โรงเรียนสอนให้หนูมีความรับผิดชอบ แต่โรงเรียนที่ป๊ะป๋าเรียนมาเขาไม่สอนเหรอ ป๊ะป๋าไปรังแกคุณคนสวย แต่ไม่รับผิดชอบเนี่ยนะ หนูอายที่มีป๊ะป๋าแบบนี้นะ — “มั่วแล้ว! คุณคนสวยต่างหากที่แกล้งป๋า แกล้งจนท้อง!!!”

#ป๊ะป๋าอย่าโง่ (omegaverse) - บทที่ 9 พี่ธิศโดนป๊ะป๋าแกล้ง โดย KONKON satuu @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ชาย-ชาย,โอเมกาเวิร์ส,ครอบครัว,รัก,ดราม่า,omegaverse,ปะป๊าอย่าโง่ ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

#ป๊ะป๋าอย่าโง่ (omegaverse)

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ชาย-ชาย,โอเมกาเวิร์ส,ครอบครัว,รัก,ดราม่า

แท็คที่เกี่ยวข้อง

omegaverse,ปะป๊าอย่าโง่

รายละเอียด

#ป๊ะป๋าอย่าโง่ (omegaverse) โดย KONKON satuu @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

โรงเรียนสอนให้หนูมีความรับผิดชอบ แต่โรงเรียนที่ป๊ะป๋าเรียนมาเขาไม่สอนเหรอ ป๊ะป๋าไปรังแกคุณคนสวย แต่ไม่รับผิดชอบเนี่ยนะ หนูอายที่มีป๊ะป๋าแบบนี้นะ — “มั่วแล้ว! คุณคนสวยต่างหากที่แกล้งป๋า แกล้งจนท้อง!!!”

ผู้แต่ง

KONKON satuu

เรื่องย่อ

รู้ถึงไหน อายถึงนั่น! 

คนอย่าง 'ป๊ะป๋าวัชระ'  อัลฟ่าหนุ่มที่เพียบพร้อมทุกอย่าง เงินทอง อาชีพมั่นคง และมีลูกชายปากดี (จัด) แก่แดด เถรตรง ดูเป็นผู้ใหญ่เกินวัย ถึงกระนั้นก็ยังไปทำคนอื่นท้องและจะทิ้งอย่างไม่ไยดี!!! 

ที่สำคัญเป็นพี่ชายสุดสวยที่ 'ภูริภัทร' ชอบมาก ๆ ด้วย


"ป๊ะป๋าช่างเลวนัก กล้ารังแกพี่สุดสวยของภูทำไม!!! ภูจะเอาเลือดบนหัวป๋าออกเดี๋ยวนี้!"

"เดี๋ยวนะภู นิธิศสุดสวยของภู (พอ) รังแกป๋าต่างหาก รังแกจนท้อง! ไอ้เด็กแก่แดดไม่รู้เรื่อง!!!"

"ไม่จริ๊งงงงง!"


ฟีลป๊ะป๋ากับลูกหยุมหัว

และ

พ่อหนุ่มหน้าสวยกับหนุ่มธุรกิจพ่อเลี้ยงเดี่ยว


คำเตือน :

Omegaverse 

multiverse 

blood เลือด , death ความตาย

Profanity คำหยาบคาย pregnancy ตั้งครรภ์ 

Sexual explicit เนื้อหามีความโจ่งแจ้งในเรื่องเพศ

Violence การใช้ความรุนแรง gun ปืน

Verbal abuse ทำร้ายทางวาจา

Toxic family ครอบครัวที่ไม่มีสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน (ญาติผู้ใหญ่)




สารบัญ

#ป๊ะป๋าอย่าโง่ (omegaverse)-บทที่ 1 เด็ก (ไม่) ไร้เดียงสา,#ป๊ะป๋าอย่าโง่ (omegaverse)-บทที่ 2 ร้านเครื่องเขียนพิเศษและคุณคนสวย,#ป๊ะป๋าอย่าโง่ (omegaverse)-บทที่ 3 คุณวัชรผู้แสนขรึม nc50%,#ป๊ะป๋าอย่าโง่ (omegaverse)-บทที่ 4 บ้านสิริมหินศรณ์ที่ภูเกลียด,#ป๊ะป๋าอย่าโง่ (omegaverse)-บทที่ 5 วันไปเที่ยวของบ้านภูริภัทร,#ป๊ะป๋าอย่าโง่ (omegaverse)-บทที่ 6 100 nightstand nc100%,#ป๊ะป๋าอย่าโง่ (omegaverse)-บทที่ 7 อาการออก,#ป๊ะป๋าอย่าโง่ (omegaverse)-บทที่ 8 พี่นิธิศไม่สบายเหรอ,#ป๊ะป๋าอย่าโง่ (omegaverse)-บทที่ 9 พี่ธิศโดนป๊ะป๋าแกล้ง,#ป๊ะป๋าอย่าโง่ (omegaverse)-บทที่ 10 วันหยุดที่ไม่ได้หยุด,#ป๊ะป๋าอย่าโง่ (omegaverse)-บทที่ 11 ป๊ะป๋าโดนแกล้งเรอะ

เนื้อหา

บทที่ 9 พี่ธิศโดนป๊ะป๋าแกล้ง


บทที่ 9 

พี่ธิศโดนป๊ะป๋าแกล้ง

 

 

 

