โรงเรียนสอนให้หนูมีความรับผิดชอบ แต่โรงเรียนที่ป๊ะป๋าเรียนมาเขาไม่สอนเหรอ ป๊ะป๋าไปรังแกคุณคนสวย แต่ไม่รับผิดชอบเนี่ยนะ หนูอายที่มีป๊ะป๋าแบบนี้นะ — “มั่วแล้ว! คุณคนสวยต่างหากที่แกล้งป๋า แกล้งจนท้อง!!!”
ชาย-ชาย,โอเมกาเวิร์ส,ครอบครัว,รัก,ดราม่า,omegaverse,ปะป๊าอย่าโง่ ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
#ป๊ะป๋าอย่าโง่ (omegaverse)โรงเรียนสอนให้หนูมีความรับผิดชอบ แต่โรงเรียนที่ป๊ะป๋าเรียนมาเขาไม่สอนเหรอ ป๊ะป๋าไปรังแกคุณคนสวย แต่ไม่รับผิดชอบเนี่ยนะ หนูอายที่มีป๊ะป๋าแบบนี้นะ — “มั่วแล้ว! คุณคนสวยต่างหากที่แกล้งป๋า แกล้งจนท้อง!!!”
รู้ถึงไหน อายถึงนั่น!
คนอย่าง 'ป๊ะป๋าวัชระ' อัลฟ่าหนุ่มที่เพียบพร้อมทุกอย่าง เงินทอง อาชีพมั่นคง และมีลูกชายปากดี (จัด) แก่แดด เถรตรง ดูเป็นผู้ใหญ่เกินวัย ถึงกระนั้นก็ยังไปทำคนอื่นท้องและจะทิ้งอย่างไม่ไยดี!!!
ที่สำคัญเป็นพี่ชายสุดสวยที่ 'ภูริภัทร' ชอบมาก ๆ ด้วย
"ป๊ะป๋าช่างเลวนัก กล้ารังแกพี่สุดสวยของภูทำไม!!! ภูจะเอาเลือดบนหัวป๋าออกเดี๋ยวนี้!"
"เดี๋ยวนะภู นิธิศสุดสวยของภู (พอ) รังแกป๋าต่างหาก รังแกจนท้อง! ไอ้เด็กแก่แดดไม่รู้เรื่อง!!!"
"ไม่จริ๊งงงงง!"
ฟีลป๊ะป๋ากับลูกหยุมหัว
และ
พ่อหนุ่มหน้าสวยกับหนุ่มธุรกิจพ่อเลี้ยงเดี่ยว
คำเตือน :
Omegaverse
multiverse
blood เลือด , death ความตาย
Profanity คำหยาบคาย pregnancy ตั้งครรภ์
Sexual explicit เนื้อหามีความโจ่งแจ้งในเรื่องเพศ
Violence การใช้ความรุนแรง gun ปืน
Verbal abuse ทำร้ายทางวาจา
Toxic family ครอบครัวที่ไม่มีสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน (ญาติผู้ใหญ่)
วันหยุดที่ไม่ได้หยุด
“อ้าว ทำไมบ้านเงียบจังอ่า”
เป็นประโยคแรกภูริภัทรเดินลงมาจากชั้นสอง เวลาเก้าโมงเช้า ปกติวันหยุดจะได้ยินเสียงโทรทัศน์เปิดเจี๊ยวจ๊าว และเสียงของป้าลำดวนคุยกับแม่บ้านอีกคนอย่างออกรส แต่ทำไมวันนี้มันถึงได้เงียบผิดปกติราวกับไม่มีคนอยู่บ้านอย่างไรอย่างนั้น
“ป๊ะป๋าของน้องภูไปโรงพยาบาลตั้งแต่เช้าแล้วค่ะ”
“อะไรนะ!!!”
