โรงเรียนสอนให้หนูมีความรับผิดชอบ แต่โรงเรียนที่ป๊ะป๋าเรียนมาเขาไม่สอนเหรอ ป๊ะป๋าไปรังแกคุณคนสวย แต่ไม่รับผิดชอบเนี่ยนะ หนูอายที่มีป๊ะป๋าแบบนี้นะ — “มั่วแล้ว! คุณคนสวยต่างหากที่แกล้งป๋า แกล้งจนท้อง!!!”

#ป๊ะป๋าอย่าโง่ (omegaverse) - บทที่ 7 อาการออก โดย KONKON satuu @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ชาย-ชาย,โอเมกาเวิร์ส,ครอบครัว,รัก,ดราม่า,omegaverse,ปะป๊าอย่าโง่ ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

#ป๊ะป๋าอย่าโง่ (omegaverse)

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ชาย-ชาย,โอเมกาเวิร์ส,ครอบครัว,รัก,ดราม่า

แท็คที่เกี่ยวข้อง

omegaverse,ปะป๊าอย่าโง่

รายละเอียด

โรงเรียนสอนให้หนูมีความรับผิดชอบ แต่โรงเรียนที่ป๊ะป๋าเรียนมาเขาไม่สอนเหรอ ป๊ะป๋าไปรังแกคุณคนสวย แต่ไม่รับผิดชอบเนี่ยนะ หนูอายที่มีป๊ะป๋าแบบนี้นะ — “มั่วแล้ว! คุณคนสวยต่างหากที่แกล้งป๋า แกล้งจนท้อง!!!”

ผู้แต่ง

KONKON satuu

เรื่องย่อ

รู้ถึงไหน อายถึงนั่น! 

คนอย่าง 'ป๊ะป๋าวัชระ'  อัลฟ่าหนุ่มที่เพียบพร้อมทุกอย่าง เงินทอง อาชีพมั่นคง และมีลูกชายปากดี (จัด) แก่แดด เถรตรง ดูเป็นผู้ใหญ่เกินวัย ถึงกระนั้นก็ยังไปทำคนอื่นท้องและจะทิ้งอย่างไม่ไยดี!!! 

ที่สำคัญเป็นพี่ชายสุดสวยที่ 'ภูริภัทร' ชอบมาก ๆ ด้วย


"ป๊ะป๋าช่างเลวนัก กล้ารังแกพี่สุดสวยของภูทำไม!!! ภูจะเอาเลือดบนหัวป๋าออกเดี๋ยวนี้!"

"เดี๋ยวนะภู นิธิศสุดสวยของภู (พอ) รังแกป๋าต่างหาก รังแกจนท้อง! ไอ้เด็กแก่แดดไม่รู้เรื่อง!!!"

"ไม่จริ๊งงงงง!"


ฟีลป๊ะป๋ากับลูกหยุมหัว

และ

พ่อหนุ่มหน้าสวยกับหนุ่มธุรกิจพ่อเลี้ยงเดี่ยว


คำเตือน :

Omegaverse 

multiverse 

blood เลือด , death ความตาย

Profanity คำหยาบคาย pregnancy ตั้งครรภ์ 

Sexual explicit เนื้อหามีความโจ่งแจ้งในเรื่องเพศ

Violence การใช้ความรุนแรง gun ปืน

Verbal abuse ทำร้ายทางวาจา

Toxic family ครอบครัวที่ไม่มีสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน (ญาติผู้ใหญ่)




สารบัญ

#ป๊ะป๋าอย่าโง่ (omegaverse)-บทที่ 1 เด็ก (ไม่) ไร้เดียงสา,#ป๊ะป๋าอย่าโง่ (omegaverse)-บทที่ 2 ร้านเครื่องเขียนพิเศษและคุณคนสวย,#ป๊ะป๋าอย่าโง่ (omegaverse)-บทที่ 3 คุณวัชรผู้แสนขรึม nc50%,#ป๊ะป๋าอย่าโง่ (omegaverse)-บทที่ 4 บ้านสิริมหินศรณ์ที่ภูเกลียด,#ป๊ะป๋าอย่าโง่ (omegaverse)-บทที่ 5 วันไปเที่ยวของบ้านภูริภัทร,#ป๊ะป๋าอย่าโง่ (omegaverse)-บทที่ 6 100 nightstand nc100%,#ป๊ะป๋าอย่าโง่ (omegaverse)-บทที่ 7 อาการออก,#ป๊ะป๋าอย่าโง่ (omegaverse)-บทที่ 8 พี่นิธิศไม่สบายเหรอ,#ป๊ะป๋าอย่าโง่ (omegaverse)-บทที่ 9 พี่ธิศโดนป๊ะป๋าแกล้ง,#ป๊ะป๋าอย่าโง่ (omegaverse)-บทที่ 10 วันหยุดที่ไม่ได้หยุด,#ป๊ะป๋าอย่าโง่ (omegaverse)-บทที่ 11 ป๊ะป๋าโดนแกล้งเรอะ

