โรงเรียนสอนให้หนูมีความรับผิดชอบ แต่โรงเรียนที่ป๊ะป๋าเรียนมาเขาไม่สอนเหรอ ป๊ะป๋าไปรังแกคุณคนสวย แต่ไม่รับผิดชอบเนี่ยนะ หนูอายที่มีป๊ะป๋าแบบนี้นะ — “มั่วแล้ว! คุณคนสวยต่างหากที่แกล้งป๋า แกล้งจนท้อง!!!”
ชาย-ชาย,โอเมกาเวิร์ส,ครอบครัว,รัก,ดราม่า,omegaverse,ปะป๊าอย่าโง่ ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
#ป๊ะป๋าอย่าโง่ (omegaverse)โรงเรียนสอนให้หนูมีความรับผิดชอบ แต่โรงเรียนที่ป๊ะป๋าเรียนมาเขาไม่สอนเหรอ ป๊ะป๋าไปรังแกคุณคนสวย แต่ไม่รับผิดชอบเนี่ยนะ หนูอายที่มีป๊ะป๋าแบบนี้นะ — “มั่วแล้ว! คุณคนสวยต่างหากที่แกล้งป๋า แกล้งจนท้อง!!!”
รู้ถึงไหน อายถึงนั่น!
คนอย่าง 'ป๊ะป๋าวัชระ' อัลฟ่าหนุ่มที่เพียบพร้อมทุกอย่าง เงินทอง อาชีพมั่นคง และมีลูกชายปากดี (จัด) แก่แดด เถรตรง ดูเป็นผู้ใหญ่เกินวัย ถึงกระนั้นก็ยังไปทำคนอื่นท้องและจะทิ้งอย่างไม่ไยดี!!!
ที่สำคัญเป็นพี่ชายสุดสวยที่ 'ภูริภัทร' ชอบมาก ๆ ด้วย
"ป๊ะป๋าช่างเลวนัก กล้ารังแกพี่สุดสวยของภูทำไม!!! ภูจะเอาเลือดบนหัวป๋าออกเดี๋ยวนี้!"
"เดี๋ยวนะภู นิธิศสุดสวยของภู (พอ) รังแกป๋าต่างหาก รังแกจนท้อง! ไอ้เด็กแก่แดดไม่รู้เรื่อง!!!"
"ไม่จริ๊งงงงง!"
ฟีลป๊ะป๋ากับลูกหยุมหัว
และ
พ่อหนุ่มหน้าสวยกับหนุ่มธุรกิจพ่อเลี้ยงเดี่ยว
คำเตือน :
Omegaverse
multiverse
blood เลือด , death ความตาย
Profanity คำหยาบคาย pregnancy ตั้งครรภ์
Sexual explicit เนื้อหามีความโจ่งแจ้งในเรื่องเพศ
Violence การใช้ความรุนแรง gun ปืน
Verbal abuse ทำร้ายทางวาจา
Toxic family ครอบครัวที่ไม่มีสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน (ญาติผู้ใหญ่)
บทที่ 5
วันไปเที่ยวของบ้านภูริภัทร
เช้าวันสดใสแสนพิเศษ เป็นทั้งวันหยุด สภาพอากาศเป็นใจ เป็นวันที่ภูริอารมณ์ดีและจะได้ออกไปเที่ยวข้างนอกกับนิธิศ นี่มันวันโคตรดีเลยไม่ใช่เหรอ?
ผ่านมาแล้วสองอาทิตย์จากวันที่สัญญากันเอาไว้ ถือว่าค่อนข้างนานเชียว เพราะต้องหาเวลาให้ตรงกันทั้งวัชระและนิธิศ สองพ่อลูกน่ะอยากหมดทุกข์และเรื่องกังวลจะแย่แล้ว ต้องการไปปลดปล่อยอารมณ์ด่วน ๆ
เจ้าของร้านเครื่องเขียนไม่เท่าไหร่ แต่วัชรนี่สิ เป็นถึงท่านประธานทำไมไม่มีเวลาว่างเลยเล่า มันควรจะว่างซี่
“ป๊ะป๋าเร็วหน่อยยยย”
เด็กน้อยครวญคราง กระทืบเท้ากับพื้นเอาแต่ใจ วัชระกลับทำตัวเชื่องช้าเป็นตัวสลอธ ค่อย ๆ บรรจงสวมถุงเท้า และรองเท้าอยู่หน้าบ้าน ใช้เวลาเกือบตั้งห้านาที ทั้งที่ปกติแค่สองนาทีก็เสร็จ
นั่นถือเป็นการกลั่นแกล้งลูกชายเอาแต่ใจของตนอีกอย่างหนึ่ง ความจริงก็สอนให้รู้จักรอด้วย
อัลฟ่าหนุ่มยิ้มมุมปาก เงยหน้ามองภูริภัทรที่โมโหสุดขีด แทบจะกรีดร้องและลงไปดีดดิ้นอยู่บนพื้นแล้ว
“ไอ้ป๊ะป๋า!!!”
