โรงเรียนสอนให้หนูมีความรับผิดชอบ แต่โรงเรียนที่ป๊ะป๋าเรียนมาเขาไม่สอนเหรอ ป๊ะป๋าไปรังแกคุณคนสวย แต่ไม่รับผิดชอบเนี่ยนะ หนูอายที่มีป๊ะป๋าแบบนี้นะ — “มั่วแล้ว! คุณคนสวยต่างหากที่แกล้งป๋า แกล้งจนท้อง!!!”
ชาย-ชาย,โอเมกาเวิร์ส,ครอบครัว,รัก,ดราม่า,omegaverse,ปะป๊าอย่าโง่ ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
#ป๊ะป๋าอย่าโง่ (omegaverse)โรงเรียนสอนให้หนูมีความรับผิดชอบ แต่โรงเรียนที่ป๊ะป๋าเรียนมาเขาไม่สอนเหรอ ป๊ะป๋าไปรังแกคุณคนสวย แต่ไม่รับผิดชอบเนี่ยนะ หนูอายที่มีป๊ะป๋าแบบนี้นะ — “มั่วแล้ว! คุณคนสวยต่างหากที่แกล้งป๋า แกล้งจนท้อง!!!”
รู้ถึงไหน อายถึงนั่น!
คนอย่าง 'ป๊ะป๋าวัชระ' อัลฟ่าหนุ่มที่เพียบพร้อมทุกอย่าง เงินทอง อาชีพมั่นคง และมีลูกชายปากดี (จัด) แก่แดด เถรตรง ดูเป็นผู้ใหญ่เกินวัย ถึงกระนั้นก็ยังไปทำคนอื่นท้องและจะทิ้งอย่างไม่ไยดี!!!
ที่สำคัญเป็นพี่ชายสุดสวยที่ 'ภูริภัทร' ชอบมาก ๆ ด้วย
"ป๊ะป๋าช่างเลวนัก กล้ารังแกพี่สุดสวยของภูทำไม!!! ภูจะเอาเลือดบนหัวป๋าออกเดี๋ยวนี้!"
"เดี๋ยวนะภู นิธิศสุดสวยของภู (พอ) รังแกป๋าต่างหาก รังแกจนท้อง! ไอ้เด็กแก่แดดไม่รู้เรื่อง!!!"
"ไม่จริ๊งงงงง!"
ฟีลป๊ะป๋ากับลูกหยุมหัว
และ
พ่อหนุ่มหน้าสวยกับหนุ่มธุรกิจพ่อเลี้ยงเดี่ยว
คำเตือน :
Omegaverse
multiverse
blood เลือด , death ความตาย
Profanity คำหยาบคาย pregnancy ตั้งครรภ์
Sexual explicit เนื้อหามีความโจ่งแจ้งในเรื่องเพศ
Violence การใช้ความรุนแรง gun ปืน
Verbal abuse ทำร้ายทางวาจา
Toxic family ครอบครัวที่ไม่มีสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน (ญาติผู้ใหญ่)
บทที่ 7
อาการออก
วัชระลืมตาตื่นในห้องมืดสลัว มีแสงสว่างเล็ดลอดผ่านผ้าม่านเล็กน้อยช่วยให้เห็นรอบห้องได้นิดหน่อย กะพริบตาเชื่องช้าเพื่อปรับโฟกัสสายตาให้ชัดขึ้น พร้อมกับสติที่กลับเข้าร่าง
จำได้ว่าที่นี่คือโรงแรมข้างร้านบาร์ที่เขาออกมาหานิธิศอย่างเคย ร่วมรักกันจนถุงยางเกลื่อนเต็มพื้นห้อง และกกกอดกันบนเตียงหลังเสร็จกิจ
อัลฟ่ากลิ่นดอกกาแฟขยับกายไปมาจนทำให้คนน้องตื่นตาม สะลึมสะลืออ้าปากหาววอด
“ตื่นเช้าจัง” เสียงทุ้มแหบพร่าดังขึ้นข้างหู กระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น ไม่ลืมก้มจูบหน้าผากหนึ่งที
“วันนี้ต้องไปทำงานช่วงสาย”
วัชระมองนิธิศเงียบ ๆ อีกคนหลับตาไปอีกครั้ง ใบหน้างามและวัยเยาว์ช่างดูดีเหลือเกิน เส้นผมสีบลอนด์เหมาะกับเจ้าตัวนัก ไฝมหาเสน่ห์นั่นอีก เผลอตัวยกนิ้วขึ้นแตะมันเบา ๆ จึงทำให้นิธิศลืมตาขึ้นอีกครั้ง คนพี่ชักมือกลับและพูดต่อราวกับตัวเองไม่ได้ทำอะไร
