วันหนึ่งเคียร์ก็เข้าไปอยู่ในโลกนิยายที่ไม่รู้จัก ระบบบอกให้เขาสร้าง 'เรื่องราว' ของตัวเอกบนโลกใบนี้เพื่อให้อีกฝ่ายได้เป็น 'พระเจ้า' แลกกับการที่เขาได้กลับบ้านแล้วกลายเป็น 'มนุษย์'
แฟนตาซี,ชาย-ชาย,แอคชั่น,ตะวันตก,สงคราม,Boylove,แนวระบบ,ต่างโลก,สงคราม,แอ็คชั่น ,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
EP.6 งั้นให้ข้าไว้เล็บยาวเพื่อเจ้าดีหรือไม่?
พลั่ก!!
"โอ๊ยย!!"
ร่างเล็ก ๆ ของเด็กอายุ 14 ล้มลงกับพื้นก้นจ้ำเบ้า หลังจากวันนั้นที่ เขาได้ตกลงปลงใจ (?) ไปกับอีกฝ่ายว่า ร่างของธิดาเทพเฟรินก็ได้ถูกฝังกบลงดินในสองวันต่อมา บรรยากาศยังคงเต็มไปด้วยความโศกเศร้าแต่มีเพียงเขาและเอครินาสที่ยังคงเฝ้ามองพิธีกรรมโดยไม่ได้แสดงออกใด เคียร์เหลือบมองอีกฝ่ายอยู่นาน สำรวจพฤติกรรมและรอยเหี่ยวย่นบนหน้าที่หวังว่าจะมีอะไรเคลื่อนไหวสักแห่งให้พอเข้าใจตัวตนของอีกฝ่ายแต่ก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษจึงหันกลับไปทางพิธีการที่อยู่เบื้องหน้า
อย่างไรก็ตาม เสียงเล็ก ๆ ที่ดูอ่อนล้าของเอครินาสก็ดังลอดออกมาท่ามกลางเสียงร้องไห้ของผู้คนรอบตัว
"โชคชะตาของท่านถูกกำลังให้สิ้นสุดลงที่นี่"
มันเป็นคำพูดที่ดูคล้ายพวกคลั่งศาสนาอย่างไม่น่าเชื่อว่าจะหลุดออกมาจากปากของอีกฝ่าย
จากนั้น เคียร์ผู้ถูกอีกฝ่ายชักชวนให้เข้าร่วมสงครามจึงได้บอกลาด้ามปากกาและงานเอกสารภายในสำนักงาน คว้าดาบไม้เล็ก ๆ มาจากโกดัง มุ่งสู่ลานปราสาทเพื่อเข้ารับการฝึกฝน
แรกเริ่มเดิมที เคียร์ ไอซ์ตั้งใจจะบอกเรื่องนี้กับพ่อแม่ของตนแล้วขอให้เชิญครูฝึกดาบมาสอนถึงบ้าน แต่ด้วยความยิ่งใหญ่ใจกว้างของเอครินาสที่ไม่น่าจะมีมาก่อน อีกฝ่ายกลับส่งจดหมายเทียบเชิญ เรียกตัวเขาเข้าไปพร้อมเสนอการเป็นครูสอนฝึกดาบ อ้างตัวว่าเป็นผลดีในการเป็นพ่อค้าและหาทางเอาตัวรอดได้
แน่นอน นี่ก็เป็นเพียงกลอุบายที่เอครินาสกำลังบอกให้เขาจับดาบขึ้นมาเองเพื่อที่จะสามารถติดตามเขาไปได้ทุกแห่ง และด้วยเหตุนั้น เคียร์ ไอซ์ก็กำลังอยู่ในสภาพร่อแร่ ทั้งถูกทุบถูกตี บ้างก็ถูกถีบกระเด็นจนกลิ้งไปไกลหลายตลบ ล้มลุกคลุกคลานอยู่ในลานมาตลอดหลายวัน พอจะลุกขึ้นมาได้ก็ถูกอีกฝ่ายเตะตัดขา บ้างก็เตะเสยคางฟาดน่องราวกับกำลังซ้อมกันให้ตายมากกว่าจะเป็นแค่การฝึก
"อึก! คิดจะซ้อมข้าให้ตายหรืออย่างไรเอครินาส!"