“ลามปามแล้วภูริภัทร ตบปากตัวเองเดี๋ยวนี้”
“ขอโทษครับ” ภูริภัทรหน้าบูดบึ้ง ยอมตบปากตัวเองตามคำสั่ง เพราะเห็นว่ามันล้ำเส้นเกินไป แต่ก็ไม่วายอาละวาดกระโดดกอดคอวัชรจากด้านหลัง พยายามเร่งเร้าให้อีกฝ่ายสวมรองเท้าให้เสร็จสักที
“ถ้ายังวอแวอยู่แบบนี้ ป๋าก็ยิ่งเสร็จช้านะ”
“โอ๊ย! ป๊ะป๋าแกล้งภูอะ”
อัลฟ่ากลิ่นดอกกาแฟส่ายหน้าไปมา ลุกขึ้นเต็มความสูง ภูริจึงห้อยต่องแต่งอยู่ด้านหลัง สองแขนแกร่งจึงประคองใต้ก้นเอาไว้ จะได้ไม่หล่นหงายหลังจ้ำเบ้าพื้น เดินไปที่รถและหิ้วเด็กน้อยใส่ไว้ในรถ
“อ้าว ทำไมให้ภูนั่งข้างหลัง”
“เพราะพี่นิธิศต้องนั่งข้างหน้ากับป๋าไงล่ะ” ภูริภัทรร้องอ๋อ ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มไม่น่าไว้ใจ หัวเราะหึ ๆ ราวกับเป็นเหล่าวายร้ายในการ์ตูน
“อ๋อ ล็อกที่ไว้นี่เอง หึ ๆ”
“อะไร จะให้ช่วยดูทางต่างหาก!” วัชระร้องเสียงแหวออกมา พยายามเก็บอาการแล้วแต่ภูริภัทรก็เก่งด้านปั่นอารมณ์ประสาทจริง
“เปล๊า ไม่มีอะไร๊ เป็นพี่ธิศก็ดี ภูชอบ ๆ”
“เงียบไปเถอะ” สิ้นประโยค วัชรเดินไปนั่งฝั่งคนขับและขับออกไป สนใจแต่ด้านหน้า ทำเป็นเคร่งขรึม ทว่าในใจกลับตั้งสติเตรียมตัวเตรียมใจกับตัวเอง
สาเหตุความว้าวุ่นและความคิดกังวลมาจากนิธิศคนเดียวเลย! ที่ทำให้การพบหน้ากันเป็นเรื่องยากขนาดนี้
ขนาดประชุมใหญ่ที่บริษัทยังไม่เครียดเท่านี้มาก่อนเลย ให้ตายสิ
ใช้เวลาไม่นานก็มาจอดอยู่ที่หน้าร้านเครื่องเขียนสไตล์มินิมอล แม้ว่าโรงเรียนจะปิดแต่ร้านก็ยังเปิดบริการเหมือนเดิม เผื่อมีเด็กและคุณครู หรืออาชีพอื่นต้องการเครื่องเขียน
“นั่นงาย พี่ธิศมาแล้วว” ภูริชะเง้อมองผ่านหน้าต่าง เห็นประตูร้านเปิดออกพร้อมร่างของใครบางคนที่เดินมาเปิดประตูข้างคนขับอย่างกับรู้ใจ
“สวัสดีครับคุณวัชร สวัสดีน้องภู” หลังจากปิดประตูรถเสร็จก็หันมาทักทายทั้งสองด้วยรอยยิ้มหวาน มันเจิดจ้าเสียจนสองพ่อลูกยกมือบังตาตัวเอง ไม่งั้นได้บอดกันพอดี
“พี่ธิศค้าบบ!!!!” เด็กน้อยกระโดดกอดคออัลฟ่ากลิ่นซิตรัสทันที วัชรจึงดุสั่งสอน ท่าทางแบบนั้นมันดูไม่ดีเอาเสียเลย
“ภูทำตัวดี ๆ กับพี่ธิศสิ”
“ขอโทษค้าบ”
“ไม่เป็นไรเลยครับคุณวัชร ผมโอเคมาก ๆ เลย” ว่าแล้วก็กอดภูโชว์ วัชระถึงกับตาโตเท่าไข่ห่าน
“ป๊ะป๋าทำหน้าอิจฉาภูทำไม” คำเอ่ยทักของเด็กน้อยทำให้วัชระหลุดจากภวังค์ รีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ ในใจก่นด่าตัวเองว่าไม่เก็บอาการให้ดี ก็ดูเอาเถอะว่าเด็กแสบกำลังทำท่าทางเยาะเย้ยตนจนน่าหมั่นไส้
ไอ้เด็กนี่มันรู้ทุกอย่างแน่ ๆ
แก่แดด ไม่น่าไว้ใจ!!!