เนื้อหา

บทที่ 7 อาการออก


บทที่ 7  

อาการออก

 

 

 

วัชระลืมตาตื่นในห้องมืดสลัว มีแสงสว่างเล็ดลอดผ่านผ้าม่านเล็กน้อยช่วยให้เห็นรอบห้องได้นิดหน่อย กะพริบตาเชื่องช้าเพื่อปรับโฟกัสสายตาให้ชัดขึ้น พร้อมกับสติที่กลับเข้าร่าง

จำได้ว่าที่นี่คือโรงแรมข้างร้านบาร์ที่เขาออกมาหานิธิศอย่างเคย ร่วมรักกันจนถุงยางเกลื่อนเต็มพื้นห้อง และกกกอดกันบนเตียงหลังเสร็จกิจ

อัลฟ่า‍‍กลิ่นดอกกาแฟขยับกายไปมาจนทำให้คนน้องตื่นตาม สะลึมสะลืออ้าปากหาววอด

“ตื่นเช้าจัง” เสียงทุ้มแหบพร่าดังขึ้นข้างหู กระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น ไม่ลืมก้มจูบหน้าผากหนึ่งที

“วันนี้ต้องไปทำงานช่วงสาย” 

วัชระมองนิธิศเงียบ ‍ๆ‍‍ อีกคนหลับตาไปอีกครั้ง ใบหน้างามและวัยเยาว์ช่างดูดีเหลือเกิน เส้นผมสีบลอนด์เหมาะกับเจ้าตัวนัก ไฝมหาเสน่ห์นั่นอีก เผลอตัวยกนิ้วขึ้นแตะมันเบา ‍ๆ‍‍ จึงทำให้นิธิศลืมตาขึ้นอีกครั้ง คนพี่ชักมือกลับและพูดต่อราวกับตัวเองไม่ได้ทำอะไร

“ฉันทำให้ตื่นเหรอ ขอโทษที” 

“ไม่เป็นไรครับ แบบนี้ก็ดีนะเพราะจะได้ทำต่อช่วงเช้าต่อ” 

“อะไรนะ? จะบ้าเหรอ อ๊ะ!” วัชรร้องเสียงหลง เมื่อเจ้าแท่งร้อนยาวจิ้มก้นตนไม่หยุดหย่อน มือหนายังขยุ้มแก้มก้นและแหวกมันออกจนเขาสั่นสะท้าน “หยุดเลยนะ! ไม่ทำแล้ว” 

“ถ้างั้นพี่ช่วยผมหน่อยได้ไหม มันทรมานมากเลย เล่นกับมันหน่อยนะ” นิธิศออดอ้อนเป็นลูกหมา วัชระเบะปาก ทำหน้าเอือมระอา กระนั้นคำตอบที่ให้คนน้องกลับตรงกันข้ามกับสีหน้าท่าทางเสียเหลือเกิน 

“ก็ได้” 

รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าสวย เมื่อวัชระลุกขึ้นนั่งทับขา จับนิธิศจิ๋วที่ขนาดไม่จิ๋วกำลังแข็งชัน นึกสบถในใจว่ามีอารมณ์ตั้งแต่เช้าได้อย่างไร เขาก้มตัวเข้าไปหามันใกล้ ‍ๆ‍‍ จนสะโพกยกแอ่นขึ้น ประจวบเหมาะกับริมฝีปากนิ่มได้ครอบครองความอุ่นร้อนเอาไว้ ใช้ลิ้นละเลียดเลียส่วนหัวจนเสียวกระสัน เสียงทุ้มคำรามต่ำในลำคอออกมาทันที

“อา...ดี ดีที่สุดเลยพี่วัชรของผม” 

 

 

“อันนี้เป็นเอกสารที่ต้องอ่านก่อนประชุมนะครับ” 

“ขอบใจ” 

นัทวางเอกสารลงบนโต๊ะทำงานของท่านประธาน ซึ่งเจ้าของกำลังง่วนอยู่กับการอ่านเอกสารในแท็บแล็ตอย่างขะมักเขม้นอยู่ เลขาสี่ตาแอบลอบมองใบหน้าแสนคมคายของวัชระ โดยปกติแล้วจะผ่องประกาย มองอย่างไรก็ไม่เบื่อ ทว่ายามนี้ดวงตากลับบวมปูดคล้ายคนนอนไม่เพียงพอ หน้าซีดเซียวไม่สดใสนัก

“สีหน้าดูพักผ่อนไม่พอนะครับ” 

“เลี้ยงเด็กจนไม่ได้นอน” ตอบกลับทั้งที่ไม่เงยหน้าจากหน้าจอ

“เอ๊ะ น้องภูออกจะเลี้ยงง่ายออกนะครับ” ถือว่านัทสนิทกับภูริภัทร‍‍‍อยู่บ้าง เพราะเวลาวัชระออกไปคุยงานข้างนอกพร้อมหิ้วเด็กน้อยมาด้วย จะเป็นนัทที่รับบทเป็นพี่เด็กชั่วคราวเสมอ 

“ไม่ได้หมายถึงภูสักหน่อย” 

“อะไรนะ” 

มัวแต่อ่านเอกสารจนเพิ่งรู้ตัวว่าเผลอพูดอะไรออกไป ถึงกับเงยหน้ามองเลขาตัวเองที่อึ้งกิ๋มกี่ไปแล้ว ส่วนตัวเองก็ตกใจพอ ‍ๆ‍‍ กัน อยากตบปากสักร้อยรอบ

ให้ตายสิ เผลอพูดบ้าอะไรออกไป เลี้ยงเด็กเนี่ยนะ? 

