วันหนึ่งเคียร์ก็เข้าไปอยู่ในโลกนิยายที่ไม่รู้จัก ระบบบอกให้เขาสร้าง 'เรื่องราว' ของตัวเอกบนโลกใบนี้เพื่อให้อีกฝ่ายได้เป็น 'พระเจ้า' แลกกับการที่เขาได้กลับบ้านแล้วกลายเป็น 'มนุษย์'

เมื่อผมกลายเป็นเพื่อน(ตายแทน)พระเอก #เฟื่อนพระเอก - EP.6 งั้นให้ข้าไว้เล็บยาวเพื่อเจ้าดีหรือไม่? โดย Zephyr_W @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,ชาย-ชาย,แอคชั่น,ตะวันตก,สงคราม,Boylove,แนวระบบ,ต่างโลก,สงคราม,แอ็คชั่น ,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

เมื่อผมกลายเป็นเพื่อน(ตายแทน)พระเอก #เฟื่อนพระเอก

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ชาย-ชาย,แอคชั่น,ตะวันตก,สงคราม

แท็คที่เกี่ยวข้อง

Boylove,แนวระบบ,ต่างโลก,สงคราม,แอ็คชั่น ,แฟนตาซี

รายละเอียด

เมื่อผมกลายเป็นเพื่อน(ตายแทน)พระเอก #เฟื่อนพระเอก โดย Zephyr_W @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

วันหนึ่งเคียร์ก็เข้าไปอยู่ในโลกนิยายที่ไม่รู้จัก ระบบบอกให้เขาสร้าง 'เรื่องราว' ของตัวเอกบนโลกใบนี้เพื่อให้อีกฝ่ายได้เป็น 'พระเจ้า' แลกกับการที่เขาได้กลับบ้านแล้วกลายเป็น 'มนุษย์'

ผู้แต่ง

Zephyr_W

เรื่องย่อ

เคียร์ หนุ่มพนักงานบริษัทเกมชื่อดังแห่งหนึ่งที่ไม่เคยเชื่อเรื่องบังเอิญมาก่อนก็ได้ถูกดึงเข้ามาในโลกแห่งหนึ่งด้วยความบังเอิญ


ตอนแรกเขาก็ว่าจะใช้ชีวิตใหม่ในฐานะลูกชายคนเล็กของกลุ่มการค้าขนาดกลางอยู่หรอก แต่ระบบที่บอกว่าเป็นตัวแทนของบริษัทแม่กลับตามหลอกหลอนมาด้วยพร้อมขอให้ทำภารกิจบางอย่าง


พวกเขาขอให้ผมสร้าง 'เรื่องราว' ให้กับพระเอกของโลกใบนี้เพื่อให้เขาได้กลายเป็น 'พระเจ้า' แลกกับการที่ผมจะได้กลายเป็น 'มนุษย์' และพบสวัสดิภาพหลัง 'เรื่องราว' ได้สิ้นสุดลง


แต่...


'เมื่อกี้ว่าอะไรนะ? ตายไม่จำกัด? นั่นไม่ได้แปลว่าเส้นทางนี้มันอันตรายหรอกเหรอครับคุณพนักงาน?'


สารบัญ

เมื่อผมกลายเป็นเพื่อน(ตายแทน)พระเอก #เฟื่อนพระเอก-EP.1 รอก่อนนะสามสิบล้านของฉัน,เมื่อผมกลายเป็นเพื่อน(ตายแทน)พระเอก #เฟื่อนพระเอก-EP.2 อ่อนแอขนาดนี้เจ้าจะไปทำอะไรได้กัน?,เมื่อผมกลายเป็นเพื่อน(ตายแทน)พระเอก #เฟื่อนพระเอก-EP.3 เห็นแบบนี้ข้าก็เตะผ่าหมากล้มคนตัวใหญ่เช่นเจ้าได้ก็แล้วกัน,เมื่อผมกลายเป็นเพื่อน(ตายแทน)พระเอก #เฟื่อนพระเอก-EP.4 เตะผ่าหมาก...สุดยอดจริงๆ,เมื่อผมกลายเป็นเพื่อน(ตายแทน)พระเอก #เฟื่อนพระเอก-EP.5 โลกใบนี้เกิดมาเพื่อเจ้า ข้าเองก็เช่นกัน,เมื่อผมกลายเป็นเพื่อน(ตายแทน)พระเอก #เฟื่อนพระเอก-EP.6 งั้นให้ข้าไว้เล็บยาวเพื่อเจ้าดีหรือไม่?

เนื้อหา

EP.6 งั้นให้ข้าไว้เล็บยาวเพื่อเจ้าดีหรือไม่?




