โรงเรียนสอนให้หนูมีความรับผิดชอบ แต่โรงเรียนที่ป๊ะป๋าเรียนมาเขาไม่สอนเหรอ ป๊ะป๋าไปรังแกคุณคนสวย แต่ไม่รับผิดชอบเนี่ยนะ หนูอายที่มีป๊ะป๋าแบบนี้นะ — “มั่วแล้ว! คุณคนสวยต่างหากที่แกล้งป๋า แกล้งจนท้อง!!!”
ชาย-ชาย,โอเมกาเวิร์ส,ครอบครัว,รัก,ดราม่า,omegaverse,ปะป๊าอย่าโง่ ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
#ป๊ะป๋าอย่าโง่ (omegaverse)โรงเรียนสอนให้หนูมีความรับผิดชอบ แต่โรงเรียนที่ป๊ะป๋าเรียนมาเขาไม่สอนเหรอ ป๊ะป๋าไปรังแกคุณคนสวย แต่ไม่รับผิดชอบเนี่ยนะ หนูอายที่มีป๊ะป๋าแบบนี้นะ — “มั่วแล้ว! คุณคนสวยต่างหากที่แกล้งป๋า แกล้งจนท้อง!!!”
รู้ถึงไหน อายถึงนั่น!
คนอย่าง 'ป๊ะป๋าวัชระ' อัลฟ่าหนุ่มที่เพียบพร้อมทุกอย่าง เงินทอง อาชีพมั่นคง และมีลูกชายปากดี (จัด) แก่แดด เถรตรง ดูเป็นผู้ใหญ่เกินวัย ถึงกระนั้นก็ยังไปทำคนอื่นท้องและจะทิ้งอย่างไม่ไยดี!!!
ที่สำคัญเป็นพี่ชายสุดสวยที่ 'ภูริภัทร' ชอบมาก ๆ ด้วย
"ป๊ะป๋าช่างเลวนัก กล้ารังแกพี่สุดสวยของภูทำไม!!! ภูจะเอาเลือดบนหัวป๋าออกเดี๋ยวนี้!"
"เดี๋ยวนะภู นิธิศสุดสวยของภู (พอ) รังแกป๋าต่างหาก รังแกจนท้อง! ไอ้เด็กแก่แดดไม่รู้เรื่อง!!!"
"ไม่จริ๊งงงงง!"
ฟีลป๊ะป๋ากับลูกหยุมหัว
และ
พ่อหนุ่มหน้าสวยกับหนุ่มธุรกิจพ่อเลี้ยงเดี่ยว
คำเตือน :
Omegaverse
multiverse
blood เลือด , death ความตาย
Profanity คำหยาบคาย pregnancy ตั้งครรภ์
Sexual explicit เนื้อหามีความโจ่งแจ้งในเรื่องเพศ
Violence การใช้ความรุนแรง gun ปืน
Verbal abuse ทำร้ายทางวาจา
Toxic family ครอบครัวที่ไม่มีสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน (ญาติผู้ใหญ่)
บทที่ 8
พี่นิธิศไม่สบายเหรอ
นิธิศ เสน่ห์วานิช
ตั้งแต่เกิดมาเขามักรายล้อมด้วยผู้คนเสมอ กล่าวคือ เป็นคนเข้าถึงง่ายสดใส ร่าเริง มีพลังบวกเหลือล้นจนทำให้คนรอบข้างชื่นชอบและสบายใจที่จะอยู่ด้วย นอกจากนั้นยังมีใบหน้าคมคายทว่าออกไปทางสวย ไฝใต้ตาซ้ายมหาเสน่ห์ที่ทุกคนบอกเป็นเสียงเดียวว่า ‘เหมาะสม’ กับเจ้าของกลิ่นซิตรัสมาก ไหนจะแนวไลฟ์สไตล์การแต่งตัวและการใช้ชีวิตที่เป็นเอกลักษณ์อีก
นิธิศคนนี้ถือว่าเป็นที่ต้องตาต้องใจของทุกเพศทุกวัยเลยจริง ๆ
กระนั้นตัวนิธิศเองกลับติดพันกับใครบางคนที่คนสนิทมาเห็นต้องอุทานเสียงดังแน่นอน
ก็นะ คนคนนั้นคืออัลฟ่าหนุ่มธุรกิจแสนหล่อเหลา และอายุมากกว่าธิศตั้ง 3 ปี ใบหน้าดูจริงจังตลอดเวลา เงียบขรึม ดูมีความเป็นผู้ใหญ่ มีเหตุผล สุภาพบุรุษ เรียบร้อย ภาพติดตาคือชุดสูทสีดำ หรือเสื้อเชิ้ตสีขาวและกางเกง
ขายาวสีดำตลอดเวลา
ทุกอย่างล้วนตรงกันข้ามกับนิธิศ
แต่แล้วอย่างไรเล่า? ในเมื่อนิธิศสนใจอีกฝ่ายตั้งแต่แรกเห็น ทุกอย่างดูเป็นใจ ตัวเขา ตัวอีกฝ่าย บรรยากาศ และบทสนทนาในร้านบาร์ที่คลอด้วยเสียงเพลงคลาสิก จนพวกเขาตกลงปลงใจมีค่ำคืนแรกด้วยกัน โดย ‘ไร้สถานะ’
