โรงเรียนสอนให้หนูมีความรับผิดชอบ แต่โรงเรียนที่ป๊ะป๋าเรียนมาเขาไม่สอนเหรอ ป๊ะป๋าไปรังแกคุณคนสวย แต่ไม่รับผิดชอบเนี่ยนะ หนูอายที่มีป๊ะป๋าแบบนี้นะ — “มั่วแล้ว! คุณคนสวยต่างหากที่แกล้งป๋า แกล้งจนท้อง!!!”
ชาย-ชาย,โอเมกาเวิร์ส,ครอบครัว,รัก,ดราม่า,omegaverse,ปะป๊าอย่าโง่ ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
#ป๊ะป๋าอย่าโง่ (omegaverse)โรงเรียนสอนให้หนูมีความรับผิดชอบ แต่โรงเรียนที่ป๊ะป๋าเรียนมาเขาไม่สอนเหรอ ป๊ะป๋าไปรังแกคุณคนสวย แต่ไม่รับผิดชอบเนี่ยนะ หนูอายที่มีป๊ะป๋าแบบนี้นะ — “มั่วแล้ว! คุณคนสวยต่างหากที่แกล้งป๋า แกล้งจนท้อง!!!”
รู้ถึงไหน อายถึงนั่น!
คนอย่าง 'ป๊ะป๋าวัชระ' อัลฟ่าหนุ่มที่เพียบพร้อมทุกอย่าง เงินทอง อาชีพมั่นคง และมีลูกชายปากดี (จัด) แก่แดด เถรตรง ดูเป็นผู้ใหญ่เกินวัย ถึงกระนั้นก็ยังไปทำคนอื่นท้องและจะทิ้งอย่างไม่ไยดี!!!
ที่สำคัญเป็นพี่ชายสุดสวยที่ 'ภูริภัทร' ชอบมาก ๆ ด้วย
"ป๊ะป๋าช่างเลวนัก กล้ารังแกพี่สุดสวยของภูทำไม!!! ภูจะเอาเลือดบนหัวป๋าออกเดี๋ยวนี้!"
"เดี๋ยวนะภู นิธิศสุดสวยของภู (พอ) รังแกป๋าต่างหาก รังแกจนท้อง! ไอ้เด็กแก่แดดไม่รู้เรื่อง!!!"
"ไม่จริ๊งงงงง!"
ฟีลป๊ะป๋ากับลูกหยุมหัว
และ
พ่อหนุ่มหน้าสวยกับหนุ่มธุรกิจพ่อเลี้ยงเดี่ยว
คำเตือน :
Omegaverse
multiverse
blood เลือด , death ความตาย
Profanity คำหยาบคาย pregnancy ตั้งครรภ์
Sexual explicit เนื้อหามีความโจ่งแจ้งในเรื่องเพศ
Violence การใช้ความรุนแรง gun ปืน
Verbal abuse ทำร้ายทางวาจา
Toxic family ครอบครัวที่ไม่มีสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน (ญาติผู้ใหญ่)
บทที่ 4
บ้านสิริมหินศรณ์ที่ภูเกลียด
วันหยุดสุดสัปดาห์ถือเป็นวันที่เหล่าเด็ก ๆ ต่างชื่นชอบ เพราะไม่ต้องตื่นเช้าไปโรงเรียน พักผ่อนนอนดูการ์ตูนให้อิ่มหนำสำราญ หากมีความรับผิดชอบหน่อยก็จะทำการบ้านหรืออ่านหนังสือทบทวนบทเรียนเก่า ๆ
แน่นอนว่าภูริภัทรต้องเลือกอย่างแรก วันหยุดก็ต้องหยุดร่างกายและสมองไม่ให้เครียดซี่ ถึงจะคุ้มค่ากับชีวิตในวันหยุด
จะบอกแบบนั้นในฐานะที่เป็นเด็กก็เถอะ สำหรับผู้ใหญ่ก็ควรได้พักผ่อนเช่นกัน วัชระเองก็ไม่ต้องไปทำงาน แต่ต้องเอาเอกสารกลับมาเคลียร์ที่บ้าน นี่มันพักที่ไหน เหมือนย้ายที่ทำงานชัด ๆ ยังไงก็ทรงงานหนักอยู่ดี
“คุณวัชรคะ เมื่อกี้มีคนจากบ้านใหญ่โทรมาบอกว่าให้คุณวัชรกลับบ้านวันพรุ่งนี้ค่ะ แล้วก็ให้โทรกลับด้วย” ลำดวนเดินเข้ามาพูดกับวัชรที่นั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะรับประทานอาหาร
“เป็นใครที่โทรมา”
“คุณอดิศักดิ์ค่ะ”