EP.6 งั้นให้ข้าไว้เล็บยาวเพื่อเจ้าดีหรือไม่?





พลั่ก!!

"โอ๊ยย!!"

ร่างเล็ก ๆ ของเด็กอายุ 14 ล้มลงกับพื้นก้นจ้ำเบ้า หลังจากวันนั้นที่ เขาได้ตกลงปลงใจ (?) ไปกับอีกฝ่ายว่า ร่างของธิดาเทพเฟรินก็ได้ถูกฝังกบลงดินในสองวันต่อมา บรรยากาศยังคงเต็มไปด้วยความโศกเศร้าแต่มีเพียงเขาและเอครินาสที่ยังคงเฝ้ามองพิธีกรรมโดยไม่ได้แสดงออกใด เคียร์เหลือบมองอีกฝ่ายอยู่นาน สำรวจพฤติกรรมและรอยเหี่ยวย่นบนหน้าที่หวังว่าจะมีอะไรเคลื่อนไหวสักแห่งให้พอเข้าใจตัวตนของอีกฝ่ายแต่ก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษจึงหันกลับไปทางพิธีการที่อยู่เบื้องหน้า

อย่างไรก็ตาม เสียงเล็ก ๆ ที่ดูอ่อนล้าของเอครินาสก็ดังลอดออกมาท่ามกลางเสียงร้องไห้ของผู้คนรอบตัว

"โชคชะตาของท่านถูกกำลังให้สิ้นสุดลงที่นี่"

มันเป็นคำพูดที่ดูคล้ายพวกคลั่งศาสนาอย่างไม่น่าเชื่อว่าจะหลุดออกมาจากปากของอีกฝ่าย

จากนั้น เคียร์ผู้ถูกอีกฝ่ายชักชวนให้เข้าร่วมสงครามจึงได้บอกลาด้ามปากกาและงานเอกสารภายในสำนักงาน คว้าดาบไม้เล็ก ๆ มาจากโกดัง มุ่งสู่ลานปราสาทเพื่อเข้ารับการฝึกฝน

แรกเริ่มเดิมที เคียร์ ไอซ์ตั้งใจจะบอกเรื่องนี้กับพ่อแม่ของตนแล้วขอให้เชิญครูฝึกดาบมาสอนถึงบ้าน แต่ด้วยความยิ่งใหญ่ใจกว้างของเอครินาสที่ไม่น่าจะมีมาก่อน อีกฝ่ายกลับส่งจดหมายเทียบเชิญ เรียกตัวเขาเข้าไปพร้อมเสนอการเป็นครูสอนฝึกดาบ อ้างตัวว่าเป็นผลดีในการเป็นพ่อค้าและหาทางเอาตัวรอดได้

แน่นอน นี่ก็เป็นเพียงกลอุบายที่เอครินาสกำลังบอกให้เขาจับดาบขึ้นมาเองเพื่อที่จะสามารถติดตามเขาไปได้ทุกแห่ง และด้วยเหตุนั้น เคียร์ ไอซ์ก็กำลังอยู่ในสภาพร่อแร่ ทั้งถูกทุบถูกตี บ้างก็ถูกถีบกระเด็นจนกลิ้งไปไกลหลายตลบ ล้มลุกคลุกคลานอยู่ในลานมาตลอดหลายวัน พอจะลุกขึ้นมาได้ก็ถูกอีกฝ่ายเตะตัดขา บ้างก็เตะเสยคางฟาดน่องราวกับกำลังซ้อมกันให้ตายมากกว่าจะเป็นแค่การฝึก

"อึก! คิดจะซ้อมข้าให้ตายหรืออย่างไรเอครินาส!"

ผมเองก็ทนไม่ไหวตะโกนใส่หน้ามันด้วยความฉุนขาด เกิดมาทั้งชีวิตผมยังไม่เคยถูกแม่ตีด้วยซ้ำ อย่างมากแผลที่เจ็บที่สุดที่เคยโดนก็แค่กระดาษบาดมือ แต่นี่อะไร นอกจากจะไม่ยอมสอนพื้นฐานกันดี ๆ ก็เอาแต่สั่งให้บุกเข้าไปแล้วทุบตีกันด้วยดาบไม้ลูกเดียว

"แต่เจ้าก็ยังไม่ได้ตายนี่?"

ดู ดูมันยังมีหน้ามาพูดดีอีก

เคียร์ทนไม่ไหวพุ่งตัวใส่เอครินาสเพื่อหวังตีอีกฝ่ายให้ได้สักครั้งด้วยความหมั่นไส้ แต่ทางคนมากประสบการณ์เบี่ยงตัวหลบไปอย่างง่ายดายด้วยหนึ่งก้าว ฟาดปลายดาบใส่หลังจนเคียร์จับกบ

พลั่ก!!

