โรงเรียนสอนให้หนูมีความรับผิดชอบ แต่โรงเรียนที่ป๊ะป๋าเรียนมาเขาไม่สอนเหรอ ป๊ะป๋าไปรังแกคุณคนสวย แต่ไม่รับผิดชอบเนี่ยนะ หนูอายที่มีป๊ะป๋าแบบนี้นะ — “มั่วแล้ว! คุณคนสวยต่างหากที่แกล้งป๋า แกล้งจนท้อง!!!”
ชาย-ชาย,โอเมกาเวิร์ส,ครอบครัว,รัก,ดราม่า,omegaverse,ปะป๊าอย่าโง่ ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
#ป๊ะป๋าอย่าโง่ (omegaverse)โรงเรียนสอนให้หนูมีความรับผิดชอบ แต่โรงเรียนที่ป๊ะป๋าเรียนมาเขาไม่สอนเหรอ ป๊ะป๋าไปรังแกคุณคนสวย แต่ไม่รับผิดชอบเนี่ยนะ หนูอายที่มีป๊ะป๋าแบบนี้นะ — “มั่วแล้ว! คุณคนสวยต่างหากที่แกล้งป๋า แกล้งจนท้อง!!!”
รู้ถึงไหน อายถึงนั่น!
คนอย่าง 'ป๊ะป๋าวัชระ' อัลฟ่าหนุ่มที่เพียบพร้อมทุกอย่าง เงินทอง อาชีพมั่นคง และมีลูกชายปากดี (จัด) แก่แดด เถรตรง ดูเป็นผู้ใหญ่เกินวัย ถึงกระนั้นก็ยังไปทำคนอื่นท้องและจะทิ้งอย่างไม่ไยดี!!!
ที่สำคัญเป็นพี่ชายสุดสวยที่ 'ภูริภัทร' ชอบมาก ๆ ด้วย
"ป๊ะป๋าช่างเลวนัก กล้ารังแกพี่สุดสวยของภูทำไม!!! ภูจะเอาเลือดบนหัวป๋าออกเดี๋ยวนี้!"
"เดี๋ยวนะภู นิธิศสุดสวยของภู (พอ) รังแกป๋าต่างหาก รังแกจนท้อง! ไอ้เด็กแก่แดดไม่รู้เรื่อง!!!"
"ไม่จริ๊งงงงง!"
ฟีลป๊ะป๋ากับลูกหยุมหัว
และ
พ่อหนุ่มหน้าสวยกับหนุ่มธุรกิจพ่อเลี้ยงเดี่ยว
คำเตือน :
Omegaverse
multiverse
blood เลือด , death ความตาย
Profanity คำหยาบคาย pregnancy ตั้งครรภ์
Sexual explicit เนื้อหามีความโจ่งแจ้งในเรื่องเพศ
Violence การใช้ความรุนแรง gun ปืน
Verbal abuse ทำร้ายทางวาจา
Toxic family ครอบครัวที่ไม่มีสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน (ญาติผู้ใหญ่)
บทที่ 2
ร้านเครื่องเขียนพิเศษและคุณคนสวย
“ป๊ะป๋า ตื่น!!! ไหนบอกจะไปส่งภูไงเล่า”
ภูริภัทรยืนจังก้าอยู่บนเตียงนอนของวัชระ หากป้าลำดวนมาเห็นเข้าคงกรีดร้องและรีบอุ้มตัวลงมาทันที สั่งสอนถึงสิ่งไม่ควรอีกหนึ่งยก เพราะเขายืนคร่อมร่างป๊ะป๋าเลยนะซี่ มันเป็นกิริยาที่ไม่สมควร บลา ๆ เขารู้หรอกน่า แต่ตอนนี้ไม่มีใครเห็นก็สามารถทำได้แหละเนอะ
ดวงตากลมมองชายหนุ่มที่ไม่ยอมตื่นซะที ก้มตัวลงไปนอนทับพุง ยกมือข้างหนึ่งขึ้นมา จากนั้นก็…
เพี๊ยะ!!!
พลังแห่งการตีพ่อตีแม่ วะฮ่า ๆ!
เป็นการกระทำที่ไม่ควรลอกเลียนแบบ ถึงกระนั้นภูริภัทรทำไปเพราะความจำเป็นที่ต้องปลุกป๊ะป๋านี่นา ขนาดใช้มือเล็ก ๆ ตบเข้าที่หน้าหล่อเหลา
คมคายก็ยังไม่มีท่าทีจะตื่น เอาแต่ส่งเสียงครางงึมงำในลำคออยู่ได้
ภูริชักจะโมโห
“ป๊ะป๋า ภูจะไปโรงเรียนสาย!!!”