ผมเองก็ทนไม่ไหวตะโกนใส่หน้ามันด้วยความฉุนขาด เกิดมาทั้งชีวิตผมยังไม่เคยถูกแม่ตีด้วยซ้ำ อย่างมากแผลที่เจ็บที่สุดที่เคยโดนก็แค่กระดาษบาดมือ แต่นี่อะไร นอกจากจะไม่ยอมสอนพื้นฐานกันดี ๆ ก็เอาแต่สั่งให้บุกเข้าไปแล้วทุบตีกันด้วยดาบไม้ลูกเดียว
"แต่เจ้าก็ยังไม่ได้ตายนี่?"
ดู ดูมันยังมีหน้ามาพูดดีอีก
เคียร์ทนไม่ไหวพุ่งตัวใส่เอครินาสเพื่อหวังตีอีกฝ่ายให้ได้สักครั้งด้วยความหมั่นไส้ แต่ทางคนมากประสบการณ์เบี่ยงตัวหลบไปอย่างง่ายดายด้วยหนึ่งก้าว ฟาดปลายดาบใส่หลังจนเคียร์จับกบ
พลั่ก!!
"โอ๊ยย!!"
"ก้าวเท้ายาวขนาดนั้นก็มีแต่จะทำให้เหนื่อยเปล่า หากรู้ว่าขาสั้นเจ้าก็ต้องวิ่งให้ไวกว่าผู้อื่น"
แต่ถึงจะชอบทำตัวหยิ่ง ๆ จ้องมองคนอื่นเหมือนมดเดียกพูดจาแดกดันแต่เอครินาสก็พูดถูกหมด ตอนนั้นเคียร์ทั้งตัวเล็กทั้งขาสั้น ถึงจะวิ่งได้ดีเท่ามาตรฐานของเด็กทั่วไปแต่ก็ยังเป็นต่อด้านระยะทาง
"อีกครั้ง!"
ครั้งนี้นี่แหละที่เขาต้องตีปากมันให้ได้!
เคียร์ไม่ยอมแพ้คว้าทรายปาใส่หน้า เอครินาสยกแขนขึ้นกำบัง พอเห็นทางสว่างปลายดาบของเคียร์ก็เน้นฟาดไปที่หัว
พลั่ก!!
แต่ปลายดาบยังฟาดตวัดไปได้ไม่เท่าไหร่ก็ถูกตีขวางด้วยดาบอีกฝ่าย เอครินาสที่เป็นเหมือนปีศาจรับดาบเขาไว้ทั้งที่ยังปิดตา เคียร์ตกตะลึงกับสกิลของพระเอกไปชั่วขณะก่อนถูกอีกฝ่ายถีบเข้าลำตัวจนกลิ้งตลบไปหลายม้วน
"แค่ก! แค่ก!"
