โรงเรียนสอนให้หนูมีความรับผิดชอบ แต่โรงเรียนที่ป๊ะป๋าเรียนมาเขาไม่สอนเหรอ ป๊ะป๋าไปรังแกคุณคนสวย แต่ไม่รับผิดชอบเนี่ยนะ หนูอายที่มีป๊ะป๋าแบบนี้นะ — “มั่วแล้ว! คุณคนสวยต่างหากที่แกล้งป๋า แกล้งจนท้อง!!!”

#ป๊ะป๋าอย่าโง่ (omegaverse) - บทที่ 2 ร้านเครื่องเขียนพิเศษและคุณคนสวย โดย KONKON satuu @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ชาย-ชาย,โอเมกาเวิร์ส,ครอบครัว,รัก,ดราม่า,omegaverse,ปะป๊าอย่าโง่ ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

#ป๊ะป๋าอย่าโง่ (omegaverse)

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ชาย-ชาย,โอเมกาเวิร์ส,ครอบครัว,รัก,ดราม่า

แท็คที่เกี่ยวข้อง

omegaverse,ปะป๊าอย่าโง่

รายละเอียด

#ป๊ะป๋าอย่าโง่ (omegaverse) โดย KONKON satuu @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

โรงเรียนสอนให้หนูมีความรับผิดชอบ แต่โรงเรียนที่ป๊ะป๋าเรียนมาเขาไม่สอนเหรอ ป๊ะป๋าไปรังแกคุณคนสวย แต่ไม่รับผิดชอบเนี่ยนะ หนูอายที่มีป๊ะป๋าแบบนี้นะ — “มั่วแล้ว! คุณคนสวยต่างหากที่แกล้งป๋า แกล้งจนท้อง!!!”

ผู้แต่ง

KONKON satuu

เรื่องย่อ

รู้ถึงไหน อายถึงนั่น! 

คนอย่าง 'ป๊ะป๋าวัชระ'  อัลฟ่าหนุ่มที่เพียบพร้อมทุกอย่าง เงินทอง อาชีพมั่นคง และมีลูกชายปากดี (จัด) แก่แดด เถรตรง ดูเป็นผู้ใหญ่เกินวัย ถึงกระนั้นก็ยังไปทำคนอื่นท้องและจะทิ้งอย่างไม่ไยดี!!! 

ที่สำคัญเป็นพี่ชายสุดสวยที่ 'ภูริภัทร' ชอบมาก ๆ ด้วย


"ป๊ะป๋าช่างเลวนัก กล้ารังแกพี่สุดสวยของภูทำไม!!! ภูจะเอาเลือดบนหัวป๋าออกเดี๋ยวนี้!"

"เดี๋ยวนะภู นิธิศสุดสวยของภู (พอ) รังแกป๋าต่างหาก รังแกจนท้อง! ไอ้เด็กแก่แดดไม่รู้เรื่อง!!!"

"ไม่จริ๊งงงงง!"


ฟีลป๊ะป๋ากับลูกหยุมหัว

และ

พ่อหนุ่มหน้าสวยกับหนุ่มธุรกิจพ่อเลี้ยงเดี่ยว


คำเตือน :

Omegaverse 

multiverse 

blood เลือด , death ความตาย

Profanity คำหยาบคาย pregnancy ตั้งครรภ์ 

Sexual explicit เนื้อหามีความโจ่งแจ้งในเรื่องเพศ

Violence การใช้ความรุนแรง gun ปืน

Verbal abuse ทำร้ายทางวาจา

Toxic family ครอบครัวที่ไม่มีสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน (ญาติผู้ใหญ่)




สารบัญ

#ป๊ะป๋าอย่าโง่ (omegaverse)-บทที่ 1 เด็ก (ไม่) ไร้เดียงสา,#ป๊ะป๋าอย่าโง่ (omegaverse)-บทที่ 2 ร้านเครื่องเขียนพิเศษและคุณคนสวย,#ป๊ะป๋าอย่าโง่ (omegaverse)-บทที่ 3 คุณวัชรผู้แสนขรึม nc50%,#ป๊ะป๋าอย่าโง่ (omegaverse)-บทที่ 4 บ้านสิริมหินศรณ์ที่ภูเกลียด,#ป๊ะป๋าอย่าโง่ (omegaverse)-บทที่ 5 วันไปเที่ยวของบ้านภูริภัทร,#ป๊ะป๋าอย่าโง่ (omegaverse)-บทที่ 6 100 nightstand nc100%,#ป๊ะป๋าอย่าโง่ (omegaverse)-บทที่ 7 อาการออก,#ป๊ะป๋าอย่าโง่ (omegaverse)-บทที่ 8 พี่นิธิศไม่สบายเหรอ,#ป๊ะป๋าอย่าโง่ (omegaverse)-บทที่ 9 พี่ธิศโดนป๊ะป๋าแกล้ง,#ป๊ะป๋าอย่าโง่ (omegaverse)-บทที่ 10 วันหยุดที่ไม่ได้หยุด,#ป๊ะป๋าอย่าโง่ (omegaverse)-บทที่ 11 ป๊ะป๋าโดนแกล้งเรอะ