ตั้งแต่นั้นมาก็มักจะนัดมาที่ร้านแห่งนี้ และต่อด้วยการร่วมรักกันเป็นเวลานานถึงสามเดือน
หากถามว่าเอาแต่มีเซ็กซ์กัน แล้วไม่มีใจให้กันบ้างเลยเหรอ ทั้งที่สนใจกันและกันขนาดนี้
นั่นสิ? เขาไม่อาจรู้ได้ว่าเบื้องหลังสีหน้าเรียบนิ่งนั้น วัชระกำลังคิดอะไรอยู่ บางครั้งก็ดูเหมือนง่าย ทว่าบางครั้งกลับคาดเดาไม่ได้ และธิศเองก็ไม่อยากคิดไปเรื่อยหรือเข้าข้างตัวเองมาก จนไม่ยอมสารภาพพูดคุย และปล่อยให้ความสัมพันธ์ของเราเป็นเหมือน ‘คู่นอน’ ไป
ความผิดหวังมันเจ็บปวดจะตาย
“เฮ้อ” ชายหนุ่มกลิ่นซิตรัสถอนหายใจออกมาขณะนั่งเฝ้าเคาน์เตอร์คิดเงินในร้านเครื่องเขียนของตัวเอง หญิงสาวที่เดินผ่านมาต้องหยุดชะงักและขมวดคิ้วมอง
“เป็นอะไรอีกล่ะ ถอนหายใจรอบที่ร้อยแล้วมั้ง”
‘แอมมี่’ เบต้าสาวหนึ่งในพนักงานร้านเอ่ยถามด้วยความสงสัย วางกล่องลังบนแท่นเคาน์เตอร์แคชเชียร์ก่อนจะเท้าคางมองเจ้าของร้านขวัญใจเด็ก
“เว่อร์เกิน ถ้าร้อยครั้งจริง ผมถอดปอดออกมาเลยดีกว่า”
“แล้วมันเป็นอะไรพ่อหนุ่ม ปกติไม่เคยมานั่งทำหน้าซึม โดนอกหักมาเหรอ” เธอยิ้มกรุ้มกริ่ม ยิ่งเห็นปฏิกิริยาชะงักไปชั่วครู่ ทำปากเหวอ ตาโตของคนตรงข้ามก็ทำให้เธอกล้าคอนเฟิร์มว่าต้องเกี่ยวกับเรื่องนี้ร้อยเปอร์เซ็นต์
“จะบ้าเหรอพี่แอม อกหักได้ไงในเมื่อไม่มีแฟน”
“อ้าว แล้วผู้ชายคนนั้นล่ะ ที่ดูโต ๆ เป็นผู้ใหญ่มาดเท่สไตล์หนุ่มธุรกิจอะ นั่นไม่ใช่เหรอ เห็นมาบ่อยมาก”
เพราะเธอประจำตำแหน่งเคาน์เตอร์คิดเงิน จะประชันหน้ากับประตูทางเข้า เห็นหมดว่าใครเข้าออก และสามารถจดจำหน้าลูกค้าประจำเก่ง โดยเฉพาะลูกค้าที่มีความโดดเด่น มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวอย่างวัชระด้วยเช่นกัน
บ่อยครั้งที่หล่อนเห็นว่าอีกฝ่ายจะมาที่ร้านพร้อมเอ่ยถามหานิธิศ หากแอมมี่ไปทำงานหลังร้าน ก็มักมีพนักงานคนอื่นมาเล่าให้ฟังว่ามีคนถามหาเจ้าของร้านสุดหล่อด้วย
“อืม...ไม่รู้สิ”
“ทำไมไม่รู้ล่ะ แต่เดี๋ยวนะ เขามากับเด็กนี่ เด็กเรียกเขาว่าป๊ะป๋าด้วย” ปัดโธ่! ลืมสิ่งสำคัญไปที่สุด เวลาลูกค้าคนนั้นมา มักจะมีเด็กน้อยน่ารักติดมาด้วย แถมยังชอบและถามหานิธิศเช่นเดียวกัน
รู้แหละว่านิธิศเป็นที่รักและหัวหน้าแก๊งของเด็ก ๆ ทว่าเด็กคนนี้ที่มากับคุณผู้ชายใส่สูท นิธิศดูให้ความสำคัญและเอ็นดูมากกว่าคนอื่นอย่างเห็นได้ชัด กระทั่งให้ของฟรียังทำมาแล้วเลย
“ลูกเขานั่นแหละ แต่ก็ไม่ได้บอกอะไรเพิ่มเติม” เขาไม่ได้โกหก เพราะเขาสองคนไม่เคยคุยกันเลย จนกระทั่งเมื่อสองอาทิตย์ก่อน ที่จู่ ๆ วัชระก็ร้องไห้ต่อหน้า พูดจาตัดพ้อไม่รู้เรื่อง ทำเอาหัวใจปวดหนึบและตัวชาไปชั่วขณะ
คำว่า ‘คู่นอน’ ยังหลอนในหัวของนิธิศไม่หายเลย
อย่างไรก็รู้แล้วว่าวัชระคิดอย่างไรกับเขา ทั้งที่ตนแสดงออกชัดกับวัชระแท้ ๆ หรือว่าตนดูไม่น่าเชื่อถือขนาดนั้น?
