โรงเรียนสอนให้หนูมีความรับผิดชอบ แต่โรงเรียนที่ป๊ะป๋าเรียนมาเขาไม่สอนเหรอ ป๊ะป๋าไปรังแกคุณคนสวย แต่ไม่รับผิดชอบเนี่ยนะ หนูอายที่มีป๊ะป๋าแบบนี้นะ — “มั่วแล้ว! คุณคนสวยต่างหากที่แกล้งป๋า แกล้งจนท้อง!!!”

#ป๊ะป๋าอย่าโง่ (omegaverse) - บทที่ 5 วันไปเที่ยวของบ้านภูริภัทร โดย KONKON satuu @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ชาย-ชาย,โอเมกาเวิร์ส,ครอบครัว,รัก,ดราม่า,omegaverse,ปะป๊าอย่าโง่ ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

#ป๊ะป๋าอย่าโง่ (omegaverse)

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ชาย-ชาย,โอเมกาเวิร์ส,ครอบครัว,รัก,ดราม่า

แท็คที่เกี่ยวข้อง

omegaverse,ปะป๊าอย่าโง่

รายละเอียด

โรงเรียนสอนให้หนูมีความรับผิดชอบ แต่โรงเรียนที่ป๊ะป๋าเรียนมาเขาไม่สอนเหรอ ป๊ะป๋าไปรังแกคุณคนสวย แต่ไม่รับผิดชอบเนี่ยนะ หนูอายที่มีป๊ะป๋าแบบนี้นะ — “มั่วแล้ว! คุณคนสวยต่างหากที่แกล้งป๋า แกล้งจนท้อง!!!”

ผู้แต่ง

KONKON satuu

เรื่องย่อ

รู้ถึงไหน อายถึงนั่น! 

คนอย่าง 'ป๊ะป๋าวัชระ'  อัลฟ่าหนุ่มที่เพียบพร้อมทุกอย่าง เงินทอง อาชีพมั่นคง และมีลูกชายปากดี (จัด) แก่แดด เถรตรง ดูเป็นผู้ใหญ่เกินวัย ถึงกระนั้นก็ยังไปทำคนอื่นท้องและจะทิ้งอย่างไม่ไยดี!!! 

ที่สำคัญเป็นพี่ชายสุดสวยที่ 'ภูริภัทร' ชอบมาก ๆ ด้วย


"ป๊ะป๋าช่างเลวนัก กล้ารังแกพี่สุดสวยของภูทำไม!!! ภูจะเอาเลือดบนหัวป๋าออกเดี๋ยวนี้!"

"เดี๋ยวนะภู นิธิศสุดสวยของภู (พอ) รังแกป๋าต่างหาก รังแกจนท้อง! ไอ้เด็กแก่แดดไม่รู้เรื่อง!!!"

"ไม่จริ๊งงงงง!"


ฟีลป๊ะป๋ากับลูกหยุมหัว

และ

พ่อหนุ่มหน้าสวยกับหนุ่มธุรกิจพ่อเลี้ยงเดี่ยว


คำเตือน :

Omegaverse 

multiverse 

blood เลือด , death ความตาย

Profanity คำหยาบคาย pregnancy ตั้งครรภ์ 

Sexual explicit เนื้อหามีความโจ่งแจ้งในเรื่องเพศ

Violence การใช้ความรุนแรง gun ปืน

Verbal abuse ทำร้ายทางวาจา

Toxic family ครอบครัวที่ไม่มีสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน (ญาติผู้ใหญ่)




สารบัญ

#ป๊ะป๋าอย่าโง่ (omegaverse)-บทที่ 1 เด็ก (ไม่) ไร้เดียงสา,#ป๊ะป๋าอย่าโง่ (omegaverse)-บทที่ 2 ร้านเครื่องเขียนพิเศษและคุณคนสวย,#ป๊ะป๋าอย่าโง่ (omegaverse)-บทที่ 3 คุณวัชรผู้แสนขรึม nc50%,#ป๊ะป๋าอย่าโง่ (omegaverse)-บทที่ 4 บ้านสิริมหินศรณ์ที่ภูเกลียด,#ป๊ะป๋าอย่าโง่ (omegaverse)-บทที่ 5 วันไปเที่ยวของบ้านภูริภัทร,#ป๊ะป๋าอย่าโง่ (omegaverse)-บทที่ 6 100 nightstand nc100%,#ป๊ะป๋าอย่าโง่ (omegaverse)-บทที่ 7 อาการออก,#ป๊ะป๋าอย่าโง่ (omegaverse)-บทที่ 8 พี่นิธิศไม่สบายเหรอ,#ป๊ะป๋าอย่าโง่ (omegaverse)-บทที่ 9 พี่ธิศโดนป๊ะป๋าแกล้ง,#ป๊ะป๋าอย่าโง่ (omegaverse)-บทที่ 10 วันหยุดที่ไม่ได้หยุด,#ป๊ะป๋าอย่าโง่ (omegaverse)-บทที่ 11 ป๊ะป๋าโดนแกล้งเรอะ

เนื้อหา

บทที่ 5 วันไปเที่ยวของบ้านภูริภัทร


บทที่ 5  

วันไปเที่ยวของบ้านภูริภัทร‍‍‍

 

 

 

เช้าวันสดใสแสนพิเศษ เป็นทั้งวันหยุด สภาพอากาศเป็นใจ เป็นวันที่ภูริอารมณ์ดีและจะได้ออกไปเที่ยวข้างนอกกับนิธิศ นี่มันวันโคตรดีเลยไม่ใช่เหรอ?