วัชรถึงกับถอนหายใจทันที รู้เลยว่าทางนั้นโทรมาทำไม คงไม่พ้นเรื่องของปลายฟ้าแน่นอน แต่ก็แอบแปลกใจไม่น้อยเพราะเหตุการณ์วุ่นวายนั่นผ่านมาหลายวันแล้วแต่เรื่องเพิ่งจะแดง หากเป็นเมื่อก่อนต้องรู้ภายในวันที่เกิดเรื่องแล้ว
“โอเค ขอบคุณครับป้า”
“ค่ะ แล้วก็บอกว่าให้พาน้องภูไปด้วยค่ะ”
วัชรถึงกับชะงักงันไปหลายวินาที ใบหน้าคมคายเริ่มแสดงสีหน้าเคร่งเครียดกว่าที่ได้ยินประโยคแรกของป้าลำดวนเสียอีก
หากเป็นเรื่องของภูริภัทรแล้วนั้น บ้านนั้นออกจะ...ใจร้ายไปเสียหน่อย แม้ว่าเขาจะพาไปหาแค่ไม่กี่ครั้งต่อปีก็ตาม
ดูเป็นเรื่องเลวร้ายที่กีดกันไม่ให้พบหลานตัวเอง แต่นี่คือทางที่ดีสำหรับเด็กน้อยวัย 6 ขวบแล้ว ถ้าอยากให้เติบโตมาอย่างดีปราศจากมลพิษทั้งหลาย
“เฮ้อ ไม่อยากให้เจอเลยจริง ๆ”
วัชระพึมพำ เหลือบมองเด็กน้อยกำลังนั่งดูการ์ตูนอยู่ในห้องนั่งเล่น ใบหน้าละอ่อนน่ารักกำลังจดจ่อกับโทรทัศน์จอแบน ดวงตาเป็นประกายวับวาวราวกับมีดวงดาวอยู่ในนั้น
แสงสว่างของวัชระ
วัชระทิ้งงานไว้ที่โต๊ะ และเดินไปนั่งข้างเด็กน้อย กลั่นแกล้งโดยการขยับเบียดทีละนิด ภูริภัทรที่สนใจแต่การ์ตูนก็ทำเพียงขยับถอยห่าง วัชรก็ขยับตาม ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนโดนเบียดสุดมุมอีกหน่อยก็สิงโซฟาแล้ว
“โอ๊ย! อะไรเนี่ยป๊ะป๋า อย่ามาทำตัวนิสัยแบบนี้ คนกำลังดูการ์ตูน!”
“ก็ดูไปสิ ใครห้าม”
“ก็ช่วยออกไปไกล ๆ ได้ไหม มันอึดอัด ฝั่งตัวเองก็มีที่ตั้งเยอะแยะ”
“อยากนั่งตรงนี้ มันจะทำไม”
คิ้วเรียวเล็กกระตุกถี่ มุมปากยกยิ้ม เด็กน้อยมีความอดทนเหลือล้น และมันกลับแตกเพล้ง! เพราะเห็นวัชรส่งสีหน้ายียวนใส่
“ไอ้ป๊ะป๋าเลว!!!”
“โอ๊ย!!! ภูริภัทร ป๋าเจ็บ!!!”
วัชระร้องโอดครวญ เพราะเจ้าลิงมันปีนกระโดดมานั่งบนหัวของตน พร้อมใช้สองขาตวัดเกี่ยวรัดคอเขาจนไม่กลัวนรกจะลงโทษ สองมือก็ดึงทึ้งเส้นผมจนวัชรอาละวาด อัลฟ่าหนุ่มตัวโตรีบหงายตัวนอนทิ้งลงกับโซฟา ใช้ความเร็ว ความคล่องแคล่วรวบรัดมือและเท้าเอาไว้
“ปล่อยน้าาา” เด็กน้อยคลุ้มคลั่ง ทำเป็นแยกเขี้ยวเป็นสุนัข นึกว่าจะกลัววัชระหรืออย่างไร ไม่เห็นน่ากลัวเลยสักนิด อัลฟ่าหนุ่มขมวดคิ้ว หัวเสียแค่ไหนก็ไม่สามารถฆ่าแกงลูกชายตัวเองได้หรอก ทำได้แค่ดีดหน้าผากแรง ๆ เป็นการสั่งสอนแทน
“นี่ทำโทษแค่นี้นะ อย่าลามปามให้มากภูริภัทร”
“ทำอย่างกับภูไม่เคยทำมากกว่านี้”
แค่นี้ยังจิ๊บ ๆ กับสิ่งที่ตนเคยทำลงไปด้วยเจตนา เช่น เอาของมีคมไปกรีดหน้ารถ ใช้กรรไกรตัดกระเป๋าทำงาน แกล้งทำน้ำหกใส่เอกสารสำหรับเข้าประชุม หรือกระทั่งไปก่อกวนที่บริษัทจนเกิดเป็นหายนะขนาดหย่อมขึ้น
