส่วนใหญ่ต่างเดินออกมาเพราะถึงเวลาเลิกงานแล้ว ภูริภัทรทักทายทุกคนอย่างเป็นมิตร และมีคนใจดีพาขึ้นลิฟต์เพื่อพาไปหาประธานบริษัทถึงที่
เด็กน้อยถูกปล่อยไว้หน้าลิฟต์ เขาบอกเองว่าจะเดินไปเอง เดินเตาะแตะไปอยู่ที่หน้าห้องคนที่ชื่อว่าเป็น ‘ป๊ะป๋า’ ของตน สองเท้าเล็กชะงักและถอยห่างจากประตู ทันใดนั้นมันก็ถูกผลักออกอย่างแรง ตามมาด้วยเสียงเอะอะโวยวายของคนสองคน
เป็นป๊ะป๋าวัชรของภูริกับผู้หญิงคนสวยหนึ่ง
“ปลายฟ้า กลับมาคุยเดี๋ยวนี้นะ!”
“คุยบ้าอะไรก็เห็นอยู่ว่าพี่ผิดสัญญา ฟ้าจะกลับไปฟ้องพ่อ”
“กลับเข้ามาคุยเดี๋ยวนี้ เธอกำลังเข้าใจผิดอยู่นะ”
“เข้าใจผิด? ฟ้าเข้าใจผิดว่าพี่วัชรมีใจให้ฟ้า เข้าใจว่าคืนนี้มีนัดกินข้าว หรือการดูตัวใช่ไหมคะ ทั้งหมดนี่เพราะฟ้าคิดไปเองทั้งนั้น”
“…” วัชรไม่ได้ปฏิเสธ เพราะทุกอย่างคือความจริง อีกฝ่ายคิดเองเออเองทุกอย่าง ส่วนตัวเขานั้นยังไม่ได้ตอบตกลงอะไรเลยด้วยซ้ำ
“ตอบสิคะพี่วัชร!!!”
“ป๊ะป๋า?”
ทั้งสองชะงักเมื่อเสียงเล็ก ๆ ดังขึ้น ดวงตากลมมองป๊ะป๋าของตนสลับกับปลายฟ้าที่ทำหน้าหงุดหงิดไม่น้อยเมื่อเห็นตน ภูริภัทรรู้ดีว่ามาขัดจังหวะพวกผู้ใหญ่อยู่
แต่แล้วไงล่ะ?
“มาที่นี่ได้ไงภู ป๋าบอกให้ลุงพลไปส่งที่บ้านนะ” วัชรถามอย่าง
หัวเสีย ไม่รู้เลยว่าอีกคนยืนดูนานแล้วหรือยัง มันเป็นภาพที่เด็กไม่ควรดู
“ภูอยากมาหาป๊ะป๋า ป๊ะป๋าไม่มารับภู”
“ก็ไม่ว่างไปไง”
“ฟ้าขอตัว เชิญคุยกับลูกสุดที่รักของพี่ไปเถอะค่ะ” ปลายฟ้าใช้จังหวะนี้เดินหนี ครั้นวัชรเอ่ยห้าม คว้าไปจับข้อมือก็ถูกสะบัดอย่างไม่ไยดี สุดท้ายก็จากไป ทิ้งให้สองพ่อลูกนิ่งค้างอยู่อย่างนั้น
ภูริภัทรเหลือบมองป๊ะป๋า สีหน้าดูไม่ได้เลย…หมายถึงหงุดหงิด ไม่สบอารมณ์ หัวเสีย อยากระเบิดปลดปล่อยออกมาให้รู้แล้วรู้รอด
นั่นคือ ‘วัชระ วงศ์สิริมหินศรณ์’ ผู้เป็นบิดาของภูริภัทร หล่อเหลา เคร่งขรึม เป็นผู้ดี รวย และมีฉายาที่เขาตั้งให้คือ ‘บิดาแห่งการบ้างาน’ ไม่รู้ว่ายังจำได้ไหมที่ตัวเองมีลูกชายอยู่คนหนึ่ง นั่นก็อาจจะเป็นข้อเสีย (ลับ ๆ) ที่คนอื่นไม่รู้
เด็กน้อยยังคงเหม่อมองอีกฝ่าย ฉับพลันใบหน้าคมคายหล่อเหลาก็แปรเปลี่ยนเป็นเรียบนิ่ง หันขวับมามองเด็กน้อย ทำเอาสะดุ้งตัวโหยง
“มีเรื่องอะไรอ่าป๊ะป๋า”
“ไอ้เด็กนิสัยไม่ดี มาขัดจังหวะ” ทำท่าจะเดินกลับเข้าไปในห้อง แต่ถูกภูริภัทรกระโดดกอดเอวจนเซถลาไปด้านหน้า ชายหนุ่มหันขวับมองตาขวางใส่ทันที
“จะหาเรื่องเหรอไอ้เด็ก โดนตีนะ”
“ป๋าก็นิสัยไม่ดี”
“…”
วัชรกำหมัดแน่น อยากอาละวาด กรีดร้องระบายออกมาให้มันจบ ๆ ไป เพิ่งผ่านการรองรับอารมณ์ของปลายฟ้าก็ต้องมาต่อด้วยเด็กแสบนี่อีก จะบ้าตาย!