ผ่านมาแล้วสองอาทิตย์จากวันที่สัญญากันเอาไว้ ถือว่าค่อนข้างนานเชียว เพราะต้องหาเวลาให้ตรงกันทั้งวัชระและนิธิศ สองพ่อลูกน่ะอยากหมดทุกข์และเรื่องกังวลจะแย่แล้ว ต้องการไปปลดปล่อยอารมณ์ด่วน ‍ๆ‍‍

เจ้าของร้านเครื่องเขียนไม่เท่าไหร่ แต่วัชรนี่สิ เป็นถึงท่านประธานทำไมไม่มีเวลาว่างเลยเล่า มันควรจะว่างซี่

“ป๊ะป๋าเร็วหน่อยยยย” 

เด็กน้อยครวญคราง กระทืบเท้ากับพื้นเอาแต่ใจ วัชระกลับทำตัวเชื่องช้าเป็นตัวสลอธ ค่อย ‍ๆ‍‍ บรรจงสวมถุงเท้า และรองเท้าอยู่หน้าบ้าน ใช้เวลาเกือบตั้งห้านาที ทั้งที่ปกติแค่สองนาทีก็เสร็จ

นั่นถือเป็นการกลั่นแกล้งลูกชายเอาแต่ใจของตนอีกอย่างหนึ่ง ความจริงก็สอนให้รู้จักรอด้วย

อัลฟ่า‍‍หนุ่มยิ้มมุมปาก เงยหน้ามองภูริภัทร‍‍‍ที่โมโหสุดขีด แทบจะกรีดร้องและลงไปดีดดิ้นอยู่บนพื้นแล้ว

“ไอ้ป๊ะป๋า!!!” 

“ลามปามแล้วภูริภัทร‍‍‍ ตบปากตัวเองเดี๋ยวนี้” 

“ขอโทษครับ” ภูริภัทรหน้าบูดบึ้ง ยอมตบปากตัวเองตามคำสั่ง เพราะเห็นว่ามันล้ำเส้นเกินไป แต่ก็ไม่วายอาละวาดกระโดดกอดคอวัชรจากด้านหลัง พยายามเร่งเร้าให้อีกฝ่ายสวมรองเท้าให้เสร็จสักที

“ถ้ายังวอแวอยู่แบบนี้ ป๋าก็ยิ่งเสร็จช้านะ” 

“โอ๊ย! ป๊ะป๋าแกล้งภูอะ” 

อัลฟ่า‍‍กลิ่นดอกกาแฟส่ายหน้าไปมา ลุกขึ้นเต็มความสูง ภูริจึงห้อยต่องแต่งอยู่ด้านหลัง สองแขนแกร่งจึงประคองใต้ก้นเอาไว้ จะได้ไม่หล่นหงายหลังจ้ำเบ้าพื้น เดินไปที่รถและหิ้วเด็กน้อยใส่ไว้ในรถ

“อ้าว ทำไมให้ภูนั่งข้างหลัง” 

“เพราะพี่นิธิศต้องนั่งข้างหน้ากับป๋าไงล่ะ” ภูริภัทร‍‍‍ร้องอ๋อ ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มไม่น่าไว้ใจ หัวเราะหึ ‍ๆ‍‍ ราวกับเป็นเหล่าวายร้ายในการ์ตูน

“อ๋อ ล็อกที่ไว้นี่เอง หึ ‍ๆ‍‍” 

“อะไร จะให้ช่วยดูทางต่างหาก!” วัชระร้องเสียงแหวออกมา พยายามเก็บอาการแล้วแต่ภูริภัทร‍‍‍ก็เก่งด้านปั่นอารมณ์ประสาทจริง 

“เปล๊า ไม่มีอะไร๊ เป็นพี่ธิศก็ดี ภูชอบ ‍ๆ‍‍” 

“เงียบไปเถอะ” สิ้นประโยค วัชรเดินไปนั่งฝั่งคนขับและขับออกไป สนใจแต่ด้านหน้า ทำเป็นเคร่งขรึม ทว่าในใจกลับตั้งสติเตรียมตัวเตรียมใจกับตัวเอง

สาเหตุความว้าวุ่นและความคิดกังวลมาจากนิธิศคนเดียวเลย! ที่ทำให้การพบหน้ากันเป็นเรื่องยากขนาดนี้