เคียร์ทั้งไอทั้งสำลักเศษทรายที่เผลอกลืนเข้าไปเต็มคออย่างยากลำบาก
"รู้จักใช้เล่ห์เหลี่ยมสมเป็นคนจากตระกูลพ่อค้า เช่นนั้นครั้งนี้ข้าจะยอมหลับตาสู้เป็นการต่อให้ก็แล้วกัน"
แต่แทนที่เอครินาสจะโมโหที่เขาใช้วิธีสกปรกแต่อีกฝ่ายก็ยังคงสนุกสนานกับการซ้อมคนอ่อนแอแล้วเริ่มต่อให้ราวเป็นพวกใจกว้างให้กับเด็กฝึกใหม่
เอครินาสก็แค่กำลังเยอะเย้ยเขา
เคียร์เองก็รู้สิ่งนั้นดี แต่ในเมื่ออีกฝ่ายกำลังให้โอกาสเขา เคียร์ ไอซ์ก็พร้อมอ้าแขนรอรับเพื่อให้ตีอีกฝ่ายได้ในเร็ววัน
"หากข้าตีเจ้าจนสลบขึ้นมาก็อย่าว่ากันล่ะ"
"เจ้าทำไม่ได้หรอกเพราะข้าแข็งแกร่งกว่าเจ้ามาก"
พอถูกสบประมาทอีกครั้ง เคียร์ ไอซ์ก็พุ่งตรงใส่บุตรของธิดาเทพอีกครั้งด้วยความเร็ว การฝึกซ้อมของพวกเขาที่ดูใกล้เคียงกับการฆ่ากันมากกว่า 'ฝึก' ยังคงดำเนินต่อไปทั้งอย่างนั้นตั้งแต่เช้าจนเย็นของทุก ๆ วัน หน้าที่จดบัญชีสินค้าที่เคียร์เคยทำถูกส่งต่อให้กับลูกหน้าที่เชื่อถือได้ ท่านพ่อท่านแม่เองที่ได้ยินข่าวคราวของการฝึกซ้อมเองก็ยิ่งสนับสนุน ซื้อเกราะซื้อโสมมาโดรปยาให้ลูกชายราวกับจะพาไปออกรบด้วยอย่างไรอย่างนั้น
แต่เดี๋ยวก่อน ข้าได้ข่าวว่าข้าแค่ฝึกดาบเพื่อเอาไว้ใช้ป้องกันตัวในยามบุกป่าฝ่าดงขนเสบียงไปให้กองทัพแนวหน้าไม่ใช่หรือ?
แม้จะไม่ค่อยเข้าใจคนเป็นพ่อเป็นแม่ที่แทบไม่ได้ห่วงลูกชายหัวแก้วหัวแหวนกันเลยสักนิดแต่เคียร์ก็ไม่คิดโต้แย้งใดๆ มุ่งหน้าหมายตีหัวเอครินาสต่อแม้ใบหน้าของตนจะเต็มไปด้วยรอยปูดบวมจากการถูกซ้อมเมื่อวาน
พลั่ก!!
"อีกครั้ง!!"
พลั่ก!!
"ยกแขนของเจ้าให้สูงขึ้นอีกสิ"
"ขออีกครั้ง!"
แน่นอนว่าแม้พวกเขาจะฝึกซ้อมด้วยกันอย่างเอาเป็นเอาตายแล้วจัดตารางการฝึกกันอย่างเข้มข้นแต่เคียร์ก็ยังทำได้เพียงล้มลุกคลุกคลานและไม่สามารถทำอะไรเอครินาสได้หากอีกฝ่ายไม่ยอมต่อให้ จนถึงตอนนี้แทบไม่มีพื้นสนามประลองที่เคียร์ไม่เคยลงไปคลุกฝุ่นมาก่อน ร่างกายมอมแมมเป็นลูกหมาก่อนจะทิ้งร่างของตนลงไปนอนแผ่บนพื้นทันทีที่ได้เวลาพักเบรก
"แฮ่ก ๆ นี่มันไม่ยุติธรรมเลยสักนิด"
"เจ้าก็แค่อ่อนแอเกินไปแล้วเริ่มต้นช้ากว่าคนอื่นก็เท่านั้น เด็กทั่วไปเริ่มจับดาบกันตั้งแต่ 7-8 ขวบ ร่างกายถูกฝึกปรือมาตั้งแต่เด็กกล้ามเนื้อและกระดูกจึงแข็งแรงกำยำกับเป็นพื้นฐาน แต่เจ้าที่หันไปจับปากกาทำตัวเป็นพ่อค้าตั้งแต่แรกนอกจากนิ้วกับปากที่ดีกว่าคนอื่นก็ยังนับว่ามีสมองในการพลิกแพลงอยู่บ้าง หากฝึกต่ออีกเดือนสองเดือนก็พอสูสีกับพวกทหารฝึกหัด"
"ข้าต้องฝึกแบบนี้ไม่อีกนานเท่าไหร่น่ะ? ไม่ใช่ว่าแค่นี้ข้าก็นับว่าสามารถป้องกันตัวได้แล้วหรอกเหรอ?"