เพี๊ยะ!!!
“โอ๊ย!!!” ดวงตาเรียวเบิกโพลง ทะลึ่งลุกขึ้นพรวดจนเด็กน้อยหงายหลังกลิ้งไปบนเตียง วัชระหอบหายใจแรง กุมแก้มที่ถูกตบถึงสองครั้ง ก่อนจะหันไปมองตาขวางใส่ตัวการทันที
“ภูริภัทร!!!”
“ป๊ะป๋าโป๊อ่าครับ ไปแต่งตัวอาบน้ำเดี๋ยวนี้เลย!” ไม่รอให้เป็นฝ่ายโดนดุก่อน เด็กน้อยลุกขึ้นยืนเท้าเอวและประกาศกร้าวอีกครั้ง ไม่ลืมจัดชุดนักเรียนของตนให้เรียบร้อย
“อะไร นี่มันเพิ่งจะกี่— เชี่ย!”
ชายหนุ่มกระเด้งลุกจากเตียงนอนทันทีหลังจากดูนาฬิกาดิจิตอลที่โต๊ะข้างเตียง มันปาเข้าไปเจ็ดโมงเช้าแล้ว ทั้งที่ควรจะตื่นตั้งแต่หกโมง ดันลืมตั้งนาฬิกาปลุกเสียได้
“ให้ไวเลยป๊ะป๋า เป็นผู้ใหญ่ต้องรักษาเวลาสิ ไม่อายเด็กบ้างเหรอที่ตื่นก่อนตั้งนาน ไม่ก็อายพระอาทิตย์ก็ได้ แสงแยงตูดแล้ว”
“รู้แล้ว!”
ภูริภัทรพ่นลมหายใจ หากเขาเป็นผู้ใหญ่คงถึงวัยแก่ชราไปเรียบร้อยแล้ว ถ้าจะถอนหายใจบ่อยขนาดนี้ สองมือจัดการพับผ้าห่มและเก็บที่นอนของป๊ะป๋าให้เรียบร้อย ก่อนที่สองขาสั้น ๆ จะเดินลงไปรอด้านล่าง เขากินข้าวเช้าเรียบร้อยแล้ว เลยลงไปจัดเตรียมอาหารเช้าให้วัชรไปกินที่บริษัทแทน
“ป๊ะป๋ายังไม่ลงมาอีกเหรอ” ลำดวนเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าเด็กลงมาคนเดียว
“ป๊ะป๋าเพิ่งตื่นครับ คงกินข้าวไม่ทันแน่ ๆ ภูเลยเตรียมให้ เอาไปกินที่บริษัทดีกว่า”
พูดพลางนำกล่องอาหารออกมา ยัดแซนด์วิชชิ้นโตใส่ลงไป พร้อมหย่อนผักหลากสีสันแซมไปด้วยให้ดูน่ากิน ก่อนจะปิดฝาแล้วใส่ในกระเป๋าใบเล็ก ไม่ลืมกล่องนมและกล่องผลไม้เพิ่มเติมไปด้วย ครบเซตเหมือนที่ภูกินไปเมื่อกี้เลย
“ภูกลัวไปไม่ทันไหม เดี๋ยวป้าเรียกลุงพลมาขับรถให้ดีกว่า”
“ไม่เอาครับ ภูจะให้ป๊ะป๋าไปส่ง”
“โอเคจ้ะ ถ้างั้นเดี๋ยวป้าไปดูป๊ะป๋าของภูให้นะ ป้าจะได้เอาผ้าลงมาซักเลย”
“ค้าบ ภูเก็บที่นอนให้แล้วนะ”
“เก่งจังเลย” เธอเอ่ยชมพร้อมลูบหัวไปมา ช่างเป็นเด็กดีว่านอนสอนง่ายที่สุด วาสนาของวัชระโดยแท้
ถือเป็นสถิติใหม่เอี่ยมของวัชรเลยก็ว่าได้ ที่สามารถอาบน้ำ แต่งตัวทำทุกอย่างเสร็จภายในเวลาสิบนาที เหมือนเดินผ่านน้ำไม่มีผิด เขาก็ไม่ลืมที่จะประโคมฉีดน้ำหอมเข้าไปเพื่อเพิ่มความมั่นใจว่าจะไม่มีกลิ่นแปลกปลอมมาจากตัวเขา
ให้ตายเถอะ ทำไมต้องตื่นสายด้วยเนี่ย
ไม่รอให้เสียเวลาไปกว่านี้ เขารีบอุ้มตัวลูกขึ้น พร้อมถือกระเป๋าของภูและตัวเอง กึ่งเดินกึ่งวิ่งไปที่รถพร้อมยัดทุกอย่างเข้าไป รถยนต์ยี่ห้อ BMW X6 xDrive30d M Sport สีน้ำเงินสวยหรูได้เคลื่อนตัวออกไป เท้าเหยียบคันเร่งมิด ให้คนอาศัยบริเวณนั้นด่ากราดกันแต่เช้า