“ตอนนั้นยังเด็ก ไม่อยากเสียค่าพยาบาล”
“ตอนนี้ก็เด็ก ป๋ายังกล้าทำเลย”
“แต่แรงอาฆาตมีมากกว่า”
“เป็นพ่อคนอะไร๊ เกลียดชังทำร้ายลูกตัวเอง นี่ถ้าเป็นข่าวขึ้นมาภูต้องเป็นคนดังไปให้คุณลุงหนุ่มโหนกระแซะกระแสสัมภาษณ์แล้วมั้ง”
“โอ๊ย แก่แดดว่ะภู เงียบปากไปดิ๊” ปาหมอนอัดใส่หน้าไปเลย ร่างเล็ก ๆ ถึงกับหงายหลังและลุกขึ้นมาเป็นตุ๊กตาล้มลุก สีหน้าอวบนั่นไม่พอใจสุด ๆ จะอาละวาดอีกรอบแล้วถ้าวัชรไม่พูดประโยคถัดมา
“พรุ่งนี้ไปหาปู่กับย่าที่บ้านนะ”
“...” หยุดชะงักราวกับหุ่นยนต์แบตเตอรี่หมด
“ภูริภัทร ได้ยินรึเปล่า” อัลฟ่ากลิ่นดอกกาแฟเริ่มใจไม่ดีที่เห็นลูกชายเงียบไป คิดว่าปฏิกิริยานี้ไม่ได้เป็นเพราะเขาปาหมอนใส่หน้าหรอก ต้องเกี่ยวกับบ้านนั้นแน่นอน
ในขณะเดียวกันทางด้านภูริภัทรเองก็ตกใจไม่น้อยที่ได้ยินประโยคนั้น นานแล้วที่พวกคุณปู่คุณย่าจะถามหา ทว่าก็ไม่ได้สนใจหรือมีความสัมพันธ์อันดีเท่าใดนัก
“ภูไม่อยากไป”
“ป๋าก็ไม่อยากให้ไปหรอก แต่ปู่อยากเจอ ป๋าขัดไม่ได้”
“...” เงียบและงัดสิ่งที่เด็กชอบทำประจำมาต่อต้านผู้ใหญ่ เบะปาก น้ำตาคลอ และแผดเสียงอาละวาด
“ไม่ไป! ภูไม่ไป!”
“ถ้าไปเดี๋ยวซื้อของเล่นให้ใหม่”
“ไม่เอา!!!”
วัชระกุมขมับ เขาไม่อยากดุว่าเด็กน้อยเพราะเรื่องที่ไม่ทำตามคำสั่งของพวกผู้ใหญ่ แต่หากไม่ทำคนพวกนั้นต้องหาทางลากตัวสองพ่อลูกให้ไปบ้านใหญ่จงได้
“ถ้ายอมไปเจอปู่ด้วยกัน เดี๋ยวว่าง ๆ ป๋าพาไปหาพี่คนสวยของภู เอาไหม” ก็ต้องงัดไม้เด็ดมาล่อให้ติดกับ
“เจอกันแทบทุกเย็น”
“แล้วถ้าไปเที่ยวด้วยกันล่ะ”
“ไม่เชื่อ” ภูริสะบัดหน้าเชิดใส่ แถมยังตัดบทสนทนาอย่างไร้เยื่อใยโดยการกลับมาตั้งใจดูการ์ตูนต่อ
วัชรถอนหายใจยาวเหยียด ลุกเดินออกไปห่าง ๆ โซฟา ก้มกดโทรศัพท์เพื่อโทรหาใครบางคน
[ ฮัลโหล ว่าไงครับพี่วัชร ] รอไม่นานเสียงทุ้มคุ้นหูทำเอาหัวใจเต้นผิดจังหวะพลันดังขึ้น ทว่าต้องตั้งสติใหม่ นี่ไม่ใช่เวลามาสวีทหวานแหววนี่นะ
“รบกวนอะไรด้วยหน่อยสิ” ในที่สุดวัชรก็เริ่มแผนการเอาชนะใจเด็กแสบได้แล้ว ง่ายจะตายไป แค่ขอให้นิธิศช่วยพูดกับภูริภัทรหน่อย
อาจจะดูน่าอับอายที่ไม่สามารถเอาชนะใจลูกตัวเองได้จนต้องให้คนอื่นมาช่วย แต่ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย ในเมื่อเราทั้งสามต่างได้ผลประโยชน์ร่วมกันทั้งหมด
“ภูมีคนจะคุยด้วยแน่ะ” หลังจากเตี๊ยมกันเรียบร้อยแล้วก็เดินกลับไปหาเด็กน้อยพร้อมส่งโทรศัพท์ให้
“จะมาไม้ไหนอีกล่ะ ภูไม่คุย”
“ลองคุยก่อน” ภูเหลือบมองชื่อและเบอร์โทรที่โชว์เด่นหราบนโทรศัพท์ก็ถึงกับตาเบิกกว้าง รีบคว้ามันจ่อหูทันที
[ ฮัลโหลน้องภู จำเสียงพี่ได้ไหม ]
“พี่ธิศ!!!!!”