เนื้อหา

บทที่ 2 ร้านเครื่องเขียนพิเศษและคุณคนสวย


บทที่ 2

ร้านเครื่องเขียนพิเศษและคุณคนสวย

 

 

 

“ป๊ะป๋า ตื่น!!! ไหนบอกจะไปส่งภูไงเล่า” 

ภูริภัทร‍‍‍ยืนจังก้าอยู่บนเตียงนอนของวัชระ หากป้าลำดวนมาเห็นเข้าคงกรีดร้องและรีบอุ้มตัวลงมาทันที สั่งสอนถึงสิ่งไม่ควรอีกหนึ่งยก เพราะเขายืนคร่อมร่างป๊ะป๋าเลยนะซี่ มันเป็นกิริยาที่ไม่สมควร บลา ‍ๆ‍‍ เขารู้หรอกน่า แต่ตอนนี้ไม่มีใครเห็นก็สามารถทำได้แหละเนอะ

ดวงตากลมมองชายหนุ่มที่ไม่ยอมตื่นซะที ก้มตัวลงไปนอนทับพุง ยกมือข้างหนึ่งขึ้นมา จากนั้นก็…

เพี๊ยะ!!!

พลังแห่งการตีพ่อตีแม่ วะฮ่า ‍ๆ‍‍!

เป็นการกระทำที่ไม่ควรลอกเลียนแบบ ถึงกระนั้นภูริภัทร‍‍‍ทำไปเพราะความจำเป็นที่ต้องปลุกป๊ะป๋านี่นา ขนาดใช้มือเล็ก ‍ๆ‍‍ ตบเข้าที่หน้าหล่อเหลา
คมคายก็ยังไม่มีท่าทีจะตื่น เอาแต่ส่งเสียงครางงึมงำในลำคออยู่ได้

ภูริชักจะโมโห

“ป๊ะป๋า ภูจะไปโรงเรียนสาย!!!” 

เพี๊ยะ!!!

“โอ๊ย!!!” ดวงตาเรียวเบิกโพลง ทะลึ่งลุกขึ้นพรวดจนเด็กน้อยหงายหลังกลิ้งไปบนเตียง วัชระหอบหายใจแรง กุมแก้มที่ถูกตบถึงสองครั้ง ก่อนจะหันไปมองตาขวางใส่ตัวการทันที

“ภูริภัทร‍‍‍!!!” 

“ป๊ะป๋าโป๊อ่าครับ ไปแต่งตัวอาบน้ำเดี๋ยวนี้เลย!” ไม่รอให้เป็นฝ่ายโดนดุก่อน เด็กน้อยลุกขึ้นยืนเท้าเอวและประกาศกร้าวอีกครั้ง ไม่ลืมจัดชุดนักเรียนของตนให้เรียบร้อย

“อะไร นี่มันเพิ่งจะกี่— เชี่ย!” 

ชายหนุ่มกระเด้งลุกจากเตียงนอนทันทีหลังจากดูนาฬิกาดิจิตอลที่โต๊ะข้างเตียง มันปาเข้าไปเจ็ดโมงเช้าแล้ว ทั้งที่ควรจะตื่นตั้งแต่หกโมง ดันลืมตั้งนาฬิกาปลุกเสียได้

“ให้ไวเลยป๊ะป๋า เป็นผู้ใหญ่ต้องรักษาเวลาสิ ไม่อายเด็กบ้างเหรอที่ตื่นก่อนตั้งนาน ไม่ก็อายพระอาทิตย์ก็ได้ แสงแยงตูดแล้ว” 

“รู้แล้ว!” 

ภูริภัทร‍‍‍พ่นลมหายใจ หากเขาเป็นผู้ใหญ่คงถึงวัยแก่ชราไปเรียบร้อยแล้ว ถ้าจะถอนหายใจบ่อยขนาดนี้ สองมือจัดการพับผ้าห่มและเก็บที่นอนของป๊ะป๋าให้เรียบร้อย ก่อนที่สองขาสั้น ‍ๆ‍‍ จะเดินลงไปรอด้านล่าง เขากินข้าวเช้าเรียบร้อยแล้ว เลยลงไปจัดเตรียมอาหารเช้าให้วัชรไปกินที่บริษัทแทน

“ป๊ะป๋ายังไม่ลงมาอีกเหรอ” ลำดวนเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าเด็กลงมาคนเดียว

“ป๊ะป๋าเพิ่งตื่นครับ คงกินข้าวไม่ทันแน่ ‍ๆ‍‍ ภูเลยเตรียมให้ เอาไปกินที่บริษัทดีกว่า”

พูดพลางนำกล่องอาหารออกมา ยัดแซนด์วิชชิ้นโตใส่ลงไป พร้อมหย่อนผักหลากสีสันแซมไปด้วยให้ดูน่ากิน ก่อนจะปิดฝาแล้วใส่ในกระเป๋าใบเล็ก ไม่ลืมกล่องนมและกล่องผลไม้เพิ่มเติมไปด้วย ครบเซตเหมือนที่ภูกินไปเมื่อกี้เลย

