วันหนึ่งเคียร์ก็เข้าไปอยู่ในโลกนิยายที่ไม่รู้จัก ระบบบอกให้เขาสร้าง 'เรื่องราว' ของตัวเอกบนโลกใบนี้เพื่อให้อีกฝ่ายได้เป็น 'พระเจ้า' แลกกับการที่เขาได้กลับบ้านแล้วกลายเป็น 'มนุษย์'
แฟนตาซี,ชาย-ชาย,แอคชั่น,ตะวันตก,สงคราม,Boylove,แนวระบบ,ต่างโลก,สงคราม,แอ็คชั่น ,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
EP.2 อ่อนแอขนาดนี้เจ้าจะไปทำอะไรได้กัน?
ก็นั่นแหละครับ พอเห็นจำนวนเงินหน่อยก็รีบคุยโว้เสียอย่างดิบดี แต่พอเอาเข้าจริงผมก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาหัวของตัวเอกเลยแม้แต่เส้นผม ได้แต่นั่งถอนหายใจจดบัญชีสินค้าไปวัน ๆ
ด้วยความที่ตัวเอกของเราเป็นลูกของราชาการจะพบตัวได้แต่ละทีก็ยากเย็นแสนเข็ญ ต้องรอให้มีงานฉลองไม่ก็งานใหญ่ ๆ สักงานถึงจะได้มีโอกาสเจอองค์ชาย
แต่จะเรียกว่าองค์ชายก็ไม่ใช่รัชทายาทก็ไม่เชิง เพราะโลกใบนี้ยังไม่มีสิ่งที่เรียกว่าประเทศหรืออาณาจักร ผู้คนกระจัดกระจายไปทั่วผืนแผ่นดินที่เกิดขึ้นเหนือซากมังกรขนาดใหญ่ที่ตายแล้วหลังช่วยมนุษยชาติเอาไว้จากน้ำท่วมโลกเมื่อหลายพันปีก่อน
ผู้คนเกาะกลุ่มกันเป็นกลุ่มเล็กกลุ่มน้อยสร้างหัวเมืองใหญ่และหมู่บ้านตามแหล่งน้ำ บ้างก็อาศัยอยู่ตามป่าเก็บผักเก็บหญ้าเพื่อเอาไปแลกเปลี่ยนกันคล้ายยุคกลางช่วงแรก ๆ หลังอาณาจักรโรมันเพิ่งล่มสลาย เงินกษาปณ์เองก็เพิ่งถูกคิดค้นได้ไม่นานจากพ่อค้าทางตอนใต้ ครอบครัวของตระกูลไอซ์ที่มีต้นกำเนิดจากที่นั่นแล้ววิ่งขึ้นเหนือมาลงหลักปักฐานจึงเป็นตัวบุกเบิกแรก ๆ ทำให้พอมีหน้ามีตาอยู่บ้าง
แต่ก็อย่างที่เขาบอกว่าที่นี่ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าประเทศ ราชวงศ์เองก็ล่มสลายกันไปนาน มีเพียงเหล่าขุนนางตัวเล็ก ๆ ที่ยังพอมีที่ดินอยู่บ้านปกครองกันตามหัวเมืองกันเป็นเอกเทศ
คนเป็นขุนนางมาก่อนก็อาจจะตั้งตนเป็นเจ้าอาณาเขตหรือผู้ปกครอง แต่ถ้ามีที่ดินเยอะหน่อยและเต็มไปด้วยผู้คนจำนวนมากพวกเขาก็จะตั้งตัวเป็นราชาเพื่อกดข่มหัวเมืองข้างๆ
'ราชา' ของที่นี่เองก็เป็นหนึ่งในนั้น
งานพระราชพิธีและราชกิจใหญ่ ๆ ที่ราชวงศ์ควรจะทำแล้วปรากฏสู่สายตาประชาชีจึงตัดไปได้เลยเมื่อแนวคิดดังกล่าวยังคงไม่มี ยิ่งรูปร่างหน้าตาของตัวเอกนี่ก็ไม่ต้องพูดถึง เพราะโลกใบนี้ไม่มีวิทยาศาสตร์พอที่จะสร้างภาพถ่าย