"โอ๊ยย!!"

"ก้าวเท้ายาวขนาดนั้นก็มีแต่จะทำให้เหนื่อยเปล่า หากรู้ว่าขาสั้นเจ้าก็ต้องวิ่งให้ไวกว่าผู้อื่น"

แต่ถึงจะชอบทำตัวหยิ่ง ๆ จ้องมองคนอื่นเหมือนมดเดียกพูดจาแดกดันแต่เอครินาสก็พูดถูกหมด ตอนนั้นเคียร์ทั้งตัวเล็กทั้งขาสั้น ถึงจะวิ่งได้ดีเท่ามาตรฐานของเด็กทั่วไปแต่ก็ยังเป็นต่อด้านระยะทาง

"อีกครั้ง!"

ครั้งนี้นี่แหละที่เขาต้องตีปากมันให้ได้!

เคียร์ไม่ยอมแพ้คว้าทรายปาใส่หน้า เอครินาสยกแขนขึ้นกำบัง พอเห็นทางสว่างปลายดาบของเคียร์ก็เน้นฟาดไปที่หัว

พลั่ก!!

แต่ปลายดาบยังฟาดตวัดไปได้ไม่เท่าไหร่ก็ถูกตีขวางด้วยดาบอีกฝ่าย เอครินาสที่เป็นเหมือนปีศาจรับดาบเขาไว้ทั้งที่ยังปิดตา เคียร์ตกตะลึงกับสกิลของพระเอกไปชั่วขณะก่อนถูกอีกฝ่ายถีบเข้าลำตัวจนกลิ้งตลบไปหลายม้วน

"แค่ก! แค่ก!"

เคียร์ทั้งไอทั้งสำลักเศษทรายที่เผลอกลืนเข้าไปเต็มคออย่างยากลำบาก

"รู้จักใช้เล่ห์เหลี่ยมสมเป็นคนจากตระกูลพ่อค้า เช่นนั้นครั้งนี้ข้าจะยอมหลับตาสู้เป็นการต่อให้ก็แล้วกัน"

แต่แทนที่เอครินาสจะโมโหที่เขาใช้วิธีสกปรกแต่อีกฝ่ายก็ยังคงสนุกสนานกับการซ้อมคนอ่อนแอแล้วเริ่มต่อให้ราวเป็นพวกใจกว้างให้กับเด็กฝึกใหม่

เอครินาสก็แค่กำลังเยอะเย้ยเขา

เคียร์เองก็รู้สิ่งนั้นดี แต่ในเมื่ออีกฝ่ายกำลังให้โอกาสเขา เคียร์ ไอซ์ก็พร้อมอ้าแขนรอรับเพื่อให้ตีอีกฝ่ายได้ในเร็ววัน

"หากข้าตีเจ้าจนสลบขึ้นมาก็อย่าว่ากันล่ะ"

"เจ้าทำไม่ได้หรอกเพราะข้าแข็งแกร่งกว่าเจ้ามาก"

พอถูกสบประมาทอีกครั้ง เคียร์ ไอซ์ก็พุ่งตรงใส่บุตรของธิดาเทพอีกครั้งด้วยความเร็ว การฝึกซ้อมของพวกเขาที่ดูใกล้เคียงกับการฆ่ากันมากกว่า 'ฝึก' ยังคงดำเนินต่อไปทั้งอย่างนั้นตั้งแต่เช้าจนเย็นของทุก ๆ วัน หน้าที่จดบัญชีสินค้าที่เคียร์เคยทำถูกส่งต่อให้กับลูกหน้าที่เชื่อถือได้ ท่านพ่อท่านแม่เองที่ได้ยินข่าวคราวของการฝึกซ้อมเองก็ยิ่งสนับสนุน ซื้อเกราะซื้อโสมมาโดรปยาให้ลูกชายราวกับจะพาไปออกรบด้วยอย่างไรอย่างนั้น

แต่เดี๋ยวก่อน ข้าได้ข่าวว่าข้าแค่ฝึกดาบเพื่อเอาไว้ใช้ป้องกันตัวในยามบุกป่าฝ่าดงขนเสบียงไปให้กองทัพแนวหน้าไม่ใช่หรือ?

แม้จะไม่ค่อยเข้าใจคนเป็นพ่อเป็นแม่ที่แทบไม่ได้ห่วงลูกชายหัวแก้วหัวแหวนกันเลยสักนิดแต่เคียร์ก็ไม่คิดโต้แย้งใดๆ มุ่งหน้าหมายตีหัวเอครินาสต่อแม้ใบหน้าของตนจะเต็มไปด้วยรอยปูดบวมจากการถูกซ้อมเมื่อวาน

พลั่ก!!