“เล่าไหม พร้อมฟังมาก” สาวเบต้าตาเป็นประกายทันที เรื่องคนอื่นล่ะถนัดแท้ ดูมีแรงมีพลังขึ้นมาเลย นิธิศเหลือบมองคนอายุมากกว่าด้วยสีหน้าเอือมระอา
“ใส่ใจเกิ๊น”
“แน่อยู่แล้ว” ยังจะดูภูมิใจอีก!
“ผมก็เล่าไม่ได้อยู่ดีอะ”
“โห่ เล่าหน่อยก็ยังดี เผื่อจะแนะนำได้ เห็นแบบนี้สมัยก่อนฮอต เป็นตัวแม่ด้านความรักเด้อ”
“แล้วตอนนี้ไม่เป็นตัวแม่แล้วเหรอ”
“หึ ผันตัวมาเป็นโค้ชแล้ว”
“โถ” นิธิศกลั้นขำกับท่าทางของสาวเจ้าที่เมื่อครู่ยังพรีเซ็นต์ตัวเองเสียยิ่งใหญ่ ทว่าตอนนี้กลับห่อเหี่ยวเลื้อยตัวบนเคาน์เตอร์เสียแล้ว
สุดท้ายนิธิศก็ไม่ได้เล่าให้ฟัง เพราะมีลูกค้ามาพอดีจึงต้องทำตัวให้สุภาพ เหมาะสมเพื่อให้เกียรติลูกค้า แถมยังบอกเพิ่มเติมกับหล่อนว่า ‘ขอคิดเองก่อน แล้วพร้อมเมื่อไหร่จะปรึกษาเอง’
เป็นเรื่องความสัมพันธ์ของเขากับวัชรก็อยากจะจัดการด้วยตัวเอง ก่อนที่จะขอคนอื่นให้ช่วย แบบนี้ดีกว่า
“อุ๊บ!”
“ธิศเป็นอะไร” แอมเอ่ยถาม เมื่อเห็นว่านิธิศที่กำลังหยิบเครื่องเขียนใส่ถุงอยู่ดี ๆ ก็ยกมือขึ้นปิดปากและทำเสียงคล้ายคนอยากอาเจียน
ยังดีที่คิดเงินให้ลูกค้าแล้ว เพียงยื่นถุงให้ลูกค้า ตัวเองก็รีบวิ่งไปที่ห้องน้ำหลังร้านเพื่ออาเจียนนำของเสียออกมาจากร่างกายทันที
“อ่อก!”