ภูริภัทรตกใจที่ได้ข่าวว่าวัชระเข้าโรงพยาบาลตั้งแต่เช้า ทั้งที่เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ ควรจะได้พักผ่อนหย่อนใจ แต่กลับได้รับข่าวร้ายตั้งแต่เช้าตรู่ ทำเอาเด็กน้อยใจเสีย เสียงสั่นและร้องไห้ไม่หยุด ป้าลำดวนต้องเรียกลุงพลมาเพื่อให้ขับรถไปส่งที่โรงพยาบาลในช่วงสาย
เกิดอะไรขึ้นตอนที่เขาหลับอยู่ ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้
“ไม่เป็นไรนะภู คุณวัชรแค่เป็นลม อาเจียน เหมือนพักไม่พอ ให้หมอดูอาการสักหน่อยก็ดี เห็นลำดวนว่ามาแบบนี้นะ” ลุงพลคอยปลอบใจ ยื่นไปลูบหัวเด็กชายเบา ๆ ช่างน่าสงสารที่ร้องไห้ไม่ยอมหยุด แม้จะไม่มีเสียงสะอื้นก็ตาม คงขวัญเสียน่าดู
“แล้วทำไมไม่มีใครปลุกภู ปล่อยให้ภูไม่รู้เรื่องได้ยังไง”
“คงจะกะทันหันน่ะ ลำดวนบอกว่ามีคนมาหาคุณวัชรแต่เช้า แล้วก็เป็นคนพาไปโรงพยาบาลด้วย เป็นผู้ชายที่สวยอยู่ แต่ลุงไม่เห็นหรอกนะ ลุงมาทีหลัง ได้ยินมาอีกที”
ใครกันนะที่มาหาตั้งแต่เช้าและพาไปโรงพยาบาล คงไม่ใช่พี่นัท เลขาคนสนิทของวัชระหรอก เพราะออกไปทางหล่อมากกว่า
ภูริภัทรคิดไม่ตกมาตลอดทาง เมื่อมาถึงโรงพยาบาล ภูริภัทรร้อนรนจนอยากกระโดดลงจากรถตั้งแต่ที่ลุงพลวนหาที่จอดแล้ว แต่ทำแบบนั้นจะทำให้คนอื่นเป็นห่วง ต้องนั่งสวดมนต์ขอที่จอดรถกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์แทน
ทุกอย่างไม่มีคำว่ารอสำหรับภูอีกต่อไป รีบลงจากรถหลังจากได้ที่จอด ไม่รอชายวัยกลางคน วิ่งเข้าไปในตึกทันที
หากเป็นเด็กวัยเดียวกันก็อาจมีสับสนและไม่รู้เส้นทาง ทว่าภูริภัทรไม่เป็นอย่างนั้น เขาดูป้ายบอกทางที่แปะเอาไว้ พลางขอความช่วยเหลือจากพี่พยาบาลคนสวย
“พี่พยาบาลคนสวยครับ พาผมไปหาป๊ะป๋าได้ไหม ป๊ะป๋าผมนอนอยู่ที่นี่ แต่ผมไม่รู้ทาง”
“ได้สิจ๊ะ เดี๋ยวพี่ช่วยเอง” เธอถามข้อมูลเล็ก ๆ น้อย ๆ ก่อนจะส่งให้กับพยาบาลอีกคนหนึ่งที่พาขึ้นลิฟต์ไปยังโซนพักผู้ป่วย ก่อนจะทำการเสิร์ชชื่อคนไข้ และพามาถึงหน้าห้อง
ROOM17
วัชระ วงศ์สิริมหินศรณ์
เพราะส่วนสูงที่เตี้ยมากทำให้ไม่สามารถมองสำรวจผ่านกระจกใสเล็ก ๆ สำหรับส่องมองในห้องบนประตูได้ จึงตัดสินใจผลักประตูเข้าไปให้มันจบ ๆ
เพราะเสียงเปิดประตูทำให้คนในห้องหันมามองเป็นจุดสนใจ ดวงตากลมน่ารักเบิกกว้าง กำลังแหกปากร้องอุทานเสียงดังแล้วถ้าไม่ยกมืออุดปากเสียก่อน มันเสียมารยาทห้องอื่นหมด ต้องโดนพี่พยาบาลว่าอีก
แต่ทำยังไงได้ เพราะคนตรงหน้าทำให้ตนสติแตกกระเจิงหนีหายไปจนสิ้น
“น้องภูนี่เอง มาคนเดียวเหรอ”
“…”
น้องเงียบไม่ตอบ หมุนตัวเดินเข้าหากำแพง ก่อนจะยกมือขึ้นเขกหัวตัวเองเสียงดัง ‘ปึก!’
“ภูทำอะไรน่ะ!” ผู้ใหญ่สะดุ้งตัวโหยง
ทำไมกันนะ ทำไมถึงลืมคนคนนี้ไปได้ ทั้งที่ตัวเองชื่นชอบและกล่าวชมอีกฝ่ายตลอดทุกครั้งที่เจอ แถมยังเป็นคำเรียกที่ตนชอบพูดด้วย
‘คุณคนสวย’
จะมีผู้ชายสวย ๆ ที่วนเวียนอยู่ใกล้ตัววัชร และรู้ที่อยู่บ้านได้สักกี่คนเชียว แต่ที่แน่ ๆ คนตรงหน้านี่แหละที่ตนเป็นคนบอกที่อยู่ให้เอง
พี่นิธิศคนสวยไงเล่า ปัดโธ่!