เด็กที่ว่าก็นิธิศน่ะสิ เมื่อคืนไปเจอกันมา และอีกฝ่ายก็ออดอ้อนยกใหญ่จนวัชระแทบไม่มีแรงลุกจากเตียง แล้วยังมามีอารมณ์ช่วงเช้า แม้เขาสองคนจะไม่ได้ร่วมรักโดยการสอดใส่ ใช้เพียงมือและปากเท่านั้น แต่ก็สูบพลังไปจนหมดหลังเสร็จกิจ ตื่นขึ้นมาอีกทีก็ต้องรีบไปทำงานเสียแล้ว ยังดีนะที่ให้ลุงพลไปส่งภูที่โรงเรียนแทน

“ไม่มีงานทำรึไงนัท” 

“ม มีแต่ว่าเรื่องเมื่อกี้...” 

“ก็รีบไปทำสิ ยืนบื้อทำไมอีก!” 

“ครับ ‍ๆ‍‍ ไปแล้วคร้าบบบ” 

วัชระถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมาหลังจากที่ได้อยู่คนเดียว สองมือยกขึ้นลูบหน้าตัวเอง 

นับวันเขายิ่งโหยหาและเสพติดการอยู่ใกล้นิธิศมาก แม้จะไม่ได้อยู่ช่วงฤดูรัทก็ตาม ช่างน่าเศร้านักที่อีกฝ่ายดูไม่กระวนกระวายใจหรือมีอาการเฉกเช่นเดียวกับตนเลย

แค่นัดมาก็มา อยากทำก็ทำ ตัดมาที่วัชระสิ ตื่นเต้นจะตายอยู่แล้ว ราวกับเป็นครั้งแรกที่เสียบริสุทธิ์อย่างไรอย่างนั้น แม้ว่าพวกเขาสองคนจะมีเซ็กซ์กันหลายครั้งแล้วก็ตาม

อยากตัดพ้อนัก อยากงอแง แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะไม่ได้เป็นอะไรกัน แม่ง

สุดท้ายวันทั้งวันก็ไม่มีสมาธิเลย ขืนฝืนทำต่อไปก็ไม่ดีเสียเปล่า ‍ๆ‍‍ จึงขอตัวกลับบ้านเพื่อไปพักผ่อน และรอไปรับภูริภัทร‍‍‍ช่วงเย็น แล้วก็ควรจะหาเหตุผลดี ‍ๆ‍‍ ที่จะไม่แวะร้านเครื่องเขียนนั่น

หากให้พนันตัวเองคงชนะขาดลอย ว่าภูต้องไม่พอใจและอาละวาดลั่นเป็นแน่

ซึ่งมันก็จริง

ช่วงเย็นตอนไปรับภูริภัทร‍‍‍ ขึ้นรถอะไรเสร็จเรียบร้อย เด็กแสบร้องขอให้แวะร้านเครื่องเขียนโดยเป็นไปตามคาด วัชระเลยปฏิเสธ

“อ๊าก!!! ป๊ะป๋านิสัยไม่ดี เลวนัก ลูกขอแค่นี้ก็ให้ไม่ได้!” ถ้าไม่เกรงใจเพื่อนร่วมถนนก็คงปีนเกาะหัวไปแล้ว 

“เงียบนะภู มีมารยาทหน่อย อย่าเป็นเด็กดื้อด้วย!” 

“ก็ขอแค่นี้เองอะทำไมทำให้ไม่ได้” 

“ก็จะพาไปซื้อที่ห้างแทนไง” 

“ถามจริง! ถ้าป๊ะป๋าใคร่ครวญสักนิดจะรู้ได้ว่าถ้าแวะร้านพี่ธิศจะประหยัดเวลาและน้ำมันมาก ‍ๆ‍‍” 

“ไม่เป็นไร ป๋ารวย” 

ภูริภัทร‍‍‍หน้าหงิกงอทันที “แต่ภูอยากเจอพี่ธิศไงประเด็น”

“ไม่ได้” 

“ป๊ะป๋า!!!” 

“แค่อาทิตย์เดียวมันไม่ตายหรอก” 

“แล้วทำไมป๊ะป๋าถึงไม่พาไป ไม่อยากเจอพี่ธิศเหรอ” 

“ไม่ใช่เรื่องของเด็ก” 

“...” 