เป็นเพราะตกใจสุดขีด สองพ่อลูกเลยโทรหารถพยาบาลให้มารับ ไม่กล้าแตะตัวอีกฝ่าย โดยปกติแล้ววัชระจะมีสมาธิและสติมากที่สุด กลับสติแตกเพราะเสียงร้องไห้ของภูริภัทร‍‍‍ รวมถึงการเห็นเลือดไหลออกมาจากศีรษะของนิธิศ

เพราะเสียงโวยวายลั่นหน้าร้าน ทำให้พนักงานในร้านเครื่องเขียนออกมาดู แอมมี่ปรี่เข้ามาหา และเอ่ยถามเหตุการณ์ต่าง ‍ๆ‍‍ พอเห็นเลือดเท่านั้นแหละ บอกให้รีบไปเลย เวลาเหมาะเจาะกับที่นิธิศป่วยมาหลายวันแล้ว ดังนั้นเมื่อรถพยาบาลมาถึงวัชระอาสาจะไปดูธิศเอง เพราะคนอื่นต้องดูร้าน ส่วนแอมมี่จะตามไปทีหลัง

เมื่อถึงโรงพยาบาลสองพ่อลูกมานั่งรออยู่หน้าห้องฉุกเฉิน ภูริภัทร‍‍‍ก็ยังไม่หยุดร้องไห้สักที ทำให้เขาต้องอุ้มขึ้นมานั่งบนตักและกอดปลอบใจ ใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาออกจากใบหน้ากลม

“ป๊ะป๋า พี่ธิศจะเป็นอะไรมากไหม ฮึก” เด็กยังขวัญเสียไม่หาย การมีปากเสียงของเราสองคนหยุดชะงักลง ต้องมาปลอบใจให้หยุดร้องไห้

ไม่แปลกใจหรอกที่ภูจะร้อง เห็นนิธิศล้มลงไปต่อหน้าต่อหน้า ไหนจะเลือดอีก เป็นฉากสะเทือนใจได้ดี ว่าแล้วเสื้อสูทของวัชระยังมีคราบเลือดอีกฝ่ายติดอยู่เลย แม้จะน้อยนิดแต่มันก็คือเลือด สิ่งที่ใคร ‍ๆ‍‍ เห็นก็ต้องสะเทือนใจไม่เว้นแต่ผู้ใหญ่ด้วยกัน

เขายังแอบมือสั่นเลย

“ไม่เป็นไรหรอก ถึงมือหมอแล้ว” วัชระตอบพลางเช็ดน้ำตาออกให้ลูก

“พี่ธิศป่วยอยู่แล้ว รู้แบบนี้น่าจะบังคับให้ไปหาลุงหมอตั้งแต่แรก” 

“เหรอ” 

บรรยากาศกลับมาเงียบอีกครั้ง ต่างคนต่างเงียบ ผู้ใหญ่ไม่รู้จะคุยอะไร ส่วนเด็กก็ยังร้องไห้สูดน้ำมูกอยู่ ภูริภัทร‍‍‍เงยหน้ามองผู้เป็นบิดา สีหน้าเคร่งเครียดบนใบหน้าอ่อนล้านั้นทำให้ตนรู้ตัวว่ากระทำผิดแค่ไหน เรื่องมันใหญ่โตขึ้น

เขาไม่ควรไปที่ร้านเครื่องเขียน หากไม่ทำเช่นนั้น ป๊ะป๋าจะไม่โกรธ พี่ธิศจะไม่เป็นอันตราย และตัวเขาจะได้ไม่ต้องร้องไห้ต่อหน้าวัชระ

“ภูขอโทษที่ทำแบบนี้ ภูแค่อยากให้ป๊ะป๋ากับพี่ธิศคืนดีกัน” 

ความคิดของเด็กนี่มันจริง ‍ๆ‍‍ เลย

“ทำไมถึงสนใจเรื่องนี้นัก ป๋าจะอะไรกับพี่ธิศแล้วมันเกี่ยวอะไรกับภูล่ะ” 

“ภูชอบพี่ธิศมาก ‍ๆ‍‍ ชอบเวลาที่ป๋าอยู่กับพี่ธิศด้วย เวลาที่พวกเราสามคนอยู่ด้วยกันแล้วมันทำให้ภูมีความสุขมาก” 

นั่นเป็นครั้งแรกที่ภูริภัทร‍‍‍ยอมสารภาพเรื่องนี้ให้ฟัง ดูจากสีหน้า
อึ้ง ‍ๆ‍‍ ตาโตก็รู้ชัดเจนว่าอีกฝ่ายตกใจแค่ไหน คงคาดไม่ถึงกับเรื่องนี้

“ชอบขนาดนั้นเลยเหรอ” 

“อื้อ” 

นึกว่าจะทำให้ป๊ะป๋าหายเครียด ทว่ามันยิ่งทำให้คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันจนเป็นโบอยู่กลางหน้าผาก ฟันขบเม้มริมฝีปากแน่น ผ่านไปชั่วขณะจึงเลิกทำและเอื้อนเอ่ยกับภูว่า

“ป๋าขอโทษสำหรับเรื่องวันนี้ มันคงทำให้ภูตกใจมากเลยใช่ไหม” วัชระเลือกใช้น้ำเสียงนุ่มลง ภูริภัทร‍‍‍พยักหน้าตอบคำถาม “ตอนนี้ป๋ากำลังทบทวนตัวเองอยู่ มันคือเรื่องเกี่ยวกับนิธิศ เลยไม่อยากเจอให้มันว้าวุ่น แต่วันนี้ภูกลับไปหาเขา มันทำให้ป๋าเป็นคนพาลไปเลย ไม่อยากให้ใครไปยุ่งกับนิธิศ ตลกดีไหม” 