ชายหนุ่มเดินมาใกล้ ย่อตัวลงเพื่อให้สายตาเท่ากัน จับเด็กน้อยให้หมุนตัวมา สำรวจศีรษะว่ามีแผลตรงไหนไหม ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะระบายยิ้มหวานออกมาเมื่อเห็นว่าภูไม่ได้เป็นอะไร
“ภูมาที่นี่ได้ไง มีคนมาส่งเหรอ” นิธิศเอ่ยถาม เห็นมาคนเดียวก็อดเป็นห่วงไม่ได้
“ภูมากับลุงพลครับ แล้วพี่ธิศล่ะมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง เป็นคนพาป๊ะป๋ามาใช่ไหม”
นิธิศอึกอักเล็กน้อย แต่เลือกที่จะบอกความจริงแทนที่จะโกหกเด็กน้อย นั่นเป็นสิ่งที่ดีกว่า “พอดีพี่มาคุยธุระกับป๊ะป๋าน้องภูน่ะ แต่คุณเขาเกิดอาเจียน แล้วเป็นลมขึ้นมา พี่เลยอาสาพามาโรงพยาบาลเอง”
ภูริภัทรเดินไปที่เตียงผู้ป่วย เห็นร่างวัชระนอนหลับไร้สติ ใบหน้าคมคายซีดเซียวมากจนภูริภัทรตกใจ เพราะอีกฝ่ายเป็นคนแข็งแรง ไม่เคยเจ็บไข้ได้ป่วยหรือเข้าโรงพยาบาลเลย เขาเลยใจหายที่เห็นสภาพเช่นนี้
“เมื่อไหร่ป๊ะป๋าจะตื่นอะ”
“อีกเดี๋ยวก็ตื่น ภูไม่ต้องเป็นห่วงนะ คุณพยาบาลบอกว่าถ้าตื่นแล้ว กับน้ำเกลือขวดนี้หมดก็กลับบ้านได้”
“อื้อ”
ทั้งสองย้ายมานั่งโซฟาข้างห้อง เหม่อมองคนไร้สติบนเตียงผู้ป่วยอยู่แบบนั้นจนลุงพลมาที่ห้อง ก็บ่นภูริภัทรไปหนึ่งยก โทษฐานไม่รอกัน ทำให้ผู้ใหญ่เป็นห่วง กระนั้นชายวัยกลางคนได้นำของสัมภาระจำเป็นอย่างเอกสารสำหรับให้โรงพยาบาลที่ป้าลำดวนยัดใส่มาให้ ก่อนจะขอตัวกลับบ้านเมื่อนิธิศอาสาดูแลภูริต่อ ไม่ลืมที่จะบอกต่อข้อความจากลำดวนให้พวกเขาฟัง
“เอ้อ ลำดวนบอกว่าถ้าสมมติคุณวัชรได้นอนค้างต่อ หล่อนจะมาเฝ้าไข้ให้เอง”
“โอเคครับ”
“ลุงกลับก่อนล่ะ”
ภูริภัทรถอนหายใจออกมา แทนที่จะเป็นวันหยุดแสนธรรมดา ได้นอนเล่นบนเตียงนิ่ม ๆ สบายใจเฉิบ กลับต้องมานอนกลิ้งที่โรงพยาบาลแทน มันน่าอภิรมย์มากไหมล่ะ
วัชระก็คงคิดเช่นเดียวกันกับเขานี่แหละ
เวลาล่วงเลยผ่านไปหลายชั่วโมง หากพยาบาลไม่บอกล่วงหน้าเอาไว้ว่าผู้ป่วยมีภาวะที่พักผ่อนไม่เพียงพอและอาเจียนในยามเช้า เสียพลังไปมากเลยหลับไปนาน อาจทำให้ทั้งคู่ร้อนรนและกังวลใจจนนั่งไม่ติดเก้าอี้แน่นอน กระทั่งเวลาเที่ยงกว่า ๆ วัชระได้ตื่นจากนิทรา เผยอเปิดเปลือกตาอย่างยากลำบาก ร้องครางต่ำขณะพยายามลุกขึ้นนั่ง มันหนักหัวหนักตาไปหมด เลยยอมแพ้นอนแน่นิ่งไปสักพัก
อา…สุดท้ายก็มาจบที่โรงพยาบาลเลยเหรอเนี่ย ให้ตายสิ ดูท่าจะอาการหนักแล้ว
“ป๊ะป๋าตื่นแล้ว!”