“เฮ้ยธิศ!” เบต้าที่ตามมาทีหลังตกใจกับสภาพกอดชักโครกและโก่งคออาเจียนของนิธิศ ถลาเข้าไปช่วยลูบหลัง ทั้งที่เมื่อครู่ยังยืนคุยกันอยู่ดี ๆ ไหงตอนนี้ถึงมีสภาพเช่นนี้ได้
“เป็นไงบ้าง หาหมอไหม”
“ไม่เป็นไรพี่ สงสัยได้กลิ่นน้ำหอมลูกค้า”
“ไม่ได้กลิ่นนะ หรือเป็นฟีโรโมน” เมื่อครู่ลูกค้าไม่ได้ฉีดน้ำหอมด้วยซ้ำ หากเป็นกลิ่นฟีโรโมนก็คงใช่ เธอไม่อาจรับรู้กลิ่นเพราะเป็นเบต้า กระนั้นคนที่เป็นอัลฟ่าอย่างธิศจะรู้สึกพะอืดพะอมเหม็นกลิ่นได้อย่างไร หากคนตรงข้ามไม่ได้จงใจปล่อยกลิ่นข่มออกมา
“ไม่ใช่ฟีโรโมน คงพักผ่อนไม่พอมั้ง”
“งั้นไปหาหมอเถอะ อย่าเดามั่วซั่ว”
“ไม่เป็นไรพี่ เปลืองตัง แค่นี้เอง”
“เออ ๆ ตามใจ แต่ถ้าอยากไปก็บอก จะได้ไปเป็นเพื่อน”
“ขอบคุณมากพี่แอม”
สุดท้ายเธอก็ไล่คุณเจ้าของไปพักผ่อนที่บ้าน และจะดูแลร้านให้เอง อย่างไรเสียก็ไม่ได้ลำบากอะไร ที่นี่มีพนักงานตั้งสามคน หากถึงเวลาเลิกเรียน
คนหนึ่งประจำโซนขนม อีกคนประจำโซนเครื่องเขียน และอีกคนประจำเคาน์เตอร์คิดเงิน ยังไงก็สบาย ๆ อยู่แล้ว
แต่อยากภาวนาให้นิธิศหายป่วยดีกว่า คนที่แข็งแรงดั่งหินผากลับมาป่วยแบบนี้คงไม่ใช่เรื่องดี เพราะถ้าเป็นก็จะเป็นหนักไปเลย
“วันนี้พี่ธิศอยู่ไหมครับ”
“หืม?”
นั่นเป็นคำถามที่แอมมี่มักได้ยินจากเด็กน้อยคนเดิมเป็นประจำ เย็นวันนี้ก็เช่นกัน
โรงเรียนเลิกเรียนแล้ว เด็ก ๆ ต่างเข้ามาซื้ออุปกรณ์การเรียนเพื่อไปทำงานกรูเข้ามาจนหัวหมุน กระนั้นก็ยังมีเวลาพักบ้าง และแอมมี่ก็ได้พบกับภูริ
เธอจำได้ราง ๆ ว่าชื่อนี้นะ ธิศเองก็ชอบเล่าบ่อย ๆ เหมือนกัน
“วันนี้ธิศไม่สบายจ้ะ พักอยู่ที่บ้านน่ะ”
สีหน้าเด็กน้อยซีดเผือดทันใด ก่อนจะอุทานตกใจลั่นร้าน ไม่วายรีบตะครุบปากตัวเองที่เผลอทำตัวเสียมารยาท
“พ พี่ธิศไม่สบายเหรอ พี่ธิดูแข็งแรงจะตาย แล้วไปหาหมอรึยัง หมอฉีดยาไหม มันเจ็บนะ แล้วพี่จะหายเมื่อไหร่ ผมอยากไปหา”
พูดรัว ๆ จนไม่สามารถพูดแทรกเด็กน้อยได้เลย แอมมี่ถึงกับหัวเราะร่าเอ็นดูภูริภัทรเหลือเกิน ว่าแล้วเชียวทำไมนิธิศถึงชอบเด็กคนนี้เป็นพิเศษ
“ธิศแค่พักผ่อนไม่เพียงพอเท่านั้นแหละจ้ะ พักสักหน่อยเดี๋ยวก็ดีขึ้น ไม่ต้องไปให้หมอฉีดยาหรอก”
“เหรอ” ภูริภัทรนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะเดินไปที่โซนขนม ซื้อขนมปังแซนด์วิชมาและยื่นให้เธอ
“ผมฝากให้พี่ธิศคนสวย— พี่ธิศได้ไหมครับ กินเยอะ ๆ จะได้กินยา แล้วนอนหลับพักผ่อน”
แอมมี่แทบใจเหลวเป็นน้ำ ทั้งที่เธอไม่ได้ชอบเด็กเหมือนนิธิศ ทว่าเด็กตรงหน้าเธอกลับน่ารักน่าเอ็นดูจนทนไม่ไหว กุมอกพยายามบังคับให้หัวใจที่เต้นระรัวกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง ตั้งสติด่วน!!!
“ตายแล้ว เดี๋ยวพี่เอาไปให้ถึงมือมันเลย ไม่สิ จะยัดใส่ปากธิศให้เลยนะจ๊ะ”
“ขอบคุณค้าบคนพี่คนสวย”
กรี๊ด ปากหวานด้วย! น่ารักที่สุด อยากจะเข้าไปกอดจริง ๆ เลย แต่ต้องห้ามใจไหว ฮึบเดี๋ยวนี้!