“เปล่าเถอะ ไม่ได้ทำ” ทำเป็นกระแอม จากนั้นจึงขับรถออกไป
จุดหมายของพวกเขาวันนี้คือสวนสนุก เป็นสถานที่ที่จะทำให้
ภูริภัทรมีความสุขกับคนที่ชอบ ไหนจะมีเครื่องเล่นมากมายหลากหลาย สร้างความตื่นเต้นเร้าใจและสามารถพักผ่อนหย่อนใจได้อีกด้วย อย่างไรมันก็เหมาะที่จะพาไปจริง ๆ
ระหว่างการเดินทางภายในรถไม่เคยเงียบสงบ มักมีเสียงเจื้อยแจ้วของภูริภัทรดังอยู่ตลอด ผสมกับเสียงทุ้มน่าฟังของนิธิศที่คอยเล่าเรื่องสนุก ไม่ก็หัวเราะตอบรับเรื่องเล่าตามประสาของเด็กน้อย วัชระเองก็อยากร่วมวงบ้าง แต่กลัวคุยไม่สนุกเหมือนนิธิศ แถมยังกลัวไปขัดจังหวะอีก
ตัวเองยิ่งชอบทำตัวแปลก ๆ เวลาอยู่กับนิธิศด้วย หากภูริภัทรเห็นเข้าคงโดนล้อไปจนวันตายแน่ ๆ
“พี่วัชรเหนื่อยไหม ให้ผมขับได้นะ ผมขับเป็น” นิธิศหันมาพูดกับวัชร ขณะที่เด็กน้อยกำลังสนใจทิวทัศน์ข้างทาง
คนพี่ปรายมองด้วยหางตา เพราะสรรพนามนั่นทำให้ตนกังวล ซึ่งธิศเหมือนจะรู้เลยเอ่ยขอโทษเบา ๆ
“ไม่เป็นไรหรอก”
“แล้วคุณ…สบายดีนะ” เปลี่ยนเรื่องมาถามสารทุกข์สุกดิบซะงั้น
“สบายดีสิ คุณล่ะ กิจการเป็นยังไงบ้าง”
“เรื่อย ๆ ครับ เด็กเข้าร้านช่วงเย็นเยอะเพราะขนมนี่แหละ บางทีผมควรเปลี่ยนเป็นร้านขนมให้หมดเลย”
ธิศหัวเราะเบา ๆ ปกติแล้วร้านขายเครื่องเขียนก็คนเยอะในช่วงเช้าและเย็นอยู่แล้ว ส่วนโซนที่ฮิตที่สุดคงไม่พ้นขนมหวานที่เหล่าเด็กน้อยชื่นชอบ นั่นถือว่าเป็นผลพลอยได้สุด ๆ
“ลองศึกษาไปเรื่อย ๆ ก่อน ค่อย ๆ คิด เรื่องธุรกิจมันไม่แน่นอนเสมอไปหรอก มันพลิกแพลงไปมาได้ด้วยนะ”
“ครับ”
“ป๊ะป๋ากับพี่ธิศคุยเรื่องน่าเบื่ออ่า” ภูริภัทรยื่นหน้าแทรกกลางระหว่างผู้ใหญ่สองคน ก่อนจะร้องโอ๊ยออกมาเพราะโดนวัชรดีดหน้าผาก
“ไม่ใช่เรื่องของเด็กสักหน่อยนี่”
“ก็คุยเรื่องที่เด็กคุยได้สิ อย่างเช่นการเรียน การ์ตูน ความรัก”
“ความรักเกี่ยวตรงไหน” วัชรถามพลางเลิกคิ้ว
“ไม่ได้เกี่ยวกับภู แต่เกี่ยวกับป๊ะป๋าได้นะ”
“ไม่คุย”
“หรือป๊ะป๋าเขิน?”