“ภูกลัวไปไม่ทันไหม เดี๋ยวป้าเรียกลุงพลมาขับรถให้ดีกว่า” 

“ไม่เอาครับ ภูจะให้ป๊ะป๋าไปส่ง” 

“โอเคจ้ะ ถ้างั้นเดี๋ยวป้าไปดูป๊ะป๋าของภูให้นะ ป้าจะได้เอาผ้าลงมาซักเลย” 

“ค้าบ ภูเก็บที่นอนให้แล้วนะ” 

“เก่งจังเลย” เธอเอ่ยชมพร้อมลูบหัวไปมา ช่างเป็นเด็กดีว่านอนสอนง่ายที่สุด วาสนาของวัชระโดยแท้

 

ถือเป็นสถิติใหม่เอี่ยมของวัชรเลยก็ว่าได้ ที่สามารถอาบน้ำ แต่งตัวทำทุกอย่างเสร็จภายในเวลาสิบนาที เหมือนเดินผ่านน้ำไม่มีผิด เขาก็ไม่ลืมที่จะประโคมฉีดน้ำหอมเข้าไปเพื่อเพิ่มความมั่นใจว่าจะไม่มีกลิ่นแปลกปลอมมาจากตัวเขา
ให้ตายเถอะ ทำไมต้องตื่นสายด้วยเนี่ย

ไม่รอให้เสียเวลาไปกว่านี้ เขารีบอุ้มตัวลูกขึ้น พร้อมถือกระเป๋าของภูและตัวเอง กึ่งเดินกึ่งวิ่งไปที่รถพร้อมยัดทุกอย่างเข้าไป รถยนต์ยี่ห้อ BMW X6 xDrive30d M Sport สีน้ำเงินสวยหรูได้เคลื่อนตัวออกไป เท้าเหยียบคันเร่งมิด ให้คนอาศัยบริเวณนั้นด่ากราดกันแต่เช้า

ก็นะ ขอสักวันเถอะ 

“ป๊ะป๋าตัวเหม็น อี๋” 

“อะไร” วัชรขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเด็กน้อยข้างคนขับเอ่ยทักขึ้น วันนี้ยิ่ง
ไม่มั่นใจอยู่ด้วย

ภูริภัทร‍‍‍เองก็รู้ว่าวันนี้ป๊ะป๋าของเขามีอาการอย่างไรถึงได้ฉีดน้ำหอมเสียฉุนจมูกขนาดนี้ อาบน้ำเร็วแบบนั้นมันช่วยไม่ได้ อยากตื่นสายเอง คิกคัก

เฮ้อ รู้สึกสนุกชะมัดที่ได้กลั่นแกล้งคนที่ชื่อว่าพ่อแต่เช้า อารมณ์ดีสุด ‍ๆ‍‍

“อย่าอยู่ใกล้พี่นัทนะ เดี๋ยวพี่นัทเหม็น” 

“เงียบปากไปเลยไอ้ตัวแสบ ยังไม่เคลียร์เรื่องที่ตบหน้าป๋าเมื่อเช้านะ” 

“ก็ป๋าไม่ยอมตื่นเองนี่ ช่วยไม่ได้—โอ๊ย ป๊ะป๋า ภูเจ็บ!!!” ชายหนุ่มหมั่นไส้นักเลยทำการหยิกแก้มหยิกปากให้ร้องดีดดิ้นลั่นรถ ไอ้ปากเล็ก ‍ๆ‍‍ ที่พ่นคำเหล่านั้นเหมือนกับผู้ใหญ่ ทั้งที่ตัวเองก็ตัวแค่นั้น แถมยังอยู่แค่ประถมหนึ่งอีก

ระหว่างที่เดินทางไปโรงเรียนภายในรถมีเสียงพูดคุยไม่หยุดจนถึงที่หมาย โชคดีที่มาถึงโดยสวัสดิภาพและทันเวลาก่อนเข้าแถว 

“ป๊ะป๋าต้องมารับนะเย็นนี้” 

“ไม่รู้ ต้องดูก่อน” 

“อะไรอ่า มารับเถอะครับ ภูอยากซื้อเครื่องเขียนใหม่ที่ร้านเดิมน้า~” 

“ให้ลุงพลพาไป” 

“ป๊ะป๋าก็รู้นี่ ถ้าไปร้านเดิม ภูจะได้สิทธิพิเศษ ป๊ะป๋าก็ด้วย” 

วัชระคิ้วกระตุก ถอนหายใจเฮือกใหญ่ คิดหนักอยู่เหมือนกัน เขาไม่สามารถรู้ได้ว่าวันนี้เลิกงานตรงเวลาไหม เพราะต้องเคลียร์เอกสารหลังจากนั้นด้วย แต่ก็โกหกไม่ได้เช่นกันว่าตนอยากไปร้านเครื่องเขียน

ร้านเครื่องเขียนแปลกประหลาด ไม่สิ แสนพิเศษ

“ก็ได้ ‍ๆ‍‍ เดี๋ยวป๋ามารับ” สุดท้ายความอยากก็ชนะทุกสิ่ง

“เย้ รักป๊ะป๋าน้า” กระโดดกอดไปหนึ่งที ก่อนจะเปิดประตูรถและลงไป ไม่ลืมหันกลับมาโบกมือไปมา 