เสียงแหลมของเด็กน้อยดังลั่น รู้สึกเตียงสั่นไหวเมื่ออีกคนวิ่งมาจับที่กั้น ลูกแก้วสีดำวาววับคลอไปด้วยน้ำตา ปากเบะออกจากกันช่างน่าเกลียดนัก
“น่าเกลียดชะมัด” ยื่นมือข้างที่โดนเจาะน้ำเกลือหยิกแก้มอ้วนของลูกหนึ่งที ภูริภัทรกรีดร้องโวยวาย ผละตัวหนีจากคีมหนีบตัวร้าย วัชระยกยิ้มราวกับเป็นผู้ชนะ ก่อนจะกวักมือลูกให้เข้ามาใกล้อีกครั้งและลูบหัวอย่างแผ่วเบา
“ร้องไห้ทำไม”
ภูริภัทรฟุบหน้าลงกับเตียงผู้ป่วย พูดอู้อี้พึมพำแทบฟังไม่รู้ความ “ป๊ะป๋าเข้าโรงพยาบาล”
“แล้วมันทำไมล่ะ”
“ก็มันไม่ดีไง”
วัชระถอนหายใจ “แค่พักผ่อนน้อย เดี๋ยวก็ดีขึ้น” แท้จริงยังไม่รู้อาการตัวเอง แต่คิดว่าสาเหตุก็ต้องเป็นหนึ่งในนั้นแน่นอน คอนเฟิร์ม
“อย่าทำแบบนี้อีก เข้าใจไหม”
“ครับ ๆ รู้แล้ว”
“สัญญา?” เงยหน้าขึ้น พร้อมชูนิ้วก้อยขึ้นมา หวังจะให้สัญญาเกี่ยวก้อยกัน ชายหนุ่มเผลอหลุดหัวเราะออกมา เพราะสีหน้าจริงจังของเด็กแสบ นิ้วก้อยป้อม ๆ นั่นอีก น่ารักน่าขันไปเสียทุกอย่าง เขาจึงกลั่นแกล้งโดยการใช้นิ้วก้อยแยงจมูกภูริภัทรตอนเผลอ ร่างเล็กผละถอยหนี ยกมือปิดจมูกและแหกปากร้องทันที
“อ๊าก! ป๊ะป๋า!!!”
วันนี้ก็ชนะเหมือนเคย เยี่ยมยอด
ถึงจะแกล้งลูกได้สำเร็จแต่ก็ยอมเกี่ยวก้อยกันไม่ให้อีกฝ่ายใจเสีย เด็กแก่แดดพองแก้ม พ่นบ่นเทศนาผู้เป็นบิดาฟ้าแลบ หูแทบดับเพราะจงใจยื่นหน้าเข้ามาใกล้หู
ไอ้เด็กเวร
ทันใดนั้นสายตาเหลือบไปเห็นนิธิศที่นั่งอยู่โซนโต๊ะกินข้าวมุมห้อง วัชระชะงักไปหลายวินาที ตกใจที่ไม่เห็นว่าอีกฝ่ายก็อยู่ในห้อง ได้ยินบทสนทนาทุกอย่าง และที่สำคัญคือเพิ่งผ่านเหตุการณ์วุ่นวายเมื่อเช้ามาด้วย ไม่กล้าสู้หน้าเลย
“เดี๋ยวผมเรียกคุณพยาบาลมาวัดความดันคุณอีกทีนะครับ” นิธิศเดินไปกดเรียกพยาบาลทันที กลายเป็นว่าบรรยากาศโวยวายสนุกสนานเมื่อครู่ หายวับไปกับตา ถูกแทนที่ด้วยความอึดอัดแทน
ไม่กล้าสู้หน้า กลัว จึงเอาแต่เงียบ ไม่แม้แต่จะเงยหน้าสบตา ทำแบบที่ทำประจำ สีหน้าเรียบนิ่ง เก็บอาการและอารมณ์ไว้ในใจ อย่าให้ใครรู้
“นายเป็นคนพามาโรงพยาบาลเหรอ”
“ครับ”
“ขอบใจ อุก—”
“พี่วัชร!” เสียงคล้ายอยากอาเจียนดังขึ้นกะทันหัน นิธิศถลาเข้าไปชิดขอบเตียง มือข้างหนึ่งจับไหล่อีกคนเอาไว้ เป็นห่วงเหลือเกินที่เห็นอีกฝ่ายทรมาน ภูริภัทรเองก็วิ่งทั่วห้องเพื่อหาถุงพลาสติกหรือถาดที่ทางโรงพยาบาลเตรียมไว้ให้
วัชระยกมือขึ้นราวกับบอกว่า ‘ไม่เป็นไร’ กระนั้นทั้งนิธิศและ
ภูริภัทรก็ยังไม่หายห่วง
ไม่เคยได้ยินเหรอ หากคนที่แข็งแรงมาก ๆ ล้มป่วยก็จะเป็นขั้นหนักสุดจนหามเข้าโรงพยาบาล ซึ่งวัชระตรงเป๊ะกับที่กล่าวมาทุกประการเลย