“…”
“เขินพี่นิธิศ?”
“ห๋า?”
วัชรร้องเสียงหลง สบถในใจยาวเหยียด พยายามเกร็งหน้าให้มันเรียบนิ่งดังเดิม ทว่าหูกลับแดงเถือกจนภูริภัทรหัวเราะลั่น ไม่วายจิ้มแก้มป๊ะป๋าเล่น มันเป็นโอกาสทองจริง ๆ เพราะยังไงอีกฝ่ายก็โต้ตอบกลับยาก ต้องคอยจับพวงมาลัย ดูถนนด้านหน้าอีก เสร็จภูริภัทร!
“หยุดพูดเดี๋ยวนี้เลย ก่อนที่ป๋าจะวนรถกลับบ้าน ไม่ต้องไปแล้วสวนสนุก”
“โห่ ป๊ะป๋าอ่า เป็นแบบนี้ทุกที”
แต่ภูก็ยอมสงบเสงี่ยม ได้แกล้งวัชระสมใจอยาก ในช่วงนี้คงพอได้แล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่ได้ไปสวนสนุกเป็นแน่
ใช้เวลาเดินทางหนึ่งโมง ในที่สุดก็ถึงที่หมายแล้ว เด็กน้อยวัย 6 ขวบ อารมณ์ดีกระโดดโลดเต้นยกใหญ่ ผู้ใหญ่ทั้งสองต้องรีบทักว่าอย่าวิ่งไปไกลเพราะกลัวพลัดหลงกัน
“ป๊ะป๋า ภูอยากเล่นเครื่องเล่นอันนั้น อันนู้นด้วย อยากเล่นทุกอันเลยเย้!”
“ได้ เล่นให้หนำใจไปเลย” สิ้นคำ เด็กน้อยกระโดดชูมือดีใจและวิ่งรอบตัววัชร จนอัลฟ่าหนุ่มต้องคว้าตัวเอาไว้ และดันไปทางนิธิศแทน
“ไปเล่นกับพี่เขาสิ อยากอยู่ด้วยกันนี่”
ภูส่ายหน้า คว้าข้อมือวัชรไว้แน่น ”ไม่เอา ป๊ะป๋าต้องไปด้วย”
“ก็ได้” อัลฟ่าหนุ่มยิ้ม ถึงจะกวนประสาท แก่แดดและไม่เชื่อฟังเขานักแต่ก็มีมุมน่ารักน่าเอ็นดูเหมือนกัน
หากวัชรรู้อนาคตคงไม่ตอบเด็กน้อยไปเช่นนั้น เพราะไม่กี่นาทีต่อมา ชายหนุ่มถูกลากไปเล่นเครื่องเล่นมากมายที่หวาดเสียวและอยากอาเจียน ไม่ว่าจะเป็นไวกิ้งส์ โรลเลอร์โคสเตอร์ ม้าหมุน เครื่องบิน และอีกสารพัดมากมายจนสภาพวัชรไม่เหลือดี
ตัวเปียกเพราะน้ำสาด จะเป็นลมเพราะอยู่ที่สูง และวิญญาณหลุดออกจากร่างเพราะบ้านผีสิง
“พี่วัชรโอเคไหม” นิธิศเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง ยื่นขวดน้ำให้คนที่นั่งพักบนเก้าอี้ไม้ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งลงด้านข้าง
“ขอบใจ”
“ไม่คิดว่าพี่จะกลัวเครื่องเล่น”
“เรียกพี่อีกแล้ว ผมไม่เคยเล่นอะไรแบบนี้มาก่อน” วัชระต้องเอ็ดเหมือนเดิม แต่ก็ตอบคำถามให้คลายข้อสงสัย
“แล้วปกติลูกชายพี่มาสวนสนุกไหม ดูเซียนเส้นทางดีนะ”
“ไม่เคยพามา”
“อ้าวเหรอ” ธิศถึงกับเผลออุทาน เพราะเมื่อครู่นี้ที่ภูริภัทรลากทั้งสองไปเล่นเครื่องเล่นก็ไม่ได้ดูแผนที่ แต่ดูช่ำชองเป็นอย่างมากจนน่าสงสัย แต่ก็ไม่ได้เอื้อนเอ่ยถามอะไรออกไปเพราะเจ้าตัวเดินมาพอดีพร้อมกับขนมสายไหมในมือสามอัน