“เดินดูทางด้วยภู อย่ามัวแต่มองอย่างอื่น” 

“รู้แล้วค้าบ” 

วัชรส่ายหน้าไปมา มองเด็กน้อยพบคุณครูแล้วจึงปล่อยวางได้ เคลื่อนรถไปที่ทำงานทันที

 

วัชระ วงศ์สิริมหินศรณ์

อัลฟ่า‍‍หนุ่มที่ใบหน้าคมคาย อยู่ในระดับหล่อเหลา รูปร่างสันทัด แม้ไม่มีกล้ามเนื้อใหญ่แน่น แต่ก็มีเสน่ห์ไม่แพ้กัน มีลูกติดหนึ่งคนอายุได้ 6 ขวบ ส่วนเขานั้นเพิ่งจะอายุ 32 ปี ไม่ได้แก่ไม่ได้วัยรุ่น ดำรงตำแหน่งประธานบริษัทสิริสกุล เป็นบริษัทสินค้าแบรนด์เนมที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับต้น ‍ๆ‍‍ ของประเทศ เพราะสินค้าที่มีเอกลักษณ์โดยการใช้ผ้าไหมออกแบบให้เข้ากับแฟชั่นในยุคปัจจุบัน

หล่อรวย สมบูรณ์แบบ แต่ก็ไม่มีแฟนสักที เพราะต้องทำงานเอาเงินมาเลี้ยงลูก

ใช่ ลูกที่เขาไม่คิดมาก่อนว่าจะมี

 

“สวัสดีคร้าบ คุณประธาน วันนี้มาเริ่มงานกันเลยดีไหม” 

นัท อัลฟ่า‍‍หนุ่มวัย 30 ปี เลขาประจำตัวเอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้มสดใส ขยับแว่นบนใบหน้าตัวเองขึ้นให้เข้าที่เข้าทาง

“ไม่ดี ขอกินข้าวก่อน” 

“ได้ไงก่อน ปกติก็กินมานี่นา” 

“ตื่นสาย แล้ววันนี้ต้องไปส่งภูริที่โรงเรียน” 

“โห ในรอบอาทิตย์เลยนะเนี่ย ลองนับบ้างนะครับว่าส่งลูกไปโรงเรียนได้กี่ครั้ง” 

“เสือกจริง ‍ๆ‍‍ เลยนะนัท อยากได้งานเพิ่มไหมจะได้หุบปาก” 

“ไม่เอาครับ” 

เขามาถึงบริษัทเรียบร้อย สิ่งแรกที่ทำคือการกินข้าว เห็นโพสอิทติดมากับกล่อง เขียนด้วยลายมือยึกยือเหมือนหนอน

 

‘กินให้หมดนะ จะได้โตไว ‍ๆ‍‍ จากภูริภัทร‍‍‍สุดเท่และเก่งกว่าป๊ะป๋า’ 

 

“เหอะ” 

มุมปากถึงกับกระตุกยกยิ้มขึ้นมาได้ คำพูดคำจาแก่แดดที่วัชระไม่เคยสอน ท่าทางที่เหมือนโตเกินวัย อาจจะติดมาจากเพื่อนหรือเลียนแบบมาจากผู้ใหญ่คนอื่นรึเปล่า? หากเป็นคนอื่นคงส่งไปเรียนดัดนิสัยแล้ว ต้องร้องเรียนโรงเรียนให้ตรวจสอบด่วน

ไม่สิ ความจริงวัชรก็เคยคิดอยากจะส่งไปเรียนเหมือนกัน แต่นั่นแหละ
มีคนขอไว้ ให้อิสระกับเด็กบ้าง โตขึ้นก็คงรู้เองว่าอะไรควรทำหรือไม่ควร หรือถ้ามันเด็กมันทำกิริยาแย่เกินไปเขานี่แหละจะสั่งสอนขั้นเด็ดขาดให้เอง

“อะแฮ่ม ‍ๆ‍‍ วันนี้คาดว่าสินค้ากระเป๋าล็อตใหม่เสร็จเรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวมีพนักงานฝ่ายที่ดูแลเรื่องนี้เอาเข้ามาให้ดูนะครับ” 

“อือฮึ” เข้าพยักหน้าเพื่อเป็นการบอกว่าฟังอยู่ขณะที่ปากเคี้ยวแซนด์วิชอยู่ ส่วนดวงตาก็อ่านข่าวในแอปพลิเคชันไปพลาง ‍ๆ‍‍

หลังจากที่กินเสร็จเรียบร้อยชีวิตในวัยทำงานก็เริ่มขึ้น มีบ้างที่จะสติหลุดลอย บ่นในใจว่าอยากให้ช่วงเย็นมาถึงโดยเร็ว เพราะอยากไปรับลูกชายจะแย่ หากให้พระเจ้ามองดูจากสวรรค์ลงมาก็คงรู้ว่ากำลังโกหกเต็มคำอยู่