“ฉันทำให้ตื่นเหรอ ขอโทษที”
“ไม่เป็นไรครับ แบบนี้ก็ดีนะเพราะจะได้ทำต่อช่วงเช้าต่อ”
“อะไรนะ? จะบ้าเหรอ อ๊ะ!” วัชรร้องเสียงหลง เมื่อเจ้าแท่งร้อนยาวจิ้มก้นตนไม่หยุดหย่อน มือหนายังขยุ้มแก้มก้นและแหวกมันออกจนเขาสั่นสะท้าน “หยุดเลยนะ! ไม่ทำแล้ว”
“ถ้างั้นพี่ช่วยผมหน่อยได้ไหม มันทรมานมากเลย เล่นกับมันหน่อยนะ” นิธิศออดอ้อนเป็นลูกหมา วัชระเบะปาก ทำหน้าเอือมระอา กระนั้นคำตอบที่ให้คนน้องกลับตรงกันข้ามกับสีหน้าท่าทางเสียเหลือเกิน
“ก็ได้”
รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าสวย เมื่อวัชระลุกขึ้นนั่งทับขา จับนิธิศจิ๋วที่ขนาดไม่จิ๋วกำลังแข็งชัน นึกสบถในใจว่ามีอารมณ์ตั้งแต่เช้าได้อย่างไร เขาก้มตัวเข้าไปหามันใกล้ ๆ จนสะโพกยกแอ่นขึ้น ประจวบเหมาะกับริมฝีปากนิ่มได้ครอบครองความอุ่นร้อนเอาไว้ ใช้ลิ้นละเลียดเลียส่วนหัวจนเสียวกระสัน เสียงทุ้มคำรามต่ำในลำคอออกมาทันที
“อา...ดี ดีที่สุดเลยพี่วัชรของผม”
“อันนี้เป็นเอกสารที่ต้องอ่านก่อนประชุมนะครับ”
“ขอบใจ”
นัทวางเอกสารลงบนโต๊ะทำงานของท่านประธาน ซึ่งเจ้าของกำลังง่วนอยู่กับการอ่านเอกสารในแท็บแล็ตอย่างขะมักเขม้นอยู่ เลขาสี่ตาแอบลอบมองใบหน้าแสนคมคายของวัชระ โดยปกติแล้วจะผ่องประกาย มองอย่างไรก็ไม่เบื่อ ทว่ายามนี้ดวงตากลับบวมปูดคล้ายคนนอนไม่เพียงพอ หน้าซีดเซียวไม่สดใสนัก
“สีหน้าดูพักผ่อนไม่พอนะครับ”
“เลี้ยงเด็กจนไม่ได้นอน” ตอบกลับทั้งที่ไม่เงยหน้าจากหน้าจอ
“เอ๊ะ น้องภูออกจะเลี้ยงง่ายออกนะครับ” ถือว่านัทสนิทกับภูริภัทรอยู่บ้าง เพราะเวลาวัชระออกไปคุยงานข้างนอกพร้อมหิ้วเด็กน้อยมาด้วย จะเป็นนัทที่รับบทเป็นพี่เด็กชั่วคราวเสมอ
“ไม่ได้หมายถึงภูสักหน่อย”
“อะไรนะ”
มัวแต่อ่านเอกสารจนเพิ่งรู้ตัวว่าเผลอพูดอะไรออกไป ถึงกับเงยหน้ามองเลขาตัวเองที่อึ้งกิ๋มกี่ไปแล้ว ส่วนตัวเองก็ตกใจพอ ๆ กัน อยากตบปากสักร้อยรอบ
ให้ตายสิ เผลอพูดบ้าอะไรออกไป เลี้ยงเด็กเนี่ยนะ?
เด็กที่ว่าก็นิธิศน่ะสิ เมื่อคืนไปเจอกันมา และอีกฝ่ายก็ออดอ้อนยกใหญ่จนวัชระแทบไม่มีแรงลุกจากเตียง แล้วยังมามีอารมณ์ช่วงเช้า แม้เขาสองคนจะไม่ได้ร่วมรักโดยการสอดใส่ ใช้เพียงมือและปากเท่านั้น แต่ก็สูบพลังไปจนหมดหลังเสร็จกิจ ตื่นขึ้นมาอีกทีก็ต้องรีบไปทำงานเสียแล้ว ยังดีนะที่ให้ลุงพลไปส่งภูที่โรงเรียนแทน
“ไม่มีงานทำรึไงนัท”
“ม มีแต่ว่าเรื่องเมื่อกี้...”
“ก็รีบไปทำสิ ยืนบื้อทำไมอีก!”