เพราะตัวเองกำลังห่างกับนิธิศจึงไม่อยากลูกชายไปยุ่งเกี่ยวหรือตีสนิทกับนิธิศไปมากกว่านี้ หากเราตัดขาดกัน จะได้ไม่ต้องเกี่ยวข้องกันอีก กระทั่งตัวภูริภัทร‍‍‍ด้วย อยากจะแยกห่างไปเลยราวกับคนไม่เคยรู้จัก

“ภูไม่เข้าใจ ทำไมไม่คุยกัน” 

“คือ…” 

“ญาติคนไข้ของคุณนิธิศค่ะ” เสียงพยาบาลดังขึ้น ทำให้วัชระเลี่ยงตอบคำถามที่ยากที่สุดได้ เห็นคำถามง่าย ‍ๆ‍‍ แบบนั้น เขากลับตอบไม่ได้ หากให้ตอบแบบไม่อายใครก็คือ ไม่กล้าเผชิญกับความจริง กลัวคำตอบของนิธิศ กลัวต่าง ‍ๆ‍‍ นานาจนขึ้นสมอง 

“ฉันเองค่ะ” วัชระที่กำลังอ้าปากพูดตอบรับกลับชะงักกึก แอมมี่มาถึงพอดี จึงไม่ต้องรับหน้าที่ญาติคนไข้ กระนั้นก็ยังพากันเดินเข้าไปทั้งหมดเพราะเป็นห่วงนิธิศ นางพยาบาลพาเข้าไปหานิธิศที่นอนหลับอยู่ และมีคุณหมอยืนดูอาการอยู่ข้างเตียง

“สวัสดีครับ ญาติคุณนิธิศนะครับ อีกสักเดี๋ยวคนไข้ก็ฟื้นแล้วไม่ต้องเป็นห่วง จากที่ตรวจดูเป็นผลมาจากเลือดไปเลี้ยงสมองได้น้อยลง เพราะตัวคนไข้พักผ่อนไม่เพียงพอ เครียดวิตกกังวลมากเกินไป” 

“คุณหมอคะ พอดีว่าคนไข้มีอาการแปลก ‍ๆ‍‍ ด้วยค่ะ อาเจียน เพลียง่าย ชอบกินของเปรี้ยว บางครั้งก็อยากอาหารมากด้วยค่ะ” แอมมี่บอกอาการเพิ่มเติมกับหมอ เพราะเธอไม่ได้พร้อมกับวัชระ จึงต้องให้หมอวินิจฉัยใหม่

คุณหมอทวนคำพร้อมจดบันทึกในกระดาษ เป็นจังหวะเดียวกับที่นิธิศฟื้นได้สติพอดี ทุกคนต่างโล่งอกที่อย่างน้อยก็ฟื้นแล้ว ไม่รอช้าคุณหมอจึงซักถามอาการกับคนไข้โดยตรง ว่ามีอาการอะไรอยู่ไหม และก็ตอบเหมือนกับแอมมี่เกือบทุกประการ 

“คนไข้มีภรรยาหรือยังครับ” นิธิศชะงัก เหลือบมองวัชระที่หมอมาทางตนพอดี

“ยังครับ” 

“อืม...ถ้าคนไข้มีภรรยานี่ หมออาจจะวินิจฉัยว่าคุณเป็นโคเวด ซินโดรม (couvade syndrome) ได้เลยนะครับเนี่ย” 

“มันคืออะไรครับ” 

“แพ้ท้องแทนภรรยา” 

“ห๊ะ” ถึงกับอุทานออกมาพร้อมกับหน้าแดงก่ำ เขินอายกับประโยคของคุณหมอเผลอจ้องหน้าวัชระ ในใจกลับคิดเตลิดมั่วซั่ว ต้องรีบแก้ข่าวคุณหมอ

“ม ไม่มีครับ ยังไม่มีคู่ครับ ไม่มีภรรยาด้วย” 

“ถ้างั้นก็เป็นเพราะพักผ่อนไม่เพียงพอ คุณต้องนอนให้มาก กินอาหารให้ครบ หมู่ ออกกำลังกายด้วย ส่วนแผลที่ศีรษะก็อย่าเพิ่งให้โดนน้ำนะครับ ประมาณหนึ่งอาทิตย์ก็จะดีขึ้น เดี๋ยวหมอจะนัดให้มาดูแผลอีกรอบด้วย” 

“ครับ” 

“ยังไงก็นอนพักที่นี่ให้หายมึนหัวสักครู่ พอดีขึ้นแล้วบอกพยาบาลนะครับ จะได้ไปคิดเงิน รับยาวิตามินและกลับบ้านได้” 

“ครับ ขอบคุณครับ” 

หลังจากที่คุณหมอตรวจเสร็จ และเดินไปตรวจคนไข้คนอื่นต่อ ทุกคนรอบข้างออกไปกันหมด ทิ้งให้นิธิศได้หลับพักผ่อนอีกหน่อย ใจจริงนิธิศ
อยากหลับมาก ทว่าความคิดในหัวมันตีกันจนหลับไม่ลงน่ะสิ ไม่ใช่เรื่องอื่นใด มันคือเรื่องของวัชระทั้งนั้น