“ขอบใจนะจ๊ะหนู น่ารักจัง”
ภูริภัทรยิ้มกว้างก่อนจะขอตัวกลับไปโดยไม่ได้ซื้อของอะไรกลับไป แต่เธอเข้าใจได้ว่าจุดประสงค์จริง ๆ ของน้องคือมาหานิธิศ
ผู้ชายคนนี้มีเวทมนตร์ทำให้เด็กหลงรักงั้นเหรอเนี่ย
วันนี้ภูริภัทรรู้สึกผิดหวัง เนื่องจากวันนี้อะไร ๆ ก็ไม่เต็มใจนัก เริ่มตั้งแต่ที่ตอนเช้าป๊ะป๋าหายตัวไปทำงานตั้งแต่ตนยังไม่ตื่น ไหนจะเพื่อนที่โรงเรียนแกล้ง (แต่เขาก็ชนะอยู่ดี) ช่วงเย็นก็เป็นลุงพลมารับกลับบ้าน กระทั่งไปหานิธิศก็อดเจอ วันเลวร้ายสุด ๆ ใครมันจะดวงแย่เท่าภูริภัทรไม่มีอีกแล้ว
“ป้าลำดวน ป๊ะป๋ายังไม่กลับมาอีกเหรอ” เวลาสองทุ่มกว่า ยังไม่เห็น
ผู้เป็นพ่อ จึงเอ่ยถามสาววัยกลางคนที่นั่งดูทีวีและพับผ้าไปด้วยที่ห้องรับแขก
“ยังเลยค่ะ ลองโทรหาดูไหม”
“ไม่เอาอะ คงไปเที่ยวอีกละมั้ง”
ก็ไม่ได้อะไรหรอกที่จะเที่ยวกลางคืน ไปปลดปล่อยความเครียดข้างนอก จะได้ไม่เป็นพิษภายในบ้าน กระนั้นก็อยากให้วัชระกลับบ้านเร็ว ๆ มาอยู่กับตนบ้าง
บ้านนี้มันใหญ่เกินไปที่จะให้ภูอยู่คนเดียว ถึงยังไงป้าลำดวนก็เป็นคนนอก เธอมักจะมานอนที่นี่เฉพาะวันที่วัชระกลับบ้านดึกก็เท่านั้น บ้านหล่อนอยู่ไม่ไกลเลยแท้ ๆ
“ป้าคิดว่าหมู่นี่คุณวัชรดูซึม ๆ ไม่สดใสนะคะ ภูลองถามไหม”
“บางทีภูก็ไม่เข้าใจป๊ะป๋าหรอก ภูไม่รู้อะไรเลย”
บางครั้งภูริภัทรก็เดาใจวัชระไม่ถูกเหมือนกัน แม้จะชอบต่อล้อต่อเถียงกับตน ดูเป็นผู้ใหญ่ สุขุม เงียบขรึม ขี้โวยวายกับลูกมากเท่าใด ภูริภัทรก็ไม่อาจรับรู้ความในใจของบิดาตนได้
เครียดเรื่องงานเหรอ? เรื่องครอบครัว? หรือเรื่องภูริภัทรล่ะ?
ป๊ะป๋าไม่เคยบอกเลย เพราะมองว่าตนเป็นเด็ก เรื่องพวกนี้มันเรื่องของผู้ใหญ่
ทุกคนมองว่าตนเป็นเด็ก ใช่ ก็เด็กจริง ๆ เพิ่งอายุ 6 ขวบก็อยากเข้าใจคนอื่นให้มากกว่านี้ แต่ตัวเองกลับไม่เข้าใจ มันอึดอัด ไม่สบายใจ จนก่อให้เกิดความช่างแม่ง ปลงชีวิต ไม่รู้ก็ไม่รู้
สุดท้ายก็เลยทำตัวเป็นเด็กเหมือนเดิม ไม่อยากเข้าใจอะไรทั้งนั้นแล้ว ในเมื่อผู้ใหญ่ไม่ยอมให้เขาเข้าใจ
“แต่เดี๋ยวภูจะลองถามดูนะ”
“ดีค่ะ”
“งั้นภูขึ้นไปนอนแล้วนะ ฝันดีครับป้าลำดวน”
“ฝันดีค่ะน้องภู” ใจจริงก็อยากพาไปเข้านอน แต่เจ้าตัวปฏิเสธ บอกว่าโตแล้ว เขาควรเป็นฝ่ายพาผู้ใหญ่เข้านอนด้วยซ้ำไป