“กลับบ้านไปกับลุงพลเดี๋ยวนี้เลย ก่อนที่ป๋าจะโมโห”
“ป๊ะป๋ารู้ไหม ว่าพวกผู้ใหญ่นิสัยดี ๆ เขาไม่เอาอารมณ์ร้อนของตัวเองมาลงที่เด็กหรอกนะ”
“…”
“มันดูเหมือนอันธพาลดี”
“ภูริภัทร ไปเอาคำพูดคำจาแบบนี้มาจากไหน ป๋าไม่เคยสอนนะ!”
“ป๋าไม่เคยสอนภู ถูกต้อง ๆ ป๋าไม่เคยสอนอะไรภูเลย~”
“ภู ริ ภัทร!!!”
“ลุงพลจ๋า ช่วยภูด้วยย” สุดท้ายก็วิ่งหนีหายไป กดลิฟต์ลงไปหาลุงพลที่รถและมุ่งกลับบ้านทันที
ในขณะที่อยู่ในรถนั้นภูริภัทรไม่สามารถเก็บอาการได้เลย ทั้งอมยิ้ม อารมณ์ดี รู้สึกสะใจไม่น้อยที่วันนี้ก็สามารถด่าสั่งสอนป๊ะป๋าของเขาได้อีกครั้ง
ให้มันรู้ซะบ้างว่าเด็กก็ (แอบ) ด่าผู้ใหญ่ได้
“ดูเหมือนมีเรื่องอะไรสนุกนะภู”
“อื้อ นิดหน่อยแหละ”
ลุงพลส่ายหน้าไปมา เขารู้ว่าเด็กคนนี้แปลกประหลาดนัก ไม่เหมือนเด็กอายุ 6 ขวบ ดูเป็นผู้ใหญ่เกินอายุ คำพูดคำจาก็คมดั่งมีด คาดว่าคงไม่ได้พูดมั่วซั่วตามประสาเด็ก แต่ตั้งใจเป็นแน่แท้
ที่สำคัญยังกล้าต่อปากต่อคำกับพ่อตัวเองเก่งอีก หากเป็นขี้ปากของชาวบ้านจะได้ยินประโยคนี้กลับมา
‘ดูก็รู้ว่าโตขึ้นจะเป็นคนแบบไหน’
‘ช่างน่าเหนื่อยใจเหลือเกิน รวยก็รวยแต่ไร้มารยาทและกาลเทศะแบบนี้มันจะมีใครเอาเหรอ?’