“กินเติมพลังกันพวกคนแก่”
“คนแก่เหรอ พี่เพิ่ง 29 เองนะ” นิธิศหัวเราะ
“ก็นั่นแหละแก่ โดยเฉพาะใครบางคน คิก ๆ” ทำเป็นเหลือบมองตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยหางตา พร้อมส่งขนมสายไหมให้ วัชรรู้ตัวเลยดีดหน้าผากไปหนึ่งทีและรีบแย่งขนมไปจากมือ
“จ้าพ่อหนุ่มสุดหล่อ ไม่แก่หงำเหงือก แต่เป็นเด็กแก่แดด”
“ว้าว ดูสนิทกันจังนะครับเนี่ย” นิธิศถึงกับหัวเราะเบา ๆ และส่งรอยยิ้มมาให้ แต่สีหน้าบ่งบอกได้ชัดว่าตกใจไม่น้อยกับบทสนทนาต่อล้อต่อเถียงของสองพ่อลูกที่ดูจะสนิทสนมราวกับเป็นเพื่อนมากกว่าบิดาและบุตร
ทั้งสองเบิกตาโต กระแอมออกมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย รีบเปลี่ยนท่าทางและน้ำเสียงทันที อุตส่าห์ตกลงกันแล้วว่าหากอยู่ต่อหน้าคนอื่นให้ทำตัวเป็นเด็กดี เชื่อฟังคำพูดของป๊ะป๋า อย่าทำตัวเหมือนที่อยู่กันสองคนแท้ ๆ แต่กลับมาโป๊ะตอนอยู่กับพี่ชายสุดสวยซะได้
เวรกรรม
“ป๋าไปห้องน้ำก่อนดีกว่า” ลุกขึ้นและเดินไปเลย ทิ้งให้นิธิศและภูรินั่งงุนงงอยู่สองคน
“ภูดูสนิทกับป๊ะป๋าจังเลยนะ”
“ก็...ไม่รู้สิครับ”
“ดูยังไงก็น่ารักออก ป๊ะป๋าของภูดูตามใจมากเลย ดูเข้าใจภูดีด้วย”
ภูริภัทรถึงกับร้องเหอะในใจ สนิทเรอะ! ไม่อยากจะสนิทด้วยเลย แต่ทำอย่างไรได้ ในเมื่อตัวเองเป็นแค่เด็ก 6 ขวบที่ต้องมีผู้ปกครองคอยดูแล ความจริงวัชรเองก็ไม่ได้ชอบภูเท่าไหร่หรอก เพราะตัวเองเป็นแบบนี้ทั้งดื้อ ซน เถียงเก่ง ดื้อ การกระทำทุกอย่างที่คนภายนอกเห็นว่าเรารักและเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์ แม้จะไม่มีแม่อยู่เคียงข้าง ล้วนเป็นแค่การแสดงเท่านั้นแหละ
มีตั้งหลายครอบครัวที่ผู้ปกครองไม่ชอบเด็กนี่
“ถ้าได้พี่ธิศมาเป็นป๊ะป๋าจะดีกว่าอีก”
“อย่าพูดแบบนี้ให้ป๊ะป๋าได้ยินรู้ไหม ไม่ดีเลย ป๊ะป๋าของภูคือคุณวัชรนะ”
“ก็มันเรื่องจริงนี่ เป็นป๊ะป๋าอีกคนก็ได้ ไม่สิ หม่าม้าดีกว่า! เพราะป๊ะป๋าของภูโสดและเหงามาก” วัชรต้องเป็นหนี้เขาแล้วนะ อุตส่าห์โฆษณาให้ขนาดนี้
เขารู้ เขาดูออก เวลาไปร้านเครื่องเขียนพร้อมวัชรทีไร สองคนนี้จะชอบแอบคุยกันตลอด ด้วยสายตาที่อัลฟ่าหนุ่มกลิ่นดอกกาแฟใช้มองคนสวยของภูริมันดูเคลิบเคลิ้มและหลงใหลเสน่ห์ความงามของอีกฝ่าย
ชัดเลย มีใจ!!!