ก็นะ ขอสักวันเถอะ
“ป๊ะป๋าตัวเหม็น อี๋”
“อะไร” วัชรขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเด็กน้อยข้างคนขับเอ่ยทักขึ้น วันนี้ยิ่ง
ไม่มั่นใจอยู่ด้วย
ภูริภัทรเองก็รู้ว่าวันนี้ป๊ะป๋าของเขามีอาการอย่างไรถึงได้ฉีดน้ำหอมเสียฉุนจมูกขนาดนี้ อาบน้ำเร็วแบบนั้นมันช่วยไม่ได้ อยากตื่นสายเอง คิกคัก
เฮ้อ รู้สึกสนุกชะมัดที่ได้กลั่นแกล้งคนที่ชื่อว่าพ่อแต่เช้า อารมณ์ดีสุด ๆ
“อย่าอยู่ใกล้พี่นัทนะ เดี๋ยวพี่นัทเหม็น”
“เงียบปากไปเลยไอ้ตัวแสบ ยังไม่เคลียร์เรื่องที่ตบหน้าป๋าเมื่อเช้านะ”
“ก็ป๋าไม่ยอมตื่นเองนี่ ช่วยไม่ได้—โอ๊ย ป๊ะป๋า ภูเจ็บ!!!” ชายหนุ่มหมั่นไส้นักเลยทำการหยิกแก้มหยิกปากให้ร้องดีดดิ้นลั่นรถ ไอ้ปากเล็ก ๆ ที่พ่นคำเหล่านั้นเหมือนกับผู้ใหญ่ ทั้งที่ตัวเองก็ตัวแค่นั้น แถมยังอยู่แค่ประถมหนึ่งอีก
ระหว่างที่เดินทางไปโรงเรียนภายในรถมีเสียงพูดคุยไม่หยุดจนถึงที่หมาย โชคดีที่มาถึงโดยสวัสดิภาพและทันเวลาก่อนเข้าแถว
“ป๊ะป๋าต้องมารับนะเย็นนี้”
“ไม่รู้ ต้องดูก่อน”
“อะไรอ่า มารับเถอะครับ ภูอยากซื้อเครื่องเขียนใหม่ที่ร้านเดิมน้า~”
“ให้ลุงพลพาไป”
“ป๊ะป๋าก็รู้นี่ ถ้าไปร้านเดิม ภูจะได้สิทธิพิเศษ ป๊ะป๋าก็ด้วย”
วัชระคิ้วกระตุก ถอนหายใจเฮือกใหญ่ คิดหนักอยู่เหมือนกัน เขาไม่สามารถรู้ได้ว่าวันนี้เลิกงานตรงเวลาไหม เพราะต้องเคลียร์เอกสารหลังจากนั้นด้วย แต่ก็โกหกไม่ได้เช่นกันว่าตนอยากไปร้านเครื่องเขียน
ร้านเครื่องเขียนแปลกประหลาด ไม่สิ แสนพิเศษ
“ก็ได้ ๆ เดี๋ยวป๋ามารับ” สุดท้ายความอยากก็ชนะทุกสิ่ง
“เย้ รักป๊ะป๋าน้า” กระโดดกอดไปหนึ่งที ก่อนจะเปิดประตูรถและลงไป ไม่ลืมหันกลับมาโบกมือไปมา
“เดินดูทางด้วยภู อย่ามัวแต่มองอย่างอื่น”
“รู้แล้วค้าบ”
วัชรส่ายหน้าไปมา มองเด็กน้อยพบคุณครูแล้วจึงปล่อยวางได้ เคลื่อนรถไปที่ทำงานทันที
วัชระ วงศ์สิริมหินศรณ์
อัลฟ่าหนุ่มที่ใบหน้าคมคาย อยู่ในระดับหล่อเหลา รูปร่างสันทัด แม้ไม่มีกล้ามเนื้อใหญ่แน่น แต่ก็มีเสน่ห์ไม่แพ้กัน มีลูกติดหนึ่งคนอายุได้ 6 ขวบ ส่วนเขานั้นเพิ่งจะอายุ 32 ปี ไม่ได้แก่ไม่ได้วัยรุ่น ดำรงตำแหน่งประธานบริษัทสิริสกุล เป็นบริษัทสินค้าแบรนด์เนมที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศ เพราะสินค้าที่มีเอกลักษณ์โดยการใช้ผ้าไหมออกแบบให้เข้ากับแฟชั่นในยุคปัจจุบัน
หล่อรวย สมบูรณ์แบบ แต่ก็ไม่มีแฟนสักที เพราะต้องทำงานเอาเงินมาเลี้ยงลูก