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“ขออนุญาตนะคะ”
พยาบาลสาวเข้ามาพร้อมกับลากรถเข็นอุปกรณ์การแพทย์เข้ามาด้วยรอยยิ้มสดใส นั่นทำให้บรรยากาศภายในห้องดีขึ้นมากโขทีเดียว อยากจะขอบคุณหล่อนสักร้อยครั้ง
เธอมาวัดความดันพลางสอบถามอาการเบื้องต้นด้วย ยามนี้วัชระยังรู้สึกมึน ๆ อยู่บ้าง อาการคลื่นไส้ก็เช่นเดียวกัน แต่ไม่หนักเท่าเมื่อเช้า เพิ่มเติมคือร่างกายไม่มีแรง
“คุณหมอบอกว่าถ้าคนไข้ฟื้นแล้ว ให้เจาะเลือดกับเก็บปัสสาวะด้วย จะเอาไปตรวจอย่างอื่นเพิ่มเติมน่ะค่ะ เพราะร่างกายคุณผิดปกตินิดหน่อย” เธอว่าอย่างนั้นมีหรือที่เขาจะปฏิเสธ อาจจะรู้สึกสงสัยอยู่บ้างว่าร่างกายผิดปกติอย่างไร
“ได้ครับ”
“แล้วคุณหมอจะเข้ามาตรวจพร้อมบอกผลเลย ประมาณช่วงห้าถึงหกโมงค่ะ ยังไงก็นอนพักผ่อนไปก่อนนะคะ”
“ครับ”
“ป๊ะป๋ากลับเลยไม่ได้เหรอ” ภูริภัทรเริ่มงอแง ไหนนิธิศบอกว่าแค่น้ำเกลือหมดก็กลับได้ไง มันขวดเล็กด้วย นี่ก็เหลือครึ่งหนึ่งแล้ว
“ไม่ได้สิ ต้องรอเจอคุณหมอก่อน” ภูริเบะปาก เด็กเอาแต่ใจเข้าสิงอีกแล้ว วัชระอยากจะจับตัวมาเคลียร์ให้เข้าใจอยู่หรอก แต่ตอนนี้เขากำลังโดนเจาะเลือดนี่สิ คุณพยาบาลถูยาชาเสร็จแล้ว กำลังจะจิ้มเข็มเข้าเนื้ออยู่แล้วเห็นไหม
ไอ้เด็กดื้อ!
“ถ้างั้นกลับไปก่อนไหม”
“ไม่เอา” ตอบกลับทันควัน
“เฮ้อ” วัชระพ่นลมออกมา กระนั้นพยาบาลสาวก็ไม่ปรานี ยังคงเอาเลือดให้เต็มหลอดเข็ม รู้สึกปวดหนึบแขนไปชั่วครู่เลย
“น้องภู ไปหาขนมกินก่อนไหม” นิธิศเลยทำการช่วยแยกตัวออกมาก่อน มันคงไม่ดีหากมาตีกันต่อหน้าพยาบาลที่กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่
“ไม่เอา!”
“ข้างล่างมีร้านขายขนมเบเกอรี่อยู่นะคะ น่ากินทั้งนั้นเลย น้องน่าจะชอบนะ” หล่อนพูดพร้อมเก็บอุปกรณ์การแพทย์ให้เรียบร้อย “ถ้าคนไข้เก็บปัสสาวะแล้ว กดกริ่งเรียกพยาบาลได้เลยนะคะ” วางขวดสำหรับเก็บปัสสาวะในห้องน้ำ ก่อนที่จะขอตัวออกไปจากห้องเพื่อตรวจห้องต่อไป
“ลงไปซื้อมาให้หน่อย หาซื้อยาดมมาให้ด้วยนะ”
ภูริภัทรค่อนข้างสนใจคำพูดของคุณพยาบาลอยู่ไม่น้อย อยากจะลองไปสำรวจหาขนมก่อนกินข้าวเที่ยง เพราะยังไงแล้วการกินของคาวเสร็จก็ต้องต่อด้วยของหวานด้วยถึงจะดี อื้ม ๆ
“ก็ได้” ว่าแล้วก็เดินไปรื้อกระเป๋าของวัชรที่ป้าลำดวนฝากมาให้ หยิบกระเป๋าเงินของป๊ะป๋าออกมา ดึงธนบัตรใบแดงสองสามใบก่อนจะดึงแขนนิธิศไปด้วย
“เดี๋ยวพี่ขอคุยกับป๊ะป๋าของภูแป๊บนึงนะ ไปรอข้างนอกก่อนได้ไหม”
เด็กวัย 6 ขวบงงงวยไปชั่วขณะ ฉีกยิ้มเป็นการถัดมา พยักหน้าหงึกหงักจนศีรษะสั่นคลอน วิ่งออกไปรอด้านนอกตามคำผู้ใหญ่
แหม พี่คนสวยจะง้อป๊ะป๋าอีกแล้วเหรอ ไม่พักเลยเน้อ คิก ๆ