ผู้คนยังคงใช้ดาบ สวมเกราะเหล็กหนัก ๆ เพื่อออกล่า เน้นเอาชีวิตกันไปวัน ๆ ท่ามกลางสงครามที่เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อแย่งชิงหัวเมืองและทรัพยากร แน่นอน สิ่งที่เรียกว่าจิตรกรหรือความบันเทิงจะพอมีอยู่บ้าง แต่เชื่อผมเถอะว่าโลกนี้มันไม่มีใครเอารูปลูกชายราชามาหากินกับชาวเมืองทำกำไรอย่างกับแค็ตตาล็อกหรอก ยิ่งการได้เห็นคนเอารูปราชา เมียราชา ลูกราชาและบรรดาเครือญาติมาใส่กรอบเลี่ยมทองบูชาเหมือนประเทศไหนสักแห่งนี่ก็ไม่มีเหมือนกัน
เฮ้อ~
ยิ่งคิดก็ยิ่งท้อแท้ แล้วถึงจะถามคุณพนักงานคุณพนักงานก็เอาแต่พูดว่า 'ไม่ต้องรีบร้อนครับ ทุกอย่างจะเป็นไปตามฟันเฟืองแล้วหมุนด้วยตัวของมัน' แล้วก็หายไปทันทีไม่คิดบอกกล่าว
ไหนว่าจะสแตนบายกันตลอดเวลาไงครับคุณพนักงาน คุณจะให้ผมด้นสดคนเดียวไม่ได้นะ
ปัง!!
เฮือก!!
"มัวเหม่ออะไรอยู่เจ้าหนู"
"โอ๊ยย ตกใจหมดก็นึกว่าใคร"
เคียร์กุมอกตกใจที่อยู่ ๆ ก็มีคนมาทุบโต๊ะเสียงดัง
ชายแก่รูปร่างใหญ่โตดูกักขฬะเหมือนโจรป่านี่มีชื่อว่า ทอม เป็นหนึ่งในคนงานของตระกูลไอซ์ รับใช้มาตั้งแต่พ่อยังหนุ่ม ๆ ไม่ทันได้แต่งงานจนตอนนี้กลายเป็นคุณพ่อลูกสองที่มีแววจะได้อุ้มหลานในเร็ว ๆ วัน
ตุบ
ตอนนั้นเองที่ทอมวางกระดาษโน้ตหนึ่งแผ่นลงบนโต๊ะพร้อมกล่าว
"ทางโบสถ์หลักขอไวน์แดงจากเมลฮัมเพิ่ม ผ้าสีขาวแล้วก็ดอกไม้เพิ่ม ของเก่าที่เคยส่งไปถูกใช้หมดแล้วถ้าเป็นไปได้ก็ขอภายในพรุ่งนี้เช้าเลย"
เคียร์หยิบกระดาษโน้ตที่ถูกระบุสินค้าที่ต้องการไว้ไปจนถึงปริมาณที่มีจำนวนมากกว่าปกติก็เลิกคิ้วสูง
"สั่งเยอะขนาดนี้คงมีคนตายอีกแล้วสิท่า รอบนี้จัดงานพร้อมกันกี่คนล่ะ?"
"คนเดียว?"
"คนเดียว? งั้นก็คงเป็นคนใหญ่คนโตสินะ คงเป็นเรื่องใหญ่เลยสิ"
'บางทีอาจจะเป็นแม่ทัพในแนวหน้าละมั้ง แบบนี้แนวหน้าคงแย่อีกแน่ๆ'
ถึงเคียร์จะไม่ยากยอมรับแต่ในเวลานี้สถานการณ์ด้านนอกกำแพงเมืองก็กำลังเต็มไปด้วยสงคราม มีโจรป่าและกองทัพบุกโจมตีแทบไม่เว้นแต่ละวัน ผู้คนตายเป็นเบือแต่สำหรับเคียร์ ไอซ์ที่เป็นคนต่างแดนที่ไม่ต้องถูกเกณฑ์ทหารจึงถือว่าเป็นเรื่องไกลตัวอย่างน่าประหลาด
มันช่วยไม่ได้เมื่อพวกเขาถูกเขียนมาให้ตายไปทั้งแบบนั้น เคียร์พยายามทำใจแล้วแต่ก็ทำได้เพียงรู้สึกเศร้าตามบรรยากาศรอบข้างของผู้คนเมื่อไม่รู้จักใคร
เขาลุกขึ้นยืนเต็มความสูงของเด็กอายุ 14 ปี เส้นผมสีฟ้าพลิ้วไหวแล้วดวงตาสีเพอริดอทกว่ามองไปตามเอกสารเพื่อตรวจเช็กสินค้าภายในคลังว่ายังมีเหลือไหมขณะฟังทอมที่ยืนพิงเคาน์เตอร์ทำหน้าซังกะตายอยู่ข้างๆ
"แหงสิ ธิดาเทพตายทั้งทีจะไม่เป็นเรื่องใหญ่ได้ยังไง"
เคียร์ชะงัก หันมองทอมด้วยสายตาที่กำลังตั้งคำถามคล้ายได้ยินอะไรบางอย่างผิดแปลกไป
"อะไรนะ? ธิดาเทพเหรอ?"