“ครับ ๆ ไปแล้วคร้าบบบ”
วัชระถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมาหลังจากที่ได้อยู่คนเดียว สองมือยกขึ้นลูบหน้าตัวเอง
นับวันเขายิ่งโหยหาและเสพติดการอยู่ใกล้นิธิศมาก แม้จะไม่ได้อยู่ช่วงฤดูรัทก็ตาม ช่างน่าเศร้านักที่อีกฝ่ายดูไม่กระวนกระวายใจหรือมีอาการเฉกเช่นเดียวกับตนเลย
แค่นัดมาก็มา อยากทำก็ทำ ตัดมาที่วัชระสิ ตื่นเต้นจะตายอยู่แล้ว ราวกับเป็นครั้งแรกที่เสียบริสุทธิ์อย่างไรอย่างนั้น แม้ว่าพวกเขาสองคนจะมีเซ็กซ์กันหลายครั้งแล้วก็ตาม
อยากตัดพ้อนัก อยากงอแง แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะไม่ได้เป็นอะไรกัน แม่ง
สุดท้ายวันทั้งวันก็ไม่มีสมาธิเลย ขืนฝืนทำต่อไปก็ไม่ดีเสียเปล่า ๆ จึงขอตัวกลับบ้านเพื่อไปพักผ่อน และรอไปรับภูริภัทรช่วงเย็น แล้วก็ควรจะหาเหตุผลดี ๆ ที่จะไม่แวะร้านเครื่องเขียนนั่น
หากให้พนันตัวเองคงชนะขาดลอย ว่าภูต้องไม่พอใจและอาละวาดลั่นเป็นแน่
ซึ่งมันก็จริง
ช่วงเย็นตอนไปรับภูริภัทร ขึ้นรถอะไรเสร็จเรียบร้อย เด็กแสบร้องขอให้แวะร้านเครื่องเขียนโดยเป็นไปตามคาด วัชระเลยปฏิเสธ
“อ๊าก!!! ป๊ะป๋านิสัยไม่ดี เลวนัก ลูกขอแค่นี้ก็ให้ไม่ได้!” ถ้าไม่เกรงใจเพื่อนร่วมถนนก็คงปีนเกาะหัวไปแล้ว
“เงียบนะภู มีมารยาทหน่อย อย่าเป็นเด็กดื้อด้วย!”
“ก็ขอแค่นี้เองอะทำไมทำให้ไม่ได้”
“ก็จะพาไปซื้อที่ห้างแทนไง”
“ถามจริง! ถ้าป๊ะป๋าใคร่ครวญสักนิดจะรู้ได้ว่าถ้าแวะร้านพี่ธิศจะประหยัดเวลาและน้ำมันมาก ๆ”
“ไม่เป็นไร ป๋ารวย”
ภูริภัทรหน้าหงิกงอทันที “แต่ภูอยากเจอพี่ธิศไงประเด็น”
“ไม่ได้”
“ป๊ะป๋า!!!”
“แค่อาทิตย์เดียวมันไม่ตายหรอก”
“แล้วทำไมป๊ะป๋าถึงไม่พาไป ไม่อยากเจอพี่ธิศเหรอ”
“ไม่ใช่เรื่องของเด็ก”
“...”
วัชระทำเป็นเมินสีหน้าง้ำงอ อีกประเดี๋ยวก็คงแหกปากร้องไห้แน่นอน หากเป็นปกติก็คงยอมให้เสียนิสัย แต่คราวนี้ไม่ยอมแน่
นี่เขากำลังคิดทบทวนอยู่นะ ถ้าไปเจอตัวปัญหาคงไม่มีความหมายกันพอดี
“แง๊!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”
“ภูริภัทร!!!”