วัชระทำเป็นเมินสีหน้าง้ำงอ อีกประเดี๋ยวก็คงแหกปากร้องไห้แน่นอน หากเป็นปกติก็คงยอมให้เสียนิสัย แต่คราวนี้ไม่ยอมแน่

นี่เขากำลังคิดทบทวนอยู่นะ ถ้าไปเจอตัวปัญหาคงไม่มีความหมายกันพอดี

 

“แง๊!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!” 

“ภูริภัทร‍‍‍!!!” 

โอ๊ย! ลืมที่อุดหูไว้ที่บ้าน เจริญ แก้วหูได้แตกกันพอดี 

เพื่อทดแทนที่พาไปหานิธิศไม่ได้จึงยอมทุกอย่างที่ภูริภัทร‍‍‍อยากได้
อยากกิน หรืออยากดู แต่ก็ยังอยู่ในกรอบและความเหมาะสมอยู่ แล้วยังดีแค่ไหนที่เด็กน้อยยังรู้กาลเทศะว่าตัวเองอยู่ข้างนอก ทำตัวให้ดีไม่โวยวาย เอาแต่ใจ หรือแสดงกิริยาไม่ดีต่อหน้าคนอื่น

แต่อย่าให้กลับบ้านไปเชียว คงอาละวาดต่อแน่

“กินให้มันดี ‍ๆ‍‍ ภูริภัทร‍‍‍” 

“เชอะ” 

“เฮ้อ” วัชระถอนหายใจออกมากับท่าทีประชดประชันของเด็กน้อยตรงหน้า ปากเปื้อนคราบซอส สภาพอาหารภายในจานดูไม่ได้ กระจัดกระจายร่วงเปื้อนโต๊ะอีก ทั้งที่ปกติไม่เคยแสดงกิริยาแบบนี้ แทบจะเป็นเด็กที่รู้จักมารยาทบนโต๊ะอาหารด้วยซ้ำ แต่ดูตอนนี้สิ

ไม่แปลกใจหรอก งอนอยู่นี่นะ หากอยู่บ้านคงไม่อะไร จะปล่อยให้อาละวาดเต็มที่ ทว่าตอนนี้อยู่ข้างนอกควรทำตัวให้ดี

“จริง ‍ๆ‍‍ เลย เดี๋ยวคนอื่นก็หาว่าป๋าไม่สอนให้กินดี ‍ๆ‍‍” พูดพลางใช้ทิชชูเช็ดปากให้ ภูพยายามหันหน้าหนี ทำให้ผู้ใหญ่จับคางไว้และเช็ดออกอย่างเชื่องช้า 

สีหน้าของภูคือหน้าบูดบึ้งสุด ‍ๆ‍‍ รู้แหละว่าไม่พอใจ ดังนั้นวันนี้เขาจะให้รางวัลปลอบใจลูกหนึ่งอย่าง และมันได้ผล เจ้าตัวดูไม่หงุดหงิดแล้ว 

“โทรศัพท์ได้ไหม” 

“ยังไม่ถึงเวลามีสักหน่อย” 

“โธ่ ใช้เป็นเถอะน่า” ภูพองแก้มอย่างขัดใจ

“ไว้โตอีกนิดก็แล้วกัน วันนี้เอาอย่างอื่นไปได้ไหม” พยายามพูดโน้มน้าวให้เด็กน้อย

“อ้าว ยังอารมณ์ดีมาเดินห้างได้อยู่สินะคะ” 

หือ?

ใบหน้าคมคายเงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินชื่อตัวเองแว่ว ‍ๆ‍‍ กะพริบตาสองสามครั้งยามเห็นคนตรงข้ามที่เดินมาหยุดตรงหน้า

สาวเจ้าอัลฟ่า‍‍คนงามที่ตนไม่ได้เจอกันมานาน ปลายฟ้ายืนกอดอก เบะปากใส่วัชระ ความจริงแล้วจะเดินผ่านไปไม่สนใจก็ย่อมได้ แต่มันอดที่จะพูดเหน็บแนมสักหน่อยไม่ได้

“ปลายฟ้า” 

“ค่ะ ชีวิตดีขึ้นนะคะหลังจากที่ไม่โดนผู้ใหญ่จับคู่ให้” 

วัชรขมวดคิ้ว ไม่คิดว่าเธอจะกล้าพูดเรื่องนี้ต่อหน้าเด็ก เขาเลยต้องให้ภูไปรอที่ร้านหนังสือเสร็จแล้วจะตามไปทันที

“ภูจะฟังด้วย” เด็กน้อยดื้อดึงนัก ยังยืนนิ่งอยู่กับวัชระ

“ไม่ใช่เรื่องของเด็ก” 

“ทำอย่างกับเป็นผู้ใหญ่แล้วจะจัดการได้อะ เดี๋ยวช่วย พี่ผู้หญิงคนนั้นดูยังไงก็นิสัยไม่ดี” 

ภูสังเกตมาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่เจอกันที่บริษัท สัญชาตญาณก็บอกทันทีว่า ‘ไม่ชอบมนุษย์ป้าคนนี้’ สุด ‍ๆ‍‍ ยังไงก็ต้องช่วยป๊ะป๋า หลายแรงย่อมดีกว่าอยู่แล้ว