"ก็ใช่น่ะสิ นี่เจ้าไม่รู้งั้นรึ? นางตายไปได้เมื่อเช้านี้เองชาวเมืองถึงได้วุ่นวายกันไปหมดว่าจะไม่มีใครคุมปีศาจ"
ทอมบอกลูกเจ้านายหัวคิ้วบิดเบี้ยวคล้ายกำลังเห็นเด็กบ้านนอกเข้ากรุงที่ไม่ตามข่าว แต่เคียร์ไม่คิดสนใจท่าทางนั้น
"ถ ถ้าเป็นธิดาเทพ....ก็เมียราชางั้นเหรอ?"
"ก็ใช่ไง"
"ง งั้นก็เป็นเมียราชาที่เป็นแม่ของลูกราชาด้วยน่ะสิ?"
"เป็นเมียราชาก็ต้องเป็นแม่ของลูกราชาอยู่แล้วสิ นี่เจ้าโง่หรือโง่กันเจ้าหนู?"
"งั้นถ้าแม่ตายลูกก็ต้องไปงานศพ?"
"คนปกติเขาก็เป็นแบบนั้นนะ ต่อให้เป็นปีศาจยังไงแต่มันก็เป็นเรื่องพื้นฐานที่ใคร ๆ ก็ต้องรู้"
เมื่อได้ยินคำตอบดั่งที่ตนคิดไว้ เคียร์หนุ่มพนักงานออฟฟิศผู้กลายเป็นเด็กอายุ 14 ก็กระตุกกำปั้นเข้าหาตัวร้องเยส! อยู่ภายในใจ
นี่ยังไงล่ะโอกาสที่จะได้เจอตัวเอก!
'รอก่อนนะ 30 ล้าน- ไม่สิ พระเอกของฉัน!'
เคียร์ร้องฮัมทำเพลงอยู่ในใจด้วยรอยยิ้ม โดยไม่ได้สังเกตเลยว่าทอมที่ยืนอยู่ข้าง ๆ กำลังมองเขาด้วยสายตารังเกียจคล้ายคนบ้าที่อยู่ ๆ ก็กำมือขึ้นฟ้าหาแสงอาทิตย์ที่ลอดเข้ามาตามหน้าต่าง
'ไอ้เด็กนี่ต้องทำงานหนักจนเสียสติไปแล้วแน่ๆ'
"ที่ถามนี่คือจะไปร่วมงานศพเหรอ?"
"แน่นอนสิ"
30 ล้านกำลังรอฉันอยู่ที่นั่นเชียวนะ
เพียงแค่คิดถึงทองที่กำลังหลั่งไหลเข้ามาในกระเป๋าของเขาในไม่ช้าเคียร์ตัวน้อยก็กระหยิ่มยิ้มย่องด้วยความดีใจ
"แต่เมื่อเช้าเจ้าบอกว่าจะไม่ไปงานศพเพราะไม่สบายนิ?ถ้าไม่ไปตอนนี้เดี๋ยวก็ไม่ทันการหรอก"
"ห้ะ?"
ผมรีบหันขวับกลับไปทางทอมคอแทบหัก
อีกฝ่ายจ้องมองผมกลับ
ฮี่~~
รถม้าที่บรรจุพ่อกับแม่ในชุดสีดำวิ่งผ่านไปนะวินาทีนั้น
ดวงตาของผมเบิกกว้าง
นั่น...
"แม่!!!!!!!!!!!!!!!"
...