โอ๊ย! ลืมที่อุดหูไว้ที่บ้าน เจริญ แก้วหูได้แตกกันพอดี
เพื่อทดแทนที่พาไปหานิธิศไม่ได้จึงยอมทุกอย่างที่ภูริภัทรอยากได้
อยากกิน หรืออยากดู แต่ก็ยังอยู่ในกรอบและความเหมาะสมอยู่ แล้วยังดีแค่ไหนที่เด็กน้อยยังรู้กาลเทศะว่าตัวเองอยู่ข้างนอก ทำตัวให้ดีไม่โวยวาย เอาแต่ใจ หรือแสดงกิริยาไม่ดีต่อหน้าคนอื่น
แต่อย่าให้กลับบ้านไปเชียว คงอาละวาดต่อแน่
“กินให้มันดี ๆ ภูริภัทร”
“เชอะ”
“เฮ้อ” วัชระถอนหายใจออกมากับท่าทีประชดประชันของเด็กน้อยตรงหน้า ปากเปื้อนคราบซอส สภาพอาหารภายในจานดูไม่ได้ กระจัดกระจายร่วงเปื้อนโต๊ะอีก ทั้งที่ปกติไม่เคยแสดงกิริยาแบบนี้ แทบจะเป็นเด็กที่รู้จักมารยาทบนโต๊ะอาหารด้วยซ้ำ แต่ดูตอนนี้สิ
ไม่แปลกใจหรอก งอนอยู่นี่นะ หากอยู่บ้านคงไม่อะไร จะปล่อยให้อาละวาดเต็มที่ ทว่าตอนนี้อยู่ข้างนอกควรทำตัวให้ดี
“จริง ๆ เลย เดี๋ยวคนอื่นก็หาว่าป๋าไม่สอนให้กินดี ๆ” พูดพลางใช้ทิชชูเช็ดปากให้ ภูพยายามหันหน้าหนี ทำให้ผู้ใหญ่จับคางไว้และเช็ดออกอย่างเชื่องช้า
สีหน้าของภูคือหน้าบูดบึ้งสุด ๆ รู้แหละว่าไม่พอใจ ดังนั้นวันนี้เขาจะให้รางวัลปลอบใจลูกหนึ่งอย่าง และมันได้ผล เจ้าตัวดูไม่หงุดหงิดแล้ว
“โทรศัพท์ได้ไหม”
“ยังไม่ถึงเวลามีสักหน่อย”
“โธ่ ใช้เป็นเถอะน่า” ภูพองแก้มอย่างขัดใจ
“ไว้โตอีกนิดก็แล้วกัน วันนี้เอาอย่างอื่นไปได้ไหม” พยายามพูดโน้มน้าวให้เด็กน้อย
“อ้าว ยังอารมณ์ดีมาเดินห้างได้อยู่สินะคะ”
หือ?
ใบหน้าคมคายเงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินชื่อตัวเองแว่ว ๆ กะพริบตาสองสามครั้งยามเห็นคนตรงข้ามที่เดินมาหยุดตรงหน้า
สาวเจ้าอัลฟ่าคนงามที่ตนไม่ได้เจอกันมานาน ปลายฟ้ายืนกอดอก เบะปากใส่วัชระ ความจริงแล้วจะเดินผ่านไปไม่สนใจก็ย่อมได้ แต่มันอดที่จะพูดเหน็บแนมสักหน่อยไม่ได้
“ปลายฟ้า”
“ค่ะ ชีวิตดีขึ้นนะคะหลังจากที่ไม่โดนผู้ใหญ่จับคู่ให้”
วัชรขมวดคิ้ว ไม่คิดว่าเธอจะกล้าพูดเรื่องนี้ต่อหน้าเด็ก เขาเลยต้องให้ภูไปรอที่ร้านหนังสือเสร็จแล้วจะตามไปทันที
“ภูจะฟังด้วย” เด็กน้อยดื้อดึงนัก ยังยืนนิ่งอยู่กับวัชระ
“ไม่ใช่เรื่องของเด็ก”
“ทำอย่างกับเป็นผู้ใหญ่แล้วจะจัดการได้อะ เดี๋ยวช่วย พี่ผู้หญิงคนนั้นดูยังไงก็นิสัยไม่ดี”
ภูสังเกตมาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่เจอกันที่บริษัท สัญชาตญาณก็บอกทันทีว่า ‘ไม่ชอบมนุษย์ป้าคนนี้’ สุด ๆ ยังไงก็ต้องช่วยป๊ะป๋า หลายแรงย่อมดีกว่าอยู่แล้ว
“ไปเถอะ ถือว่าป๋าขอนะ เป็นเด็กดีหน่อย”
ภูริภัทรเงียบไป ก่อนจะพยักหน้ายอมในที่สุด และหลังจากที่ร่างของเด็กน้อยหายไปจากสายตา วัชระจึงกลับมามีสีหน้าจริงจังใส่ปลายฟ้าทันที
“เมื่อกี้ถามว่าชีวิตดีขึ้นใช่ไหมครับ ถ้าพูดตามตรงก็ใช่ครับ แล้วฟ้ารู้สึกดีเหรอที่มีคนมาบังคับ เราควรอยู่กับคนที่รักนี่”
“มันก็ดีค่ะที่ไม่มีใครมาบังคับแล้ว แต่อย่างว่า มันแลกมากับเงินทุนช่วยธุรกิจฟ้าน่ะสิคะ” ทำเป็นตีหน้าเศร้า เช็ดน้ำตาดูปวดใจ
“หมายความว่าไง”
“จะบอกให้เอาบุญนะ ฟ้าเองก็ไม่ได้พิศวาสพี่หรอก แต่เพราะพ่อพี่อยากได้ฟ้ามากจนจะเข้ามาช่วยเหลือธุรกิจฟ้า ถ้าฟ้ายอมแต่งงานกับพี่”
“...”