การทำตัวเป็นผู้ใหญ่ของภูริภัทร ทำให้ป้าลำดวนอดหัวเราะออกมาไม่ได้ ทั้งที่ตัวเล็กแค่นั้น แต่พร้อมจะเป็นผู้นำครอบครัวเสียเหลือเกิน อีกทั้งบางครั้งก็กดดันตัวเอง
เธอไม่อยากให้บ่าน้อย ๆ นั่นแบกรับภาระหน้าที่เลย มันยังไม่ถึงเวลาด้วยซ้ำ ภูก็แค่เด็กน้อยบริสุทธิ์คนหนึ่งเท่านั้น
ผ่านไปแล้วสามสัปดาห์ หลังจากที่วัชระไม่กลับบ้านในวันนั้น วันถัด ๆ มากลับทำตัวแปลกไปจนภูริภัทรประหลาดใจ สับสนไปหมด
อย่างแรกคือ ตื่นเช้ามาก นั่งร่วมโต๊ะอาหารเช้าด้วยกัน แถมยังกินเกลี้ยงไม่เหลือ ทั้งที่ปกติกินไม่หมดหรือกินแค่กาแฟและขนม
สอง มารับภูที่โรงเรียนเท่าที่จะทำได้ วันไหนที่กลับช้าก็ช้าสุดแค่หนึ่งทุ่มเท่านั้น
สาม ไม่ได้ออกไปดื่มเหล้า เมามายที่ไหน หรือไปค้างโรงแรมแล้วกลับบ้านในตอนเช้าด้วยสภาพทุเรศทุรัง
สี่ มีอาการแปลกไป เหม่อเก่ง ขี้เซา ขี้โวยวายก็เก่ง พอจะเงียบก็เงียบจนภูริใจร่วงไปอยู่ตาตุ่ม อารมณ์สวิงไปมา คาดเดาได้ยากนัก
และห้า ไม่ยอมเข้าร้านเครื่องเขียนของนิธิศเด็ดขาด เคยบอกว่าให้ตายยังไงก็ไม่เข้า อยากแวะก็แวะในวันที่ลุงพลมารับ
ให้ตายเถอะ ข้ออื่น ๆ มันก็น่าเป็นห่วงอยู่หรอก เพราะคาดเดาไม่ค่อยได้ แต่ข้อสุดท้ายนี่สิ ที่ภูริภัทรสามารถคอนเฟิร์มมั่นใจได้ นั่นคือ
สองคนนี้ ‘ทะเลาะ’ กันแน่นอน
แหงล่ะ ไม่ยอมเจอหน้ากันทั้งที่แต่ก่อนยังพูดคุยปกติ เขินอาย ดูมีใจให้ แต่นี่กลับแตกหักเฉย ยิ่งฝ่ายนิธิศที่ไม่สบายช่วงนี้ด้วย ต่างคนต่างทุกข์ใจ
ดูอย่างไรทางวัชระก็เป็นหนักกว่า
“หรือว่าป๊ะป๋าจะตรอมใจ!!!” ภูริภัทรเผลอพูดเปล่งเสียงออกมาดังลั่น
“ตรอมใจอะไร” วัชระเอ่ยถาม จู่ ๆ ลูกชายก็โพล่งขึ้นมาตกอกตกใจ
ภูริภัทรยกมือปิดปากฉับทันทีที่รู้ตัว มัวแต่ติดอยู่ในภวังค์จนหลงลืมไปว่าไม่ได้อยู่คนเดียว และยังเผลอพูดอะไรแปลก ๆ ออกไป
ตอนนี้กำลังนั่งรถเดินทางไปโรงเรียน เพราะในรถมันสงบ ปกติจะโดนป๊ะป๋าหาเรื่อง ทว่ากลับตรงกันข้าม จึงมีเวลาคิดทบทวนกับตัวเองเป็นเรื่องเป็นราวได้ขนาดนี้
“ไม่มีอะไร”
“แล้วป๋าตรอมใจคืออะไร”
“ก็ช่วงนี้ป๊ะป๋าดูแปลก ๆ นี่ อมทุกข์สุด ๆ”
วัชระชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะส่ายหน้า “แค่เครียดเรื่องงาน”
“แต่ป๊ะป๋ากินจุ กินของเปรี้ยวด้วย ปกติไม่ชอบนี่”
“...” เงียบ เพราะไม่รู้ตัวเองเหมือนกันนั่นแหละ
“พี่ธิศก็เหมือนกัน ช่วงนี้ก็ป่วยอยู่ ว่าแล้วเย็นนี้ไปหากันเถอะน้า”
“ไม่!!!”