แฮ่ก แฮ่ก
"ตายแล้ว ทำไมอยู่ ๆ ถึงวิ่งตามรถม้าออกมาแบบนั้นล่ะลูก ดีแค่ไหนเชียวที่แม่หันไปพอดี"
หลังจากวิ่งตามรถม้ามาอย่างหวุดหวิดในที่สุดเคียร์ก็ได้กระโดดขึ้นรถม้าพร้อมหน้าพร้อมตาพ่อกับแม่ผู้แสนบังเกิดเกล้า หอบหายใจแฮ่กๆ อย่างน่าสงสารพร้อมจิตใจที่เสียศูนย์ไปชั่วขณะ
ขาของเด็กอายุ 14....สั้นขนาดนี้เลยเหรอ?
ทั้งที่เขาวิ่งตามรถม้ามาเพียงไม่กี่เมตรเท่านั้น แต่ร่างกายของเขากลับเหนื่อยมากราวกับวิ่งรอบสนามมาเป็นสิบรอบอย่างไรอย่างนั้น
["เนื่องจากเคียร์ ไอซ์มีวิถีชีวิตที่มุ่งเน้นไปทางพ่อค้าเพื่อต้องการเป็นผู้สืบทอดของกลุ่มการค้ามาตั้งแต่เด็กๆ เขาเลยมักหมกมุ่นไปกับงานเอกสารและไม่ได้จับดาบอย่างเด็ก ๆ ในรุ่นเดียวกันครับ"]
ในที่สุดคุณพนักงานที่หายหน้าหายตาไปหลายวันก็กลับมาทำหน้าที่คู่มือการใช้งานในฐานะเคียร์อีกครั้ง แหงล่ะ ถ้านี่ไม่ใช่การทดสอบเบต้าผมเองก็คงเลือกเป็นพ่อค้าในต่างแดนมากกว่าการเกณฑ์ทหารให้ไปตายอยู่แนวหน้าเหมือนกัน
["แต่คุณเอครินาสถูกวางบทให้ต้องไปอยู่แนวหน้านะครับ ถ้าคุณไม่อยู่ข้าง ๆ เขาแล้วเกิดตายขึ้นมาพวกเราจะแย่กันหมด อย่างน้อยผมก็อยากให้คุณลองฝึกดาบไว้สำหรับป้องกันตัวสักนิดก็ยังดีนะครับ"]
'ผมจะรับไปพิจารณาก็แล้วกันครับ'
ยังไงการตายก็ยังคงเป็นทางเลือกสุดท้ายที่เคียร์จะใช้ ดังนั้นเขาจึงวางแผนที่จะฝึกซ้อมดาบเพื่อใช้ป้องกันตัวหลังจากนี้เมื่อมีเวลา
ยังไงซะกว่าเอครินาสจะเริ่มออกเดินทางเพื่อทำสงครามอย่างเป็นทางการก็เป็นเวลาอีกสองตั้ง 2 ปีข้างหน้า
ยังพอมีเวลาสำหรับการเตรียมการ
"ไหนว่าจะไม่ไปร่วมงานยังไงล่ะ เกิดนึกคึกอะไรขึ้นมาถึงได้วิ่งออกมาแบบนี้กัน?"
แคลลัม ไอซ์ พ่อของเคียร์กล่าวขณะส่งถุงหนังแพะบรรจุน้ำให้ลูกชาย เคียร์รับมาดื่มแก้อาการเขินเก่อที่ไม่ได้เตรียมเหตุผลรับรองมาด้วยเพราะเหตุฉุกละหุก
"อ เอ่อ...พอดีข้าหายไข้แล้วเลยคิดว่าต้องไปร่วมงานเพื่อเป็นหน้าเป็นตาสักหน่อย"
"แต่เจ้าไปพรุ่งนี้ก็ได้นี่?"
"งานแบบนี้ยิ่งไปตั้งแต่วันแรกถึงจะดีนี่ครับ พวกเราต้องสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับกลุ่มการค้าของเรานี่ท่านพ่อ?"