รู้อยู่หรอกว่าตั้งแต่อดีตยันปัจจุบันมักมีการแต่งงานเพื่อผลประโยชน์หรือเชื่อมความสัมพันธ์ แต่ก็ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นกับตัวเอง แถมคนเป็นพ่ออย่าง
อดิศักดิ์ยังกระทำอย่างลับ ๆ โดยไม่บอกตน
เขาเป็นสิ่งของหรือไงที่จะโยนให้ใครก็ได้
“แต่ฟ้าทนไม่ไหวกับคนอย่างพี่เลยขอออกมาก่อนที่ตัวเองจะเป็นบ้าน่ะค่ะ ยอมไม่เอาเงินทุนก็ได้ อย่าทำเป็นว่าตัวเองปฏิเสธฝ่ายเดียวสิคะ”
“...”
“ถ้าเป็นพี่วายุก็ว่าไปอย่าง แบบนั้นคงไม่จู้จี้จุกจิก อะไรก็ไม่รู้แบบพี่หรอกค่ะ”
“ฟ้า” ครั้นพูดถึงวายุก็เริ่มไม่พอใจขึ้นมา กัดฟันกรอดเพื่อข่มอารมณ์
“ที่จะพูดก็คือพี่วายุดีกว่าค่ะ ถ้าเป็นพี่วายุฟ้าจะอดทนพยายามอีกหน่อยก็สำเร็จแล้ว ถ้าพี่เขาไม่แต่งงานซะก่อน ป่านนี้ฟ้าคงกลายเป็นพี่สะใภ้ของพี่วัชรไปแล้วล่ะค่ะ ฮ่า ๆ”
หล่อนยังมีหน้ามาขำไม่ดูคู่สนทนาว่ารู้สึกอย่างไร ทุกคนที่ได้ยินต้องขมวดคิ้ว ไม่ก็หาเรื่องกลับแล้ว ทว่าวัชรกลับนิ่ง พยายามข่มอารมณ์ จัดการตัวเองให้ดี
ห้ามระเบิดเด็ดขาด
“งั้นก็คงโชคดีมากที่พี่ไม่ได้มีพี่สะใภ้อย่างปลายฟ้า สวรรค์ยังใจดีกับพี่อยู่นะ” หลังจากเป็นผู้ฟังอยู่นาน วัชรโต้ตอบกลับบ้าง สาวเจ้าเริ่มหน้าบึ้งตึง ฉับพลันก็ทำตัวเชิดอีกครั้งราวกับไม่ยอมแพ้
“แต่ใจดีไม่สุดนี่คะ เพราะไม่มีใครต้องการพี่เลยนี่ ทั้งครอบครัว คนอื่น ภูเองก็ด้วย”
คล้ายหูดับไปชั่วขณะ แม้จะพยายามไม่สนใจแล้วก็ตาม แต่คำพูดของปลายฟ้ามักกระทบจิตใจเขาอยู่ตลอด มันแทงใจดำสุด ๆ จนทนไม่ไหว ประโยคเมื่อครู่เอาแต่วนอยู่ในหัวซ้ำ ๆ แถมยังมีประโยคอื่นจากห้วงอดีตเข้ามาผสมโรงอีก
‘เพราะไม่มีใครต้องการ’
ไม่มีใครต้องการ
โดดเดี่ยว
“ป๊ะป๋า คุยนานจังอ่า”
เฮือก!
วัชระสะดุ้งตัวโหยง มืออ้วนจับชายเสื้อตนและเขย่าไปมาจวนยับยู่ยี่ เขาสบตากับเด็กน้อยพลันถอนหายใจออกมา
“ป๋าบอกให้ไปรอที่ร้านหนังสือไม่ใช่เหรอ”
“ไปแล้ว แต่ป๊ะป๋าคุยนานเกินไปเลยมาตาม”
“ไม่ได้นานเลยเถอะ”
“นานสำหรับภูไง”
วัชรระบายยิ้ม เห็นใบหน้าเอาแต่ใจก็สามารถทำให้ตนผ่อนคลายลงได้เล็กน้อย
“โอเค ไปกันเถอะ”
“เรายังคุยไม่จบนะคะพี่วัชร” ปลายฟ้าเอ่ยขึ้นเสียงขุ่น อัลฟ่าหนุ่มเพียงมองข้ามไหล่ตัวเอง ใช้หางตามองหล่อน เผลอปล่อยฟีโรโมนกดดัน
“เราไม่มีอะไรต้องคุยแล้ว” สิ้นประโยคก็เดินจูงมือภูริภัทรไปโดยไม่หันกลับมาดูปฏิกิริยาโต้ตอบของปลายฟ้าอีก ผู้หญิงคนนั้นไม่มีค่าพอที่จะให้ตนลดตัวไปพูดคุยด้วย...ไม่มีวันอีก
“พี่วัชร!!!”