ด้านนิธิศไม่ได้สนใจว่าเด็กจะตีความไปในทิศทางใด หันกลับมามองคนบนเตียง สีหน้าดูอึดอัดใจไม่น้อย รวมถึงเขาด้วย ไม่รู้ว่าเวลานี้สมควรที่จะคุยเรื่องนั้นต่อดีไหม
“พี่ครับ…”
“ไว้ฉันออกจากโรงพยาบาลก่อนแล้วค่อยคุยกันดีไหม อย่าทรมานคนป่วยเลยนะ”
“…”
สีหน้าของอีกคนที่ดูอ่อนเพลียและซีดเซียว ทำให้หัวใจของนิธิศปวดหนึบทรมาน นิธิศเข้าใจจึงยอมเชื่อฟังแต่โดยดี ใครกันที่อยากเห็นคนที่ตนรักเจ็บปวดกันล่ะ
สองขายาวเดินไปใกล้อีกคน ยกมือขึ้นลูบกรอบหน้าคมคาย พร้อมทั้งถือวิสาสะกดจูบลงบนกลุ่มผมนั้นอย่างแผ่วเบาและรีบผละออกมา
“ผมขอให้พี่หายไว ๆ นะครับ แล้วผมก็จะรอพี่…รอได้เสมอ”
อัลฟ่าหนุ่มทิ้งประโยคนั้นไว้ เดินออกจากห้องไป ปล่อยให้วัชระขบคิดอยู่คนเดียว
ใช่ว่าจะไม่รู้สึกอะไร ใบหน้างดงามนั่นเศร้าหมอง ไม่เหมาะเลยที่ถูกแต่งแต้มด้วยความทุกข์ใจ อยากขอโทษพันครั้งที่ความกล้าของเขาถูกใช้จนเกลี้ยงในตอนเช้าแล้ว หากจะกู้กลับคืนมาก็ต้องใช้เวลามากโข
แค่เอื้อนเอ่ยออกไปทำไมมันถึงยากนักนะ
ตอนนี้เขาสองคนมาอยู่ที่โรงอาหารในโรงพยาบาล เพราะภูริภัทรอยากกินข้าวก่อนกินขนมหวาน ไม่อยากสั่งอาหารบนห้องให้วัชระรำคาญใจ จึงตัดสินใจมาหาอะไรกินกับนิธิศทีเดียวเลย
“แล้วพี่ธิศคุยกับป๊ะป๋ารึยาง”
“เรื่องอะไรเหรอ” อัลฟ่ากลิ่นซิตรัสเงยหน้าจากโทรศัพท์
“ก็ที่ทะเลาะกันไง ใช่ไหม?”
คำถามนั้นทำเอาผู้ใหญ่ยิ้มแห้ง คำว่า ‘ทะเลาะ’ แอบแทงใจอยู่ไม่น้อย “ไม่ได้ทะเลาะกันครับ”
“เหรอ แต่บรรยากาศรอบตัวป๊ะป๋ากับพี่ธิศเปลี่ยนไปนี่นา ภูคงคิดไปเองมั้ง”
นิธิศกลืนน้ำลาย เขาว่าเด็กมักมีเซ็นส์บางอย่างที่เฉียบไวกว่าผู้ใหญ่ คิดถูกแล้วที่นิธิศเลือกที่จะไม่โกหกพวกเด็ก ๆ น่ารัก ไม่งั้นคงทำลายความเชื่อใจไปหมดแน่
“น้องภู พี่ต้องไปทำธุระแป๊บนึง เดี๋ยวตอนเย็นพี่มาอีกทีนะ” นิธิศพูดขึ้น โทรศัพท์ดังตลอดเวลา ทำให้ใบหน้าสวยหงุดหงิดใจอยู่ไม่น้อย เพราะตั้งแต่มานั่งกินข้าว ก็มักมีข้อความเด้งขึ้นมาตลอด
“โอเคค้าบ” ภูริภัทรพยักหน้า รีบเคลียร์ขยะบนโต๊ะให้เรียบร้อย โชคดีนักที่กินข้าวกินขนมเสร็จแล้ว ลุกขึ้นยืน กอดถุงขนมปังไว้แนบอก เพราะเขาตั้งใจซื้อให้ป๊ะป๋า
“งั้นพี่ขึ้นไปส่งภูก่อนนะ”
“ไม่เป็นไรครับ ภูไปเองได้ ขึ้นลิฟต์ตรงนั้น กดชั้น 5 ห้องป๊ะป๋าอยู่ทางซ้ายมือ ห้องที่ 17 วัชระ วงศ์สิริมหินศรณ์”
“เก่งมากครับ ถ้าหลงทางให้ถามพี่พยาบาลนะ ใครมาพูดด้วยให้วิ่งหนีเลย อย่ารับของจากคนแปลกหน้าด้วย”
“อื้อ ๆ”
“เด็กดี” ลูบหัวทุยไปหนึ่งที กระนั้นนิธิศก็ยังไม่ไป รอให้ภูริภัทรเดินขึ้นลิฟต์ไปเองก่อนถึงจะออกไปจากโรงพยาบาล