ขนาดประชุมใหญ่ที่บริษัทยังไม่เครียดเท่านี้มาก่อนเลย ให้ตายสิ

ใช้เวลาไม่นานก็มาจอดอยู่ที่หน้าร้านเครื่องเขียนสไตล์มินิมอล แม้ว่าโรงเรียนจะปิดแต่ร้านก็ยังเปิดบริการเหมือนเดิม เผื่อมีเด็กและคุณครู หรืออาชีพอื่นต้องการเครื่องเขียน

“นั่นงาย พี่ธิศมาแล้วว” ภูริชะเง้อมองผ่านหน้าต่าง เห็นประตูร้านเปิดออกพร้อมร่างของใครบางคนที่เดินมาเปิดประตูข้างคนขับอย่างกับรู้ใจ

“สวัสดีครับคุณวัชร สวัสดีน้องภู” หลังจากปิดประตูรถเสร็จก็หันมาทักทายทั้งสองด้วยรอยยิ้มหวาน มันเจิดจ้าเสียจนสองพ่อลูกยกมือบังตาตัวเอง ไม่งั้นได้บอดกันพอดี

“พี่ธิศค้าบบ!!!!” เด็กน้อยกระโดดกอดคออัลฟ่า‍‍กลิ่นซิตรัสทันที วัชรจึงดุสั่งสอน ท่าทางแบบนั้นมันดูไม่ดีเอาเสียเลย

“ภูทำตัวดี ‍ๆ‍‍ กับพี่ธิศสิ” 

“ขอโทษค้าบ” 

“ไม่เป็นไรเลยครับคุณวัชร ผมโอเคมาก ‍ๆ‍‍ เลย” ว่าแล้วก็กอดภูโชว์ วัชระถึงกับตาโตเท่าไข่ห่าน

“ป๊ะป๋าทำหน้าอิจฉาภูทำไม” คำเอ่ยทักของเด็กน้อยทำให้วัชระหลุดจากภวังค์ รีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ ในใจก่นด่าตัวเองว่าไม่เก็บอาการให้ดี ก็ดูเอาเถอะว่าเด็กแสบกำลังทำท่าทางเยาะเย้ยตนจนน่าหมั่นไส้

ไอ้เด็กนี่มันรู้ทุกอย่างแน่ ‍ๆ‍‍

แก่แดด ไม่น่าไว้ใจ!!!

“เปล่าเถอะ ไม่ได้ทำ” ทำเป็นกระแอม จากนั้นจึงขับรถออกไป

จุดหมายของพวกเขาวันนี้คือสวนสนุก เป็นสถานที่ที่จะทำให้
ภูริภัทร‍‍‍มีความสุขกับคนที่ชอบ ไหนจะมีเครื่องเล่นมากมายหลากหลาย สร้างความตื่นเต้นเร้าใจและสามารถพักผ่อนหย่อนใจได้อีกด้วย อย่างไรมันก็เหมาะที่จะพาไปจริง ‍ๆ‍‍ 

ระหว่างการเดินทางภายในรถไม่เคยเงียบสงบ มักมีเสียงเจื้อยแจ้วของภูริภัทร‍‍‍ดังอยู่ตลอด ผสมกับเสียงทุ้มน่าฟังของนิธิศที่คอยเล่าเรื่องสนุก ไม่ก็หัวเราะตอบรับเรื่องเล่าตามประสาของเด็กน้อย วัชระเองก็อยากร่วมวงบ้าง แต่กลัวคุยไม่สนุกเหมือนนิธิศ แถมยังกลัวไปขัดจังหวะอีก

ตัวเองยิ่งชอบทำตัวแปลก ‍ๆ‍‍ เวลาอยู่กับนิธิศด้วย หากภูริภัทร‍‍‍เห็นเข้าคงโดนล้อไปจนวันตายแน่ ‍ๆ‍‍

“พี่วัชรเหนื่อยไหม ให้ผมขับได้นะ ผมขับเป็น” นิธิศหันมาพูดกับวัชร ขณะที่เด็กน้อยกำลังสนใจทิวทัศน์ข้างทาง

คนพี่ปรายมองด้วยหางตา เพราะสรรพนามนั่นทำให้ตนกังวล ซึ่งธิศเหมือนจะรู้เลยเอ่ยขอโทษเบา ‍ๆ‍‍ 

“ไม่เป็นไรหรอก” 

“แล้วคุณ…สบายดีนะ” เปลี่ยนเรื่องมาถามสารทุกข์สุกดิบซะงั้น

“สบายดีสิ คุณล่ะ กิจการเป็นยังไงบ้าง” 

“เรื่อย ‍ๆ‍‍ ครับ เด็กเข้าร้านช่วงเย็นเยอะเพราะขนมนี่แหละ บางทีผมควรเปลี่ยนเป็นร้านขนมให้หมดเลย” 