เธอสบถคำหยาบ พยายามกลั้นโทสะเอาไว้ ฉับพลันมันต้องระเบิดแตกราวกับภูเขาไฟระเบิด เมื่อภูริภัทรหันกลับมามองเธอ พร้อมส่งรอยยิ้มแสนน่ารักและเอ็นดูให้ ทว่ามันไม่ได้ทำให้คนมองรู้สึกดีเลย เพราะมัวแต่สนใจมือที่เด็กน้อยชูขึ้นมา
มันคือนิ้วกลาง
ภูริภัทรส่งนิ้วกลางให้หล่อน!
“กรี๊ด ไอ้เด็กเหี้ย!!!”
ถือว่าเป็นวันที่เหนื่อยสำหรับวัชระเป็นอย่างมาก ทั้งร่างกาย จิตใจ เรื่องของนิธิศ เรื่องงาน จนไปถึงเรื่องของปลายฟ้าและครอบครัวตัวเอง เมื่อกลับถึงบ้านแล้วก็รีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าตั้งแต่หัวค่ำ เขาอยากปลดปล่อยหรือหาใครสักคนคุยปรึกษา
แล้วใครล่ะ? หากเป็นเพื่อน ๆ ของตนที่มีไม่กี่คน ก็บ้าทำงานไม่แพ้กันหากไปรบกวนเวลาพักผ่อนคงไม่ดี พวกนี้มักแสวงหาเวลาพักผ่อนอยู่ตลอดเวลา คนทำงานด้วยกันย่อมรู้ดี
ก็คงต้องอยู่กับตัวเองต่อไป
Rrrrr Rrrrr
ราวกับรู้ใจนักว่าตอนนี้ตนต้องการใครบางคนคุยด้วย วัชระกดรับสาย เสียงในสายดังเจื้อยแจ้วจนตนเผลอยิ้มออกมา ลืมสิ้นแล้วว่าตัวเองต้องการคิดทบทวน และว้าวุ่นใจเพราะคนนี้
[ ไงครับพี่วัชร ]
“มีอะไรรึเปล่า”
[ แค่จะถามว่าวันนี้เข้ารึเปล่า บาร์น่ะ ]
“ไม่หรอก วันนี้เหนื่อยมากเลย”
[ อ่า เสียดายจัง ]
“ถ้าเหงาก็ไปอยู่กับหนุ่ม ๆ สาว ๆ ของนายสิ” พูดเองก็แทงใจตัวเองไป เจ็บจี๊ดที่หัวใจชะมัด
[ ผมไม่ได้มีใครสักหน่อย ผมมีแค่พี่ ]
“…”
ถึงกับตกใจชะงักค้างไปหลายวินาที กลับมามีสติอีกครั้งได้เพราะรู้สึกถึงความเห่อร้อนที่ใบหน้า แม้จะไม่ใช่คำสารภาพรักหรือหวาน ๆ เป็นเพียงประโยคบอกเล่าก็สามารถทำให้วัชรบ้าคลั่งได้แล้ว
ท่าจะเป็นหนักแล้ววัชร ชอบเขาหนักเกินไปแล้ว มันไม่ดีเลย
เราอยู่ในสถานะที่ไม่มีคำเรียกซึ่งมันอันตรายกับหัวใจเป็นอย่างมาก และวัชระกำลังประสบพบเจอกับมัน
“อ อ้อ” แต่ก็เพิ่งมาคิดได้
เราเป็นแค่ ‘คู่นอน’ จริง ๆ เหรอวะ? นิธิศไม่เคยสงสัยในความสัมพันธ์ของพวกเขาบ้างเลยเหรอ
[ เสียงดูแปลก ๆ นะครับ ไม่สบายรึเปล่า ]
“เปล่า สบายดี”
[ เหรอ ถ้ามีอะไรบอกผมได้นะ ยินดีรับฟัง ]
“ได้เหรอ”
[ ได้สิครับ ทำไมจะไม่ได้ล่ะ ]
“ก็นึกว่าแค่เป็นคู่นอนกันเฉย ๆ”
ปลายสายเงียบไปหลายวินาที ก่อนจะตอบกลับตามปกติไม่มีอะไรให้
น่าสงสัย
[ แต่ว่านะ วันนี้พี่ไม่มาบาร์น่าเสียดายสุด ๆ เจ้าของร้านให้ชิมไวน์ตัวใหม่ที่เพิ่งนำเข้ามา อร่อยมากเลย อยากให้พี่ได้มาลองจริง ๆ ]
“ฝากกินด้วยละกัน”
[ ค้าบบ ]
“นี่นิธิศ”
[ ว่าไงครับ ]
“อาทิตย์หน้าเจอกันหน่อยไหม”
[ ไม่เจอกันพรุ่งนี้เลยล่ะครับ ]
“ขอเวลาทบทวนตัวเองหน่อย อีกแค่ห้าวันเอง”
[ ก็ได้ครับ ]
“อืม ไม่กวนแล้ว”
สิ้นประโยคก็ตัดสายทิ้งไป ถอนหายใจเฮือกใหญ่ หงายหลังล้มนอนบนเตียงนุ่ม มองเพดานห้องอย่างเหม่อลอย