"อีกครั้ง!!"

พลั่ก!!

"ยกแขนของเจ้าให้สูงขึ้นอีกสิ"

"ขออีกครั้ง!"

แน่นอนว่าแม้พวกเขาจะฝึกซ้อมด้วยกันอย่างเอาเป็นเอาตายแล้วจัดตารางการฝึกกันอย่างเข้มข้นแต่เคียร์ก็ยังทำได้เพียงล้มลุกคลุกคลานและไม่สามารถทำอะไรเอครินาสได้หากอีกฝ่ายไม่ยอมต่อให้ จนถึงตอนนี้แทบไม่มีพื้นสนามประลองที่เคียร์ไม่เคยลงไปคลุกฝุ่นมาก่อน ร่างกายมอมแมมเป็นลูกหมาก่อนจะทิ้งร่างของตนลงไปนอนแผ่บนพื้นทันทีที่ได้เวลาพักเบรก

"แฮ่ก ๆ นี่มันไม่ยุติธรรมเลยสักนิด"

"เจ้าก็แค่อ่อนแอเกินไปแล้วเริ่มต้นช้ากว่าคนอื่นก็เท่านั้น เด็กทั่วไปเริ่มจับดาบกันตั้งแต่ 7-8 ขวบ ร่างกายถูกฝึกปรือมาตั้งแต่เด็กกล้ามเนื้อและกระดูกจึงแข็งแรงกำยำกับเป็นพื้นฐาน แต่เจ้าที่หันไปจับปากกาทำตัวเป็นพ่อค้าตั้งแต่แรกนอกจากนิ้วกับปากที่ดีกว่าคนอื่นก็ยังนับว่ามีสมองในการพลิกแพลงอยู่บ้าง หากฝึกต่ออีกเดือนสองเดือนก็พอสูสีกับพวกทหารฝึกหัด"

"ข้าต้องฝึกแบบนี้ไม่อีกนานเท่าไหร่น่ะ? ไม่ใช่ว่าแค่นี้ข้าก็นับว่าสามารถป้องกันตัวได้แล้วหรอกเหรอ?"

"จนกว่าการเตรียมการจะเสร็จ"

"เตรียมการ? เจ้าหมายถึงอะไร?"

เอครินาสไม่ตอบแล้วยื่นมือออกมาหาเขา เคียร์คว้ามืออีกฝ่ายไว้ก่อนจะเริ่มการฝึกฝนกันใหม่อีกคราอย่างไม่หยุดพัก

และเมื่อฤดูกาลเริ่มผันเปลี่ยนเข้าสู่หน้าหนาวเต็มตัวหิมะโปรยปรายลงมาจากฟากฟ้าภรรยาน้อยคนที่สองผู้อุ้มท้องแก่มาเป็นเวลานานก็ได้ให้กำเนิดบุตรชายคนแรกที่แสนน่ารัก เอครินาสได้กลายเป็นบุตรชายคนโตของราชา ทั่วเมืองเฟรินที่เคยเงียบเหงาจากการสูญเสียธิดาเทพกลับมาครื้นเครงอีกครั้งแล้วจัดงานเลี้ยงรื่นเริงตลอดสามวันสามคืน

กลุ่มการค้าไอซ์ที่กำลังเติบโตเป็นอย่างมากถูกเทียบเชิญเข้าไปภายในงานเลี้ยง เคียร์แต่งตัวเสริมหล่อร่วมผูกมิตรทำความรู้จักกับคนใหญ่คนโต ติดสอยห้อยท้ายท่านพ่อเพื่อหวังขยายอำนาจและเป็นตัวกลางขนส่งสินค้า สนับสนุนเอครินาสในยามออกศึก ส่วนเจ้าเอครินาสโรคจิตนั่นยังทำตัวปากแซ่บปากเก่งเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน เจอพวกผู้ใหญ่หน่อยก็ทำมองอีกฝ่ายราวมดปลวก พอทางนั้นทนไม่ไหวส่งตัวแทนเป็นเด็กน้อยเพื่อหวังสร้างความสัมพันธ์ มันก็ยิ้มไปด่าไปอย่างพวกผู้ดีจนเด็กร้องไห้น้ำตาแตก

"เหตุใดเจ้าถึงเรียกน้องชายพ่อว่า 'ท่านพ่อ' แต่กลับหมางเมินกับพ่อแท้ ๆ ของตนแล้วเรียกว่า 'ท่านอา' กันล่ะ?"

"ง แงงงงง!!!!"