"จนกว่าการเตรียมการจะเสร็จ"
"เตรียมการ? เจ้าหมายถึงอะไร?"
เอครินาสไม่ตอบแล้วยื่นมือออกมาหาเขา เคียร์คว้ามืออีกฝ่ายไว้ก่อนจะเริ่มการฝึกฝนกันใหม่อีกคราอย่างไม่หยุดพัก
และเมื่อฤดูกาลเริ่มผันเปลี่ยนเข้าสู่หน้าหนาวเต็มตัวหิมะโปรยปรายลงมาจากฟากฟ้าภรรยาน้อยคนที่สองผู้อุ้มท้องแก่มาเป็นเวลานานก็ได้ให้กำเนิดบุตรชายคนแรกที่แสนน่ารัก เอครินาสได้กลายเป็นบุตรชายคนโตของราชา ทั่วเมืองเฟรินที่เคยเงียบเหงาจากการสูญเสียธิดาเทพกลับมาครื้นเครงอีกครั้งแล้วจัดงานเลี้ยงรื่นเริงตลอดสามวันสามคืน
กลุ่มการค้าไอซ์ที่กำลังเติบโตเป็นอย่างมากถูกเทียบเชิญเข้าไปภายในงานเลี้ยง เคียร์แต่งตัวเสริมหล่อร่วมผูกมิตรทำความรู้จักกับคนใหญ่คนโต ติดสอยห้อยท้ายท่านพ่อเพื่อหวังขยายอำนาจและเป็นตัวกลางขนส่งสินค้า สนับสนุนเอครินาสในยามออกศึก ส่วนเจ้าเอครินาสโรคจิตนั่นยังทำตัวปากแซ่บปากเก่งเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน เจอพวกผู้ใหญ่หน่อยก็ทำมองอีกฝ่ายราวมดปลวก พอทางนั้นทนไม่ไหวส่งตัวแทนเป็นเด็กน้อยเพื่อหวังสร้างความสัมพันธ์ มันก็ยิ้มไปด่าไปอย่างพวกผู้ดีจนเด็กร้องไห้น้ำตาแตก
"เหตุใดเจ้าถึงเรียกน้องชายพ่อว่า 'ท่านพ่อ' แต่กลับหมางเมินกับพ่อแท้ ๆ ของตนแล้วเรียกว่า 'ท่านอา' กันล่ะ?"
"ง แงงงงง!!!!"
โอ้พระเจ้า ดูไอ้โรคจิตนั่นสปอยล์ปมครอบครัวให้เด็กแปดขวบฟังสิ
เคียร์แทบนึกอยากกุมขมับทนไม่ไหวรีบวิ่งเข้าไปอุดปากมันด้วยความเร็วแล้วรีบพาออกมาจากงาน โดยมีสายตาของผู้คนที่กำลังเฝ้ามองเขาราวกับวีรบุรุษที่มาช่วยพาปีศาจออก
เอครินาสที่แม้จะแข็งแรงกว่าเคียร์อยู่มากยอมเดินตามคนตัวเล็กอย่างนึกฉงนแล้วถึงมือออกจากปาก
"เจ้าไม่อยู่กับพวกขุนนางนั้นต่อแล้วรึ? หรือว่าคิดถึงข้าจนทนไม่ไหว?"