ใช่ ลูกที่เขาไม่คิดมาก่อนว่าจะมี
“สวัสดีคร้าบ คุณประธาน วันนี้มาเริ่มงานกันเลยดีไหม”
นัท อัลฟ่าหนุ่มวัย 30 ปี เลขาประจำตัวเอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้มสดใส ขยับแว่นบนใบหน้าตัวเองขึ้นให้เข้าที่เข้าทาง
“ไม่ดี ขอกินข้าวก่อน”
“ได้ไงก่อน ปกติก็กินมานี่นา”
“ตื่นสาย แล้ววันนี้ต้องไปส่งภูริที่โรงเรียน”
“โห ในรอบอาทิตย์เลยนะเนี่ย ลองนับบ้างนะครับว่าส่งลูกไปโรงเรียนได้กี่ครั้ง”
“เสือกจริง ๆ เลยนะนัท อยากได้งานเพิ่มไหมจะได้หุบปาก”
“ไม่เอาครับ”
เขามาถึงบริษัทเรียบร้อย สิ่งแรกที่ทำคือการกินข้าว เห็นโพสอิทติดมากับกล่อง เขียนด้วยลายมือยึกยือเหมือนหนอน
‘กินให้หมดนะ จะได้โตไว ๆ จากภูริภัทรสุดเท่และเก่งกว่าป๊ะป๋า’
“เหอะ”
มุมปากถึงกับกระตุกยกยิ้มขึ้นมาได้ คำพูดคำจาแก่แดดที่วัชระไม่เคยสอน ท่าทางที่เหมือนโตเกินวัย อาจจะติดมาจากเพื่อนหรือเลียนแบบมาจากผู้ใหญ่คนอื่นรึเปล่า? หากเป็นคนอื่นคงส่งไปเรียนดัดนิสัยแล้ว ต้องร้องเรียนโรงเรียนให้ตรวจสอบด่วน
ไม่สิ ความจริงวัชรก็เคยคิดอยากจะส่งไปเรียนเหมือนกัน แต่นั่นแหละ
มีคนขอไว้ ให้อิสระกับเด็กบ้าง โตขึ้นก็คงรู้เองว่าอะไรควรทำหรือไม่ควร หรือถ้ามันเด็กมันทำกิริยาแย่เกินไปเขานี่แหละจะสั่งสอนขั้นเด็ดขาดให้เอง
“อะแฮ่ม ๆ วันนี้คาดว่าสินค้ากระเป๋าล็อตใหม่เสร็จเรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวมีพนักงานฝ่ายที่ดูแลเรื่องนี้เอาเข้ามาให้ดูนะครับ”
“อือฮึ” เข้าพยักหน้าเพื่อเป็นการบอกว่าฟังอยู่ขณะที่ปากเคี้ยวแซนด์วิชอยู่ ส่วนดวงตาก็อ่านข่าวในแอปพลิเคชันไปพลาง ๆ
หลังจากที่กินเสร็จเรียบร้อยชีวิตในวัยทำงานก็เริ่มขึ้น มีบ้างที่จะสติหลุดลอย บ่นในใจว่าอยากให้ช่วงเย็นมาถึงโดยเร็ว เพราะอยากไปรับลูกชายจะแย่ หากให้พระเจ้ามองดูจากสวรรค์ลงมาก็คงรู้ว่ากำลังโกหกเต็มคำอยู่
วัชระมีเป้าหมายอื่นต่างหากล่ะ ดังนั้นวันทั้งวันจึงตั้งใจสะสางงานให้หมดเพื่อที่จะได้ไม่ต้องเลิกช้ากว่าคนอื่น
“วันนี้ท่านประธานทำงานเก่งจังเลยเน้อ อย่าลืมเพิ่มเงินเดือนหรือโบนัสให้ผมด้วยน้า”
“อะไรวะนัท งง”
“หยอกค้าบ” พอได้รับสายตาราวจะกินเลือดกินเนื้อก็ต้องรีบสงบปากสงบคำทันที ให้ตายเถอะ ไม่มีอารมณ์ขันเอาซะเล้ยเจ้านายคนนี้
ในที่สุดก็ถึงเวลาเลิกเรียน ช่วงเวลาบ่ายสามถึงแม้จะยังไม่ใช่เวลาเลิกงานแต่วัชรต้องวางปากกาลง รีบเก็บเอกสารใส่ลงในกระเป๋าและลงลิฟต์ไปโดยที่ไม่พูดคุยหรือทักทายใครเลย สิ่งเดียวที่เขาสนใจคือ
ไป โรง เรียน!!!