เคียร์ยิ้มหวานหยิบยกข้ออ้างขึ้นมามั่ว ๆ ที่พอจะมีประโยชน์ ถึงจะเคยบอกว่าพ่อของเขาเป็นคนรักครอบครัวและดีกับลูกชายของตนมากแต่เขาก็เป็นคนหยิ่งทะนงและแสนโลภมากเมื่อเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มการค้าที่อุตส่าห์สร้างมา
หากถามว่าโลภขนาดไหน? ก็คงขนาดที่ว่ายอมหิ้วลูกหิ้วเมียขึ้นมายังแดนเหนือที่เต็มไปด้วยสงครามและความล้าหลังแทนที่จะอยู่ทางใต้ที่แสนสงบและเต็มไปด้วยสิ่งอำนาจความสะดวกมากมายเพื่อให้ตัวเองเป็นผู้บุกเบิกที่ทรงอิทธิพลยังไงล่ะ
และดูเหมือนข้ออ้างของเคียร์จะพอฟังขึ้นอยู่บ้าง แม้แคลลัมจะรู้สึกสงสัยว่าลูกชายของตนรู้จักพูดจาขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่เมื่อคิดถึงพัฒนาการในการมองเกมการค้าของลูกชายรอยยิ้มของความพึงพอใจก็ปรากฏอยู่บนใบหน้าของชายวัยกลางคน
ก๊อก ๆ
เขาหันไปเคาะกระจกรถม้าด้านกล่าว
"แต่ก่อนที่จะคิดถึงภาพลักษณ์ของกลุ่มการค้าก็ต้องเริ่มจากการสร้างภาพลักษณ์ของตัวเองก่อนนะเจ้าลูกชาย พวกเราคงต้องแวะซื้อเสื้อผ้าใหม่กันตอนนี้แล้วล่ะ"
"อ๊ะ!"
ลืมไปเลยว่าตอนนี้อยู่ในชุดทำงาน
ถึงชุดนี้เสื้อผ้าของเขาจะไม่ได้เปรอะเปื้อนอะไรนักแต่ก็ไม่ใช่ชุดสุภาพพอที่จะเข้าร่วมงานที่เต็มไปด้วยคนใหญ่คนโต ใบหน้าของเคียร์ก้มลงด้วยความเขินอาย ทั้งที่ตอนเป็น 'เคียร์' ในโลกเก่าเขาไม่เคยสะเพร่าแบบนี้แล้วสามารถทำทุกอย่างได้โดยไม่เคยบกพร่องมาตลอดแท้ๆ
"ขอโทษครับ"
"ไม่เป็นไรหรอก แค่ลูกคิดถึงหน้าตาของกลุ่มการค้าเราก็นับว่าเป็นพัฒนาการที่ยอดเยี่ยมแล้ว"
แน่นอนว่าคำชมเองก็เป็นสิ่งที่เขาเพิ่งเคยได้รับมันจากครอบครัวด้วยเช่นกัน
...
โลกแห่งจินตนาการของเฟรินที่ 30892 หรือ 'โลก' ใบนี้ ที่เขากำลังอยู่ คือโลกของนวนิยายแนวสงครามที่ไม่ได้เป็นกระแสหรือได้รับการมองเห็นมากนักอย่าง 'เสียงเพรียกแห่งบรรพตธาตุ'
ว่าด้วยเรื่องราวของ เฟริน หญิงสาวจากโลกทุนนิยมที่ทะลุมิติมายังยุคกลางในฐานะธิดาเทพของพระเจ้า พบรักกับองค์ราชาผู้ปกครองหัวเมืองใหญ่และให้กำเนิดบุตรชายผู้มีอำนาจเหนือมนุษย์ทั้งปวงขึ้นมา...