“ไปเถอะ ถือว่าป๋าขอนะ เป็นเด็กดีหน่อย” 

ภูริภัทร‍‍‍เงียบไป ก่อนจะพยักหน้ายอมในที่สุด และหลังจากที่ร่างของเด็กน้อยหายไปจากสายตา วัชระจึงกลับมามีสีหน้าจริงจังใส่ปลายฟ้าทันที

“เมื่อกี้ถามว่าชีวิตดีขึ้นใช่ไหมครับ ถ้าพูดตามตรงก็ใช่ครับ แล้วฟ้ารู้สึกดีเหรอที่มีคนมาบังคับ เราควรอยู่กับคนที่รักนี่” 

“มันก็ดีค่ะที่ไม่มีใครมาบังคับแล้ว แต่อย่างว่า มันแลกมากับเงินทุนช่วยธุรกิจฟ้าน่ะสิคะ” ทำเป็นตีหน้าเศร้า เช็ดน้ำตาดูปวดใจ

“หมายความว่าไง” 

“จะบอกให้เอาบุญนะ ฟ้าเองก็ไม่ได้พิศวาสพี่หรอก แต่เพราะพ่อพี่อยากได้ฟ้ามากจนจะเข้ามาช่วยเหลือธุรกิจฟ้า ถ้าฟ้ายอมแต่งงานกับพี่” 

“...”

รู้อยู่หรอกว่าตั้งแต่อดีตยันปัจจุบันมักมีการแต่งงานเพื่อผลประโยชน์หรือเชื่อมความสัมพันธ์ แต่ก็ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นกับตัวเอง แถมคนเป็นพ่ออย่าง
อดิศักดิ์ยังกระทำอย่างลับ ‍ๆ‍‍ โดยไม่บอกตน

เขาเป็นสิ่งของหรือไงที่จะโยนให้ใครก็ได้

“แต่ฟ้าทนไม่ไหวกับคนอย่างพี่เลยขอออกมาก่อนที่ตัวเองจะเป็นบ้าน่ะค่ะ ยอมไม่เอาเงินทุนก็ได้ อย่าทำเป็นว่าตัวเองปฏิเสธฝ่ายเดียวสิคะ” 

“...” 

“ถ้าเป็นพี่วายุก็ว่าไปอย่าง แบบนั้นคงไม่จู้จี้จุกจิก อะไรก็ไม่รู้แบบพี่หรอกค่ะ” 

“ฟ้า” ครั้นพูดถึงวายุก็เริ่มไม่พอใจขึ้นมา กัดฟันกรอดเพื่อข่มอารมณ์

“ที่จะพูดก็คือพี่วายุดีกว่าค่ะ ถ้าเป็นพี่วายุฟ้าจะอดทนพยายามอีกหน่อยก็สำเร็จแล้ว ถ้าพี่เขาไม่แต่งงานซะก่อน ป่านนี้ฟ้าคงกลายเป็นพี่สะใภ้ของพี่วัชรไปแล้วล่ะค่ะ ฮ่า ‍ๆ‍‍” 

หล่อนยังมีหน้ามาขำไม่ดูคู่สนทนาว่ารู้สึกอย่างไร ทุกคนที่ได้ยินต้องขมวดคิ้ว ไม่ก็หาเรื่องกลับแล้ว ทว่าวัชรกลับนิ่ง พยายามข่มอารมณ์ จัดการตัวเองให้ดี

ห้ามระเบิดเด็ดขาด

“งั้นก็คงโชคดีมากที่พี่ไม่ได้มีพี่สะใภ้อย่างปลายฟ้า สวรรค์ยังใจดีกับพี่อยู่นะ” หลังจากเป็นผู้ฟังอยู่นาน วัชรโต้ตอบกลับบ้าง สาวเจ้าเริ่มหน้าบึ้งตึง ฉับพลันก็ทำตัวเชิดอีกครั้งราวกับไม่ยอมแพ้

“แต่ใจดีไม่สุดนี่คะ เพราะไม่มีใครต้องการพี่เลยนี่ ทั้งครอบครัว คนอื่น ภูเองก็ด้วย” 

คล้ายหูดับไปชั่วขณะ แม้จะพยายามไม่สนใจแล้วก็ตาม แต่คำพูดของปลายฟ้ามักกระทบจิตใจเขาอยู่ตลอด มันแทงใจดำสุด ‍ๆ‍‍ จนทนไม่ไหว ประโยคเมื่อครู่เอาแต่วนอยู่ในหัวซ้ำ ‍ๆ‍‍ แถมยังมีประโยคอื่นจากห้วงอดีตเข้ามาผสมโรงอีก

‘เพราะไม่มีใครต้องการ’

ไม่มีใครต้องการ

โดดเดี่ยว

“ป๊ะป๋า คุยนานจังอ่า” 

เฮือก!