มีความรักทั้งทีมันกลับเป็นความสัมพันธ์ที่ยุ่งยากเสียจริง ตัวเขานั้นจะสามารถผ่านพ้นไปได้รึเปล่า
เพราะงานยุ่งรัดตัวจนหลงลืมนัดไป รู้ตัวอีกทีก็ถึงวันนั้นเสียแล้ว ทั้งที่
ขอเวลาไว้ตั้งนาน วัชระต้องรีบเคลียร์งานให้เสร็จ เมื่อกลับบ้านไปเขาก็ทำ
เช่นเคย ส่งภูริภัทรเข้านอน บอกให้ป้าลำดวนรับรู้ว่าจะออกไปข้างนอก อาจกลับดึกหรือไม่แน่ก็กลับตอนเช้าเลย ฝากปิดประตูปิดหน้าต่างให้เรียบร้อย
ระหว่างที่เดินเข้าไปในร้านในใจกลับคิดว่าคืนนี้เขาจะคุยเรื่องอะไรกับนิธิศ จะเอ่ยถามว่าเราเป็นอะไรกัน มีสถานะอะไรกันแน่ หรือเสี่ยงมากที่สุดคือการสารภาพความในใจออกไป
ความรักมีความเสี่ยงเหมือนกับธุรกิจ หากตัดสินใจพลาดก็สามารถทำให้ล้มละลายหรือตัดขาดไม่ยุ่งเกี่ยวกันได้อีกทันที
วัชระจะทำอย่างไรดี นี่มันยากกว่าธุรกิจอีกนะ
ระหว่างขับรถเขาภาวนาให้ถึงที่หมายช้า แต่มันกลับถึงเร็วเสียจนน่าหงุดหงิด ทุกอย่างเป็นใจให้เขาถึงที่หมายเร็ว ไม่รถติดไฟแดง จราจรไม่ติดขัด สุดท้ายก็ปลง ค่อยไปหาทางคิดบทสนทนาตอนอยู่ในร้านก็ได้
ยามเคลื่อนกายเข้าไปในร้าน สองเท้ามุ่งไปที่โต๊ะประจำ หากมันถูกจับจองไปแล้ว ก็จะเดินหาอีกคนในโซนเดียวกัน มันมักเป็นแบบนี้ทุกครั้งที่เรานัดกัน จะได้ไม่ต้องโทรหาให้เสียเวลา
ดวงตาเรียวกวาดมองรอบตัว โต๊ะประจำถูกจับจองโดยผู้อื่น คงไม่ยากต่อการหาอีกฝ่ายหรอก
ซึ่งก็เป็นดั่งที่คาดการณ์เอาไว้ เขาเห็นนิธิศแล้ว รวดเร็วทันใจเหลือเกิน
แม้ในร้านจะมีแสงสว่างวาววับไปด้วยสีเสียงสวยงาม กระนั้นชายหนุ่มกลับโดดเด่น สว่างไสว เป็นจุดสนใจ ทว่าอีกฝ่ายไม่ได้นั่งอยู่คนเดียว ถูกรายล้อมด้วยชายหญิง คนอื่นคงไม่คิดอะไรและจะมองว่าเป็นกลุ่มเพื่อนหรือคนรู้จัก แต่เพราะมีบางคนที่ทำตัวใกล้ชิดติดแนบเนื้อกับนิธิศเกินไปจนน่าสงสัยน่ะสิ
ไม่มีการผลักออก แต่ยังพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ไหนจะสายตาของนิธิศที่มักใช้มองตนกำลังจดจ้องไปที่คนอื่น รวมถึงการบริหารเสน่ห์ ออดอ้อนและแพรวพราวนั่นก็ด้วย พยายามคิดบวกว่านั่นมันเป็นนิสัยเป็นกันเองของน้องอยู่แล้ว ไม่ได้มีอะไรหรอก แต่ก็ยังเจ็บที่หัวใจแปล๊บจนต้องยกมือขึ้นขยุ้มเสื้อเชิ้ตของตนเอง
หากเป็นปกติเขาคงเดินเข้าไปหาและทำตัวเหมือนไม่คิดและไม่เห็นอะไร ไม่งี่เง่าหรือโวยวายไร้สาระใส่คนน้อง คิดเหมือนเดิมว่านั่นคือเพื่อน คนรู้จัก ไม่มีทางที่นิธิศจะอยู่คนเดียวโดยไม่มีคอนเน็กชันหรอก
แล้วทำไมวันนี้กลับแตกต่างล่ะ? อารมณ์กลับอ่อนไหว น้อยใจ งี่เง่า ทั้งนิสัยเสียคิดเองเออเอง ว่าร้ายคนอื่นโดยไม่รู้ความจริง ไม่มีเหตุผล ไม่มีความเป็นผู้ใหญ่ อีกทั้งสมองสั่งการให้เดินถอยหลังห่างออกไป อย่ามองภาพนั้นอีก
“พี่วัชร!”