เอครินาสบุตรแห่งเทพธิดา
นั่นเป็นชื่อที่ใคร ๆ ต่างก็เรียกขานเขาเช่นนั้นเมื่ออารยธรรมในการตั้งชื่อของแดนเหนือยังคงล้าหลังและไม่มีนามสกุล คล้ายอารยธรรมแรกเริ่มของยุคกลางหลังอาณาจักรโรมันเพิ่งล่มสลาย
แต่ถึงเขาจะเกิดมาพร้อมพลังอันยิ่งใหญ่และเป็นบุตรของธิดาเทพที่พระเจ้าทรงโปรดปราน แต่ด้วยอุปนิสัยประหลาดทำให้เขากลายเป็นตัวตนอันแสนสูงส่งและน่าหวาดกลัวสำหรับผู้คน
ชนิดที่ว่าเคยมีคนกล่าวอ้างว่าเขาคือ 'ปีศาจ' ที่เกิดมาเพื่อทำลายธิดาเทพจนเสียชีวิตเสียด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตาม เมื่อสองเท้าของเขาก้าวลงจากรถม้า ท่านพ่อผู้เงียบขรึมแต่ใจดีของเขาก็ได้กล่าวจุดมุ่งหมายของตนที่คล้ายคลึงกับลูกชาย
"ลูกชายของราชาปีนี้เพิ่งอายุได้ 15 อายุมากกว่าลูกแค่หนึ่งปี ตีสนิทไว้ล่ะ"
สั้นๆ ตรงประเด็น ได้ใจความ
'สมแล้วที่เป็นท่านพ่อ สายตาช่างกว้างไกลอะไรเช่นนี้'
เคียร์แอบยกนิ้วโป้งส่งซิกให้อย่างรู้งาน ทางชายแก่วัยกลางคนกระตุกยิ้มพ่นลมหายใจแล้วตบไหล่ลูกชายของตนเป็นการชื่นชม
พวกเขาส่งสื่อสารกันทางสายตาโดยไม่พูดอะไร
'ไว้ใจข้าได้เลยท่านพ่อ'
'สมกับเป็นลูกชายของฉันจริงๆ'
แม้ตอนนี้ผู้คนจะพยายามหลีกเลี่ยงเอครินาสผู้สูญเสียสายจูงอย่างมารดาด้วยความหวาดกลัว แต่ในอนาคตเพียงไม่กี่ปีข้างหน้าเขาจะกลายเป็นชายผู้มีชื่อเสียงเกรียงไกรไปทั่วทั้งแผ่นดินในฐานะแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ที่ใคร ๆ ต่างก็อยากผูกมิตร ด้วย โดยเฉพาะเหล่าพ่อค้าที่เงินการคลังของพวกเขาจะสะพัดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนจากชัยชนะอย่างท่วมท้นที่มีติดต่อกันเป็นเวลากว่าหลายเดือน
หลังจากได้เข้าร่วมการสวดไว้อาลัยให้กับธิดาเทพเฟรินผู้ล่วงลับพร้อมบรรยากาศโศกเศร้าของผู้คนรอบข้างและเสียงซุบซิบนินทาที่มีให้กับพระเอกของเราผู้ไม่ได้หลั่งน้ำตาให้กับมารดาแท้ๆ เคียร์และคู่สามีภรรยาจากกลุ่มการค้าไอซ์ก็รีบเข้าหาพระเอกด้วยบรรยากาศที่เศร้าหมองและดูเป็นธรรมชาติ
แน่นอน มันดูเหมือนการแสดงมากสำหรับเคียร์เมื่อก่อนหน้านี้เห็นท่านแม่ทำกำลังร้องไห้ซบไหล่ท่านพ่ออยู่กำลังแอบวางแผนซุบซิบว่าจะเข้าหาพระเอกยังไงให้ดูแนบเนียน
"ทั้งที่เป็นงานศพของแม่แท้ ๆ ยังไม่ร้องเลย จิตใจทำด้วยอะไรกัน?"
"น่าสงสารท่านธิดาเทพจริงๆ ที่มีลูกชายเป็นปีศาจ"
เคียร์เหลือบมองแขกภายในงานที่ยืนซุบซิบนินทากันบริเวณเสาโบสถ์เพียงหางตา จากนั้นจึงโค้งคำนับอย่างนอบน้อมตามพ่อและแม่ที่กำลังทำให้เห็นเป็นตัวอย่าง
และเมื่อเขาได้เงยหน้า เคียร์ก็ต้องตกตะลึงในความหล่อเหลาของเด็กอายุ 15 ปี ที่มีสัดส่วนทองคำอย่างสมบูรณ์คล้ายเครื่องประติมากรรมในมหาวิหาร เส้นผมสีแดงเลือดดั่งไวน์คุณภาพดี และไหนจะดวงตาสีประหลาดที่เปลี่ยนสีไปมาระหว่างเขียว ม่วง และแดงตามการสะท้อนของแสงคล้ายสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีอยู่จริงบนโลกมนุษย์อย่างไรอย่างนั้น
เขาเป็น 'ตัวเอก' ที่ได้รับความเอาใจใส่จากพระเจ้าโดยแท้จริง
"เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบคุณชายแม้จะไม่ใช่สถานการณ์ที่น่าจดจำนัก ข้า–"
"แคลลัม ไอซ์ หัวหน้ากลุ่มการค้าที่มาจากดินแดนทางใต้งั้นเหรอ?"