ธิศหัวเราะเบา ‍ๆ‍‍ ปกติแล้วร้านขายเครื่องเขียนก็คนเยอะในช่วงเช้าและเย็นอยู่แล้ว ส่วนโซนที่ฮิตที่สุดคงไม่พ้นขนมหวานที่เหล่าเด็กน้อยชื่นชอบ นั่นถือว่าเป็นผลพลอยได้สุด ‍ๆ‍‍

“ลองศึกษาไปเรื่อย ‍ๆ‍‍ ก่อน ค่อย ‍ๆ‍‍ คิด เรื่องธุรกิจมันไม่แน่นอนเสมอไปหรอก มันพลิกแพลงไปมาได้ด้วยนะ” 

“ครับ” 

“ป๊ะป๋ากับพี่ธิศคุยเรื่องน่าเบื่ออ่า” ภูริภัทร‍‍‍ยื่นหน้าแทรกกลางระหว่างผู้ใหญ่สองคน ก่อนจะร้องโอ๊ยออกมาเพราะโดนวัชรดีดหน้าผาก

“ไม่ใช่เรื่องของเด็กสักหน่อยนี่” 

“ก็คุยเรื่องที่เด็กคุยได้สิ อย่างเช่นการเรียน การ์ตูน ความรัก” 

“ความรักเกี่ยวตรงไหน” วัชรถามพลางเลิกคิ้ว

“ไม่ได้เกี่ยวกับภู แต่เกี่ยวกับป๊ะป๋าได้นะ” 

“ไม่คุย” 

“หรือป๊ะป๋าเขิน?” 

“…” 

“เขินพี่นิธิศ?” 

“ห๋า?”

วัชรร้องเสียงหลง สบถในใจยาวเหยียด พยายามเกร็งหน้าให้มันเรียบนิ่งดังเดิม ทว่าหูกลับแดงเถือกจนภูริภัทร‍‍‍หัวเราะลั่น ไม่วายจิ้มแก้มป๊ะป๋าเล่น มันเป็นโอกาสทองจริง ‍ๆ‍‍ เพราะยังไงอีกฝ่ายก็โต้ตอบกลับยาก ต้องคอยจับพวงมาลัย ดูถนนด้านหน้าอีก เสร็จภูริภัทร‍‍‍!

“หยุดพูดเดี๋ยวนี้เลย ก่อนที่ป๋าจะวนรถกลับบ้าน ไม่ต้องไปแล้วสวนสนุก” 

“โห่ ป๊ะป๋าอ่า เป็นแบบนี้ทุกที” 

แต่ภูก็ยอมสงบเสงี่ยม ได้แกล้งวัชระสมใจอยาก ในช่วงนี้คงพอได้แล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่ได้ไปสวนสนุกเป็นแน่

ใช้เวลาเดินทางหนึ่งโมง ในที่สุดก็ถึงที่หมายแล้ว เด็กน้อยวัย 6 ขวบ อารมณ์ดีกระโดดโลดเต้นยกใหญ่ ผู้ใหญ่ทั้งสองต้องรีบทักว่าอย่าวิ่งไปไกลเพราะกลัวพลัดหลงกัน

“ป๊ะป๋า ภูอยากเล่นเครื่องเล่นอันนั้น อันนู้นด้วย อยากเล่นทุกอันเลยเย้!” 

“ได้ เล่นให้หนำใจไปเลย” สิ้นคำ เด็กน้อยกระโดดชูมือดีใจและวิ่งรอบตัววัชร จนอัลฟ่า‍‍หนุ่มต้องคว้าตัวเอาไว้ และดันไปทางนิธิศแทน 

“ไปเล่นกับพี่เขาสิ อยากอยู่ด้วยกันนี่” 

ภูส่ายหน้า คว้าข้อมือวัชรไว้แน่น ”ไม่เอา ป๊ะป๋าต้องไปด้วย”

“ก็ได้” อัลฟ่า‍‍หนุ่มยิ้ม ถึงจะกวนประสาท แก่แดดและไม่เชื่อฟังเขานักแต่ก็มีมุมน่ารักน่าเอ็นดูเหมือนกัน

หากวัชรรู้อนาคตคงไม่ตอบเด็กน้อยไปเช่นนั้น เพราะไม่กี่นาทีต่อมา ชายหนุ่มถูกลากไปเล่นเครื่องเล่นมากมายที่หวาดเสียวและอยากอาเจียน ไม่ว่าจะเป็นไวกิ้งส์ โรลเลอร์โคสเตอร์ ม้าหมุน เครื่องบิน และอีกสารพัดมากมายจนสภาพวัชรไม่เหลือดี 

ตัวเปียกเพราะน้ำสาด จะเป็นลมเพราะอยู่ที่สูง และวิญญาณหลุดออกจากร่างเพราะบ้านผีสิง

“พี่วัชรโอเคไหม” นิธิศเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง ยื่นขวดน้ำให้คนที่นั่งพักบนเก้าอี้ไม้ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งลงด้านข้าง