เขาอยากลุกออกจากเตียง เดินไปหาอัลฟ่า‍‍หนุ่มเพื่อพูดคุย แต่ตอนนี้กลับหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ ยิ่งตอนที่คุณหมอถามถึงเรื่องคู่ภรรยา ใจเขาเต้นตึกตัก จดจ้องไปที่วัชระแต่เพียงผู้เดียว ถึงได้รู้ว่าอีกคนก็มีปฏิกิริยาตอบรับกับคำพูดของหมอเช่นกัน

อยากจะบอกไปตรง ‍ๆ‍‍ ว่ามีแต่เธอผู้เดียวเท่านั้น ทว่ามันคงเสียมารยาทหมอเกินไปหน่อย

“พี่ธิศ เป็นยังไงบ้าง” เสียงเล็กดังขึ้น ทำให้นิธิศหลุดจากภวังค์ เหลือบมองเด็กน้อยมาเกาะราวเหล็กเตียงด้วยสีหน้าเป็นห่วง ชายหนุ่มยิ้ม ยื่นมือไปแตะแก้มนิ่มแผ่วเบา

“ยังมึน ‍ๆ‍‍ อยู่ แต่ดีขึ้นแล้วครับน้องภู” 

“แหงสิ ต้องมึนหัวอยู่แล้ว ก็ตอนนั้นพี่ล้มลงไปแรงมากเลย”

“ก็จริง ตอนนั้นมันวูบเหมือนกำลังนั่งไทม์แมชชีนเลย” 

นึกถึงอาการตอนนั้นแล้วช่างแปลกเหลือเกิน ตั้งแต่เด็กจนโตเขาไม่เคยเป็นลมหัวกระแทกพื้นมาก่อน อาการวูบวาบมึนหัว คล้ายหมุนเป็นลูกข่าง หรือกำลังเล่นเครื่องเล่นไม่สามารถควบคุมร่างกายตัวเองได้ ทุกส่วนอ่อนแรงกะทันหันจนไม่อาจประคองตัวไม่ให้กระแทกพื้นได้เลย

“พี่เคยนั่งด้วยเหรอ” 

“เปล่า ยกตัวอย่างเฉย ‍ๆ‍‍ น่ะ” เขาหัวเราะ เพราะได้ยินภาพยนตร์ไซไฟวิทยาศาสตร์พูดว่านั่งไทม์แมชชีนแล้วจะมึนหัว

ภูริภัทร‍‍‍ชวนคุยไม่หยุด ให้เหตุผลว่ากลัวนิธิศอยู่คนเดียวแล้วจะกลัว ในโรงพยาบาลผีดุ แล้วไหนจะพวกหมอพยาบาลที่ถือเข็มฉีดยาน่ากลัวนั่นอีก บอกอีกว่าจะปกป้องเอง น่าเอ็นดูสุด ‍ๆ‍‍

กระนั้นภูต้องเงียบปากเพราะมีคนเรียกมาแต่ไกล ดวงตาทั้งสองคู่หันไปตามเสียงนั้นเป็นสายตาเดียว

“ภู กลับบ้านเถอะ อย่ากวนเขาเลย” แม้จะดูอึกอักในตอนแรกที่เผลอสบตากัน เสี้ยววินาทีทำเป็นเลี่ยงหลบตาและหันไปพูดกับเด็กหนุ่มแทน เสียงโอดครวญของเด็กทำให้บรรยากาศไม่ตึงเครียดมาก แต่มันแย่ลงเพราะตัวนิธิศทำพังเอง

“พี่วัชร ผมขอคุยด้วยหน่อยได้ไหมครับ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“นายพักเถอะ” วัชระเข้ามาใกล้เตียง หมายจะอุ้มเด็กน้อย ทว่าภูขยับถอยห่างและจับมือของตนให้นิธิศได้กอบกุม 

“คุยกันเลย ภูไปรอข้างนอกนะ” สิ้นประโยคก็วิ่งออกไปเลย วัชระถอนหายใจ เตรียมจะหมุนตัวเดินตามไปแล้ว ทว่าคนที่กุมมือตนอยู่กับไม่ยอมปล่อย ซ้ำยังแน่นจนไม่อาจสลัดทิ้งได้

“ไม่ ต้องคุยตอนนี้ ผมไม่รอแล้ว” 

“แต่ฉัน...” เสียงทุ้มขาดห้วงไป นิธิศฝืนกายให้ลุกขึ้นนั่ง ดวงตาเรียวงามนั่นวาวโรจน์จนวัชระเผลอกลั้นหายใจ ทั้งที่เป็นอัลฟ่า‍‍เหมือนกันกลับรู้สึกเกรงกลัวคนอายุน้อยกว่า ที่น่าตกใจไปกว่านั้นคือหยดน้ำตาใสกลิ้งร่วงหล่นลงมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่มีท่าทีจะหยุดไหล ไร้เสียงสะอื้นใด ‍ๆ‍‍ 

ตื่นตะลึงอยู่นาน เพราะรู้สึกกันมาตั้งหลายเดือน นิธิศไม่เคยร้องไห้ให้เห็น มีแต่สีหน้ายิ้มแย้ม ขี้เล่นอยู่ตลอด พอเห็นน้ำตาอาบแก้มก็ไปไม่เป็นเลย วัชระถอนหายใจ สีหน้าเอือมระอาและอ่อนล้านัก วันทั้งวันมีแต่เรื่อง เหนื่อยไปหมด