โดยที่ยังไม่ได้แนะนำตัว เอครินาสผู้เฝ้ามองอีกฝ่ายก็เอ่ยกล่าวเสียงเรียบออกมาอย่างหน้าตาเฉย สองสามีภรรยาหยุดชะงัก แม้แต่แขกภายในงานก็เงียบสงัดราวกับเป็นป่าช้า
ถึงตระกูลไอซ์จะเริ่มมีหน้ามีตาในสังคมอยู่บ้างแต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะรู้จักรูปหน้าคร่าตาของพวกเขา แถมนี่ยังเป็นครั้งแรกที่คู่สามีภรรยาพบหน้าของคุณชายเอครินาสเป็นครั้งแรกจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะระบุตัวตนอีกฝ่ายได้หากไม่ดูจากตำแหน่งที่นั่งภายในงาน
อึก
แคลลัมลอบกลืนน้ำลายเข้าไปอึกใหญ่
'สมแล้วที่คนเขาเรียกกันว่า 'ปีศาจ' '
ก่อนที่เขาจะตัดสินใจขึ้นมาแดนเหนือมา แคลลัมเคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามและเรื่องราวอันน่าสยดสยองมาบ้างว่าบุตรชายของธิดาเทพเป็นดั่งพระเจ้าและปีศาจภายในคนคนเดียวกัน เขาสามารถตรัสรู้ได้แทบทุกสิ่งบนโลกดั่งนักพยากรณ์ที่แสนเก่งกาจ แต่ก็มีนิสัยประหลาดที่สามารถฆ่าคนได้โดยไม่กะพริบตามาตั้งแต่สมัย 7 ขวบ
ตอนแรกแคลลัมคิดว่านั่นเป็นเพียงข่าวลือเกินจริงเท่านั้น แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง เพียงแค่เผชิญหน้ากับอีกฝ่ายก็ทำให้เขาผู้ไม่เคยหวาดหวั่นแม้อยู่ต่อหน้าฆาตกรเลือดเย็นมาก่อนก็ยังต้องรู้สึกเสียววาบไปทั้งหลัง
โดยเฉพาะดวงตานั่นที่เม็ดสีของมันเคลื่อนไหวอย่างอิสระได้ราวกับมีชีวิต
มันดูน่าอัศจรรย์มาก แต่ก็น่าขนลุกคล้ายมีบางสิ่งที่สามารถชอนไชออกมาได้ตลอดเวลา
จากนั้นดวงตาของเอครินาสก็ย้ายไปทางหญิงสาว
"ทางนี้คงเป็นคุณนายมาเดลิน ไอซ์ สินะ"
"...ยินดีที่ได้พบค่ะคุณชาย"
เธอถอนสายบัวทันทีเพื่อไม่ให้บทสนทนาติดขัดนับว่ามีสติที่สุดในบ้าน จากนั้นดวงตาของพระเอกจึงย้ายไปทางเด็กชายผมสีฟ้าที่คล้ายหัวหน้ากลุ่มการค้าไอซ์
เคียร์ตื่นเต้นดีใจอยู่ภายในอกเมื่อในที่สุดเขาก็จะได้ สนทนากับพระเอกที่รอคอยมาหลายวันเพื่อที่จะได้พบกับอีกฝ่ายเป็นครั้งแรก ทว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดนั้นกลับเป็นสิ่งที่แตกต่าง
"เตี้ยจัง"
"ห้ะ?"
"แขนก็เล็ก กล้ามเนื้อก็ไม่มี อ่อนแอขนาดนี้เจ้าจะไปทำอะไรได้กัน?"
"..."
เงียบ
เกิดความเงียบขึ้นกลางบริเวณอีกครั้ง ก่อนรอยยิ้มหวานของเด็กชายตัวเล็กที่ถูกสบประมาทจะเริ่มกระตุก
'ไอ้เด็กนี่วอนอวัยวะเบื้องล่างซะแล้ว ฆ่าทิ้งซะเลยดีไหม?'
["ไม่ได้นะครับคุณ! ถ้าคุณทำแบบนั้นทุกคนบนโลกนั้นได้ตายกันหมดแน่!"]
ใช่แล้ว ผมต้องปกป้องทอง 30 ล้านไว้ ท่องไว้ 30 ล้าน