“ขอบใจ” 

“ไม่คิดว่าพี่จะกลัวเครื่องเล่น” 

“เรียกพี่อีกแล้ว ผมไม่เคยเล่นอะไรแบบนี้มาก่อน” วัชระต้องเอ็ดเหมือนเดิม แต่ก็ตอบคำถามให้คลายข้อสงสัย

“แล้วปกติลูกชายพี่มาสวนสนุกไหม ดูเซียนเส้นทางดีนะ” 

“ไม่เคยพามา” 

“อ้าวเหรอ” ธิศถึงกับเผลออุทาน เพราะเมื่อครู่นี้ที่ภูริภัทร‍‍‍ลากทั้งสองไปเล่นเครื่องเล่นก็ไม่ได้ดูแผนที่ แต่ดูช่ำชองเป็นอย่างมากจนน่าสงสัย แต่ก็ไม่ได้เอื้อนเอ่ยถามอะไรออกไปเพราะเจ้าตัวเดินมาพอดีพร้อมกับขนมสายไหมในมือสามอัน

“กินเติมพลังกันพวกคนแก่” 

“คนแก่เหรอ พี่เพิ่ง 29 เองนะ” นิธิศหัวเราะ

“ก็นั่นแหละแก่ โดยเฉพาะใครบางคน คิก ๆ” ทำเป็นเหลือบมองตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยหางตา พร้อมส่งขนมสายไหมให้ วัชรรู้ตัวเลยดีดหน้าผากไปหนึ่งทีและรีบแย่งขนมไปจากมือ

“จ้าพ่อหนุ่มสุดหล่อ ไม่แก่หงำเหงือก แต่เป็นเด็กแก่แดด” 

“ว้าว ดูสนิทกันจังนะครับเนี่ย” นิธิศถึงกับหัวเราะเบา ‍ๆ‍‍ และส่งรอยยิ้มมาให้ แต่สีหน้าบ่งบอกได้ชัดว่าตกใจไม่น้อยกับบทสนทนาต่อล้อต่อเถียงของสองพ่อลูกที่ดูจะสนิทสนมราวกับเป็นเพื่อนมากกว่าบิดาและบุตร

ทั้งสองเบิกตาโต กระแอมออกมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย รีบเปลี่ยนท่าทางและน้ำเสียงทันที อุตส่าห์ตกลงกันแล้วว่าหากอยู่ต่อหน้าคนอื่นให้ทำตัวเป็นเด็กดี เชื่อฟังคำพูดของป๊ะป๋า อย่าทำตัวเหมือนที่อยู่กันสองคนแท้ ‍ๆ‍‍ แต่กลับมาโป๊ะตอนอยู่กับพี่ชายสุดสวยซะได้

เวรกรรม

“ป๋าไปห้องน้ำก่อนดีกว่า” ลุกขึ้นและเดินไปเลย ทิ้งให้นิธิศและภูรินั่งงุนงงอยู่สองคน

“ภูดูสนิทกับป๊ะป๋าจังเลยนะ” 

“ก็...ไม่รู้สิครับ” 

“ดูยังไงก็น่ารักออก ป๊ะป๋าของภูดูตามใจมากเลย ดูเข้าใจภูดีด้วย” 

ภูริภัทร‍‍‍ถึงกับร้องเหอะในใจ สนิทเรอะ! ไม่อยากจะสนิทด้วยเลย แต่ทำอย่างไรได้ ในเมื่อตัวเองเป็นแค่เด็ก 6 ขวบที่ต้องมีผู้ปกครองคอยดูแล ความจริงวัชรเองก็ไม่ได้ชอบภูเท่าไหร่หรอก เพราะตัวเองเป็นแบบนี้ทั้งดื้อ ซน เถียงเก่ง ดื้อ การกระทำทุกอย่างที่คนภายนอกเห็นว่าเรารักและเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์ แม้จะไม่มีแม่อยู่เคียงข้าง ล้วนเป็นแค่การแสดงเท่านั้นแหละ

มีตั้งหลายครอบครัวที่ผู้ปกครองไม่ชอบเด็กนี่

“ถ้าได้พี่ธิศมาเป็นป๊ะป๋าจะดีกว่าอีก” 

“อย่าพูดแบบนี้ให้ป๊ะป๋าได้ยินรู้ไหม ไม่ดีเลย ป๊ะป๋าของภูคือคุณวัชรนะ” 

“ก็มันเรื่องจริงนี่ เป็นป๊ะป๋าอีกคนก็ได้ ไม่สิ หม่าม้าดีกว่า! เพราะป๊ะป๋าของภูโสดและเหงามาก” วัชรต้องเป็นหนี้เขาแล้วนะ อุตส่าห์โฆษณาให้ขนาดนี้ 

เขารู้ เขาดูออก เวลาไปร้านเครื่องเขียนพร้อมวัชรทีไร สองคนนี้จะชอบแอบคุยกันตลอด ด้วยสายตาที่อัลฟ่า‍‍หนุ่มกลิ่นดอกกาแฟใช้มองคนสวยของภูริ‍‍‍มันดูเคลิบเคลิ้มและหลงใหลเสน่ห์ความงามของอีกฝ่าย

ชัดเลย มีใจ!!!