วัชระสะดุ้งตัวโหยง มืออ้วนจับชายเสื้อตนและเขย่าไปมาจวนยับยู่ยี่ เขาสบตากับเด็กน้อยพลันถอนหายใจออกมา

“ป๋าบอกให้ไปรอที่ร้านหนังสือไม่ใช่เหรอ” 

“ไปแล้ว แต่ป๊ะป๋าคุยนานเกินไปเลยมาตาม” 

“ไม่ได้นานเลยเถอะ” 

“นานสำหรับภูไง” 

วัชรระบายยิ้ม เห็นใบหน้าเอาแต่ใจก็สามารถทำให้ตนผ่อนคลายลงได้เล็กน้อย

“โอเค ไปกันเถอะ” 

“เรายังคุยไม่จบนะคะพี่วัชร” ปลายฟ้าเอ่ยขึ้นเสียงขุ่น อัลฟ่า‍‍หนุ่มเพียงมองข้ามไหล่ตัวเอง ใช้หางตามองหล่อน เผลอปล่อยฟีโรโมนกดดัน

“เราไม่มีอะไรต้องคุยแล้ว” สิ้นประโยคก็เดินจูงมือภูริภัทร‍‍‍ไปโดยไม่หันกลับมาดูปฏิกิริยาโต้ตอบของปลายฟ้าอีก ผู้หญิงคนนั้นไม่มีค่าพอที่จะให้ตนลดตัวไปพูดคุยด้วย...ไม่มีวันอีก

“พี่วัชร!!!” 

เธอสบถคำหยาบ พยายามกลั้นโทสะเอาไว้ ฉับพลันมันต้องระเบิดแตกราวกับภูเขาไฟระเบิด เมื่อภูริภัทร‍‍‍หันกลับมามองเธอ พร้อมส่งรอยยิ้มแสนน่ารักและเอ็นดูให้ ทว่ามันไม่ได้ทำให้คนมองรู้สึกดีเลย เพราะมัวแต่สนใจมือที่เด็กน้อยชูขึ้นมา

มันคือนิ้วกลาง

ภูริภัทร‍‍‍ส่งนิ้วกลางให้หล่อน!

“กรี๊ด ไอ้เด็กเหี้ย!!!” 

 

 

ถือว่าเป็นวันที่เหนื่อยสำหรับวัชระเป็นอย่างมาก ทั้งร่างกาย จิตใจ เรื่องของนิธิศ เรื่องงาน จนไปถึงเรื่องของปลายฟ้าและครอบครัวตัวเอง เมื่อกลับถึงบ้านแล้วก็รีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าตั้งแต่หัวค่ำ เขาอยากปลดปล่อยหรือหาใครสักคนคุยปรึกษา

แล้วใครล่ะ? หากเป็นเพื่อน ‍ๆ‍‍ ของตนที่มีไม่กี่คน ก็บ้าทำงานไม่แพ้กันหากไปรบกวนเวลาพักผ่อนคงไม่ดี พวกนี้มักแสวงหาเวลาพักผ่อนอยู่ตลอดเวลา คนทำงานด้วยกันย่อมรู้ดี

ก็คงต้องอยู่กับตัวเองต่อไป

Rrrrr Rrrrr

ราวกับรู้ใจนักว่าตอนนี้ตนต้องการใครบางคนคุยด้วย วัชระกดรับสาย เสียงในสายดังเจื้อยแจ้วจนตนเผลอยิ้มออกมา ลืมสิ้นแล้วว่าตัวเองต้องการคิดทบทวน และว้าวุ่นใจเพราะคนนี้

[ ไงครับพี่วัชร ] 

“มีอะไรรึเปล่า” 

[ แค่จะถามว่าวันนี้เข้ารึเปล่า บาร์น่ะ ] 

“ไม่หรอก วันนี้เหนื่อยมากเลย” 

[ อ่า เสียดายจัง ] 

“ถ้าเหงาก็ไปอยู่กับหนุ่ม ‍ๆ‍‍ สาว ‍ๆ‍‍ ของนายสิ” พูดเองก็แทงใจตัวเองไป เจ็บจี๊ดที่หัวใจชะมัด 

[ ผมไม่ได้มีใครสักหน่อย ผมมีแค่พี่ ] 

“…”

ถึงกับตกใจชะงักค้างไปหลายวินาที กลับมามีสติอีกครั้งได้เพราะรู้สึกถึงความเห่อร้อนที่ใบหน้า แม้จะไม่ใช่คำสารภาพรักหรือหวาน ‍ๆ‍‍ เป็นเพียงประโยคบอกเล่าก็สามารถทำให้วัชรบ้าคลั่งได้แล้ว 

ท่าจะเป็นหนักแล้ววัชร ชอบเขาหนักเกินไปแล้ว มันไม่ดีเลย 

เราอยู่ในสถานะที่ไม่มีคำเรียกซึ่งมันอันตรายกับหัวใจเป็นอย่างมาก และวัชระกำลังประสบพบเจอกับมัน 

“อ อ้อ” แต่ก็เพิ่งมาคิดได้

เราเป็นแค่ ‘คู่นอน’ จริง ‍ๆ‍‍ เหรอวะ? นิธิศไม่เคยสงสัยในความสัมพันธ์ของพวกเขาบ้างเลยเหรอ