วัชระมีเป้าหมายอื่นต่างหากล่ะ ดังนั้นวันทั้งวันจึงตั้งใจสะสางงานให้หมดเพื่อที่จะได้ไม่ต้องเลิกช้ากว่าคนอื่น

“วันนี้ท่านประธานทำงานเก่งจังเลยเน้อ อย่าลืมเพิ่มเงินเดือนหรือโบนัสให้ผมด้วยน้า” 

“อะไรวะนัท งง” 

“หยอกค้าบ” พอได้รับสายตาราวจะกินเลือดกินเนื้อก็ต้องรีบสงบปากสงบคำทันที ให้ตายเถอะ ไม่มีอารมณ์ขันเอาซะเล้ยเจ้านายคนนี้

 

ในที่สุดก็ถึงเวลาเลิกเรียน ช่วงเวลาบ่ายสามถึงแม้จะยังไม่ใช่เวลาเลิกงานแต่วัชรต้องวางปากกาลง รีบเก็บเอกสารใส่ลงในกระเป๋าและลงลิฟต์ไปโดยที่ไม่พูดคุยหรือทักทายใครเลย สิ่งเดียวที่เขาสนใจคือ

ไป โรง เรียน!!!

วัชรมุ่งหน้าไปที่โรงเรียนของภูริภัทร‍‍‍ และใช้เวลาไม่นานก็ถึง เขาจัดแจงเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ลงจากรถเพื่อเข้าไปรับลูกชายสุดที่รัก 

แน่นอนว่าระหว่างทางต้องมีทั้งเด็กและผู้ใหญ่ที่เหลือบมองตนบ้าง ซึ่งเขาก็แค่ยิ้มให้เท่านั้น จนกระทั่งเดินไปถึงใต้ตึกที่มีเด็ก ‍ๆ‍‍ วิ่งเล่นและจับกลุ่มพูดคุยอย่างออกรส คงเหมือนกับสุนัขที่วิ่งเล่นไปมายั้วเยี้ยจนไม่สามารถแยกออกว่าใครเป็นใคร

แต่เป็นเรื่องง่ายที่จะหาตัวภูริภัทร‍‍‍ได้ เพราะเด็กคนนี้มักโดดเด่นเสมอ หมายถึงได้รับความหล่อเหลามาจากพ่อนั่นแหละ

“สวัสดีค่ะ คุณผู้ปกครองมารับเด็กคนไหนเหรอคะ” กำลังจะเดินไปเรียกแล้ว ทว่ามีคุณครูคนสวยเดินมาทักเสียก่อน

“มารับภูริภัทร‍‍‍ครับ ประถมหนึ่งห้องหนึ่งครับ” 

“อ้อน้องภูนี่เอง คุณพ่อรอสักครู่นะคะ” เธอเดินไปหาภูริภัทร‍‍‍ทันที เด็กน้อยที่ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือเงยหน้ามองเธอก่อนจะเลื่อนมาสบตากับวัชระพลันรอยยิ้มปรากฏขึ้น รีบเก็บหนังสือใส่กระเป๋าและเดินมาหาทันที

“ป๊ะป๋าไม่ผิดสัญญา!!!” 

“ครับ ไม่ผิดสัญญาครับ” 

“ทำตัวปกติได้นะ ดูปลอมมากเลยอ่า” 

“เงียบภูริ” ดุไปหนึ่งที อุตส่าห์สร้างภาพลักษณ์เป็นคุณพ่อที่รักลูกและเอาใจใส่สุด ‍ๆ‍‍ ให้คนอื่นเห็นแล้ว แต่ไอ้เด็กแสบนี้กลับทำเสียแผนหมด ให้ตายสิ อยากจะหยิกหูจริง ‍ๆ‍‍ เลย 

“ไปแล้วนะครับคุณครู สวัสดีครับ” 

“จ้ะ วันนี้ดีจังเลยที่คุณพ่อมารับเองเลย” 

“ช่ายค้าบ” เธอเห็นภูริอารมณ์ดีก็ดีใจตามไปด้วย และได้เรื่องไปซุบซิบกับครูคนอื่น ถึงแม้ว่ามันจะเสียมารยาทก็เถอะ แต่ก็อยากเม้าท์มอยว่าทั้งเด็กและผู้ปกครองเด็กต่างก็หล่อเหลา ออร่าจับสุด ‍ๆ‍‍ 

ตัดมาที่สองพ่อลูกเมื่อขึ้นรถแล้วต่างถอนหายใจออกมาพร้อมเพรียงกันจนต้องเหลือบมอง

“คุณครูชอบเม้าท์เวลาป๊ะป๋ามารับภูตลอดเลย” 

“เม้าท์ว่าอะไร” 

“บอกว่าป๊ะป๋าหล่อจังเลย” 

“อ้อ” 

“แต่ภูริภัทร‍‍‍หล่อกว่าตั้งเยอะ คิก ‍ๆ‍‍” หันมายักคิ้วและเสยผมอันน้อยนิดไปด้านหลัง นั่นคงจะจำมาจากละครแน่ ‍ๆ‍‍ เพราะตนไม่เคยทำแบบนั้น