โอเค คนนี้ให้ผ่านถ้าป๊ะป๋าจะจีบ ไม่ติดอะไรเลยด้วย (เพราะเขาจะได้มีพรรคพวกเพิ่ม เอาไว้ต่อรองกับป๊ะป๋าได้ง่ายมากขึ้น วะฮ่า ๆ)
“ได้เหรอ” นิธิศหัวเราะ
“ได้ซี่ ป๊ะป๋าก็ดูชอบพี่ธิศนะ ภูเองก็ชอบ ใครบ้างที่จะไม่ชอบคนสวย”
“ก็ไม่แน่เสมอไปหรอก”
“เดี๋ยวนะ พี่ยังโสดอยู่ใช่ไหม” ภูเริ่มทำการซักถาม ลืมข้อสำคัญที่สุดไปซะได้
“นี่กำลังหาแฟนให้ป๊าใช่ไหม จริงจังเหรอ?”
ภูริภัทรพยักหน้าหงึกหงักรัวเร็วจนศีรษะสั่นคลอน “พี่เหมาะกับป๊ะป๋ามากเลยนะ สงบเสงี่ยม อ่อนโยนใจดี ใจเย็น สวย แล้วดูเหมือนพี่จะสามารถคุมป๊ะป๋าได้อยู่หมัดแน่ ๆ ที่สำคัญภูพร้อมเรียกพี่เป็นหม่าม้าด้วย คิก ๆ”
ใช่แล้ว! คนใจดีและสวยอย่างนิธิศใคร ๆ ก็หลงชอบและต้องยอมใจอ่อนเป็นแน่ ดูเด็ก ๆ สิยังเชื่อฟังอีกฝ่ายเลย
ชายผมบลอนด์เอาแต่หัวเราะชอบใจ “โถเด็กน้อยน่าเอ็นดู”
“เด็กน้อยที่ไหน! ภูอายุเยอะแล้ว โตแล้วต่างหาก”
“เหรอครับ เก่งจังเลย”
“คุยอะไรกัน”
“อ้าวกลับมาแล้วเหรอครับ” ทั้งคู่ส่งยิ้มหวานพิรุธมาให้ เจ้าของกลิ่นดอกกาแฟขมวดคิ้วไม่เข้าใจ กระนั้นในใจกลับคิดแล้วว่าภูริภัทรต้องพูดจาพิลึกใส่นิธิศแน่นอน
“ถ้าภูริพูดจาแปลก ๆ ต้องขอโทษด้วย อย่าใส่ใจมากนะครับ”
“ไม่เป็นไรครับ ภูแค่พูดเรื่องที่ว่าคุณชอบผมเท่านั้นเอง”
“…” ดวงตาเรียวเบิกกว้างทันใด หันขวับมองตาขวางใส่ไอ้ลูกชายตัวดีทันที ภูริภัทรมองซ้ายทีขวาทีไม่กล้าสบตา ฉับพลันก็กระโดดดึ๋งมายืนตัวตรงและชี้ไปเรื่อยเปื่อย
“อ เอ้อ พวกเรายังไม่ได้ไปศูนย์วิทยาศาสตร์เลย ไปกันไหมครับ”
“อย่ามาเปลี่ยนเรื่อง มาคุยกันเลยว่าไปพูดแบบนั้นทำไม”
“เอาสิครับ ไปกันเถอะน้องภู น่าสนใจดีนะ”
วัชรตั้งใจสั่งสอนลูกชายตัวแสบ แต่นิธิศกลับจูงมือภูริภัทรไปซะแล้ว ปล่อยให้อัลฟ่ากลิ่นดอกกาแฟเสียอาการอยู่คนเดียว ช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย
สุดท้ายวัชระก็เดินตามไปหยุดอยู่ที่หน้าศูนย์วิทยาศาสตร์ ภูริภัทรยืนอ่านป้ายโฆษณาอยู่นานแล้ว ไม่มีท่าทีจะเข้าไปเสียทีจนวัชรเอ่ยถาม
“ทำไมไม่เข้าไปล่ะ รออะไรอยู่”
“ทุกคนคิดว่ามันเป็นเรื่องจริงไหม” ทั้งนิธิศและวัชรมองนิ้วป้อม ๆ ที่กำลังชี้ไปยังป้ายโฆษณาตรงหน้า
มันคือธีมของศูนย์วิทยาศาสตร์ในช่วงนี้ กล่าวคือ
โลกมัลติเวิร์สหรือพหุจักรวาลและข้อสันนิษฐานต่าง ๆ ที่ว่าเอกภพมีเพียงหนึ่งเดียวจริงหรือ? และมีตัวเราเพียงแค่ ‘หนึ่ง’ นั้นจริงหรือไม่ นอกจากนี้ยังมีเรื่องมหัศจรรย์เหลือเชื่อเกี่ยวกับโลกของเราอีกมากมาย มาหาคำตอบใน
ศูนย์วิทยาศาสตร์กันเถอะ!