โอเค คนนี้ให้ผ่านถ้าป๊ะป๋าจะจีบ ไม่ติดอะไรเลยด้วย (เพราะเขาจะได้มีพรรคพวกเพิ่ม เอาไว้ต่อรองกับป๊ะป๋าได้ง่ายมากขึ้น วะฮ่า ‍ๆ‍‍) 

“ได้เหรอ” นิธิศหัวเราะ

“ได้ซี่ ป๊ะป๋าก็ดูชอบพี่ธิศนะ ภูเองก็ชอบ ใครบ้างที่จะไม่ชอบคนสวย” 

“ก็ไม่แน่เสมอไปหรอก” 

“เดี๋ยวนะ พี่ยังโสดอยู่ใช่ไหม” ภูเริ่มทำการซักถาม ลืมข้อสำคัญที่สุดไปซะได้

“นี่กำลังหาแฟนให้ป๊าใช่ไหม จริงจังเหรอ?” 

ภูริภัทร‍‍‍พยักหน้าหงึกหงักรัวเร็วจนศีรษะสั่นคลอน “พี่เหมาะกับป๊ะป๋ามากเลยนะ สงบเสงี่ยม อ่อนโยนใจดี ใจเย็น สวย แล้วดูเหมือนพี่จะสามารถคุมป๊ะป๋าได้อยู่หมัดแน่ ‍ๆ‍‍ ที่สำคัญภูพร้อมเรียกพี่เป็นหม่าม้าด้วย คิก ‍ๆ‍‍” 

ใช่แล้ว! คนใจดีและสวยอย่างนิธิศใคร ‍ๆ‍‍ ก็หลงชอบและต้องยอมใจอ่อนเป็นแน่ ดูเด็ก ‍ๆ‍‍ สิยังเชื่อฟังอีกฝ่ายเลย

ชายผมบลอนด์เอาแต่หัวเราะชอบใจ “โถเด็กน้อยน่าเอ็นดู”

“เด็กน้อยที่ไหน! ภูอายุเยอะแล้ว โตแล้วต่างหาก” 

“เหรอครับ เก่งจังเลย” 

“คุยอะไรกัน” 

“อ้าวกลับมาแล้วเหรอครับ” ทั้งคู่ส่งยิ้มหวานพิรุธมาให้ เจ้าของกลิ่นดอกกาแฟขมวดคิ้วไม่เข้าใจ กระนั้นในใจกลับคิดแล้วว่าภูริภัทร‍‍‍ต้องพูดจาพิลึกใส่นิธิศแน่นอน

“ถ้าภูริพูดจาแปลก ‍ๆ‍‍ ต้องขอโทษด้วย อย่าใส่ใจมากนะครับ” 

“ไม่เป็นไรครับ ภูแค่พูดเรื่องที่ว่าคุณชอบผมเท่านั้นเอง” 

“…” ดวงตาเรียวเบิกกว้างทันใด หันขวับมองตาขวางใส่ไอ้ลูกชายตัวดีทันที ภูริภัทร‍‍‍มองซ้ายทีขวาทีไม่กล้าสบตา ฉับพลันก็กระโดดดึ๋งมายืนตัวตรงและชี้ไปเรื่อยเปื่อย

“อ เอ้อ พวกเรายังไม่ได้ไปศูนย์วิทยาศาสตร์เลย ไปกันไหมครับ” 

“อย่ามาเปลี่ยนเรื่อง มาคุยกันเลยว่าไปพูดแบบนั้นทำไม” 

“เอาสิครับ ไปกันเถอะน้องภู น่าสนใจดีนะ” 

วัชรตั้งใจสั่งสอนลูกชายตัวแสบ แต่นิธิศกลับจูงมือภูริภัทร‍‍‍ไปซะแล้ว ปล่อยให้อัลฟ่า‍‍กลิ่นดอกกาแฟเสียอาการอยู่คนเดียว ช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย

สุดท้ายวัชระก็เดินตามไปหยุดอยู่ที่หน้าศูนย์วิทยาศาสตร์ ภูริภัทร‍‍‍ยืนอ่านป้ายโฆษณาอยู่นานแล้ว ไม่มีท่าทีจะเข้าไปเสียทีจนวัชรเอ่ยถาม

“ทำไมไม่เข้าไปล่ะ รออะไรอยู่” 

“ทุกคนคิดว่ามันเป็นเรื่องจริงไหม” ทั้งนิธิศและวัชรมองนิ้วป้อม ‍ๆ‍‍ ที่กำลังชี้ไปยังป้ายโฆษณาตรงหน้า 