เสียงเรียกคุ้นเคยเป็นตัวที่ทำให้วัชระตัดสินใจเด็ดขาด รีบหันหลังและก้าวเท้าเดินออกไปจากโซนนั้น ใกล้จะถึงประตูทางออกอยู่แล้ว ทว่าร่างกลับถูกดึงรั้งเอาไว้ให้หันมาสบตากับชายหนุ่มผมบลอนด์
“พี่วัชรเป็นอะไรรึเปล่า จู่ ๆ ก็เดินออกมา”
นิธิศดูเป็นห่วงเขานัก แอบดีใจอยู่ชั่วครู่ ทว่าไอ้สมองมันโง่ไม่รู้เวล่ำเวลากลับตีความว่าคนตรงหน้าก็เอาใส่ใจ เป็นห่วงทุกคนเหมือนกันนั่นแหละ ไม่ใช่แค่ตนคนเดียวที่จะได้สิทธิ์นั้นสักหน่อย
“ฉันอยากกลับบ้าน”
“แต่พี่เพิ่งมา พี่ไม่สบายเหรอ ให้ผมไปส่งไหม”
“ไม่ต้อง” ปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย พยายามสะบัดแขนออกจากการจับกุม ทว่าเมื่อสลัดออกธิศก็ตามจับเหมือนเดิมทุกครั้ง
“บอกผมนะครับ ว่าพี่เป็นอะไร”
วัชรเม้มริมฝีปาก คิดซ้ำ ๆ ตีในหัวจนมึนงงไปงง แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจได้ จึงเอื้อนเอ่ยออกไป
“ช่วงนี้เราลองห่างกันไหม”
“ค ครับ?”
นิธิศชะงักค้างไปชั่วครู่ กว่าจะหาเสียงตัวเองเจอก็คิดไม่ออกว่าควรพูดอะไรกับคนตรงหน้า
“ฉันสับสนว่าเราสองคนเป็นอะไรกันแน่ ถ้าเป็นแค่คู่นอนเฉย ๆ ฉันก็ขอจัดการตัวเองก่อน” ยิ่งประโยคหลังเสียงยิ่งแผ่วลงจนหายกลืนไปกับเสียงเพลง
“เดี๋ยวพี่...พี่ร้องไห้” วัชระเบิกตากว้าง ยกมือคลำรอบตาตนเองที่รู้สึกเปียกชื้น ยกแขนเช็ดลวก ๆ และพยายามสะบัดมือของนิธิศออก
“ไม่มีอะไรธิศ ฉันสับสนเอง ขอตัวก่อน” เขารีบสาวเท้าออกไปจากตรงนั้นทันที กลัวว่าถ้าช้ากว่านี้จะโดนคว้าตัวเอาไว้อีกครั้ง
สุดท้ายก็เป็นเขาที่ขี้ขลาด ไม่กล้าเอ่ยถามอะไร เอาแต่พูดและตีความฝ่ายเดียว เพราะกลัวคำตอบของอีกฝ่ายนัก
จะเป็นนักธุรกิจเก่งคิดวิเคราะห์ทำเงินได้มากขนาดไหน ก็ต้องพ่ายแพ้กับเรื่องเล็ก ๆ แค่นี้ อย่าให้คนอื่นรู้เลย ช่างน่าสมเพชนัก