แทบจะเป็นเสียงตะคอกลั่น ทำเอาภูริภัทรสะดุ้งตัวโหยง ตกใจกับ
การโต้ตอบของบิดา วัชรเองก็เพิ่งได้สติลูบหน้าตัวเอง โชคดีนักที่ติดไฟแดงจึงเป็นช่วงที่ต้องทำให้อารมณ์คงที่
“พ พูดดี ๆ ก็ได้นี่ ไม่เห็นต้องตะคอกเลย” ภูเก็บซ่อนความกลัวเอาไว้ มีไม่บ่อยนักที่ตนจะหวาดกลัวบิดา
“ป๋าขอโทษ ช่วงนี้ป๋าไม่อยากเจอเขาเท่าไหร่” ตอบโดยให้เหตุผลไป หากปฏิเสธอย่างเดียว เด็กก็คงไม่เข้าใจ
“ป๋าไม่ได้เจอตั้งสามอาทิตย์”
“อืม ก็เพราะไม่อยากเจอไง แค่นั้นแหละ แต่ก่อนป๋าก็ไม่ได้ไปร้านตั้งเดือนหนึ่งเลย”
“ก็ได้ ช่างมันเถอะ”
ทำบรรยากาศยามเช้าอันสดใสพังซะแล้ว
ก็พอรู้แล้วว่าไม่อยากเจอ แต่มันดูเหมือนคนทะเลาะกันเลย
เดี๋ยวนะ?
ถ้าทะเลาะกันจนไม่อยากเจอหน้า แสดงว่าต้องสนิทกันจนสามารถทะเลาะกันได้เลยเหรอ? ทั้งที่ปกติเจอหน้ากันทีไรก็พูดน้อย แล้วมีเวลาไปสนิทกันตอนไหน
ทะเลาะกันจริง ๆ เหรอ
สนิทกันมากเลยเหรอ
ต้องใช่แน่ ๆ! เซ็นส์ของเด็กมันแรงจะตาย
ถ้างั้นภูริภัทรก็ควรจะช่วยพวกเขาให้คืนดีกันเร็ว ๆ แล้วให้ทั้งคู่ได้รักกัน ยังไงเรื่องนี้ภูก็ได้ผลประโยชน์ร่วม เขาจะได้อยู่กับพี่คนสวยทุกวันไงล่ะ
นิธิศค่อนข้างรู้สึกเบื่อหน่ายเมื่อต้องเอาแต่นอนอยู่ในห้องมาหลายสัปดาห์แล้ว อาการแปลก ๆ ไม่มีท่าทีจะหายไป ตัวเองก็ดื้อดึงไม่ยอมไปหาหมอสักที อ้างว่าพักผ่อนไม่เพียงพอ ไหนจะชอบกินของเปรี้ยวขึ้นมาอีก
‘อย่างกับคนท้องเลย’ แอมมี่เคยพูดไว้แบบนั้น แต่เขาก็ปฏิเสธไปแล้วว่าไม่เคยไปนอนให้ใครจิ้มมาก่อน ไม่มีทางที่จะท้องป่อง ก็แค่ป่วยธรรมดาเดี๋ยวก็หาย
วันนี้จึงอยากออกมาทำงานบ้าง ไม่ใช่เอาแต่นอนซมในห้อง เจอความสดใสของเด็ก ๆ บ้างดีกว่า และตนเองคิดถูกเสียจริงเพราะวันนี้ภูริภัทรมาที่ร้านด้วย
เด็กน้อยยังคงมีรอยยิ้มสดใสประดับบนใบหน้าเสมอ กระนั้นก็แอบแฝงไปด้วยความเป็นห่วงใยเมื่อเห็นสภาพตนเอง
“พี่ธิศยังไม่หายอีกเหรอ”
“ดีขึ้นแล้วล่ะ” ธิศตอบ ไม่อยากให้เด็กน้อยเป็นห่วง
“นอนพักเยอะ ๆ น้า ไม่งั้นต้องโดนฉีดยาแน่ เจ็บจะตายไป” เด็กน้อยตบไหล่แปะ ๆ นิธิศเบา ๆ เป็นการให้กำลังใจ นิธิศถึงกับหลุดหัวเราะออกมา ช่างเป็นการกระทำแสนน่ารักเหลือเกิน
“แล้วนี่มากับใครเหรอ” นิธิศเอ่ยถาม ปกติแล้วหากมากับผู้ปกครองก็ต้องเข้ามาในร้านพร้อมกัน แต่นี่กลับเห็นเด็กน้อยคนเดียว จึงเกิดความสงสัย และความคาดหวัง
หวังให้เป็นวัชระ คนที่ตนอยากพบหน้ามากที่สุด เขาคิดถึงเหลือเกิน อยากเห็นหน้า อยากกอด และพูดคุยในเรื่องที่ค้างคากันเอาไว้
“ภูมาคนเดียวแหละ” นิธิศเลิกคิ้ว “มันเป็นแผนของภูเอง”
“ยังไงนะ?”