วัชรมุ่งหน้าไปที่โรงเรียนของภูริภัทร และใช้เวลาไม่นานก็ถึง เขาจัดแจงเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ลงจากรถเพื่อเข้าไปรับลูกชายสุดที่รัก
แน่นอนว่าระหว่างทางต้องมีทั้งเด็กและผู้ใหญ่ที่เหลือบมองตนบ้าง ซึ่งเขาก็แค่ยิ้มให้เท่านั้น จนกระทั่งเดินไปถึงใต้ตึกที่มีเด็ก ๆ วิ่งเล่นและจับกลุ่มพูดคุยอย่างออกรส คงเหมือนกับสุนัขที่วิ่งเล่นไปมายั้วเยี้ยจนไม่สามารถแยกออกว่าใครเป็นใคร
แต่เป็นเรื่องง่ายที่จะหาตัวภูริภัทรได้ เพราะเด็กคนนี้มักโดดเด่นเสมอ หมายถึงได้รับความหล่อเหลามาจากพ่อนั่นแหละ
“สวัสดีค่ะ คุณผู้ปกครองมารับเด็กคนไหนเหรอคะ” กำลังจะเดินไปเรียกแล้ว ทว่ามีคุณครูคนสวยเดินมาทักเสียก่อน
“มารับภูริภัทรครับ ประถมหนึ่งห้องหนึ่งครับ”
“อ้อน้องภูนี่เอง คุณพ่อรอสักครู่นะคะ” เธอเดินไปหาภูริภัทรทันที เด็กน้อยที่ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือเงยหน้ามองเธอก่อนจะเลื่อนมาสบตากับวัชระพลันรอยยิ้มปรากฏขึ้น รีบเก็บหนังสือใส่กระเป๋าและเดินมาหาทันที
“ป๊ะป๋าไม่ผิดสัญญา!!!”
“ครับ ไม่ผิดสัญญาครับ”
“ทำตัวปกติได้นะ ดูปลอมมากเลยอ่า”
“เงียบภูริ” ดุไปหนึ่งที อุตส่าห์สร้างภาพลักษณ์เป็นคุณพ่อที่รักลูกและเอาใจใส่สุด ๆ ให้คนอื่นเห็นแล้ว แต่ไอ้เด็กแสบนี้กลับทำเสียแผนหมด ให้ตายสิ อยากจะหยิกหูจริง ๆ เลย
“ไปแล้วนะครับคุณครู สวัสดีครับ”
“จ้ะ วันนี้ดีจังเลยที่คุณพ่อมารับเองเลย”
“ช่ายค้าบ” เธอเห็นภูริอารมณ์ดีก็ดีใจตามไปด้วย และได้เรื่องไปซุบซิบกับครูคนอื่น ถึงแม้ว่ามันจะเสียมารยาทก็เถอะ แต่ก็อยากเม้าท์มอยว่าทั้งเด็กและผู้ปกครองเด็กต่างก็หล่อเหลา ออร่าจับสุด ๆ
ตัดมาที่สองพ่อลูกเมื่อขึ้นรถแล้วต่างถอนหายใจออกมาพร้อมเพรียงกันจนต้องเหลือบมอง
“คุณครูชอบเม้าท์เวลาป๊ะป๋ามารับภูตลอดเลย”
“เม้าท์ว่าอะไร”
“บอกว่าป๊ะป๋าหล่อจังเลย”
“อ้อ”
“แต่ภูริภัทรหล่อกว่าตั้งเยอะ คิก ๆ” หันมายักคิ้วและเสยผมอันน้อยนิดไปด้านหลัง นั่นคงจะจำมาจากละครแน่ ๆ เพราะตนไม่เคยทำแบบนั้น
“แก่แดดอีกละ” ไม่วายยื่นมือไปขยี้หัวเด็กน้อย ภูเบี่ยงหัวหลบทันทีแล้วพองแก้มอย่างไม่พอใจ
“ไปได้แล้ว ภูอยากไปร้านเครื่องเขียน อยากไปกินขนมด้วย”
“อยากไปซื้อของหรือไปหาใครกันแน่”
“อันนี้ต้องถามป๊ะป๋ามากกว่านะ” เด็กน้อยสวนกลับทันควันจนวัชระเลิกคิ้ว