โอ้พระเจ้า ดูไอ้โรคจิตนั่นสปอยล์ปมครอบครัวให้เด็กแปดขวบฟังสิ

เคียร์แทบนึกอยากกุมขมับทนไม่ไหวรีบวิ่งเข้าไปอุดปากมันด้วยความเร็วแล้วรีบพาออกมาจากงาน โดยมีสายตาของผู้คนที่กำลังเฝ้ามองเขาราวกับวีรบุรุษที่มาช่วยพาปีศาจออก

เอครินาสที่แม้จะแข็งแรงกว่าเคียร์อยู่มากยอมเดินตามคนตัวเล็กอย่างนึกฉงนแล้วถึงมือออกจากปาก

"เจ้าไม่อยู่กับพวกขุนนางนั้นต่อแล้วรึ? หรือว่าคิดถึงข้าจนทนไม่ไหว?"

"จะบ้าหรือไง เจ้าต่างหากทำบ้าอะไรลงไปเมื่อกี้นี้น่ะ"

"ข้าก็แค่ถามเด็กนั่นในสิ่งที่สงสัยก็เท่านั้น ใคร ๆ ก็รู้ว่ามาดามแคทเธอรีนแอบลอบเล่นชู้กับพี่ชายสามีแต่แค่ไม่มีใครกล้าพูดก็เท่านั้น อีกอย่างข้าก็พูดเสียงเบามากหากไม่ใช่คนช่างสังเกตเช่นเจ้าก็ไม่ได้ยินหรอก"

"แล้วเจ้าจะไปถามเรื่องนั้นกับเด็กแปดขวบทำไมเล่า!"

"นั่นสิ ถ้างั้นข้าคงต้องไปถามมาดามแคทเธอรีนด้วยตัวเอง-"

"พอเลย เจ้าไม่ต้องกลับเข้าไปแล้ว"

ผมรีบคว้าตัวเอครินาสที่ทำท่าจะเดินย้อนกลับเข้าไปในงาน ขอร้องล่ะพ่อคุณ หยุดทำตัวเป็นภัยสังคมสักทีให้ตายสิ

พรึ่บ

"ถ้างั้นเจ้าจะพาข้าไปไหนกันล่ะ?"

เอครินาสกวาดตามองไปรอบ ๆ โถงทางเดินที่เงียบสงบและไม่มีใครเมื่อผ้าคลุมสีดำถูกปกคลุมลงมาบนร่าง จากนั้นจึงย้ายสายตากลับมายังเคียร์ด้วยรอยยิ้มยียวน

"หรือว่าจะเป็นบ้านของเจ้า?"

พรืดด

เคียร์ออกแรงดึงเชือกผูกคอของเอครินาสเต็มแรงแล้วตวัดผ้าคลุมขึ้นมาปิดเส้นผมให้กับอีกฝ่าย

หลังจากที่พวกเราฝึกซ้อมกันอย่างเอาเป็นเอาตาย พวกเขาก็เริ่มสนิทกันมากขึ้นแล้วทำให้เคียร์เริ่มหายไม่กลัวเอครินาสเท่าเมื่สอก่อน ถึงความกวนโอ๊ยของอีกฝ่ายจะเพิ่มมากขึ้นมาด้วยก็เถอะ

เคียร์เริ่มชินกับการที่อีกฝ่ายเป็นแบบนั้น เขายกเสื้อคลุมสีดำขึ้นปิดหัวของตนแล้วเลือดยื่นมือไปหาเอครินาส

"ไปด้วยกันสิ อยู่ที่นี่ไปก็มีแต่จะทำให้เจ้าอึดอัด"

ดวงตาสีแดงของเอครินาสที่กำลังดึงเชือกออกให้หลวม ๆ เหลือบมองฝ่ามือที่ถูกยื่นออกมา มองใบหน้าเคียร์อยู่สักพัก ก่อนวางมือลงบน่ามือเขาไปอย่างง่ายดายด้วยรอยยิ้ม

"เอาสิ ข้าเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าเจ้าจะพาข้าไปไหน"

จากนั้น เด็กน้อยทั้งสองที่สวมเสื้อคลุมสีดำสนิทปกปิดชุดหรูหราก็พากันหนีออกจากปราสาท เคียร์และเอครินาสเดินผ่านไปในฝูงชนที่ออกมาเลี้ยงฉลอง แสงไฟสีส้มของร้านแผงลอยสะท้อนแสงอยู่ดวงตาของเอครินาสที่กำลังเหม่อลอยเมื่อนี่เป็นครั้งแรกของเขาได้อยู่กลางฝูงชนและกระทบไหล่ของผู้คนที่ไม่รู้จัก

"เจ้าอยากกินผลไม้เคลือบน้ำตาลไหม?"