[ เสียงดูแปลก ‍ๆ‍‍ นะครับ ไม่สบายรึเปล่า ] 

“เปล่า สบายดี” 

[ เหรอ ถ้ามีอะไรบอกผมได้นะ ยินดีรับฟัง ] 

“ได้เหรอ” 

[ ได้สิครับ ทำไมจะไม่ได้ล่ะ ] 

“ก็นึกว่าแค่เป็นคู่นอนกันเฉย ‍ๆ‍‍” 

ปลายสายเงียบไปหลายวินาที ก่อนจะตอบกลับตามปกติไม่มีอะไรให้
น่าสงสัย

[ แต่ว่านะ วันนี้พี่ไม่มาบาร์น่าเสียดายสุด ‍ๆ‍‍ เจ้าของร้านให้ชิมไวน์ตัวใหม่ที่เพิ่งนำเข้ามา อร่อยมากเลย อยากให้พี่ได้มาลองจริง ‍ๆ‍‍ ] 

“ฝากกินด้วยละกัน” 

[ ค้าบบ ] 

“นี่นิธิศ” 

[ ว่าไงครับ ] 

“อาทิตย์หน้าเจอกันหน่อยไหม” 

[ ไม่เจอกันพรุ่งนี้เลยล่ะครับ ] 

“ขอเวลาทบทวนตัวเองหน่อย อีกแค่ห้าวันเอง” 

[ ก็ได้ครับ ] 

“อืม ไม่กวนแล้ว” 

สิ้นประโยคก็ตัดสายทิ้งไป ถอนหายใจเฮือกใหญ่ หงายหลังล้มนอนบนเตียงนุ่ม มองเพดานห้องอย่างเหม่อลอย 

มีความรักทั้งทีมันกลับเป็นความสัมพันธ์ที่ยุ่งยากเสียจริง ตัวเขานั้นจะสามารถผ่านพ้นไปได้รึเปล่า

 

 

เพราะงานยุ่งรัดตัวจนหลงลืมนัดไป รู้ตัวอีกทีก็ถึงวันนั้นเสียแล้ว ทั้งที่
ขอเวลาไว้ตั้งนาน วัชระต้องรีบเคลียร์งานให้เสร็จ เมื่อกลับบ้านไปเขาก็ทำ
เช่นเคย ส่งภูริภัทร‍‍‍เข้านอน บอกให้ป้าลำดวนรับรู้ว่าจะออกไปข้างนอก อาจกลับดึกหรือไม่แน่ก็กลับตอนเช้าเลย ฝากปิดประตูปิดหน้าต่างให้เรียบร้อย

ระหว่างที่เดินเข้าไปในร้านในใจกลับคิดว่าคืนนี้เขาจะคุยเรื่องอะไรกับนิธิศ จะเอ่ยถามว่าเราเป็นอะไรกัน มีสถานะอะไรกันแน่ หรือเสี่ยงมากที่สุดคือการสารภาพความในใจออกไป

ความรักมีความเสี่ยงเหมือนกับธุรกิจ หากตัดสินใจพลาดก็สามารถทำให้ล้มละลายหรือตัดขาดไม่ยุ่งเกี่ยวกันได้อีกทันที

วัชระจะทำอย่างไรดี นี่มันยากกว่าธุรกิจอีกนะ

ระหว่างขับรถเขาภาวนาให้ถึงที่หมายช้า แต่มันกลับถึงเร็วเสียจนน่าหงุดหงิด ทุกอย่างเป็นใจให้เขาถึงที่หมายเร็ว ไม่รถติดไฟแดง จราจรไม่ติดขัด สุดท้ายก็ปลง ค่อยไปหาทางคิดบทสนทนาตอนอยู่ในร้านก็ได้

ยามเคลื่อนกายเข้าไปในร้าน สองเท้ามุ่งไปที่โต๊ะประจำ หากมันถูกจับจองไปแล้ว ก็จะเดินหาอีกคนในโซนเดียวกัน มันมักเป็นแบบนี้ทุกครั้งที่เรานัดกัน จะได้ไม่ต้องโทรหาให้เสียเวลา

ดวงตาเรียวกวาดมองรอบตัว โต๊ะประจำถูกจับจองโดยผู้อื่น คงไม่ยากต่อการหาอีกฝ่ายหรอก

ซึ่งก็เป็นดั่งที่คาดการณ์เอาไว้ เขาเห็นนิธิศแล้ว รวดเร็วทันใจเหลือเกิน

แม้ในร้านจะมีแสงสว่างวาววับไปด้วยสีเสียงสวยงาม กระนั้นชายหนุ่มกลับโดดเด่น สว่างไสว เป็นจุดสนใจ ทว่าอีกฝ่ายไม่ได้นั่งอยู่คนเดียว ถูกรายล้อมด้วยชายหญิง คนอื่นคงไม่คิดอะไรและจะมองว่าเป็นกลุ่มเพื่อนหรือคนรู้จัก แต่เพราะมีบางคนที่ทำตัวใกล้ชิดติดแนบเนื้อกับนิธิศเกินไปจนน่าสงสัยน่ะสิ