มันคือธีมของศูนย์วิทยาศาสตร์ในช่วงนี้ กล่าวคือ

โลกมัลติเวิร์สหรือพหุจักรวาลและข้อสันนิษฐานต่าง ‍ๆ‍‍ ที่ว่าเอกภพมีเพียงหนึ่งเดียวจริงหรือ? และมีตัวเราเพียงแค่ ‘หนึ่ง’ นั้นจริงหรือไม่ นอกจากนี้ยังมีเรื่องมหัศจรรย์เหลือเชื่อเกี่ยวกับโลกของเราอีกมากมาย มาหาคำตอบใน
ศูนย์วิทยาศาสตร์กันเถอะ! 

ก็ดูเป็นธีมที่น่าสนใจดีสำหรับเด็กที่อยากรู้อยากเห็น รวมไปถึงผู้ใหญ่ที่สนใจด้านนี้

“ไม่รู้สิ ก็แค่ข้อสันนิษฐานที่พวกนักวิทยาศาสตร์ยังให้คำตอบได้ไม่แน่ชัด” วัชรตอบ สำหรับเขาไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้มาก่อนจึงไม่ได้คิดอะไรนัก

“แต่ภูว่ามันมีจริง” 

“งั้นเหรอ” 

“แบบนี้คุณน่าจะให้น้องเรียนด้านนี้นะครับ เพราะดูท่าจะสนใจเรื่องนี้” นิธิศพูดกับวัชระ เพราะเห็นท่าทางของเด็กน้อยที่เปลี่ยนไป ราวกับสนใจและหลงใหลในเรื่องพหุจักรวาล

“ถ้าอยากเรียนก็ส่งเรียนได้ ไม่ติดอะไร” อย่างไรวัชรก็สนับสนุนลูกเต็มที่อยู่แล้ว หากภูริต้องการจะศึกษามันจริง ‍ๆ‍‍ ให้เรียนในสิ่งที่ชอบ ไม่บังคับกัน

“แต่ว่ามันจะมีจริง ‍ๆ‍‍ ใช่ไหมนะ นึกว่าจะมีแต่ในภาพยนตร์เสียอีก” นิธิศสงสัย ตัวเองไม่ได้ติดตามการทำงานขององค์กรวิทยาศาสตร์ว่าตอนนี้มีอะไรใหม่ ‍ๆ‍‍ ที่พวกเขาประสบความสำเร็จหรือทดลองอะไรกันอยู่ อย่างเช่นเรื่องนี้ด้วย เขาได้ยินแต่ในภาพยนตร์ก็เท่านั้น

“อือ มีจริง ‍ๆ‍‍” ภูริภัทร‍‍‍ย้ำก่อนจะเดินเข้าไปด้านนั้น และพูดเสียงแผ่วจนผู้ใหญ่ทั้งสองแทบไม่ได้ยิน 

“เพราะภูเองก็ไม่ได้มีแค่คนเดียว” 

 

ช่วงเวลาหนึ่งทุ่มกว่า ‍ๆ‍‍ วัชรขับรถมาส่งนิธิศที่ร้าน หรือจะเรียกว่าบ้านด้วยก็ได้ เห็นบอกว่ามีบ้านอยู่ด้านหลังร้านด้วย จะได้ไม่ต้องขับรถไปมาให้เสียเวลา แค่เดินครู่เดียวก็ถึงร้านแล้ว 

นิธิศลงจากรถเรียบร้อย ไม่ลืมที่จะปิดประตูให้เบาที่สุด เพราะเด็กน้อยน่ารักแบตหมดเกลี้ยงจนหลับปุ๋ยไปแล้ว ก็อยากจะปลุกขึ้นมาเพื่อร่ำลาอยู่หรอก แต่ไม่ดีกว่า

“วันนี้ขอบคุณมากนะครับ ลำบากคุณแย่” วัชรเปิดหน้าต่างเพื่อเอ่ยขอบคุณ

“พูดปกติกันดีไหม ลูกพี่หลับไปแล้ว” 

อัลฟ่า‍‍กลิ่นดอกกาแฟเงียบไปชั่วครู่ พยักหน้าหงึก ‍ๆ‍‍ “ขอโทษนะที่รบกวนเวลาวันนี้ ภูติดนายมาก”

“ไม่เป็นไรครับ ผมเองก็ไม่ได้ไปสวนสนุกนานแล้ว ถือว่าย้อนวัยเด็กกันเนอะ” 

“แล้วก็เรื่องคำสรรพนามพวกนี้อีก ขอโทษที่ชอบเผลอถลึงตาใส่ทุกครั้งที่นายพูด” 

“ไม่เป็นไรครับ ความจริงเราสองคนไม่เห็นต้องปิดบังเลยว่าเราสนิทกัน รู้ไหมว่าภูเหมือนจะดูออกนะว่าเราสองคนดูมีซัมติงอะไรกัน” 

“ย ยังไงนะ” ดวงตาเรียวเบิกโพลงทันใด ไม่คิดว่านิธิศจะรู้เรื่องนี้ด้วย ตัวเขารู้อยู่นิดหน่อยว่าไอ้เด็กแสบมันคล้ายรู้ว่าเขาชอบธิศ แต่ทำไมอีกฝ่ายถึงรู้ได้ละเนี่ย ไปคุยกันตอนไหน!