“เกี่ยวอะไรกับป๋า”
“อยากเจอใครที่ร้านเครื่องเขียนรึเปล่า”
“ไม่มี”
“แล้วพี่คนสวยคนนั้นไง ใช่รึเปล่าน้า”
ผู้ใหญ่กระแอมออกมาสองสามครั้ง พยายามเก็บอาการสุดฤทธิ์ เขารู้ว่าพี่คนสวยของภูริภัทรหมายถึงใคร
“เปล่าเถอะ ทำไมป๋าต้องอยากเจอด้วย”
“ผู้ใหญ่ขี้โกหก”
“ภูริภัทร” ดุเสียงเข้มแล้วนะ
“รีบ ๆ ออกรถเร็วครับป๊ะป๋า เรียกชื่ออยู่ได้” เห็นว่าผู้เป็นพ่อเริ่ม
ไม่พอใจจึงรีบเปลี่ยนเรื่องเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง
“จริง ๆ เลยเด็กคนนี้”
ร้านเครื่องเขียนร้านนี้อยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนมากเท่าไหร่นัก มันเป็นเรื่องปกติที่จะเปิดร้านบริเวณที่มีโรงเรียนตั้งอยู่ เพื่อเจาะกลุ่มตลาดนักเรียนและคุณครูโดยเฉพาะ นอกจากนี้ยังมีขนมนมเนยตั้งขาย กระทั่งอาหารชุดเล็ก ๆ ด้วย
ภูริภัทรจึงตั้งฉายาร้านนี้ว่า ‘ร้านสารพัดอย่างที่เด็กต้องการ’ แถมยังมีบางอย่างที่พิเศษสุด ๆ จนทำให้ภูริภัทรติดใจร้านเครื่องเขียนร้านนี้
เพราะเป็นช่วงเวลาหลังเลิกเรียนจึงทำให้มีลูกค้าเยอะพอสมควร ไม่มีที่จอดรถเลยต้องไปจอดไกลและเดินมา กระนั้นภูริก็ไม่ได้บ่นอิดออดใด ๆ ยังอารมณ์ดี วิ่งนำจนไม่รอวัชรเลย
“ภูอย่าวิ่ง มันอันตราย รอป๋าด้วย”
“ป๋าต้องวิ่งนะ ออกกำลังกายบ้าง” ว่าแล้วก็วิ่งกลับมาหา พร้อมทั้งจูงมือวัชรข้างหนึ่ง ก่อนจะออกแรงดึงพาวิ่งไปด้วย
“ไม่เอานะภู!”
“วิ่งงง”
ในสายตาคนรอบข้างคงมองเป็นพ่อลูกสุขสันต์ สดใสร่าเริงวิ่งเล่นหยอกล้อกับลูก ช่างเป็นครอบครัวที่น่าอิจฉา ทว่าในความเป็นจริงกลับตรงกันข้าม วัชรกำลังสาปส่งลูกชายตัวเองผ่านสายตาและปากมุบมิบนั่น
ว่าบาปไปนั่น ใครมันจะกล้าสาปส่งลูกตัวเอง
อ้อ! นายวัชระนี่เอง
สาปว่าอะไรล่ะ ขอให้ไม่มีแฟนน่ะสิร้ายแรงที่สุดแล้วสำหรับเด็กแก่แดดแบบนี้
ถึงจะวิ่งไม่กี่นาทีแต่ก็สูบพลังงานชายวัย 30 ต้น ๆ ไปจนหมดสิ้น นี่สินะ พลังวัยรุ่นที่หายไปเมื่อรับตำแหน่งที่ยิ่งใหญ่มาแล้ว
“ป๊ะป๋าทำตัวดี ๆ จะเปิดประตูแล้ว”
วัชรปาดเหงื่อและเช็กสภาพชุดสูทตัวเอง เขามาหยุดอยู่ที่ร้านเครื่องเขียนแล้ว ร้านค้าสีขาวสะอาดตา ตกแต่งด้านนอกน้อยนิด เน้นไปที่พวกต้นไม้และป้ายร้าน ‘about stationary’ เด่นหราแปะไว้ด้านบนประตูทางเข้า
กรุ๊งกริ๊ง!