"ข้าอยากกินไก่เสียบไม้กับเหล้ามากกว่า"

"ขอแอปเปิลเคลือบน้ำตาลสองไม้ครับคุณป้า"

เอครินาสหน้าหงิกรับของหวานมาไว้ในมือก่อนจะถูกเคียร์ลากออกไป

พวกเขาแวะดูการแสดงกายกรรมข้างทาง ฟังเสียงนักกวีที่พเนจรมา สั่งซื้ออาหารที่แสนอร่อยแล้วมุ่งหน้าไปยังหอสังเกตการณ์เปอดาร์ที่อยู่ทางตอนเหนือของฝั่งเมือง

จากตำนานเก่าแก่ที่เคยได้ยินผ่านๆ ว่ากันว่าที่นี่ถูกสร้างขึ้นเมื่อสมัยที่องค์กษัตริย์บริชเทียที่ 4 ยังทรงพระเยาว์และถูกหมายมั่นให้เป็นนายเหนือหัวของดินแดนทางเหนือ สู้รบตบมือกับชนเผ่าไม่มีชื่อที่หนีหนาวลงมาเพื่อหวังยึดครองดินแดน

ในตอนแรกการต่อสู้ระหว่างพวกเขาทางอาณาจักรที่อยู่บนพื้นราบไม่สามารถต่อกรและรับมือกับชนเผ่าที่แอบซ่อนตามมุมเขาได้แม้แต่น้อย กษัตริย์บริชเทียที่ 4 จึงได้ออกคำสั่งให้เหล่าชาวเมืองร่วมแรงร่วมใจ สร้างหอคอยสังเกตการณ์ห้าชั้นขึ้นมาใหม่เพื่อใช้เป็นจุดยุทธศาสตร์

แต่วิทยาการสมัยนั้นล้าหลังมาก แม้แต่สิ่งปลูกสร้างอาคารสามชั้นก็เป็นสิ่งที่ยังใหม่ แต่ด้วยความช่วยเหลือของจิตรกรผู้หนึ่งนามเปอดาร์ได้เสนอไอเดียในการออกแบบโครงสร้างภายในของอาคารให้กับกษัตริย์ หอสังเกตการณ์ห้าชั้นแห่งแรกของโลกถูกสร้างขึ้นมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ ส่งเสริมให้กษัตริย์บริชเทียที่ 4 สามารถมองเห็นแนวรบของฝั่งศัตรูที่หลบอยู่หลังเขา วางแผนตีโต้ได้อย่างองอาจ สร้างคุณงานความดีให้กับประเทศแล้วมอบชื่อพระราชทานให้กับที่นี่ไว้ว่า เปอดาร์ ...สถานที่แรกและจุดเริ่มต้นที่นำมาซึ่งยุคสมัยที่รุ่งเรืองที่สุดของราชวงศ์บริชเทีย

แน่นอน ว่าในเวลานี้ราชวงศ์ที่ว่านั่นก็ได้ล่มสลายไปกว่า 20 ปีแล้วเช่นกัน สถานที่อันเต็มไปด้วยเรื่องราวเหล่านั้นจึงกลายเป็นสถานที่รกร้างและไม่มีใครเข้าถึง

"ยังไม่ถึงอีกเหรอ?"

"เอาหน่า พวกเราใกล้ถึงแล้ว"

เคียร์กล่าวขณะดึงสายโซ่ที่คล้องประตูเอาไว้หลวม ๆ ออกแล้วหันไปขอมือเด็กงอแงอย่างเอครินาส อีกฝ่ายคว้ามันไว้อย่างง่ายดายแล้วถูกพาขึ้นไปยังบันไดวนที่แสนทอดยาว

"ระวังนะ"

"เจ้าชอบแอปเปิลขนาดนั้นเลยหรือ? คราก่อนเจ้าก็กินพายแอปเปิล มาครั้งนี้เจ้าก็ยังกินแอปเปิลเคลือบน้ำตาล"

"แน่นอนสิ"

"ทำไมล่ะ?"

"เพราะว่าเนื้อสัมผัสของมันอร่อยยังไงล่ะ อีกอย่างมันก็ไม่ใช่ผลไม้ที่ต้องแกะเปลือก"

"แล้วส้มล่ะ?"

"หมายถึงอะไร?"

"เจ้าชอบหรือเปล่า?"

"ไม่"

"ทำไม?"