“จะร้องไห้ทำไม อายพยาบาลบ้างไหม โตขนาดนี้แล้ว” เขาถามเสียงเบาและอ่อนโยน ใช้นิ้วโป้งเช็ดน้ำตาให้ หวังให้คนน้องหยุดขี้แย

“ก็พี่จะทิ้งผม” 

“ไม่ได้ทิ้ง” 

“แล้วทำไมไม่มาหาผม” 

“ก็บอกว่าทบทวนตัวเอง” เขากำลังแพ้นิธิศโหมดนี้ โหมดอ้อนผสมน้อยใจ น้ำตาไหลพราก มือหนายังจับมือตนไว้แน่น หากเผลอทำหลุดมือก็จะหนีหายไป และตนไม่สามารถตามไปได้ ส่วนแขนข้างที่ว่างตวัดกอดเอววัชระ ขยุ้มเสื้อจนยับยู่ยี่ ซุกหน้ากับหน้าท้อง ทำตัวเป็นเด็กเป็นเล็ก

“พี่ข้ามขั้นนะ พี่ไม่ถามผม แต่กลับไปทบทวนก่อน มันใช่ที่ไหน” 

“ค่อยคุย ที่นี่โรงพยาบาล ในห้องฉุกเฉินด้วย มีมารยาทหน่อย” เห็นว่าเริ่มฟูมฟายหนักขึ้นจนต้องเอ่ยห้ามปราม

“งั้นก็ออกไปคุยข้างนอก” ไม่พูดเปล่า กระชากผ้าห่มทิ้งลงพื้น ดึงราวเหล็กกั้นเตียงลง หย่อนตัวลงจนเท้าแตะพื้น ตอนนี้ไม่ได้รู้สึกมึนหัวแล้ว ร่างกายมั่นคงมากกว่าเมื่อครู่

“นี่ นิธิศ!” 

“อย่าเสียงดัง มีมารยาทหน่อย” 

วัชระเบิกตากว้าง ทั้งคำพูดและกิริยาของนิธิศเปลี่ยนไปราวกับคนละคน ไม่มีแล้วคนขี้แยร้องไห้ขี้มูกโป่ง มีแต่คนที่จริงจัง พายุอารมณ์โหมกระหน่ำ ต้องการคำตอบและหมายจะกลืนกินเขาทั้งตัว 

“นี่กล้าย้อนเหรอ”

“พี่เป็นอะไร โกรธผมเหรอ โกรธเรื่องอะไร ผมไม่รู้ ถ้าไม่พอใจเรื่องไหน หันมาคุยกันได้ไหมครับ” 

“ไม่ได้โกรธ แล้วช่วยเงียบลงหน่อย” เหลือบไปเห็นพยาบาลมองหน้า ต้องยกนิ้วชี้ขึ้นแตะปาก กระนั้นอัลฟ่า‍‍กลิ่นซิตรัสกลับฉกฉวยดึงรั้งนิ้วเรียวมาแตะที่ปากตนแทน ริมฝีปากสัมผัสนิ้วนั้น วัชระผงะและตกใจตื่นรีบชักมือกลับทันที เพราะไม่คิดว่านิธิศจะกล้าทำแบบนี้ในที่สาธารณะ ยิ่งในโรงพยาบาลด้วย

“เรื่องความสัมพันธ์ของเราเหรอ” คราวนี้ร่างสูงขยับเข้ามาใกล้ จนเราแนบชิดกัน นิธิศกระซิบถามข้างใบหู ในเมื่อบอกให้เงียบ เขาก็เป็นเด็กดีทำตามอย่างว่าง่ายอย่างไรเล่า

“ป เปล่า” 

“เรื่องคู่นอนเหรอ ผมทรีตพี่เหมือนคู่นอนใช่ไหม พี่เข้าใจแบบนั้นใช่ไหม” 

“...” คนอายุมากกว่าเงียบ ราวกับจี้จุดได้ถูกต้อง ทั้งสีหน้าอึกอัก ปนเปด้วยความรู้สึกไม่ดี หมองลงทันใดที่เอ่ยทัก ชัดเลยว่าเกี่ยวกับเรื่องอะไร

ด้านนิธิศเห็นเช่นนั้นก็เจ็บปวดและรู้สึกผิดนัก เพราะพวกเขาสองคนรู้จักกันโดยปรารถนาการมีเพศสัมพันธ์ การพูดคุย จนพัฒนาเป็นความสนิทสนม ทว่าไม่เคยแต่งตั้งสถานะให้ชัดเจน ลืมคิดว่ามันสามารถทำให้ทั้งคู่เจ็บปวดได้ เลวร้ายกว่าคือการตัดขาดไม่รู้จักกันอีกต่อไป

สองมือจับไหล่กว้างทั้งสองเอาไว้แน่น ให้อีกฝ่ายสอดประสานตาเขา ไม่ให้หนีไปก่อนจะตั้งใจเอื้อนเอ่ยสิ่งที่อัดอั้นใจมานาน และอยากให้คนตรงหน้าเข้าใจ

“ผมชอบพี่ ตั้งแต่ที่เจอพี่ ผมไม่เคยไปคุยกับใคร หรือนอนกับใครเลย ผมมีแค่พี่คนเดียว” 