เสียงกระดิ่งที่แขวนเอาไว้ตรงประตูกระทบจนเกิดเสียง เป็นสัญญาณ
บ่งบอกว่ามีคนเข้ามา ทำให้พนักงานในร้านเงยหน้าขึ้นและพูดขึ้นว่า
“ยินดีต้อนรับค่า”
ด้านในจัดวางสินค้าอย่างมีระเบียบและแยกโซนได้ย่างชัดเจน ถึงแม้จะเป็นร้านสไตล์มินิมอล แต่ก็ยังคงแปะป้ายสัตว์น่ารัก ๆ เอาไว้หลอกล่อเด็ก ๆ ให้สนใจ ส่วนอีกด้านหากทะลุไปจะเป็นร้านอาหารที่มีขนมนมเนยวางขาย ตรงนั้นมีเด็ก ๆ รุมล้อมมากกว่าส่วนอื่น กระนั้นก็ไม่ใช่กับภูริภัทรที่จะเข้าไปร่วมแจมด้วย
“เอ้าเชิญตามสบายคุณชาย” วัชรพูดกับภูริภัทร
ภูริภัทรอมยิ้ม “คือจริง ๆ ภูมาซื้อดินสอสีใหม่แหละ แต่รองลงมาก็เหมือนป๊ะป๋านะ”
“อะไร” วัชรเลิกคิ้ว
“ไปดีกว่า เบื่อคนแก่ขี้เก๊ก”
“หา?”
อะไรของเด็กวะเนี่ย พอจะถามให้เข้าใจเจ้าตัวก็เดินไปอีกทาง รู้หมดแล้วว่าของที่ต้องการอยู่ส่วนไหนของร้าน
เมื่อตัวแสบหายลับเข้าไปในร้านแล้ว ตัวเองก็เดินสำรวจบ้าง เขาไม่ได้สนใจพวกเครื่องเขียนหรอก เพียงแค่ขอตั้งหลักให้ดีเสียก่อน
ใช่ ตั้งหลัก เตรียมตัวเตรียมใจเพื่อกระทำอะไรบางอย่าง
‘จะเขินทำไมวัชร ควรชินสักที’
พูดกับตัวเองในใจเป็นการให้กำลังใจตัวเอง เสี้ยววินาทีถัดมาจึงมุ่งหน้าเดินไปที่เคาน์เตอร์ที่มีพนักงานผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่
“สวัสดีค่ะ หาสินค้าตัวไหนอยู่คะ ช่วยหาได้นะคะ”
“เปล่าครับ ผมมาหา ‘นิธิศ’ ครับ”
เธอทำหน้าแปลกใจเล็กน้อย ก่อนจะร้องอ้อและเผยรอยยิ้มออกมา “คุณนี่เอง ตายจริง เพิ่งได้เจอครั้งแรก ฉันตกใจมากเลย”
“อ่า…ครับ” ประโยคนั้นอีกคนคงเอาเรื่องไปเล่าแน่เลย
“เดี๋ยวฉันไปเรียกมาให้นะคะ พอดีนิธิศกำลังเคลียร์ของอยู่หลังร้านค่ะ”
“ครับ ขอบคุณครับ”
จากนั้นเธอก็หายเข้าไปในห้องที่เขียนว่า ‘staff only’ นานอยู่หลายนาที ทว่าการรอคอยก็สิ้นสุดลงเมื่อประตูเปิดออกอีกครั้ง พร้อมกับร่างของคนที่ทำให้หัวใจของวัชระเต้นผิดจังหวะและเสียอาการอย่างเห็นได้ชัด
“สวัสดีครับพี่วัชร ไม่ได้เจอกันตั้งนานเลย สบายดีไหม”
คนที่ตนอยากมาหาเอ่ยทักทายแล้ว ทว่าวัชรกลับเงียบ พยายามทำตัวให้เคร่งขรึม ซ่อนสีหน้าอาการดีใจไว้ข้างในได้อยู่หมัด
“สวัสดี ผมสบายดีครับ”
“ไม่แทนตัวเองเหมือนเดิมเหรอครับ?”
วัชรอึกอั่ก “พอดีภูมาด้วย”
ถึงกับบางอ้อทันที “อ้อ นั่นสินะ เดี๋ยวเด็กจะตกใจที่เราดูสนิทกันเนอะ”
“ก็ประมาณนั้น” วัชรอยากกรีดร้องหลังจากตอบเสร็จ ดวงตาเรียวสำรวจมองคนตรงข้าม
นิธิศ อัลฟ่าผู้เต็มไปด้วยเสน่ห์เหลือล้น เส้นผมถูกย้อมเป็นสีบลอนด์ยาวละต้นคอ ถูกมัดรวบเป็นจุกเล็ก ๆ เพื่อที่ตอนทำงานไม่เกะกะ ใบหน้าคมคายออกไปทางสะสวยงามเพ่งพิศ รอยยิ้มขี้เล่นที่สามารถตกหนุ่มสาว เพิ่มระดับความหล่อด้วยไฝใต้ตาซ้าย ส่วนสูงและขนาดตัวพอ ๆ กับวัชระ โดยรวมแล้วเป็นผู้ชายที่มีพลังทำลายหัวใจสูงมาก
“พี่ธิศ!!!”