"เพราะมันเป็นผลไม้ที่ต้องแกะเปลือก"

พวกเราเดินวนขึ้นไปบนบันไดด้วยกันอย่างมั่นคงและพูดคุยกันไปอย่างเรื่อยเปื่อยเพื่อไม่ให้เงียบเกินไป สิ่งนี้ต้องขอบคุณการฝึกฝนเจียนตายตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาร่วมกันเอครินาส ทำให้ร่างกายของเคียร์ที่เคยอ่อนแอมาก่อนสามารถแข็งแกร่งขึ้นได้ในระดับทหารฝึกหัด

"เจ้าไม่ชอบผลไม้ที่ต้องแกะเปลือกงั้นหรือ?"

"เปล่า ข้าแค่ไม่ชอบตอนที่เล็บของข้าสกปรกเพราะพวกมันเท่านั้น และถึงข้าจะตัดเล็บเพื่อแก้ปัญหา แต่พอไม่มีอุปกรณ์อย่างอื่นช่วยข้าก็ไม่สามารถแกะมันมากินได้อยู่ดี"

มันน่ารำคาญมากเมื่อมีผลไม้อยู่ตรงหน้าแต่ไม่สามารถทานได้เพราะเขาไม่ได้ไว้เล็บยาว และถึงเขาจะพยายามไว้มันเพื่อที่จะใช้แกะผลไม้ แต่มันก็เกะกะและไม่เหมาะกับรูปแบบการใช้ชีวิตของเขาเท่าไหร่นัก เคียร์จึงตัดสินใจตัดปัญหาทั้งหมดด้วยการไม่กินมันตั้งแต่แรก หรือไม่ เขาก็แค่ซื้อมันมาแบบที่ปอกเปลือกแล้วเท่านั้น

เอครินาสกวาดสายตาของตนไปรอบ ๆ ราวกำลังนึกบางอย่าง

"งั้นข้าไว้เล็บยาวแทนเจ้าดีไหมนะ?"

"เจ้าจะทำแบบนั้นไปทำไมกัน?"

"ในเมื่อตอนนี้เจ้ายอมที่จะละทิ้งปากกาขนนกแล้วมาจับดาบเพื่อชาวเมืองของเรา ข้าที่เป็นลูกราชาก็ควรจะเสียสละนิ้วสักข้างให้กับเจ้าไม่ใช่หรือ?"

"ข้าจับดาบก็เพื่อเจ้าคนเดียวเอครินาส ไม่ใช่เพื่อชาวเมืองหรือใครอื่น เพราะงั้นไม่จำเป็นต้องทำเพื่อเสียสละมันให้ใคร"

ริมฝีปากของเอครินาสยกยิ้ม และเมื่อพวกเขาก้าวถึงชั้นบนของหอสังเกตการณ์ สายลมจากทางเหนือที่พัดพาความหนาวเย็นและเกล็ดหิมะก็กระทบใส่หน้าพวกเขา

จากจุดที่ท้องฟ้าเต็มไปด้วยสีคราม ละอองหิมะสีขาวที่โปรยปรายมาตลอดทั้งวันก็ร่วงหล่นลงมายังภายในเมืองที่เต็มไปด้วยแสงสีและผู้คนที่ตัวหดลงเพียงไม่กี่เซนติเมตร ผู้คนเดินขวักไขว่ แสงไฟประดับประดา และเสียงขับร้องของนักกวีที่ดังไหลมาตามสายลม เคียร์หันไปกล่าวต่อด้วยรอยยิ้ม

"ชอบหรือเปล่าเอครินาส? ที่นี่เป็นที่ที่ไม่ค่อยมีคนมามากนัก เงียบสงบ แล้วก็สามารถมองเห็นวิวได้ทั้งเมืองจนถึงตีนเข้าน้ำแข็งฝั่งนู้นเชียวนะ"

เอครินาสไม่ได้ตอบโต้อะไรออกมาเป็นพิเศษ แต่เมื่อได้เห็นปลายจมูกแดง ๆ ของเอครินาสจากอากาศหนาว จิตวิญญาณของพนักงานดีเด่นของเคียร์ก็เริ่มทำงาน

"มัวทำอะไรอยู่ไปนั่งตรงนี้สิ"

เคียร์รีบดันหลังเอครินาสให้เดินไปนั่งบนลังไม้ สวมถุงมือกันหนาวให้กับอีกฝ่าย ชี้นิ้วไปตามหลังคาบ้านต่าง ๆ เพื่อเล่าสิ่งต่าง ๆ ที่เขาเรียนรู้มาตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา

ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งสำนักงานของกลุ่มการค้าไอซ์หรือบ้านของเขา คุณป้าร้านดอกไม้ฝั่งตรงข้ามที่กำลังล้มป่วย ร้านขนมเจ้าประจำตรงหัวมุมที่ให้ลูกกวาดมาเมื่อครั้งก่อน หรือแม้กระทั่งสถานที่ที่พวกเขาเจอกันเป็นครั้งแรกในการย้อนกลับครั้งนี้