"จะบ้าหรือไง เจ้าต่างหากทำบ้าอะไรลงไปเมื่อกี้นี้น่ะ"
"ข้าก็แค่ถามเด็กนั่นในสิ่งที่สงสัยก็เท่านั้น ใคร ๆ ก็รู้ว่ามาดามแคทเธอรีนแอบลอบเล่นชู้กับพี่ชายสามีแต่แค่ไม่มีใครกล้าพูดก็เท่านั้น อีกอย่างข้าก็พูดเสียงเบามากหากไม่ใช่คนช่างสังเกตเช่นเจ้าก็ไม่ได้ยินหรอก"
"แล้วเจ้าจะไปถามเรื่องนั้นกับเด็กแปดขวบทำไมเล่า!"
"นั่นสิ ถ้างั้นข้าคงต้องไปถามมาดามแคทเธอรีนด้วยตัวเอง-"
"พอเลย เจ้าไม่ต้องกลับเข้าไปแล้ว"
ผมรีบคว้าตัวเอครินาสที่ทำท่าจะเดินย้อนกลับเข้าไปในงาน ขอร้องล่ะพ่อคุณ หยุดทำตัวเป็นภัยสังคมสักทีให้ตายสิ
พรึ่บ
"ถ้างั้นเจ้าจะพาข้าไปไหนกันล่ะ?"
เอครินาสกวาดตามองไปรอบ ๆ โถงทางเดินที่เงียบสงบและไม่มีใครเมื่อผ้าคลุมสีดำถูกปกคลุมลงมาบนร่าง จากนั้นจึงย้ายสายตากลับมายังเคียร์ด้วยรอยยิ้มยียวน
"หรือว่าจะเป็นบ้านของเจ้า?"
พรืดด
เคียร์ออกแรงดึงเชือกผูกคอของเอครินาสเต็มแรงแล้วตวัดผ้าคลุมขึ้นมาปิดเส้นผมให้กับอีกฝ่าย
หลังจากที่พวกเราฝึกซ้อมกันอย่างเอาเป็นเอาตาย พวกเขาก็เริ่มสนิทกันมากขึ้นแล้วทำให้เคียร์เริ่มหายไม่กลัวเอครินาสเท่าเมื่สอก่อน ถึงความกวนโอ๊ยของอีกฝ่ายจะเพิ่มมากขึ้นมาด้วยก็เถอะ
เคียร์เริ่มชินกับการที่อีกฝ่ายเป็นแบบนั้น เขายกเสื้อคลุมสีดำขึ้นปิดหัวของตนแล้วเลือดยื่นมือไปหาเอครินาส
"ไปด้วยกันสิ อยู่ที่นี่ไปก็มีแต่จะทำให้เจ้าอึดอัด"
ดวงตาสีแดงของเอครินาสที่กำลังดึงเชือกออกให้หลวม ๆ เหลือบมองฝ่ามือที่ถูกยื่นออกมา มองใบหน้าเคียร์อยู่สักพัก ก่อนวางมือลงบน่ามือเขาไปอย่างง่ายดายด้วยรอยยิ้ม
"เอาสิ ข้าเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าเจ้าจะพาข้าไปไหน"
จากนั้น เด็กน้อยทั้งสองที่สวมเสื้อคลุมสีดำสนิทปกปิดชุดหรูหราก็พากันหนีออกจากปราสาท เคียร์และเอครินาสเดินผ่านไปในฝูงชนที่ออกมาเลี้ยงฉลอง แสงไฟสีส้มของร้านแผงลอยสะท้อนแสงอยู่ดวงตาของเอครินาสที่กำลังเหม่อลอยเมื่อนี่เป็นครั้งแรกของเขาได้อยู่กลางฝูงชนและกระทบไหล่ของผู้คนที่ไม่รู้จัก
"เจ้าอยากกินผลไม้เคลือบน้ำตาลไหม?"