แต่นั่นไม่ได้เป็นปัญหาของครอบครัวนี้เสียเท่าไหร่ เพราะวัชรเองก็เถียงสู้กลับอย่างเอาเป็นเอาตายเช่นกัน
หลังจากที่พาลูกเจ้านายมาส่งถึงบ้านแล้วลุงพลก็ขอตัวกลับบ้านไปพักผ่อน ปล่อยให้คุณแม่บ้านทั้งสองคนมาดูแลภูริภัทรต่อ มักเป็นแบบนี้ประจำ จนคนใช้ในบ้านเคยชินที่เห็นเด็กน้อยโดดเดี่ยวในบ้านหลังใหญ่ แทนที่จะมีผู้ปกครองอยู่ กลับมีแต่พวกเธอเท่านั้นที่คอยดูแล
รู้อยู่แล้วว่าไม่มีเวลาให้ แต่แบบนี้ก็สงสารเด็กตาดำ ๆ เหลือเกิน
ภูริภัทรกินข้าวเย็น อาบน้ำอาบน้ำท่า ทำการบ้าน ทุกการกระทำมักมี ‘ป้าลำดวน’ อยู่เคียงข้างเสมอ จนกระทั่งส่งเข้านอนช่วงสองทุ่มครึ่ง เธอกำลังปิดประตูห้องนอนของภูริภัทรต้องหยุดชะงักเมื่อเสียงทุ้มคุ้นหูดังขึ้น
“หลับไปแล้วเหรอ”
“ค่ะคุณวัชร”
“ไปพักเถอะ ขอบคุณมากนะครับที่ช่วยดูแลภูให้”
“เป็นหน้าที่ค่ะ”
ร่างของคนใช้เดินลับสายตาไปแล้ว วัชระจึงเข้าไปในห้อง แง้มประตูคาเอาไว้ให้แสงจากโถงด้านนอกเข้ามา จะได้ไม่เดินสะดุดอะไรในห้องนอน ลากเก้าอี้มานั่งข้างเตียง จ้องมองเด็กอยู่นานจนดวงตากลมเปิดเผยอขึ้น
“ป๊ะป๋ามีกลิ่นเหล้าอีกแล้ว” นั่นเป็นคำทักทายของเด็ก นึกว่าจะได้ยินคำว่า ‘ป๊ะป๋าไปไหนมา หรือภูคิดถึงป๊ะป๋านะ’ ไม่มีสักแอะ
“โทษที”
“ไม่โกรธหรอก”
“มีสิทธิ์อะไรมาโกรธ แล้วนี่ยังไม่ได้เคลียร์เรื่องเมื่อเย็นเลยนะ”
“ภูง่วงอ่า ไว้คุยกันทีหลังนะ” ทำเป็นอ้าปากหาววอดและหลับตาพริ้ม มือหนายื่นไปหยิกแก้มยุ้ยนั่นอย่างมันเขี้ยว
“เหอะ ไอ้ตัวแสบ”
“แล้วคนนั้นคือใคร” ภูริเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ไม่ใช่เรื่องของเด็ก”
“ไม่ใช่เรื่องของเด็ก…ว่าแล้วเชียว” เด็กน้อยยกยิ้มกว้าง เมื่อสามารถคาดเดาประโยคที่วัชรจะพูดกับเขา
“พอเถอะ นอนได้แล้ว พรุ่งนี้ไปเรียนนี่” คนเป็นพ่อลูบหัวไปมา ก่อนจะก้มจูบลงบนหน้าผาก ถึงปกติจะชอบต่อปากต่อคำกัน ไม่ค่อยได้มีเวลาให้ กระนั้นวัชรก็รักและห่วงภูริภัทรอยู่ดีนั่นแหละ
ก็เป็นลูกนี่นะ
“พรุ่งนี้ไปส่งภูได้เปล่า”
“ได้”
“สัญญานะ ผิดสัญญาเบิ้ลค่าขนมสองเท่า”
“เดี๋ยวนี้หัดต่อรองเหรอ” ได้ยินเสียงเด็กหัวเราะคิกคักชอบใจก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มและพยักหน้าหงึกหงัก “ได้ เพราะงั้นนอนได้แล้ว”
“ฝันร้ายนะค้าบ”
“ไอ้เด็ก!”
ภูริภัทรแกล้งทำเป็นหลับเพื่อเป็นการไล่ป๊ะป๋าทางอ้อม บอกประมาณว่า ‘จะหลับแล้ว ไสหัวไปซ— ไม่สิ ภูอยากนอน ป๊ะป๋าไปนอนได้แล้ว’
เมื่อผู้ใหญ่ออกไป ทิ้งให้เด็กน้อยอยู่ในห้องที่ปกคลุมด้วยความมืด ดวงตากลมลืมตาตื่น หากเป็นเด็กอายุเท่าตนบางคนก็อาจร้องไห้งอแงอยากนอนกับพ่อแม่ หวาดกลัวการอยู่คนเดียวหรืออยู่ในที่มืด ๆ คนเดียว
ทว่าไม่ใช่กับภูริภัทร ที่ไม่เหมือนเด็กวัยเดียวกัน แตกต่างเกินวัย
ภูริภัทรยังไม่ง่วง จึงทำได้แต่นอนมองเพดานคิดอะไรเรื่อยเปื่อย คิ้วเรียวเล็กขมวดเป็นปมบ้าง เดี๋ยวก็เลิกขึ้นราวกับมีเรื่องให้สงสัยมากมาย ก่อนจะระบายยิ้มออกมา และพูดพึมพำคนเดียว
“ไม่เห็นเหมือนตาแก่วัชรคนนั้นเลยจริง ๆ ต้องเพลาเรื่องแกล้งลงบ้างไหมนะ?”