“ภูจะจับคู่ให้เราสองคนแหละ” 

“ห๊ะ” ตกใจทวีคูณเข้าไปใหญ่ ไอ้เด็กบ้าเอ๊ย อยากจะปลุกมาว่าซะจริงเลย

“น้องบอกว่าพี่ดูชอบผม ภูเองก็ชอบ อยากได้เป็นป๊ะป๋าอีก” 

“ร เรื่องนั้น…” วัชรไม่ได้สนใจประโยคอื่นเลยนอกจาก ‘น้องบอกว่าพี่ดูชอบผม’ ครั้นสติกลับมาจึงต้องควบคุมอารมณ์สีหน้าให้ปกติเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นคนตรงหน้าอาจจะเชื่อคำพูดนั้นแน่ ‍ๆ‍‍ เพราะตัวเองอาการฟ้องสุด ‍ๆ‍‍

“ใช่ ผมเองก็ชอบพี่ออก” นิธิศเอ่ยพร้อมรอยยิ้มหวาน เท้าคางกับกระจกรถและยื่นหน้าเข้ามาใกล้ อัลฟ่า‍‍คนพี่จึงมีปฏิกิริยาทันที ผงะเอนตัวหนี

“หมายถึงชอบเอากับพี่” 

“อย่ามาทะลึ่งแถวนี้!” 

“ฮ่า ‍ๆ‍‍‍ๆ‍‍ หยอกเล่นครับ” 

วัชรหัวเสีย เหมือนโดนภูริภัทร‍‍‍และนิธิศปั่นหัวเล่นจนไม่สามารถรับมือได้ ทั้งที่เรื่องมันมาได้ขนาดนี้แล้ว วัชระจึงกลั้นใจถามออกไปเพราะความอยากรู้ และความคาดหวังเล็ก ‍ๆ‍‍ น้อย ‍ๆ‍‍ ที่เกิดขึ้นในหัวใจ

“แล้วนายอยากเป็นตามที่ภูบอกรึเปล่า” 

ไม่ต้องอธิบายเพิ่มเติม นิธิศก็รู้ว่าหมายถึงเรื่องใด ใบหน้าออกไปทางหวานประดับรอยยิ้มพิฆาตที่เอาไว้ใช้กับพวกหนุ่มสาวให้ตกหลุมรัก แน่นอนว่าวัชรก็รวมอยู่ในนั้น

“นั่นน่ะสิ” 

“...” 

คำตอบนั้นทำให้รู้สึกวาบหวิวในหัวใจ รู้สึกมีความหวังเมื่ออีกฝ่ายตั้งใจจะพูดอะไรต่อ ทว่าต้องหยุดชะงักเมื่อโทรศัพท์มีสายเรียกเข้า บนหน้าจอปรากฏชื่อทำให้คิ้วของชายหนุ่มกระตุก

“ผมไปก่อนนะครับ มีสายโทรมา” 

“อืม” 

อัลฟ่า‍‍เจ้าของกลิ่นซิตรัสแสนหอมหวานเดินไปหลังร้านเรียบร้อยแล้ว กระนั้นวัชรก็ยังไม่เดินทางกลับบ้าน ในหัวสมองกลับมีแต่ภาพของหน้าจอโทรศัพท์อีกฝ่ายที่ตนอุตส่าห์เหลือบไปเห็น

‘ลิลลี่’ 

ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเป็นหนึ่งในสาวที่เจ้าตัวคุยด้วย วัชระร้องเหอะออกมาให้กับความรักของตนที่ดูท่าจะไม่สมหวัง ในเมื่อนิธิศคนนี้ทั้งฮอตและมีผู้คน
รายล้อม ดวงตางามไม่เคยจดจ้องที่ตนเพียงผู้เดียว กระทั่งสถานะพวกเขาสองคนก็ไม่เคยแต่งตั้งอะไรให้กัน จนวัชรนึกเอาเองแล้วว่าเป็นแค่ ‘คู่นอน’

แต่เขาไม่ได้อยากเป็นแค่คู่นอนไง หากจะพูดออกไปตรง ‍ๆ‍‍ ก็กลัวว่าความสัมพันธ์จะไม่เหมือนเดิม

วัชระหลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน เหลือบมองลูกชายที่นอนหลับเบาะหลังพลางพูดพึมพำกับตัวเอง

“ถ้ามันคู่กันง่ายอย่างที่อยากให้เป็นมันก็คงดีนะภู”