ไม่มีการผลักออก แต่ยังพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ไหนจะสายตาของนิธิศที่มักใช้มองตนกำลังจดจ้องไปที่คนอื่น รวมถึงการบริหารเสน่ห์ ออดอ้อนและแพรวพราวนั่นก็ด้วย พยายามคิดบวกว่านั่นมันเป็นนิสัยเป็นกันเองของน้องอยู่แล้ว ไม่ได้มีอะไรหรอก แต่ก็ยังเจ็บที่หัวใจแปล๊บจนต้องยกมือขึ้นขยุ้มเสื้อเชิ้ตของตนเอง

หากเป็นปกติเขาคงเดินเข้าไปหาและทำตัวเหมือนไม่คิดและไม่เห็นอะไร ไม่งี่เง่าหรือโวยวายไร้สาระใส่คนน้อง คิดเหมือนเดิมว่านั่นคือเพื่อน คนรู้จัก ไม่มีทางที่นิธิศจะอยู่คนเดียวโดยไม่มีคอนเน็กชันหรอก

แล้วทำไมวันนี้กลับแตกต่างล่ะ? อารมณ์กลับอ่อนไหว น้อยใจ งี่เง่า ทั้งนิสัยเสียคิดเองเออเอง ว่าร้ายคนอื่นโดยไม่รู้ความจริง ไม่มีเหตุผล ไม่มีความเป็นผู้ใหญ่ อีกทั้งสมองสั่งการให้เดินถอยหลังห่างออกไป อย่ามองภาพนั้นอีก

“พี่วัชร!” 

เสียงเรียกคุ้นเคยเป็นตัวที่ทำให้วัชระตัดสินใจเด็ดขาด รีบหันหลังและก้าวเท้าเดินออกไปจากโซนนั้น ใกล้จะถึงประตูทางออกอยู่แล้ว ทว่าร่างกลับถูกดึงรั้งเอาไว้ให้หันมาสบตากับชายหนุ่มผมบลอนด์

“พี่วัชรเป็นอะไรรึเปล่า จู่ ‍ๆ‍‍ ก็เดินออกมา” 

นิธิศดูเป็นห่วงเขานัก แอบดีใจอยู่ชั่วครู่ ทว่าไอ้สมองมันโง่ไม่รู้เวล่ำเวลากลับตีความว่าคนตรงหน้าก็เอาใส่ใจ เป็นห่วงทุกคนเหมือนกันนั่นแหละ ไม่ใช่แค่ตนคนเดียวที่จะได้สิทธิ์นั้นสักหน่อย

“ฉันอยากกลับบ้าน” 

“แต่พี่เพิ่งมา พี่ไม่สบายเหรอ ให้ผมไปส่งไหม” 

“ไม่ต้อง” ปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย พยายามสะบัดแขนออกจากการจับกุม ทว่าเมื่อสลัดออกธิศก็ตามจับเหมือนเดิมทุกครั้ง

“บอกผมนะครับ ว่าพี่เป็นอะไร” 

วัชรเม้มริมฝีปาก คิดซ้ำ ‍ๆ‍‍ ตีในหัวจนมึนงงไปงง แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจได้ จึงเอื้อนเอ่ยออกไป

“ช่วงนี้เราลองห่างกันไหม” 

“ค ครับ?” 

นิธิศชะงักค้างไปชั่วครู่ กว่าจะหาเสียงตัวเองเจอก็คิดไม่ออกว่าควรพูดอะไรกับคนตรงหน้า

“ฉันสับสนว่าเราสองคนเป็นอะไรกันแน่ ถ้าเป็นแค่คู่นอนเฉย ‍ๆ‍‍ ฉันก็ขอจัดการตัวเองก่อน” ยิ่งประโยคหลังเสียงยิ่งแผ่วลงจนหายกลืนไปกับเสียงเพลง

“เดี๋ยวพี่...พี่ร้องไห้” วัชระเบิกตากว้าง ยกมือคลำรอบตาตนเองที่รู้สึกเปียกชื้น ยกแขนเช็ดลวก ‍ๆ‍‍ และพยายามสะบัดมือของนิธิศออก

“ไม่มีอะไรธิศ ฉันสับสนเอง ขอตัวก่อน” เขารีบสาวเท้าออกไปจากตรงนั้นทันที กลัวว่าถ้าช้ากว่านี้จะโดนคว้าตัวเอาไว้อีกครั้ง 

สุดท้ายก็เป็นเขาที่ขี้ขลาด ไม่กล้าเอ่ยถามอะไร เอาแต่พูดและตีความฝ่ายเดียว เพราะกลัวคำตอบของอีกฝ่ายนัก 

จะเป็นนักธุรกิจเก่งคิดวิเคราะห์ทำเงินได้มากขนาดไหน ก็ต้องพ่ายแพ้กับเรื่องเล็ก ‍ๆ‍‍ แค่นี้ อย่าให้คนอื่นรู้เลย ช่างน่าสมเพชนัก