"ข้าอยากกินไก่เสียบไม้กับเหล้ามากกว่า"
"ขอแอปเปิลเคลือบน้ำตาลสองไม้ครับคุณป้า"
เอครินาสหน้าหงิกรับของหวานมาไว้ในมือก่อนจะถูกเคียร์ลากออกไป
พวกเขาแวะดูการแสดงกายกรรมข้างทาง ฟังเสียงนักกวีที่พเนจรมา สั่งซื้ออาหารที่แสนอร่อยแล้วมุ่งหน้าไปยังหอสังเกตการณ์เปอดาร์ที่อยู่ทางตอนเหนือของฝั่งเมือง
จากตำนานเก่าแก่ที่เคยได้ยินผ่านๆ ว่ากันว่าที่นี่ถูกสร้างขึ้นเมื่อสมัยที่องค์กษัตริย์บริชเทียที่ 4 ยังทรงพระเยาว์และถูกหมายมั่นให้เป็นนายเหนือหัวของดินแดนทางเหนือ สู้รบตบมือกับชนเผ่าไม่มีชื่อที่หนีหนาวลงมาเพื่อหวังยึดครองดินแดน
ในตอนแรกการต่อสู้ระหว่างพวกเขาทางอาณาจักรที่อยู่บนพื้นราบไม่สามารถต่อกรและรับมือกับชนเผ่าที่แอบซ่อนตามมุมเขาได้แม้แต่น้อย กษัตริย์บริชเทียที่ 4 จึงได้ออกคำสั่งให้เหล่าชาวเมืองร่วมแรงร่วมใจ สร้างหอคอยสังเกตการณ์ห้าชั้นขึ้นมาใหม่เพื่อใช้เป็นจุดยุทธศาสตร์
แต่วิทยาการสมัยนั้นล้าหลังมาก แม้แต่สิ่งปลูกสร้างอาคารสามชั้นก็เป็นสิ่งที่ยังใหม่ แต่ด้วยความช่วยเหลือของจิตรกรผู้หนึ่งนามเปอดาร์ได้เสนอไอเดียในการออกแบบโครงสร้างภายในของอาคารให้กับกษัตริย์ หอสังเกตการณ์ห้าชั้นแห่งแรกของโลกถูกสร้างขึ้นมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ ส่งเสริมให้กษัตริย์บริชเทียที่ 4 สามารถมองเห็นแนวรบของฝั่งศัตรูที่หลบอยู่หลังเขา วางแผนตีโต้ได้อย่างองอาจ สร้างคุณงานความดีให้กับประเทศแล้วมอบชื่อพระราชทานให้กับที่นี่ไว้ว่า เปอดาร์ ...สถานที่แรกและจุดเริ่มต้นที่นำมาซึ่งยุคสมัยที่รุ่งเรืองที่สุดของราชวงศ์บริชเทีย
แน่นอน ว่าในเวลานี้ราชวงศ์ที่ว่านั่นก็ได้ล่มสลายไปกว่า 20 ปีแล้วเช่นกัน สถานที่อันเต็มไปด้วยเรื่องราวเหล่านั้นจึงกลายเป็นสถานที่รกร้างและไม่มีใครเข้าถึง
"ยังไม่ถึงอีกเหรอ?"
"เอาหน่า พวกเราใกล้ถึงแล้ว"
เคียร์กล่าวขณะดึงสายโซ่ที่คล้องประตูเอาไว้หลวม ๆ ออกแล้วหันไปขอมือเด็กงอแงอย่างเอครินาส อีกฝ่ายคว้ามันไว้อย่างง่ายดายแล้วถูกพาขึ้นไปยังบันไดวนที่แสนทอดยาว
"ระวังนะ"
"เจ้าชอบแอปเปิลขนาดนั้นเลยหรือ? คราก่อนเจ้าก็กินพายแอปเปิล มาครั้งนี้เจ้าก็ยังกินแอปเปิลเคลือบน้ำตาล"
"แน่นอนสิ"
"ทำไมล่ะ?"
"เพราะว่าเนื้อสัมผัสของมันอร่อยยังไงล่ะ อีกอย่างมันก็ไม่ใช่ผลไม้ที่ต้องแกะเปลือก"
"แล้วส้มล่ะ?"