“อ้าวว่าไงน้องภู”
วัชรหลุดจากภวังค์ ได้ยินเสียงแหลมของเด็ก 6 ขวบ เจ้าตัวกระโดดกอดเอวนิธิศแน่น สองคนนี้รู้จักกันได้เพราะภูริภัทรชอบมาซื้อเครื่องเขียน ประจวบกับนิธิศเป็นคนรักเด็ก ทำเอาเหล่าเด็กน้อยติดตรึม
“วันนี้มีแพนเค้กรูปกระต่ายนะ ลองไปกินยัง”
“ยางง”
“ถ้างั้นเดินไปที่โซนขนมนะ บอกว่าพี่ธิศให้ฟรี”
“จริงเหรอ!”
“จริงครับ”
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมจ่ายเอง” วัชรขัด เพราะมันดูไม่ดีที่จะขอกินฟรี ของซื้อของขายแท้ ๆ
“เดี๋ยวพี่ค่อยจ่ายให้ผมก็ได้”
วัชรมองตาขวาง ส่งสัญญาณให้นิธิศที่เผลอหลุดปากใช้สรรพนาม
สนิทสนม คุณพ่อรีบเดินไปที่โซนขนมทันที แต่ธิศก็ยังจะเดินตามมายืนข้างวัชร และใช้จังหวะที่ภูริภัทรสนใจเตาทำแพนเค้กมากกว่า
นิ้วเรียวยาวตวัดเกี่ยวนิ้วก้อย ลูบไล้ไปมาจนอัลฟ่าหนุ่มเหลือบมอง รอยยิ้มสดใสนั่นเป็นสิ่งที่ตนมองเห็นตลอดเวลา
“คืนนี้มาเจอกันหน่อยไหมครับ ที่ร้านเดิม”
“…”
“ป๊ะป๋ากินนน” จู่ ๆ ภูริภัทรก็วิ่งมาโดยที่ตนยังไม่ได้ตอบกลับคนน้อง รับแพนเค้กจากลูกมากินราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
วัชรปล่อยให้ภูริคุยเล่นกับนิธิศจนพอใจ ก่อนจะขอตัวกลับบ้าน ในขณะที่กำลังปิดประตูลง วัชรจ้องมองเจ้าของร้านด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง และพูดว่า
“ถ้าภูนอนเร็วก็จะไป”
นิธิศยิ้ม “เด็กไม่ควรนอนดึกนี่นะ ผมตั้งตารอนะ”
วัชรไม่ได้ตอบกลับอะไร แต่เดินตามภูริภัทรไปขึ้นรถ และเมื่อขับเคลื่อนออกไป ตัวเด็กน้อยที่ยัดแพนเค้กรูปกระต่ายเข้าปากก่อนจะเคี้ยวแก้มพอง กลืนมันลงไปจนหมดก็เอ่ยขึ้นมา
“วันนี้ภูไม่มีการบ้าน ว่าจะเข้านอนเร็วสักสองทุ่ม ดีไหมป๊ะป๋า”
วัชรถึงกับชะงักค้าง ค่อย ๆ เหลือบมองเด็กมีปัญหา
“อะไรนะ?”
“หึ ๆ” ภูริภัทรแสยะยิ้ม ยักคิ้วให้ผู้เป็นพ่อหนึ่งที ราวกับรู้ใจว่าเขาต้องการอะไร
แน่นอนว่าภูริภัทรย่อมรู้ถึงความสัมพันธ์ของสองคนนี้
ป๊ะป๋าของตนชอบนิธิศ พี่สุดสวยของภูริภัทร ดูอย่างไรก็เป็นความจริง มันเริ่มตั้งแต่สองเดือนที่แล้วที่ภูชวนพ่อมาซื้ออุปกรณ์การเรียน ทั้งคู่ได้เจอกัน สบประสานสายตา และเกิดการปิ๊งกัน ดวงตาประกายวาววับมาก ๆ
ชัดเจนสุด ๆ !!!
เพราะฉะนั้นเด็กดีคนนี้ไม่มีทางที่จะขัดขวางหรอก
“ภูเป็นลูกที่น่ารักไหมครับ?”
“…”
ทางด้านวัชระเองก็คิดว่าไม่มีทางที่เด็กนี่จะรู้เรื่องที่เขาคุยกับนิธิศ แค่บังเอิญมั้ง ใช่ บังเอิญแหละ แต่ไอ้ท่าทางน่าหมั่นไส้นี่มันน่ากวนโอ๊ยชะมัด
ไอ้เด็กแก่แดดจอมรู้ดี!!!!