แล้วก็กรี๊ดลั่นบ้านจนวัชรต้องปิดปากเล็ก ๆ นั่น พอผละออกก็เริ่มพ่นคำถามมากมายใส่นิธิศจนวัชรปวดหัวแทน
อัลฟ่าหนุ่มลอบมองปฏิกิริยาของเด็กน้อยยามคุยโทรศัพท์ จากที่รอยยิ้มกว้างประดับบนใบหน้าก็เริ่มหน้าบึ้ง ขมวดคิ้ว เลิกคิ้ว ตื่นตะลึง และต่อด้วยดีใจสุดขีด บทสนทนาก็พอคาดเดาได้ นิธิศกำลังเกลี้ยกล่อมให้เด็กน้อยเชื่อฟังคุณพ่อ
“อื้อ ก็ได้ ภูจะเป็นเด็กดีของป๊ะป๋า เชื่อฟังก็ได้” ภูพูดเสียงงอแงขัดกับสีหน้าบึ้งตึง
สำเร็จ!
ภูริภัทรส่งโทรศัพท์คืนหลังจากที่บทสนทนาจบแล้วพลางกัดฟันกรอด ๆ ในขณะที่วัชรส่งยิ้มอย่างมีชัยชนะ พร้อมฝากประโยคที่ทำให้ความอดทนของภูแทบขาดสะบั้น
“จำคำตัวเองไว้ให้ได้ละกันน้องภูริของป๋า”
“เหอะ ผู้ใหญ่เจ้าเล่ห์นิสัยเสีย”
“นั่นป๋าถือว่าเป็นคำชมนะ”
“ฮึ่ย!!!”
ให้ตายสิ จะเป็นบ้าก่อนได้ไปเจอคนบ้านนู้นเหรอ เวรกรรมอะไรของภูอะ
วันถัดมาสภาพของภูริภัทรโทรมอย่างเห็นได้ชัด สีหน้าอ่อนเพลีย ร่างกายอ่อนเปลี้ย ใต้ตาดำปี๋เป็นหมีแพนด้า แม้จะเข้านอนตั้งแต่สองทุ่มทว่ากลับนอนไม่หลับ เอาแต่คิดเกี่ยวกับการไปเหยียบบ้านใหญ่ทั้งคืน เขาไม่ชอบความรู้สึกนี้เลย ทั้งที่เป็นบ้านของครอบครัวพ่อแม่ตัวเองแท้ ๆ
“ทำไมง่วงนอน แอบตื่นมาเล่นกลางคืนรึไง” วัชรทักถาม ขณะตรวจเช็กของต่าง ๆ ภายในรถ
“เปล่าเถอะ”
“แล้วทำไมเป็นแบบนี้ ฝันร้ายเหรอ หรือหมอนไม่ดี? เปลี่ยนหมอนไหม?” วัชระพูดพลางย้ายมานั่งที่คนขับ หันไปประคองหน้าอวบอ้วนของลูกชาย ใช้นิ้วโป้งเกลี่ยตามขอบตาอย่างแผ่วเบา
ภูปัดมือป๊ะป๋าออก ทำเป็นกระแอมและหันออกไปนอกหน้าต่าง” ปกติดี คงกลัวที่จะทำข้อสอบคณิตไม่ได้วันพรุ่งนี้ต่างหาก” แก้ตัวไปเรื่อย
“เด็กแก่แดดที่ชอบหลับตอนเรียนเนี่ยนะจะมากลัว?”
“ต่อยกันไหมป๊ะป๋า”
“ไม่ล่ะ ต้องรีบไปบ้านใหญ่ได้แล้ว” สิ้นประโยค วัชรก็ขับรถออกไปจากบ้าน กระนั้นยิ่งทำให้ภูริภัทรคิดไม่ตกอยู่ดี เป็นแค่เด็กอายุ 6 ขวบทำไมต้องมาเครียดที่ต้องเผชิญกับพวกคนแก่หัวโบราณด้วยเล่า
ใช่ แค่ 6 ขวบ ทำตัวเป็นเด็กไร้เดียงสาเหมือนเดิมก็ได้แล้ว ไม่ต้องคิดอะไรมาก
พวกเขามาถึงบ้านวงศ์สิริมหินศรณ์ในช่วงสาย คนรับใช้ต่างออกมาต้อนรับ ช่วยถือของในรถ ความใหญ่โตของบ้านหลังนี้ทำให้ภูริภัทรหวั่นใจเหลือเกิน ถึงกับก้าวขาไม่ออก จนวัชระต้องอุ้มขึ้นมาและเดินเข้าไป หากสังเกตให้ดี ตัวป๊ะป๋าเองก็กังวลเช่นกัน แต่สามารถเก็บอารมณ์ได้ดีเยี่ยม
ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เราสองคนต่างหวาดกลัวคนบ้านนี้?