"หมายถึงอะไร?"
"เจ้าชอบหรือเปล่า?"
"ไม่"
"ทำไม?"
"เพราะมันเป็นผลไม้ที่ต้องแกะเปลือก"
พวกเราเดินวนขึ้นไปบนบันไดด้วยกันอย่างมั่นคงและพูดคุยกันไปอย่างเรื่อยเปื่อยเพื่อไม่ให้เงียบเกินไป สิ่งนี้ต้องขอบคุณการฝึกฝนเจียนตายตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาร่วมกันเอครินาส ทำให้ร่างกายของเคียร์ที่เคยอ่อนแอมาก่อนสามารถแข็งแกร่งขึ้นได้ในระดับทหารฝึกหัด
"เจ้าไม่ชอบผลไม้ที่ต้องแกะเปลือกงั้นหรือ?"
"เปล่า ข้าแค่ไม่ชอบตอนที่เล็บของข้าสกปรกเพราะพวกมันเท่านั้น และถึงข้าจะตัดเล็บเพื่อแก้ปัญหา แต่พอไม่มีอุปกรณ์อย่างอื่นช่วยข้าก็ไม่สามารถแกะมันมากินได้อยู่ดี"
มันน่ารำคาญมากเมื่อมีผลไม้อยู่ตรงหน้าแต่ไม่สามารถทานได้เพราะเขาไม่ได้ไว้เล็บยาว และถึงเขาจะพยายามไว้มันเพื่อที่จะใช้แกะผลไม้ แต่มันก็เกะกะและไม่เหมาะกับรูปแบบการใช้ชีวิตของเขาเท่าไหร่นัก เคียร์จึงตัดสินใจตัดปัญหาทั้งหมดด้วยการไม่กินมันตั้งแต่แรก หรือไม่ เขาก็แค่ซื้อมันมาแบบที่ปอกเปลือกแล้วเท่านั้น
เอครินาสกวาดสายตาของตนไปรอบ ๆ ราวกำลังนึกบางอย่าง
"งั้นข้าไว้เล็บยาวแทนเจ้าดีไหมนะ?"
"เจ้าจะทำแบบนั้นไปทำไมกัน?"
"ในเมื่อตอนนี้เจ้ายอมที่จะละทิ้งปากกาขนนกแล้วมาจับดาบเพื่อชาวเมืองของเรา ข้าที่เป็นลูกราชาก็ควรจะเสียสละนิ้วสักข้างให้กับเจ้าไม่ใช่หรือ?"
"ข้าจับดาบก็เพื่อเจ้าคนเดียวเอครินาส ไม่ใช่เพื่อชาวเมืองหรือใครอื่น เพราะงั้นไม่จำเป็นต้องทำเพื่อเสียสละมันให้ใคร"
ริมฝีปากของเอครินาสยกยิ้ม และเมื่อพวกเขาก้าวถึงชั้นบนของหอสังเกตการณ์ สายลมจากทางเหนือที่พัดพาความหนาวเย็นและเกล็ดหิมะก็กระทบใส่หน้าพวกเขา
จากจุดที่ท้องฟ้าเต็มไปด้วยสีคราม ละอองหิมะสีขาวที่โปรยปรายมาตลอดทั้งวันก็ร่วงหล่นลงมายังภายในเมืองที่เต็มไปด้วยแสงสีและผู้คนที่ตัวหดลงเพียงไม่กี่เซนติเมตร ผู้คนเดินขวักไขว่ แสงไฟประดับประดา และเสียงขับร้องของนักกวีที่ดังไหลมาตามสายลม เคียร์หันไปกล่าวต่อด้วยรอยยิ้ม
"ชอบหรือเปล่าเอครินาส? ที่นี่เป็นที่ที่ไม่ค่อยมีคนมามากนัก เงียบสงบ แล้วก็สามารถมองเห็นวิวได้ทั้งเมืองจนถึงตีนเข้าน้ำแข็งฝั่งนู้นเชียวนะ"