“แก่แดดอีกละ” ไม่วายยื่นมือไปขยี้หัวเด็กน้อย ภูเบี่ยงหัวหลบทันทีแล้วพองแก้มอย่างไม่พอใจ

“ไปได้แล้ว ภูอยากไปร้านเครื่องเขียน อยากไปกินขนมด้วย” 

“อยากไปซื้อของหรือไปหาใครกันแน่” 

“อันนี้ต้องถามป๊ะป๋ามากกว่านะ” เด็กน้อยสวนกลับทันควันจนวัชระเลิกคิ้ว

“เกี่ยวอะไรกับป๋า” 

“อยากเจอใครที่ร้านเครื่องเขียนรึเปล่า” 

“ไม่มี” 

“แล้วพี่คนสวยคนนั้นไง ใช่รึเปล่าน้า” 

ผู้ใหญ่กระแอมออกมาสองสามครั้ง พยายามเก็บอาการสุดฤทธิ์ เขารู้ว่าพี่คนสวยของภูริภัทร‍‍‍หมายถึงใคร

“เปล่าเถอะ ทำไมป๋าต้องอยากเจอด้วย”

“ผู้ใหญ่ขี้โกหก” 

“ภูริภัทร‍‍‍” ดุเสียงเข้มแล้วนะ

“รีบ ‍ๆ‍‍ ออกรถเร็วครับป๊ะป๋า เรียกชื่ออยู่ได้” เห็นว่าผู้เป็นพ่อเริ่ม
ไม่พอใจจึงรีบเปลี่ยนเรื่องเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง

“จริง ‍ๆ‍‍ เลยเด็กคนนี้” 

ร้านเครื่องเขียนร้านนี้อยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนมากเท่าไหร่นัก มันเป็นเรื่องปกติที่จะเปิดร้านบริเวณที่มีโรงเรียนตั้งอยู่ เพื่อเจาะกลุ่มตลาดนักเรียนและคุณครูโดยเฉพาะ นอกจากนี้ยังมีขนมนมเนยตั้งขาย กระทั่งอาหารชุดเล็ก ‍ๆ‍‍ ด้วย 

ภูริภัทร‍‍‍จึงตั้งฉายาร้านนี้ว่า ‘ร้านสารพัดอย่างที่เด็กต้องการ’ แถมยังมีบางอย่างที่พิเศษสุด ‍ๆ‍‍ จนทำให้ภูริภัทร‍‍‍ติดใจร้านเครื่องเขียนร้านนี้

เพราะเป็นช่วงเวลาหลังเลิกเรียนจึงทำให้มีลูกค้าเยอะพอสมควร ไม่มีที่จอดรถเลยต้องไปจอดไกลและเดินมา กระนั้นภูริก็ไม่ได้บ่นอิดออดใด ‍ๆ‍‍ ยังอารมณ์ดี วิ่งนำจนไม่รอวัชรเลย

“ภูอย่าวิ่ง มันอันตราย รอป๋าด้วย” 

“ป๋าต้องวิ่งนะ ออกกำลังกายบ้าง” ว่าแล้วก็วิ่งกลับมาหา พร้อมทั้งจูงมือวัชรข้างหนึ่ง ก่อนจะออกแรงดึงพาวิ่งไปด้วย 

“ไม่เอานะภู!” 

“วิ่งงง” 

ในสายตาคนรอบข้างคงมองเป็นพ่อลูกสุขสันต์ สดใสร่าเริงวิ่งเล่นหยอกล้อกับลูก ช่างเป็นครอบครัวที่น่าอิจฉา ทว่าในความเป็นจริงกลับตรงกันข้าม วัชรกำลังสาปส่งลูกชายตัวเองผ่านสายตาและปากมุบมิบนั่น

ว่าบาปไปนั่น ใครมันจะกล้าสาปส่งลูกตัวเอง

อ้อ! นายวัชระนี่เอง

สาปว่าอะไรล่ะ ขอให้ไม่มีแฟนน่ะสิร้ายแรงที่สุดแล้วสำหรับเด็กแก่แดดแบบนี้

ถึงจะวิ่งไม่กี่นาทีแต่ก็สูบพลังงานชายวัย 30 ต้น ‍ๆ‍‍ ไปจนหมดสิ้น นี่สินะ พลังวัยรุ่นที่หายไปเมื่อรับตำแหน่งที่ยิ่งใหญ่มาแล้ว 

“ป๊ะป๋าทำตัวดี ‍ๆ‍‍ จะเปิดประตูแล้ว” 

วัชรปาดเหงื่อและเช็กสภาพชุดสูทตัวเอง เขามาหยุดอยู่ที่ร้านเครื่องเขียนแล้ว ร้านค้าสีขาวสะอาดตา ตกแต่งด้านนอกน้อยนิด เน้นไปที่พวกต้นไม้และป้ายร้าน ‘about stationary เด่นหราแปะไว้ด้านบนประตูทางเข้า

กรุ๊งกริ๊ง!