“มาแล้วเหรอวัชร”
ทันทีที่ก้าวเท้าเข้าไปในห้องรับแขก เสียงหวานเอ่ยทักทายทันที ทำให้วัชรชะงักไปเสี้ยววินาที ก่อนจะปั้นยิ้ม วางภูริภัทรลงและยกมือไหว้ผู้อาวุโสกว่า
“สวัสดีครับแม่” มยุรี สาววัยกลางคน อัลฟ่าหญิงแสนงามของบ้านตระกูลวงศ์สิริมหินศรณ์เดินเข้าไปสวมกอดลูกชายของตน ใบหน้างามแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้ม
“สวัสดีครับคุณย่า” ภูริสะกิดเธอ และยกมือไหว้ตามบ้าง ทำให้เธอเอ็นดูและกอดบ้าง
“สวัสดีจ้ะ ตัวโตขึ้นเยอะเลยนะภู”
“คุณย่าก็สวยเหมือนเดิมเลย”
“ตายจริง ปากหวานนะเนี่ย วัชรสอนให้พูดเหรอ” เธอหัวเราะคิกคัก
“เปล่าครับ แกเป็นเด็กฉลาดคงจะจำมาจากการ์ตูน ไม่ก็หนังครับ” วัชระยิ้มแห้ง อึ้งไม่น้อยที่เด็กคนนี้พูดจาเอาใจคนเก่ง
“เพราะปล่อยลูกแบบนี้รึเปล่า ถึงทำให้กลายเป็นเด็กนิสัยไม่ดี จำแต่สิ่งแย่ ๆ มา ไม่มีวิจารณญาณเลยหรือไง”
เสียงทุ้มทรงอำนาจขัดขึ้น บรรยากาศรอบข้างแปรเปลี่ยนเมื่อร่างชราเดินเข้ามาร่วมวง นัยน์ตาสีดำวาวโรจน์ของผู้ที่เป็น ‘ปู่’ เหลือบมองหลานคล้ายดูแคลน ไร้รอยยิ้ม ไร้อ้อมกอด ทำให้ภูริภัทรต้องขยับไปยืนหลบหลังวัชระทันที
“ภูริภัทรเป็นเด็กดีครับพ่อ เขาแยกแยะเป็น”
“ดูเหมือนจะไม่เป็นแบบนั้นนะ”
“คุณพ่อไม่ได้อยู่กับพวกเราตลอด ไม่มีทางรู้ดีกว่าหรอกครับ”
“...”
บรรยากาศเริ่มตึงเครียดขึ้นเรื่อย ๆ ภูริภัทรสัมผัสถึงความอึดอัดจนหายใจไม่ออก ในขณะเดียวกันวัชรรับรู้ว่าพ่อของตนปล่อยฟีโรโมนของ
อัลฟ่าข่มโดยไม่เกรงใจคนรอบข้าง หรือกระทั่งลูกหลาน
แม้ภูจะยังไม่ได้กลิ่นฟีโรโมน แต่รังสีความไม่เป็นมิตรของปู่สามารถกระทบจิตใจเด็กได้ง่าย
มยุรีถอนหายใจออกมา เอ่ยห้ามสามีของตนทันที
“ที่รักคะ หยุดปล่อยฟีโรโมนก่อนค่ะ คนใช้กลัวหมดแล้ว ลูกหลานเองก็อึดอัดไม่สบายตัวเหมือนกันนะคะ”
“ไม่ได้เรื่อง” อดิศักดิ์ยอมหยุดปล่อยกลิ่นข่ม เดินออกไปที่สวน ทิ้งคำพูดร้ายกาจไว้กับเด็ก 6 ขวบ ทำให้วัชรลูบหลังปลอบใจ
“ป๊ะป๋าจะปลอบภูทำไม”
“ภูไม่ได้อยู่คนเดียว”
“...” ภูริภัทรเงียบ พยายามเก็บสีหน้าว่าตัวเองไม่ได้มีอารมณ์อ่อนไหวใด ๆ ไม่ได้อยากร้องไห้หรือหวาดกลัว กระนั้นก็เอนพิงศีรษะกับลาดไหล่ของป๊ะป๋า แขนสั้นโอบตัวอีกคนและตบหลังปุ ๆ พูดอื้ออึงในลำคอว่า
“ภูเก่งจะตาย ไม่เป็นไรหรอก”
บ้านวงศ์สิริมหินศรณ์ ตอนนี้มีเพียงอดิศักดิ์และมยุรีที่อาศัยอยู่ มีบ้างที่เครือญาติคนอื่นจะแวะมาเยี่ยม แน่นอนว่าหลายคนต้องตั้งคำถามอยู่ในหัว
ทำไมสองพ่อลูกคู่นี้ไม่อยู่บ้านหลังนี้? ทั้งใหญ่โต สะดวกสบายครบครันแทบทุกอย่าง จากเด็กธรรมดากลายเป็นคุณหนูผู้สูงศักดิ์ได้ในทันที
คำตอบชัดเจนเสียเหลือเกิน ดูสภาพคนเหล่านี้สิ เป็นมลพิษกับจิตใจเด็กนัก วัชระไม่ยอมให้อยู่ด้วยกันหรอก เดี๋ยวเสียสติกันพอดี