"...ส่วนตรงนั้นเป็นตรงที่เจ้าทิ้งข้าไว้เมื่อวันนั้น"

"ข้าจำได้"

"รู้ไหมว่าข้ากลัวความสูงมากแค่ไหน กว่าจะลงมาได้ก็ใช้เวลาตั้งหลายชั่วโมง แต่น่าแปลกมากกับตอนที่ข้ามาถึงที่นี่แล้วพบความสวยงามของวิวจนแทบไม่รู้สึกกลัวเหมือนตอนนั้นทั้งที่ที่นี่ออกจะสูงกว่าตั้งไม่รู้กี่เท่า กว่าจะรู้ตัวอีกทีข้าก็เริ่มมาที่นี่บ่อย ๆ ทุกครั้งที่มีเวลาจนกลายเป็นเหมือนฐานทัพลับที่ทำให้ข้ารู้สึกผ่อนคลายทุกครั้งราวกับเป็นเวทมนตร์"

"เจ้าชอบเวทมนตร์หรือ?"

ครั้งนี้เอครินาสที่นั่งชมทิวทัศน์และตอบกลับคำพูดเขาเป็นพัก ๆ หันมาสบตา ทางเคียร์ที่เพิ่งรู้ตัวว่าพูดอะไรก็แทบจะหยุดนิ่ง สำหรับโลกนี้ที่แม้จะเป็นหมวดแฟนตาซีแต่ก็ล้าหลัง พลังงานอันยิ่งใหญ่และลึกลับอย่างเวทมนตร์ที่ยังไม่ถูกตีแผ่และอยู่เหนือธรรมชาติก็แทบไม่ต่างจากพลังของ 'ปีศาจ' ในสายตาผู้คน

อีกไม่นานเอครินาสเองก็จะมีความสามารถนั้นเช่น

"...ถ้าพวกเขาใช้พลังอย่างถูกวิธี ช่วยเหลือผู้อื่นหรือมีเหตุจำเป็นในการกระทำก็ไม่เป็นไรหรอก"

สำหรับเคียร์การที่คนคนหนึ่งแข็งแกร่งได้ด้วยพลังเวทมนตร์ที่โคตรขี้โกงในโลกนี้ก็คงไม่ต่างอะไรกับการถือปืนที่บรรจุกระสุนไว้

หากพวกเขาเลือกที่จะยิงไปยังผู้บริสุทธิ์เขาก็จะกลายเป็นคนร้าย แต่หากพวกเขาเลือกที่จะยิงไปทางโจรที่กำลังเข้ามาทำร้าย นั่นก็เป็นเพียงการป้องกันตัวของตนเพียงเท่านั้น

ในเวลานั้นเคียร์แค่พูดออกไปโดยไม่คิดอะไรมากนักและพูดคุยในฐานะเด็กคนหนึ่งที่มองโลกอย่างเป็นกลาง โดยไม่รู้เลยว่าสิ่งที่เขาพูดในวันนั้นจะถูกบันทึกไว้บนหน้าประวัติศาสตร์และเป็นต้นเหตุที่ทำให้แผ่นดินลุกเป็นไฟด้วยภัยสงครามไว้ขึ้นกว่าต้นฉบับ



ในวันที่ลมพายุหิมะโหมกระหน่ำ อุณหภูมิลดต่ำและหิมะโปรยปรายลงมาทั่วทุกทิศทุกทางจนชวนหนาวสั่น แต่ใบหน้าของเหล่าทหารเดนตายในวันนั้นกลับร้อนผ่าวไปด้วยไอ้ร้อนที่เกิดจากเปลวไฟ ประหลาดที่กำลังเผาผลาญศัตรู

เอครินาสในวัย 15 ปีที่ถูกผลักออกไปแนวหน้าได้สำแดงฤทธิ์เดชของพลังเวทมนตร์อันยิ่งใหญ่ สังหารหมู่กองทัพศัตรูไปเป็นจำนวนมาก

ดวงตาสีแดงประหลาดของผู้ที่ถูกเรียกว่า 'ปีศาจ' กวาดมองไปในอากาศอย่างเลื่อนลอยแล้วหยุดลงที่แม่ทัพใหญ่ผู้กำลังเฝ้ามองเข้าด้วยใบหน้าที่กำลังหวาดกลัวและแสนรังเกียจ

"เจ้าปีศาจ..."

สำหรับทุกคนในที่แห่งนั้น เอครินาสก็ไม่ต่างอะไรจะปีศาจที่กำลังกัดกินมนุษย์