การใช้ชีวิตอยู่ในโรงพยาบาลไม่ได้ยากขนาดนั้น ไม่ได้ซับซ้อนอะไรด้วย ฉะนั้นไม่มีทางที่ภูจะร้องไห้งอแงเพราะหลงทางแน่นอน ที่สำคัญนิธิศต้องอกแตกตายแน่ถ้ารู้ว่าเขาไม่ได้มุ่งตรงไปที่ห้องของวัชระเลย
“หนู มาช่วยยายหน่อยได้ไหม”
แถมยังคุยกับคนแปลกหน้าด้วย
ขณะที่ตนเพิ่งออกมาจากลิฟต์ หมายจะเดินตรงเข้าแผนกห้องผู้ป่วย สาววัยชราคนหนึ่งนั่งรถเข็นอยู่ในเขตสวนลอยฟ้าขนาดหย่อมเอ่ยเรียก สองขาเล็กหยุดชะงักและหันไปตามเสียงทันที
ความที่โรงพยาบาลใส่ใจคนไข้ไม่ให้อุดอู้อยู่แต่ในห้องจึงสร้างสวนลอยฟ้าเล็ก ๆ ขึ้นมา ตอนแรกคิดว่าคงไม่มีใครมานั่งเล่นหรอก คงคิดผิดไป
“หนูจ๊ะ” กวักมือเรียกด้วย แก่ขนาดนี้คงไม่ทำอันตรายอะไรหรอก
“ว่าไงครับคุณยาย” เอ่ยถามพลางเดินเข้าไปใกล้ เธอยิ้มให้
“นั่งคุยกับยายสักเดี๋ยวได้ไหม ลูกสาวยายไปซื้อของข้างล่างแน่ะ”
“ได้ครับ” คุยด้วยหน่อยจะเป็นไรไป เดินไปนั่งม้านั่งข้าง ๆ รถเข็นพร้อมระบายยิ้มสดใสออกมา
หารู้ไม่ว่าการตัดสินใจนี้ทำให้ภูริภัทรพลาดข้อมูลสำคัญบางอย่างที่เกี่ยวกับป๊ะป๋าของตนไป และไม่ใช่คนแรกที่รู้ด้วย
ครึ่งชั่วโมงที่แล้ว
หลังจากที่ภูริภัทรและนิธิศออกไปหาอะไรกิน สำรับอาหารของคนป่วยที่นิธิศโทรสั่งไว้ให้ก็มาถึง กระนั้นวัชระกลับไม่รู้สึกอยากอาหารเลย ทั้งที่ยังไม่ได้กินอาหารเช้าและเที่ยง ก็ข้าวต้มโรงพยาบาลมันอร่อยตรงไหนล่ะ ที่สำคัญคือมีแขกไม่ได้รับเชิญมาด้วย
“ท่านประธานไม่คิดจะบอกผมบ้างเหรอ ผมน้อยใจนะเนี่ยถ้าป้าลำดวนไม่โทรมาบอกผมอะ” นัทพูดไปซับน้ำตาทิพย์ไป ทำเสียงกระซิกเหมือนคนร้องไห้จริง ๆ การกระทำเหล่านี้ทำให้คนไข้เอือมระอาและเบื่อหน่ายอีกฝ่ายจนแสดงออกทางสีหน้าแบบไม่ปกปิด
“ป้าลำดวนจะบอกทำไมวะ”
อดบ่นพึมพำกับตัวเองไม่ได้ ญาติก็ไม่ใช่ เอางี้ ป้ากับไอ้บ้านี่ไปสนิทสนมกันจนได้เบอร์โทรติดต่อได้ยังไงก่อน ทั้งที่นัทเจอป้าลำดวนไม่บ่อยแท้ ๆ มันจะมาหายันบ้านก็ต่อเมื่อมีงานด่วนเท่านั้น มีบ้างที่จะมาขอส่วนบุญกินข้าวด้วยคน
“ฉันเข้าโรงบาลแล้วเกี่ยวอะไรด้วย นี่มันวันหยุด”
“เอ้า ก็ความเป็นห่วงไงคุณประธาน”
“บอกว่าไง ถ้าไม่ใช่ในที่ทำงานต้องเรียกว่าอะไร”
“คุณพี่อ่า” ตอบเสียงอ่อย
วัชระเคยบอกว่าถ้าไม่ได้อยู่ในที่ทำงานหรือเป็นวันหยุด ไม่ต้องเรียกว่าบอสหรือท่านประธาน เพราะไม่ได้อยู่ในเวลางาน แต่นัทก็ยังสุภาพเติมคำว่า ‘คุณ’ ไว้อยู่ ด้วยความเคารพนับถือในฐานะคนมีประสบการณ์และอายุมากกว่า
“รู้ไหมว่าผมเป็นห่วงคุณพี่ม๊ากมากจนลืมซื้อของเยี่ยมเลย”
“อ๋อเหรอ ขอบใจละกัน”
“แล้วหมอบอกว่าเป็นอะไร”
“พักผ่อนน้อยมั้ง รอผลตรวจเลือดกับปัสสาวะอยู่”
“ถ้าหายไม่ทันไม่เป็นไรนะ พักไปก็ได้ งงมากเว่อ ท่านประธานบริษัทนี้เหมือนแรงงานคนหนึ่งแล้ว ถ้าทำงานเองแบบนี้จะจ้างเลขาทำไมเอ่ย”