เจ้าของกลิ่นกาแฟชะงักค้างไปหลายนาที หากอยู่ในสถานการณ์อื่นคงจะเป็นประโยคแสนโรแมนติกเหลือเกิน ราวกับถูกสารภาพรักอย่างไรอย่างนั้น ทว่าสภาพตอนนี้มันไม่ใช่ เพราะมันทำให้วัชระอึดอัดและน้อยใจยิ่งกว่าเดิม

“แล้วคนนั้นพวกนั้นเล่า คนที่เคยโทรหา คนที่เคยนั่งโต๊ะเดียวกัน ทำตัวสนิทสนม แทบจะเลื้อยนอนบนตักอยู่แล้ว” ภาพในอดีตกลับมาฉายในหัวอีกครั้ง แต่ละภาพช่างน่าปวดใจนัก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรถึงได้เป็นเช่นนี้ อารมณ์ปนเปจนรู้สึกไม่ดี

“นั่นเพื่อนครับ ปกติพวกผมค่อนข้างถึงเนื้อถึงตัวกัน มันคงดูไม่เหมาะมาก ‍ๆ‍‍ แต่เดี๋ยวผมเตือนพวกมันเอง แล้วก็จะระวังตัว ไม่ทำแบบนั้นอีกต่อไป จะไม่ทำให้พี่คิดมากอีก” นิธิศพูดยาวเหยียดด้วยน้ำเสียงจริงจัง อธิบายให้คนตรงหน้าเข้าใจ

“จะมาแก้ไขให้ฉันไม่ต้องคิดมากทำไม ก็เราไม่ได้เป็นอะไรกันนี่”

 วัชรหันหน้าหนี พูดตัดพ้อจนนิธิศใจร่วง คำว่า ‘ไม่ได้เป็นอะไร’ ช่างคมกริบบาดลึกหัวใจจนเจ็บชาชะมัด นิธิศถึงกับเบะปาก น้ำตาคลออีกครั้ง หากกลายร่างเป็นสุนัข มีหูและหาง มันคงลู่ตกไปแล้ว ท่าทางคล้ายกับเจ้าของไม่รัก

“ผมเข้าใจ ตรงนี้ผมอาจพลาดไป ที่เราเริ่มความสัมพันธ์ไม่แน่ชัด แต่ผมอยากบอกให้มันชัด ‍ๆ‍‍ เลยได้ไหม” 

“…” 

“ผมชอบพี่จริง ‍ๆ‍‍ นะครับ ไม่ได้อยากเป็นแค่คู่นอนหรืออะไรก็ตาม แต่อยากเป็นแฟน เป็นผัวพี่” 

“นี่!” วัชระหันขวับมา ประจวบกับที่เผลอแผดเสียงดังโวยวายเกินไป คนน้องเอามือปิดปากทันที กระนั้นยังส่งเสียงอื้ออึงในลำคอ ดวงตาเรียวเบิกกว้าง อยากเอาไม้มาทะลวงหูสักครั้ง เมื่อครู่ตัวเองฟังผิดหรือเปล่า คำพูดคำจาแบบนั้น คำสารภาพแบบนั้นออกมาจากปากของนิธิศ!

“ได้ยินไหมครับ ผมไม่อยากเป็นคู่นอน ไม่ได้อยากเป็นอะไรทั้งนั้นนอกจากแฟนหรือผัวพี่เลย” ยังจะมาพูดซ้ำอีก!!! “แล้วพี่ล่ะอยากเป็นไหม พี่น้อยใจผมแบบนี้ พี่ก็รู้สึกใจตรงกันเหมือนกันใช่ไหม” 

“…” 

“พี่วัชร” เห็นว่านิ่งเงียบไป 

วัชระสติหลุดไปแล้ว ไปไกลจนคว้ากลับมายัดใส่ร่างแทบไม่ทัน นิธิศคิดในใจว่าตัวเองรุกเร็วไปรึเปล่าถึงทำให้อีกฝ่ายช็อกค้างไม่ยอมขยับอยู่หลายวินาทีแล้ว

“ป๊ะป๋าคุยเสร็จยัง ทำไมนานจังอ่า” 

ภูริภัทร‍‍‍เดินเข้ามาหาอีกครั้งด้วยสีหน้าเหนื่อยล้า เด็กน้อยต้องการกลับบ้านไปพักผ่อนจะแย่แล้ว สองนิ้วดึงเสื้อผู้เป็นบิดาแรง ‍ๆ‍‍ จนในที่สุดสติก็กลับเข้าร่างดังเดิม วัชรลุกลี้ลุกลนก่อนจะอุ้มลูกเข้าเอวทันที

“ต้องไปแล้ว ไว้ค่อยคุยวันอื่น” 

“แต่พี่ยังไม่ได้บอกกับเลยว่ารู้สึกยังไง” 

“…” เงียบ หลบตาอีกครั้ง ทำให้นิธิศเบะปากออก ใบหน้าสวยแบบนั้นไม่เหมาะกับน้ำตาเลยสักนิด หากจะปลอบใจก็ทำไม่ได้ เดี๋ยวจะยืดเยื้อเวลาไปมากกว่านี้ จึงตัดใจหันหลังให้และเดินออกไปจากห้องฉุกเฉินโดยเร็วที่สุด ปล่อยให้นิธิศล้มทั้งยืน พยาบาลต้องเข้ามาดูอาการคนป่วยทันที