เสียงกระดิ่งที่แขวนเอาไว้ตรงประตูกระทบจนเกิดเสียง เป็นสัญญาณ
บ่งบอกว่ามีคนเข้ามา ทำให้พนักงานในร้านเงยหน้าขึ้นและพูดขึ้นว่า

“ยินดีต้อนรับค่า” 

ด้านในจัดวางสินค้าอย่างมีระเบียบและแยกโซนได้ย่างชัดเจน ถึงแม้จะเป็นร้านสไตล์มินิมอล แต่ก็ยังคงแปะป้ายสัตว์น่ารัก ‍ๆ‍‍ เอาไว้หลอกล่อเด็ก ‍ๆ‍‍ ให้สนใจ ส่วนอีกด้านหากทะลุไปจะเป็นร้านอาหารที่มีขนมนมเนยวางขาย ตรงนั้นมีเด็ก ‍ๆ‍‍ รุมล้อมมากกว่าส่วนอื่น กระนั้นก็ไม่ใช่กับภูริภัทร‍‍‍ที่จะเข้าไปร่วมแจมด้วย

“เอ้าเชิญตามสบายคุณชาย” วัชรพูดกับภูริภัทร‍‍‍ 

ภูริภัทร‍‍‍อมยิ้ม “คือจริง ‍ๆ‍‍ ภูมาซื้อดินสอสีใหม่แหละ แต่รองลงมาก็เหมือนป๊ะป๋านะ” 

“อะไร” วัชรเลิกคิ้ว

“ไปดีกว่า เบื่อคนแก่ขี้เก๊ก” 

“หา?”

อะไรของเด็กวะเนี่ย พอจะถามให้เข้าใจเจ้าตัวก็เดินไปอีกทาง รู้หมดแล้วว่าของที่ต้องการอยู่ส่วนไหนของร้าน

เมื่อตัวแสบหายลับเข้าไปในร้านแล้ว ตัวเองก็เดินสำรวจบ้าง เขาไม่ได้สนใจพวกเครื่องเขียนหรอก เพียงแค่ขอตั้งหลักให้ดีเสียก่อน

ใช่ ตั้งหลัก เตรียมตัวเตรียมใจเพื่อกระทำอะไรบางอย่าง

‘จะเขินทำไมวัชร ควรชินสักที’ 

พูดกับตัวเองในใจเป็นการให้กำลังใจตัวเอง เสี้ยววินาทีถัดมาจึงมุ่งหน้าเดินไปที่เคาน์เตอร์ที่มีพนักงานผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่

“สวัสดีค่ะ หาสินค้าตัวไหนอยู่คะ ช่วยหาได้นะคะ” 

“เปล่าครับ ผมมาหา ‘นิธิศ’ ครับ” 

เธอทำหน้าแปลกใจเล็กน้อย ก่อนจะร้องอ้อและเผยรอยยิ้มออกมา “คุณนี่เอง ตายจริง เพิ่งได้เจอครั้งแรก ฉันตกใจมากเลย” 

“อ่า…ครับ” ประโยคนั้นอีกคนคงเอาเรื่องไปเล่าแน่เลย

“เดี๋ยวฉันไปเรียกมาให้นะคะ พอดีนิธิศกำลังเคลียร์ของอยู่หลังร้านค่ะ” 

“ครับ ขอบคุณครับ” 

จากนั้นเธอก็หายเข้าไปในห้องที่เขียนว่า ‘staff only’ นานอยู่หลายนาที ทว่าการรอคอยก็สิ้นสุดลงเมื่อประตูเปิดออกอีกครั้ง พร้อมกับร่างของคนที่ทำให้หัวใจของวัชระเต้นผิดจังหวะและเสียอาการอย่างเห็นได้ชัด

“สวัสดีครับพี่วัชร ไม่ได้เจอกันตั้งนานเลย สบายดีไหม” 

คนที่ตนอยากมาหาเอ่ยทักทายแล้ว ทว่าวัชรกลับเงียบ พยายามทำตัวให้เคร่งขรึม ซ่อนสีหน้าอาการดีใจไว้ข้างในได้อยู่หมัด

“สวัสดี ผมสบายดีครับ” 

“ไม่แทนตัวเองเหมือนเดิมเหรอครับ?” 

วัชรอึกอั่ก “พอดีภูมาด้วย” 

ถึงกับบางอ้อทันที “อ้อ นั่นสินะ เดี๋ยวเด็กจะตกใจที่เราดูสนิทกันเนอะ” 

“ก็ประมาณนั้น” วัชรอยากกรีดร้องหลังจากตอบเสร็จ ดวงตาเรียวสำรวจมองคนตรงข้าม

นิธิศ อัลฟ่า‍‍ผู้เต็มไปด้วยเสน่ห์เหลือล้น เส้นผมถูกย้อมเป็นสีบลอนด์ยาวละต้นคอ ถูกมัดรวบเป็นจุกเล็ก ‍ๆ‍‍ เพื่อที่ตอนทำงานไม่เกะกะ ใบหน้าคมคายออกไปทางสะสวยงามเพ่งพิศ รอยยิ้มขี้เล่นที่สามารถตกหนุ่มสาว เพิ่มระดับความหล่อด้วยไฝใต้ตาซ้าย ส่วนสูงและขนาดตัวพอ ‍ๆ‍‍ กับวัชระ โดยรวมแล้วเป็นผู้ชายที่มีพลังทำลายหัวใจสูงมาก

“พี่ธิศ!!!” 