แผนการของภูริภัทรที่จะทำให้ผู้ใหญ่ทั้งสองเจอกัน โดยที่หลังเลิกเรียน ภูริภัทรติดรถผู้ปกครองเพื่อนมาด้วย และให้ไปส่งที่ร้านเครื่องเขียน ไม่ลืมที่จะขอยืมโทรศัพท์ครูโทรบอกป๊ะป๋า และเป็นอย่างที่คิดเอาไว้
ป๊ะป๋าโมโหสุด ๆ จนเอ่ยปากว่าจะไปรับกลับเดี๋ยวนี้ ไม่ได้โกรธที่ไปร้านเครื่องเขียน แต่โกรธที่ไปไหนมาไหนคนเดียวโดยที่ไม่มีคนของป๋า
“ก็ที่จะให้พวกพี่ได้คุยกันไง—”
กรุ๊งกริ๊ง!
เสียงกระดิ่งที่แขวนเอาไว้ดังขึ้นพร้อมประตูร้านที่เปิดออก ชายผู้สวมชุดสูท ใบหน้าตื่นตระหนก กวาดสายตารอบร้านเพื่อตามหาภูริภัทร จนกระทั่งมาหยุดโฟกัสที่หน้าเคาน์เตอร์คิดเงิน ไม่รอช้าเดินดิ่งไปหา หมายจะอุ้มตัวลูกชาย ทว่าภูกลับถอยห่างไปซ่อนที่หลังของนิธิศ
“ภูริภัทร” เสียงทุ้มกดต่ำน่ากลัวจนนิธิศเองก็ตกใจที่ได้เห็นอีกด้านหนึ่งของคนพี่
“พี่วัชรใจเย็น ๆ นะครับ เด็กกลัวแล้ว” นิธิศรับรู้ได้จากฟีโรโมนที่เข้มขึ้น พวกเด็ก ๆ ที่ยังไม่ได้เจริญพันธุ์จนมีเพศรองจึงไม่อาจรับรู้กลิ่นได้ แต่ผู้ปกครองในร้านกำลังหันมามองเป็นสายตาเดียว
วัชระเหลือบมองชายผมบลอนด์ เม้มริมฝีปากแน่น ก่อนจะทำเป็นไม่สนใจอีกฝ่ายและคนอื่น เพราะต้องนำตัวเจ้าลูกชายที่กำลังก่อเรื่องและทำให้ตนเป็นบ้าจนต้องทิ้งงานกลับบ้านให้ได้
“กลับบ้านเดี๋ยวนี้ภูริภัทร เรามีเรื่องต้องคุยกัน”
“ภูยังไม่ได้ซื้อของเลย”
“บอกให้กลับไง”
“แต่พี่ธิศ...”
“กลับ - บ้าน” ภูริภัทรเองก็รู้ว่าตัวเองทำผิดสุดท้ายก็ต้องยอมแต่โดยดี เพราะดูเหมือนแผนที่วางไว้จะล่มไม่เป็นท่า ไม่คิดว่าป๊ะป๋าจะโกรธจัดจนไม่ฟังใคร ถึงขนาดที่เจอหน้ากันแล้วนิธิศยังทำอะไรไม่ได้ ไม่มีท่าทีที่จะหันมาคุยกัน จุดสนใจตอนนี้คือตัวภูคนเดียว
สุดท้ายภูริภัทรก็เดินไปหาวัชระ และพากันเดินออกไปจากร้าน นิธิศเห็นดังนั้นจึงเดินตามออกไป หวังจะบอกให้วัชรใจเย็น ๆ อย่าใช้อารมณ์กับเด็ก
“พี่วัชรรอก่อน”
ฉับพลันสติสัมปชัญญะกลับมึนงง พร้อมกับร่างกายที่ไม่สามารถทรงตัวเองได้ เขาพยายามหาที่จับแล้วทว่าคว้าได้แต่อากาศ จนในที่สุดก็ล้มกระแทกพื้นโดยไม่มีการชะลอตัว ศีรษะกระแทกพื้นอย่างจัง สายตาพร่าเลือนจนมองไม่เห็นสิ่งใด
“ธิศ!!!”
ทว่าก่อนที่ทุกอย่างจะวูบดับลง เขาเห็นสองพ่อลูกหันกลับมา เสียงทุ้มคุ้นหูเอ่ยเรียกชื่อลั่น นั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่รับรู้ทั้งหมด
“พี่ธิศ”
“ธิศ!!!”