“ยังคุยไม่รู้เรื่องเหรอป๊ะป๋า” ภูริภัทร‍‍‍เอ่ยถาม เงยหน้ามองป๊ะป๋าที่มองตรงไปด้านหน้า สองเท้าก้าวฉับ ‍ๆ‍‍ ไปยังลานจอดรถ กดปลดล็อกรถ เปิดประตูและวางภูไว้ที่นั่งข้างคนขับ ส่วนตัวเองก็รีบขึ้นรถ สตาร์ทรถและขับออกไปทันที

“รู้เรื่องแล้ว” 

“อย่าทำอะไรให้เป็นเรื่องยากสิป๊ะป๋า แค่ยอมรับมันก็เท่านั้น ป๊ะป๋าชอบพี่ธิศก็บอกไป เพราะพี่ธิศยังบอกชอบป๊ะป๋าเลย” 

“มันง่ายที่ไหน” 

“ง่าย หัวใจตรงกันแล้วนี่ ป๊ะป๋านั่นแหละอย่าทำให้เป็นเรื่องยาก” 

วัชระไม่ตอบอะไร เงียบตลอดทางตั้งแต่โรงพยาบาลจนถึงบ้าน รีบขึ้นบ้าน อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าและเข้านอนทันที เพราะวันนี้เหนื่อยมาทั้งวัน โดยเฉพาะสมองที่ทำงานหนักจนไม่อยากคิดสิ่งใดอีกแล้ว เขาจึงปล่อยให้ตัวเองปล่อยวาง และค่อย ‍ๆ‍‍ เข้าสู่นิทราไป

 

 

เพราะวันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ของภูริภัทร‍‍‍ วัชระจึงไม่ต้องรีบตื่นไปส่งที่โรงเรียน ได้นอนยาว ‍ๆ‍‍ เพื่อพักผ่อนให้เต็มที่ แม้จะวางแผนไว้แบบนั้นกลับพังเละไม่เป็นท่าเสียได้

“อ้วก!” 

ร่างกายกลับตื่นเองอัตโนมัติโดยไม่ต้องตั้งนาฬิกาปลุกหรือมีเสียงใด ‍ๆ‍‍ แต่เป็นเพราะรู้สึกคลื่นไส้อาเจียนตั้งแต่เช้าตรู่ วิ่งไปเข้าห้องน้ำ โก่งคออาเจียนอาหารที่กินไปเมื่อวานจนหมดไส้หมดพุง ทว่าก็ยังไม่หยุดอ้วก มีแต่น้ำสีใสเท่านั้นที่ออกมา วัชระนอนกอดชักโครกอยู่อย่างนั้น เพราะหากเท้าก้าวออกจากห้องน้ำเมื่อใด บางอย่างจะตีขึ้นมากระจุกที่ลำคอ และอยากอาเจียนออกทุกครั้ง

เมื่อแน่ใจแล้วว่าจะไม่อาเจียนอีก จึงลากสังขารตัวเองออกมาจากห้องน้ำ เช็ดน้ำหูน้ำตาที่ไหลพรากไม่หยุดให้สะอาด ล้มลงนอนแผ่บนเตียงอีกครั้งเพื่อพักหายใจ ทั้งที่ตื่นเช้ามาควรจะรู้สึกสดชื่น มีพละกำลัง แต่นี่กลับหายวับไปกับตาพร้อมการอาเจียนน่ะสิ

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“คุณวัชรคะ ตื่นรึยังคะ” ลำดวนเคาะประตูสองสามครั้งพร้อมเอ่ยถาม

“ครับ ตื่นแล้วครับ” ลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูให้เธอ มีจังหวะหนึ่งที่เขาเห็นเธอ ยกมือปิดปากตกใจ

“คุณวัชรไม่สบายรึเปล่าคะ หน้าซีดเชียว” 

“อ๋อ นิดหน่อยครับ พอดีเลย ผมรบกวนป้าช่วยชงน้ำขิงให้หน่อยได้ไหมครับ” 

“ได้เลยค่ะ เดี๋ยวป้าชงให้กินก่อนกินข้าวนะคะ” 

“โอเคครับ” 

“ไม่ไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจสุขภาพหน่อยเหรอคะ” 

“เดี๋ยวค่อยดีกว่าครับ แล้วป้ามีอะไรรึเปล่า” 

“จะบอกว่ามีคนมาหาค่ะ บอกว่าอยากพบคุณ” 

“ใครเหรอครับ พอจะรู้จักไหม” 

“ดูเหมือนวัยรุ่นอยู่เลยค่ะ ทำสีผมสีเหลืองไว้ยาว เจาะหูหลายรูด้วย น่าแปลกใจอยู่นะคะ” สิ้นประโยค วัชระหน้าซีด เพราะลักษณะทุกอย่างมันตรงกับนิธิศหมดเลยน่ะสิ แต่เขาไม่เคยบอกที่อยู่ จะมาถูกได้อย่างไร

“เอายังไงดีคะคุณ” 

นั่นสิ เอายังไงดีวัชร เขาพร้อมแล้วเหรอที่จะเผชิญหน้า ทั้งที่หัวใจเราตรงกัน แล้วเขามัวแต่กลัวอะไรอยู่ ก็แค่ความรักเองไหม ความรักที่ตนโหยหามาโดยตลอด

‘อย่าทำอะไรให้เป็นเรื่องยากสิป๊ะป๋า แค่ยอมรับมันก็เท่านั้น ป๊ะป๋าชอบพี่ธิศก็บอกไป เพราะพี่ธิศยังบอกชอบป๊ะป๋าเลย’ 