“อ้าวว่าไงน้องภู” 

วัชรหลุดจากภวังค์ ได้ยินเสียงแหลมของเด็ก 6 ขวบ‍‍‍ เจ้าตัวกระโดดกอดเอวนิธิศแน่น สองคนนี้รู้จักกันได้เพราะภูริภัทร‍‍‍ชอบมาซื้อเครื่องเขียน ประจวบกับนิธิศเป็นคนรักเด็ก ทำเอาเหล่าเด็กน้อยติดตรึม

“วันนี้มีแพนเค้กรูปกระต่ายนะ ลองไปกินยัง” 

“ยางง” 

“ถ้างั้นเดินไปที่โซนขนมนะ บอกว่าพี่ธิศให้ฟรี” 

“จริงเหรอ!” 

“จริงครับ” 

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมจ่ายเอง” วัชรขัด เพราะมันดูไม่ดีที่จะขอกินฟรี ของซื้อของขายแท้ ‍ๆ‍‍

“เดี๋ยวพี่ค่อยจ่ายให้ผมก็ได้” 

วัชรมองตาขวาง ส่งสัญญาณให้นิธิศที่เผลอหลุดปากใช้สรรพนาม
สนิทสนม คุณพ่อรีบเดินไปที่โซนขนมทันที แต่ธิศก็ยังจะเดินตามมายืนข้างวัชร และใช้จังหวะที่ภูริภัทร‍‍‍สนใจเตาทำแพนเค้กมากกว่า

นิ้วเรียวยาวตวัดเกี่ยวนิ้วก้อย ลูบไล้ไปมาจนอัลฟ่า‍‍หนุ่มเหลือบมอง รอยยิ้มสดใสนั่นเป็นสิ่งที่ตนมองเห็นตลอดเวลา

“คืนนี้มาเจอกันหน่อยไหมครับ ที่ร้านเดิม” 

“…” 

“ป๊ะป๋ากินนน” จู่ ‍ๆ‍‍ ภูริภัทร‍‍‍ก็วิ่งมาโดยที่ตนยังไม่ได้ตอบกลับคนน้อง รับแพนเค้กจากลูกมากินราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

วัชรปล่อยให้ภูริคุยเล่นกับนิธิศจนพอใจ ก่อนจะขอตัวกลับบ้าน ในขณะที่กำลังปิดประตูลง วัชรจ้องมองเจ้าของร้านด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง และพูดว่า

“ถ้าภูนอนเร็วก็จะไป” 

นิธิศยิ้ม “เด็กไม่ควรนอนดึกนี่นะ ผมตั้งตารอนะ” 

วัชรไม่ได้ตอบกลับอะไร แต่เดินตามภูริภัทร‍‍‍ไปขึ้นรถ และเมื่อขับเคลื่อนออกไป ตัวเด็กน้อยที่ยัดแพนเค้กรูปกระต่ายเข้าปากก่อนจะเคี้ยวแก้มพอง กลืนมันลงไปจนหมดก็เอ่ยขึ้นมา

“วันนี้ภูไม่มีการบ้าน ว่าจะเข้านอนเร็วสักสองทุ่ม ดีไหมป๊ะป๋า” 

วัชรถึงกับชะงักค้าง ค่อย ‍ๆ‍‍ เหลือบมองเด็กมีปัญหา

“อะไรนะ?” 

“หึ ๆ” ภูริภัทร‍‍‍แสยะยิ้ม ยักคิ้วให้ผู้เป็นพ่อหนึ่งที ราวกับรู้ใจว่าเขาต้องการอะไร 

แน่นอนว่าภูริภัทร‍‍‍ย่อมรู้ถึงความสัมพันธ์ของสองคนนี้

ป๊ะป๋าของตนชอบนิธิศ พี่สุดสวยของภูริภัทร‍‍‍ ดูอย่างไรก็เป็นความจริง มันเริ่มตั้งแต่สองเดือนที่แล้วที่ภูชวนพ่อมาซื้ออุปกรณ์การเรียน ทั้งคู่ได้เจอกัน สบประสานสายตา และเกิดการปิ๊งกัน ดวงตาประกายวาววับมาก ‍ๆ‍‍

ชัดเจนสุด ‍ๆ‍‍ !!!

 เพราะฉะนั้นเด็กดีคนนี้ไม่มีทางที่จะขัดขวางหรอก 

“ภูเป็นลูกที่น่ารักไหมครับ?” 

“…” 

ทางด้านวัชระเองก็คิดว่าไม่มีทางที่เด็กนี่จะรู้เรื่องที่เขาคุยกับนิธิศ แค่บังเอิญมั้ง ใช่ บังเอิญแหละ แต่ไอ้ท่าทางน่าหมั่นไส้นี่มันน่ากวนโอ๊ยชะมัด

ไอ้เด็กแก่แดดจอมรู้ดี!!!!