ก็ดูเป็นธีมที่น่าสนใจดีสำหรับเด็กที่อยากรู้อยากเห็น รวมไปถึงผู้ใหญ่ที่สนใจด้านนี้
“ไม่รู้สิ ก็แค่ข้อสันนิษฐานที่พวกนักวิทยาศาสตร์ยังให้คำตอบได้ไม่แน่ชัด” วัชรตอบ สำหรับเขาไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้มาก่อนจึงไม่ได้คิดอะไรนัก
“แต่ภูว่ามันมีจริง”
“งั้นเหรอ”
“แบบนี้คุณน่าจะให้น้องเรียนด้านนี้นะครับ เพราะดูท่าจะสนใจเรื่องนี้” นิธิศพูดกับวัชระ เพราะเห็นท่าทางของเด็กน้อยที่เปลี่ยนไป ราวกับสนใจและหลงใหลในเรื่องพหุจักรวาล
“ถ้าอยากเรียนก็ส่งเรียนได้ ไม่ติดอะไร” อย่างไรวัชรก็สนับสนุนลูกเต็มที่อยู่แล้ว หากภูริต้องการจะศึกษามันจริง ๆ ให้เรียนในสิ่งที่ชอบ ไม่บังคับกัน
“แต่ว่ามันจะมีจริง ๆ ใช่ไหมนะ นึกว่าจะมีแต่ในภาพยนตร์เสียอีก” นิธิศสงสัย ตัวเองไม่ได้ติดตามการทำงานขององค์กรวิทยาศาสตร์ว่าตอนนี้มีอะไรใหม่ ๆ ที่พวกเขาประสบความสำเร็จหรือทดลองอะไรกันอยู่ อย่างเช่นเรื่องนี้ด้วย เขาได้ยินแต่ในภาพยนตร์ก็เท่านั้น
“อือ มีจริง ๆ” ภูริภัทรย้ำก่อนจะเดินเข้าไปด้านนั้น และพูดเสียงแผ่วจนผู้ใหญ่ทั้งสองแทบไม่ได้ยิน
“เพราะภูเองก็ไม่ได้มีแค่คนเดียว”
ช่วงเวลาหนึ่งทุ่มกว่า ๆ วัชรขับรถมาส่งนิธิศที่ร้าน หรือจะเรียกว่าบ้านด้วยก็ได้ เห็นบอกว่ามีบ้านอยู่ด้านหลังร้านด้วย จะได้ไม่ต้องขับรถไปมาให้เสียเวลา แค่เดินครู่เดียวก็ถึงร้านแล้ว
นิธิศลงจากรถเรียบร้อย ไม่ลืมที่จะปิดประตูให้เบาที่สุด เพราะเด็กน้อยน่ารักแบตหมดเกลี้ยงจนหลับปุ๋ยไปแล้ว ก็อยากจะปลุกขึ้นมาเพื่อร่ำลาอยู่หรอก แต่ไม่ดีกว่า
“วันนี้ขอบคุณมากนะครับ ลำบากคุณแย่” วัชรเปิดหน้าต่างเพื่อเอ่ยขอบคุณ
“พูดปกติกันดีไหม ลูกพี่หลับไปแล้ว”
อัลฟ่ากลิ่นดอกกาแฟเงียบไปชั่วครู่ พยักหน้าหงึก ๆ “ขอโทษนะที่รบกวนเวลาวันนี้ ภูติดนายมาก”
“ไม่เป็นไรครับ ผมเองก็ไม่ได้ไปสวนสนุกนานแล้ว ถือว่าย้อนวัยเด็กกันเนอะ”
“แล้วก็เรื่องคำสรรพนามพวกนี้อีก ขอโทษที่ชอบเผลอถลึงตาใส่ทุกครั้งที่นายพูด”
“ไม่เป็นไรครับ ความจริงเราสองคนไม่เห็นต้องปิดบังเลยว่าเราสนิทกัน รู้ไหมว่าภูเหมือนจะดูออกนะว่าเราสองคนดูมีซัมติงอะไรกัน”
“ย ยังไงนะ” ดวงตาเรียวเบิกโพลงทันใด ไม่คิดว่านิธิศจะรู้เรื่องนี้ด้วย ตัวเขารู้อยู่นิดหน่อยว่าไอ้เด็กแสบมันคล้ายรู้ว่าเขาชอบธิศ แต่ทำไมอีกฝ่ายถึงรู้ได้ละเนี่ย ไปคุยกันตอนไหน!