“ไอ้นัท”
“ก็มันเรื่องจริงนี่คุณพี่”
เจ้าของกลิ่นดอกกาแฟตั้งท่าจะอ้าปากด่าแล้ว ทว่าประตูกลับเปิดออกพร้อมกับนางพยาบาลเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มหวาน ทำให้ทั้งคู่ต้องทำตัวสงบเสงี่ยมทันที
“สวัสดีค่ะคุณวัชระ ตอนนี้ผลตรวจออกมาแล้วนะคะ คุณหมอให้มาแจ้งคนไข้ก่อนเลยไม่ต้องรอท่านมาตรวจ เพราะถ้าคุณโอเคจะได้โอนให้คุณหมออีกท่านดูแลเลย”
“ผมเป็นหนักเหรอครับ ถึงได้ต้องโอนให้หมออีกคน” วัชระถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ขัดกับสีหน้าของหล่อนที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ขนาดที่ว่าก้มอ่านเอกสารในมือก็ยังไม่หุบยิ้ม หรือจะเป็นนโยบายของโรงพยาบาลกันที่ต้องยิ้มตลอดเวลา
“อ๋อ ไม่ได้เป็นโรคร้ายอะไรค่ะสบายใจได้” เธอเว้นวรรคเสี้ยววินาที ประโยคถัดมากลับทำให้รอบข้างสโลโมชันราวกับฉากน่าตื่นเต้นในภาพยนตร์
“คุณแค่ตั้งครรภ์ได้ห้าสัปดาห์แล้ว”
“อะไรนะ”
ตึง!
นัทถึงกับร่างกายอ่อนแรง พยายามคลำจับเก้าอี้หวังจะนั่ง แต่กลับทำมันล้มดังตึงสะเทือนลั่นห้อง รีบขอโทษขอโพยนางพยาบาลและคนข้างห้องทันที ด้านวัชระสะดุ้งตัวโหยงตกใจเสียงจนสติกลับเข้าร่าง หัวใจเต้นระรัวราวกับมีคนมาตีกลองข้าง ๆ หูตัวเอง ประโยคของพยาบาลดังซ้ำ ๆ จนอยากอาเจียน
“ตั้งครรภ์ ตั้งครรภ์…ท้อง”
“ใช่แล้วค่ะ ผลจากการตรวจเลือดพบว่าค่า HCG มากกว่า 25mIU/mL”
วัชระไม่ได้สนใจข้อมูลนั่น เพราะกำลังตกอยู่ในภวังค์อีกครั้ง เขากำลังท้องเหรอ กับนิธิศเหรอ เขามีเพศสัมพันธ์กับอัลฟ่างามนั่นคนเดียว ไม่เคยมีคนอื่น ป้องกันตลอดเวลา มีบ้างที่จะลืมสวมถุงยางเพราะความคึกคะนองและตกอยู่ให้ห้วงราคะ แต่อาจเป็นตัวเองที่ผิดพลาด ไม่กินยาคุม เชื่อมาตลอดว่าเป็นอัลฟ่าที่มีบุตรยาก
“คุณพี่…คุณพี่ท้องกับใครเนี่ย” นัทเอ่ยถาม ดวงตายังเบิกกว้างเท่าไข่ห่านอยู่อย่างนั้น
“เงียบน่ะ”
เลขาคนสนิทปิดปากฉับ จากประสบการณ์ทำงานกับวัชระผู้นี้ แม้สีหน้าจะเรียบนิ่งปกติ ทว่าเสียงทุ้มกดต่ำลงสัมผัสได้ถึงความหัวเสียหัวร้อน มีความเสี่ยงที่จะระเบิดได้ ต้องรีบทำให้ใจเย็นลงโดยการอยู่ในความสงบ
“ฝากครรภ์เลยไหมคะ จะได้พาลงไปพบคุณหมอเลยค่ะ”
แต่คุณพี่พยาบาลกลับไม่เงียบสงบน่ะสิ ว้ากกก!!!
“ยังครับ เดี๋ยวผมมาทีหลังดีกว่า ยังไงถ้าน้ำเกลือหมดแล้วผมขอกลับบ้านเลยนะครับ”
“ได้ค่ะ”
“นัทฝากจัดการต่อด้วยพวกธุรการต่าง ๆ”
“อ เอ่อได้ ๆ” ว่าแล้วก็รีบตามหลังคุณพยาบาลไปทันที ไม่รู้แหละ ยังไงก็เป็นคำสั่งของประธานเจ้าชีวิตตน เดี๋ยวค่อยไปขอค่าทำงานนอกเวลาเอาละกัน
ว่าแต่…คุณพี่ท้องกับใครล่ะสรุป?