ฉับพลันคำพูดของภูริภัทร‍‍‍ดังขึ้นในหัว หากเป็นคนอื่นคงตัดสินใจได้รวดเร็วแล้ว แต่เพราะเป็นวัชระที่หวาดกลัวไปเสียทุกอย่าง กระทั่งความรัก แต่อย่างไรเสียใจหนึ่งก็อยากจะทำตามที่ลูกชายบอกบ้าง 

“โอเคครับ ให้เข้ามารอในบ้านก็ได้ครับ หรือถ้าเขาอยากกินข้าวเช้าก็รบกวนป้าทำให้หน่อยนะครับ ผมขออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแป๊บนึง” 

“ได้เลยค่ะ” 

จบแล้ววันหยุดสุดสัปดาห์ที่ตนหมายจะนอนยาว ‍ๆ‍‍ เป็นตัวขี้เกียจ วัชระใช้เวลาสิบห้านาทีในการอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า ตรวจเช็กร่างกายอีกครั้งก่อนจะสูดหายใจลึก ‍ๆ‍‍ เมื่อต้องลงไปชั้นล่าง สองขายาวก้าวลงไปตามขั้นบันได พอถึงโต๊ะอาหาร ดวงตาเห็นแผ่นหลังคุ้นเคยกำลังนั่งคุยเล่นกับป้าลำดวนอยู่

“คุณวัชรลงมาแล้วค่ะ” ป้าลำดวนพูดกับชายหนุ่ม เมื่อเห็นเจ้าของบ้านลงมาแล้ว พลันนิธิศหันมามอง ดวงตาของอีกฝ่ายเปล่งประกายทันทีที่เห็นวัชร ลุกขึ้นยืนทันที

อัลฟ่า‍‍เจ้าของกลิ่นดอกกาแฟสูดหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ก่อนจะเดินเข้าไปหาใกล้ ‍ๆ‍‍ ป้าลำดวนรู้ใจเดินออกไปนอกบ้านเพื่อให้ทั้งสองได้คุยกัน

“รู้ที่อยู่ได้ยังไง” 

“น้องภูเคยบอก” 

ให้ตายสิไอ้เด็ก!!! จะจับตีสั่งสอนแน่ โทษฐานที่ไปให้ที่อยู่บ้านตัวเองกับคนอื่น

“แล้วมาทำไม เราคุยกันจบแล้วนี่” 

“ไม่จบ เพราะพี่ยังไม่ได้ให้คำตอบกับผมเลย” 

“ได้คำตอบแล้วยังไง?” 

นิธิศถอนหายใจ “ไม่เอาคำตอบก็ได้ แต่ผมอยากมาเจอพี่ สักนิดก็ยังดี”

“เจอแล้วก็กลับไปสิ” 

“พี่วัชร” เรียกชื่อเสียงอ่อย เบะปากทำท่าจะร้องไห้อีกแล้ว ตั้งแต่หัวกระแทกพื้นทีเดียว นิสัยเปลี่ยนไปเยอะเลย รับมือยากกว่าเดิมอีก สุดท้ายเขาก็ต้องยอมเพราะไม่อยากให้เรื่องมันบานปลาย

“ก็ได้ ยอมรับว่าฉันหนี ฉันกลัวคำตอบของนาย” 

“แต่ผมบอกชัดเจนแล้ว” 

“อืม แต่ยอมรับความจริงไม่ได้ไง ว่านี่คือความจริงใช่ไหม แต่นั่นแหละ ฉันควรยอมรับสักที” 

“…” 

รอบข้างเงียบสงบ มีเพียงเสียงสายลมที่พัดผ่านผ้าม่านจนกระทบกับผนังบ้าน เสียงนกร้องออกหากินในตอนเช้า หรือกระทั่งเสียงรถยนต์จากถนนด้านนอกดังชัด รวมถึงพวกเขาสองคนที่ยังนิ่งเงียบ นิธิศเฝ้ารอคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ วัชรเองก็เช่นกัน ริมฝีปากอ้าออกจะเอื้อนเอ่ยคำในใจออกไป

“ฉัน อุ๊บ—” ไม่ทันได้พูดให้จบประโยค กลุ่มก้อนลูกใหม่มากระจุกที่ลำคออีกครั้ง อาการคลื่นไส้กลับมาโดยไม่ทันตั้งตัว วัชรทะลึ่งลุกขึ้นพรวดไม่มีสัญญาณ สองมือปิดปากและรีบวิ่งเข้าห้องน้ำไปทันที

“พี่วัชร!” สร้างความตกใจให้คนอายุน้อยกว่าเป็นอย่างมาก วิ่งตามไป เช่นเดียวกับลำดวนได้ยินเสียงดังตึงตังจากในบ้านจึงเข้ามาสอดส่อง ก่อนจะรีบวิ่งตามไปดู

เห็นแผ่นหลังกว้างกำลังนั่งกอดชักโครกและโก่งคออาเจียนกระนั้นกลับไม่มีอะไรออกมาเลย ฉับพลันร่างนั้นโงนเงนไปมา มือไม้สั่นระริกไม่หยุดราวกับคนควบคุมร่างกายไม่ได้ รวมถึงการหายใจที่เร็วและผิดจังหวะ ก่อนจะสลบล้มพับลงไปบนพื้นเย็นเฉียบ

“พี่วัชร!!!”

“คุณวัชร!”