“ภูจะจับคู่ให้เราสองคนแหละ”
“ห๊ะ” ตกใจทวีคูณเข้าไปใหญ่ ไอ้เด็กบ้าเอ๊ย อยากจะปลุกมาว่าซะจริงเลย
“น้องบอกว่าพี่ดูชอบผม ภูเองก็ชอบ อยากได้เป็นป๊ะป๋าอีก”
“ร เรื่องนั้น…” วัชรไม่ได้สนใจประโยคอื่นเลยนอกจาก ‘น้องบอกว่าพี่ดูชอบผม’ ครั้นสติกลับมาจึงต้องควบคุมอารมณ์สีหน้าให้ปกติเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นคนตรงหน้าอาจจะเชื่อคำพูดนั้นแน่ ๆ เพราะตัวเองอาการฟ้องสุด ๆ
“ใช่ ผมเองก็ชอบพี่ออก” นิธิศเอ่ยพร้อมรอยยิ้มหวาน เท้าคางกับกระจกรถและยื่นหน้าเข้ามาใกล้ อัลฟ่าคนพี่จึงมีปฏิกิริยาทันที ผงะเอนตัวหนี
“หมายถึงชอบเอากับพี่”
“อย่ามาทะลึ่งแถวนี้!”
“ฮ่า ๆๆ หยอกเล่นครับ”
วัชรหัวเสีย เหมือนโดนภูริภัทรและนิธิศปั่นหัวเล่นจนไม่สามารถรับมือได้ ทั้งที่เรื่องมันมาได้ขนาดนี้แล้ว วัชระจึงกลั้นใจถามออกไปเพราะความอยากรู้ และความคาดหวังเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เกิดขึ้นในหัวใจ
“แล้วนายอยากเป็นตามที่ภูบอกรึเปล่า”
ไม่ต้องอธิบายเพิ่มเติม นิธิศก็รู้ว่าหมายถึงเรื่องใด ใบหน้าออกไปทางหวานประดับรอยยิ้มพิฆาตที่เอาไว้ใช้กับพวกหนุ่มสาวให้ตกหลุมรัก แน่นอนว่าวัชรก็รวมอยู่ในนั้น
“นั่นน่ะสิ”
“...”
คำตอบนั้นทำให้รู้สึกวาบหวิวในหัวใจ รู้สึกมีความหวังเมื่ออีกฝ่ายตั้งใจจะพูดอะไรต่อ ทว่าต้องหยุดชะงักเมื่อโทรศัพท์มีสายเรียกเข้า บนหน้าจอปรากฏชื่อทำให้คิ้วของชายหนุ่มกระตุก
“ผมไปก่อนนะครับ มีสายโทรมา”
“อืม”
อัลฟ่าเจ้าของกลิ่นซิตรัสแสนหอมหวานเดินไปหลังร้านเรียบร้อยแล้ว กระนั้นวัชรก็ยังไม่เดินทางกลับบ้าน ในหัวสมองกลับมีแต่ภาพของหน้าจอโทรศัพท์อีกฝ่ายที่ตนอุตส่าห์เหลือบไปเห็น
‘ลิลลี่’
ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเป็นหนึ่งในสาวที่เจ้าตัวคุยด้วย วัชระร้องเหอะออกมาให้กับความรักของตนที่ดูท่าจะไม่สมหวัง ในเมื่อนิธิศคนนี้ทั้งฮอตและมีผู้คน
รายล้อม ดวงตางามไม่เคยจดจ้องที่ตนเพียงผู้เดียว กระทั่งสถานะพวกเขาสองคนก็ไม่เคยแต่งตั้งอะไรให้กัน จนวัชรนึกเอาเองแล้วว่าเป็นแค่ ‘คู่นอน’
แต่เขาไม่ได้อยากเป็นแค่คู่นอนไง หากจะพูดออกไปตรง ๆ ก็กลัวว่าความสัมพันธ์จะไม่เหมือนเดิม
วัชระหลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน เหลือบมองลูกชายที่นอนหลับเบาะหลังพลางพูดพึมพำกับตัวเอง
“ถ้ามันคู่กันง่ายอย่างที่อยากให้เป็นมันก็คงดีนะภู”