ภูริภัทรถูกปล่อยให้ไปเที่ยวเล่นรอบบ้านกับคนใช้ ในขณะที่ผู้ใหญ่ต่างพูดคุยตามประสาทคนมีอายุ เด็กน้อยขึ้นไปชั้นสอง สอดส่องตามห้องต่าง ๆ ดูแล้วก็ไม่มีอะไรพิเศษหรือน่าตื่นเต้น ก็แค่บ้านที่ตกแต่งหรูหราจนรำคาญตา
ทว่ายกเว้นห้องร้างห้องหนึ่ง ที่แตกต่างไปจากห้องอื่น ไม่น่าเชื่อว่าจะไร้การดูแลทำความสะอาด เป็นห้องที่ไร้การตกแต่ง สีสันเศร้าหมองจืดชืด เหลือเพียงกรอบรูปบนผนัง โต๊ะและตู้เก็บของทิ้งไว้
“หนูภู ออกมาเถอะค่ะ ห้องนี้ฝุ่นเยอะเดี๋ยวเป็นภูมิแพ้นะคะ” คนใช้พูด ยืนรออยู่นอกห้อง ไม่แม้กระทั่งจะเหยียบย่างเข้าไป
ภูริภัทรทำหูทวนลม ดวงตากลมยังคงมองรูปภาพบนผนังนั่นอยู่นาน ไม่สามารถบอกได้ว่าตอนนี้ตนเองรู้สึกอย่างไรที่มาเหยียบห้องนี้ เห็นรูปภาพนี้
ชายคนหนึ่งที่มีหน้าตาคล้ายคลึงกับวัชระ แต่มีใบหน้าที่อ่อนโยน รอยยิ้มหวานที่ภูริภัทรชื่นชอบ ด้านข้างเป็นหญิงสาวมีดวงตาดั่งกวาง งดงามและมีเสน่ห์
นอกจากยังมีรูปอื่น ๆ ที่เป็นรูปภาพครอบครัว และชายคนนั้นกับวัชระ น่าแปลกใจที่รูปภาพเหล่านี้ถูกเก็บไว้ในห้องร้าง มีเพียงรูปของอดิศักดิ์และมยุรีที่สามารถอวดโฉมไว้ห้องรับแขก
ภายนอกดูเป็นครอบครัวสุขสันต์ ทว่าภายในนั้นแทบจะเรียกคำนั้นไม่ได้ สร้างภาพเอาไว้จนน่ากลัวเหลือเกิน
“น้องภู...”
“ทำไมห้องนี้สกปรกจัง พี่สาวไม่ได้ทำความสะอาดเหรอ”
“คือ...คุณท่านสั่งไม่ให้ยุ่งค่ะ”
“แต่ฝุ่นเยอะมากเลยนะ”
“...” เธออึดอัดใจที่จะตอบ
“ภูไปดีกว่า ไม่อยากอยู่ห้องนี้แล้ว” เด็กน้อยหลุดจากภวังค์ ก่อนจะตัดสินใจเดินออกไป และไม่หันกลับมามองอีกเลย
เวลามื้อเที่ยงมาถึงแล้ว หากเป็นครอบครัวอื่นคงนัดรับประทานอาหารมื้อเย็น ทว่าครอบครัวนี้กลับนัดมื้อเที่ยงแทน เพราะวัชรอ้างว่าต้องไปดูงานที่โกดังนอกรอบ หรือภูริภัทรที่ต้องกลับไปอ่านหนังสือ
ดูก็รู้ว่าอยากอยู่บ้านนี้นาน ๆ (ประชด)
ปกติแล้วภูริภัทรจะเจริญอาหารมาก กินทุกอย่างแม้กระทั่งผักตกแต่งจานจนผู้ใหญ่บางคนยังแพ้ที่เด็กคนนี้กินผักใบเขียวเก่ง แต่ตอนนี้กลับรู้สึกพะอืดพะอมแทน ทั้งที่ตรงหน้าเป็นอาหารเลิศรส บางเมนูก็เป็นเมนูโปรด
สาเหตุไม่ใช่เพราะอาหารไม่น่ากินแต่เป็นเพราะพวกผู้ใหญ่ต่างหาก
“คราวหน้าฉันจะเรียกหนูปลายฟ้ามากินข้าวที่บ้าน แกต้องมาด้วย”
อดิศักดิ์นั่งอยู่หัวโต๊ะกล่าวขึ้นมา ทำให้บรรยากาศเริ่มคุกรุ่น วัชระที่นั่งถัดมาต้องหันขวับไปมอง
“พ่อ เราคุยกันรู้เรื่องแล้วนะครับ”
“รู้เรื่องว่าแกไร้มารยาทต่ำทรามกับผู้หญิงแค่ไหน หนูฟ้าออกจะดี นี่ฉันหาสิ่งที่ดีให้กับแกอยู่นะวัชร” ชายชราทุบโต๊ะอย่างเหลืออด
“ผมไม่ได้ชอบไงครับ เราไม่ได้ชอบกัน และผมจะหาคู่ของผมเอง” ทางวัชรเองก็โมโหไม่แพ้กัน ทั้งที่คุยกันเมื่อครู่นี้แล้วยังจะยกมาคุยในวงข้าวอีก แบบนี้ใครมันจะมีอารมณ์กิน
“หาเองแล้วจุดจบจะเป็นยังไงล่ะได้คิดไว้ไหม ดูพี่ชายของแกเป็นตัวอย่างสิ ไปเอาผู้หญิงเลว ๆ จนตายเป็นผีตายโหงเนี่ย”
“พ่อ!!!”
“ที่รัก! หยุดเถอะค่ะคุณ เรื่องนี้ไม่ควรเอามาพูดบนโต๊ะกินข้าวนะคะ กินข้าวเถอะ ดูหลานสิ อึดอัดแย่แล้ว” มยุรีต้องพูดขึ้นห้าม เมื่อเห็นว่ามันเริ่มหนักขึ้น เธอเหลือบมองลูกชายและหลานชายต่างมีสีหน้าที่ไม่ดีทั้งนั้น
อดิศักดิ์หายใจฮึดฮัด เหลือบเด็กน้อยด้วยหางตา “ส่งไปเรียนเมืองนอกให้มันจบ ๆ เถอะ จะได้กลับมาดูบริษัทฉัน”
“คุณอย่าบังคับหลาน”
“เงียบน่ะยุ” เขาเอ็ดมยุรีให้เงียบ ซ้ำยังจดจ้องกดดันภูริภัทรที่อึดอัดใจไม่น้อย กลั้นกลืนฝืนทนฟังบทสนทนาอุบาทว์สุดใจ อยากอาเจียนจะตายอยู่แล้ว เขาไม่ชอบแบบนี้เลย ทั้งน้ำเสียง สายตา บรรยากาศ
เหยียดหยาม กดดัน น่ากลัว
“ภ ภูไม่อยากไปครับ ภูจะอยู่กับป๊ะป๋า”
ให้ตายเถอะ เขาสามารถเถียงผู้ใหญ่ได้ทุกคน แต่คนนี้…คนที่ฝีปากร้ายกาจ มีรังสีอำมหิตแผ่กดดันออกมาตลอดเวลา เป็นถึงปู่ของตัวเอง กลับไม่กล้าต่อเถียง ทั้งที่พ่อตัวเองสวนตอบฉอด ๆ ได้สบาย
“ก็เป็นซะอย่างนี้ ไม่ได้เรื่อง”
“…”
“ภูเพิ่งอายุแค่นี้เองครับ อย่าให้ต้องห่างผู้ใหญ่เลย”
“ต้องเก่งกว่านี้สิ อายุแค่นี้ต้องพัฒนาได้มากกว่านี้อย่าทำตัวเป็นเหมือนแก ที่ไม่เคยสู้ใครได้กระทั่งพี่ชายตัวเอง”
“…” เจ้าของชื่อชะงักค้าง คนที่เหลือบนโต๊ะเองก็ด้วย แม้กระทั่งเด็กไม่ประสีประสารู้เรื่องของผู้ใหญ่ ยังตกใจที่ปู่พูดเช่นนี้กับพ่อตนเอง
“คุณอดิศักดิ์ ถ้ายังเอ่ยชื่อวายุอีก ก็ไม่ต้องกินข้าวกันแล้ว คนเป็น
อยู่ส่วนคนเป็น คนตายก็อยู่ส่วนคนตายค่ะ อย่าทำให้วายุหรือวัชระต้องมาเจ็บปวดอีก” มยุรีทนไม่ไหวที่คนเป็นสามีเอาแต่โทษลูกชายแท้ ๆ ของตน ทั้งที่ทั้งสองก็พยายามทำหน้าที่ตนให้ดีที่สุดแล้ว
“ฉันไม่หิวแล้ว เชิญ” อดิศักดิ์ลุกขึ้น และเดินออกไปจากห้องครัว ปล่อยให้คนที่เหลือรู้สึกไม่ดีกับคำพูดที่คนแก่ฝากเอาไว้ ค่อย ๆ หยั่งลึกเข้าไปในหัวใจ กรีดอย่างเชื่องช้าให้รู้สึกอึดอัด ทรมานและเจ็บปวด
ภูริภัทรเองก็โดนหางเลขไปด้วย แต่ก็น้อยกว่าวัชร ต้องเกาะแขนป๊ะป๋าเพื่อทักทายว่าเป็นอย่างไรบ้าง
“แม่ขอโทษนะลูก พวกเราเป็นคนเรียกตัวมาแท้ ๆ แต่กลับทำให้เสียบรรยากาศหมด” มยุรีพูดพลางกุมขมับ ก่อนจะเงยหน้ามองกับข้าวบนโต๊ะอาหารที่ไม่ได้พร่องลงไปสักนิด
“ครับ”
“ภูลูก กินอันนี้ไหม อร่อยนะ” เธอตักเนื้อไก่ใส่จานหลานและลูก อย่างไรก็ควรกินต่อ มันเสียดายวัตถุดิบชั้นดี แล้วเด็กน้อยก็ต้องการสารอาหาร ไม่ควรปล่อยให้หิว
“อื้อ”
กระนั้นก็กินไปได้นิดเดียวเพราะไม่รู้สึกหิวแล้ว มยุรีจึงสั่งให้คนใช้ห่ออาหารกลับบ้าน เพื่อที่มื้อเย็นของสองพ่อลูกจะได้มีอาหารกิน
แม้มรสุมร้ายจะขึ้นไปอยู่บนชั้นสองแล้ว วัชระก็ยังขอตัวออกไปรับลมและสงบใจในสวนคนเดียว ทว่าเพียงชั่วครู่เท่านั้น ภูริภัทรเดินไปหา ป๊ะป๋านั่งอยู่ที่เก้าอี้หินอ่อน จึงกระโดดนั่งเคียงคู่ เอียงเอนศีรษะซบแขน
“ป๋าขอโทษที่พามานะ”
“ไม่ใช่ความผิดป๋าสักหน่อย ความผิดปู่ต่างหากที่เอาแต่ว่าป๊ะป๋า คนแก่นิสัยไม่ดี” หากไม่ใช่ญาติเขาด่ากราดกว่านี้อีก
วัชระยกยิ้ม สวมกอดลูก ไม่กี่วินาทีถัดมาก็ผละออก เปลี่ยนเป็นลูบศีรษะเด็กน้อยไปมา ภูพยายามพูดคุยและแสดงท่าทางตลก ๆ เพื่อให้ป๊ะป๋ากลับมายิ้มอีกครั้ง
ชายคนนี้…ป๊ะป๋าคนนี้ ผู้มีฉายาว่าบ้างาน ภูริภัทรรู้ว่าอย่างไรเสียก็ไม่มีทางชอบฉายานี้หรอก ไม่ได้น่าภูมิใจเลยสักนิด หากเพราะที่ทำไปสาเหตุมาจากความกดดันจากครอบครัวตัวเอง
ภูจำได้เลือนราง ตอนเด็ก ๆ ก็เคยโดนปู่ต่อว่า กดดันเหมือนกัน ด้วยความที่เป็นเด็กจึงไม่ได้ใส่ใจ บวกกับวัชระพยายามไม่พามาที่นี่อีก หากนึกย้อนไปวัชระพาออกมาตอนอายุ 3 ขวบ
“ป๊ะป๋าก็คือป๊ะป๋า ภูจะอยู่กับป๊ะป๋า ไม่ไปไหนหรอก” มือป้อมเล็กกุมมือใหญ่ บีบแน่น เงยหน้ามองบิดาด้วยสีหน้าแน่วแน่
“อืม”
“จะได้ผลาญเงินป๊ะป๋าได้ตลอด ดีจะตายไปเนอะ” หัวเราะคิกคักน่าหมั่นไส้
“อะไรเนี่ย ไม่มีทางซะหรอก ป๋าจะลดเงินค่าขนม”
“อย่าเป็นผู้ใหญ่ที่ข่มเหงเด็กตาดำ ๆ ได้มะ”
“เหอะ ตัวเองเป็นผู้ถูกกระทำมากมั้ง” ว่าแล้วก็ยีหัวจนผมยุ่งไม่เป็นทรง เด็กแก่แดดเริ่มอาละวาดและบ่นไม่หยุด รีบจัดผมตัวเองให้เข้าที่ หมดหล่อไม่ได้!
วัชระมองทุกการกระทำของลูกชาย แอบลอบยิ้มพลางคิดในใจว่า
‘ใครมันจะกล้าลดค่าขนมล่ะ ลูกฉันอดอยากไม่ได้เด็ดขาด และจะไม่มีใครมาทำร้ายภูได้ แม้คนนั้นเป็นถึงพ่อตัวเองก็ตาม’