เอครินาสไม่ได้ตอบโต้อะไรออกมาเป็นพิเศษ แต่เมื่อได้เห็นปลายจมูกแดง ๆ ของเอครินาสจากอากาศหนาว จิตวิญญาณของพนักงานดีเด่นของเคียร์ก็เริ่มทำงาน
"มัวทำอะไรอยู่ไปนั่งตรงนี้สิ"
เคียร์รีบดันหลังเอครินาสให้เดินไปนั่งบนลังไม้ สวมถุงมือกันหนาวให้กับอีกฝ่าย ชี้นิ้วไปตามหลังคาบ้านต่าง ๆ เพื่อเล่าสิ่งต่าง ๆ ที่เขาเรียนรู้มาตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา
ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งสำนักงานของกลุ่มการค้าไอซ์หรือบ้านของเขา คุณป้าร้านดอกไม้ฝั่งตรงข้ามที่กำลังล้มป่วย ร้านขนมเจ้าประจำตรงหัวมุมที่ให้ลูกกวาดมาเมื่อครั้งก่อน หรือแม้กระทั่งสถานที่ที่พวกเขาเจอกันเป็นครั้งแรกในการย้อนกลับครั้งนี้
"...ส่วนตรงนั้นเป็นตรงที่เจ้าทิ้งข้าไว้เมื่อวันนั้น"
"ข้าจำได้"
"รู้ไหมว่าข้ากลัวความสูงมากแค่ไหน กว่าจะลงมาได้ก็ใช้เวลาตั้งหลายชั่วโมง แต่น่าแปลกมากกับตอนที่ข้ามาถึงที่นี่แล้วพบความสวยงามของวิวจนแทบไม่รู้สึกกลัวเหมือนตอนนั้นทั้งที่ที่นี่ออกจะสูงกว่าตั้งไม่รู้กี่เท่า กว่าจะรู้ตัวอีกทีข้าก็เริ่มมาที่นี่บ่อย ๆ ทุกครั้งที่มีเวลาจนกลายเป็นเหมือนฐานทัพลับที่ทำให้ข้ารู้สึกผ่อนคลายทุกครั้งราวกับเป็นเวทมนตร์"
"เจ้าชอบเวทมนตร์หรือ?"
ครั้งนี้เอครินาสที่นั่งชมทิวทัศน์และตอบกลับคำพูดเขาเป็นพัก ๆ หันมาสบตา ทางเคียร์ที่เพิ่งรู้ตัวว่าพูดอะไรก็แทบจะหยุดนิ่ง สำหรับโลกนี้ที่แม้จะเป็นหมวดแฟนตาซีแต่ก็ล้าหลัง พลังงานอันยิ่งใหญ่และลึกลับอย่างเวทมนตร์ที่ยังไม่ถูกตีแผ่และอยู่เหนือธรรมชาติก็แทบไม่ต่างจากพลังของ 'ปีศาจ' ในสายตาผู้คน
อีกไม่นานเอครินาสเองก็จะมีความสามารถนั้นเช่น
"...ถ้าพวกเขาใช้พลังอย่างถูกวิธี ช่วยเหลือผู้อื่นหรือมีเหตุจำเป็นในการกระทำก็ไม่เป็นไรหรอก"
สำหรับเคียร์การที่คนคนหนึ่งแข็งแกร่งได้ด้วยพลังเวทมนตร์ที่โคตรขี้โกงในโลกนี้ก็คงไม่ต่างอะไรกับการถือปืนที่บรรจุกระสุนไว้
หากพวกเขาเลือกที่จะยิงไปยังผู้บริสุทธิ์เขาก็จะกลายเป็นคนร้าย แต่หากพวกเขาเลือกที่จะยิงไปทางโจรที่กำลังเข้ามาทำร้าย นั่นก็เป็นเพียงการป้องกันตัวของตนเพียงเท่านั้น
ในเวลานั้นเคียร์แค่พูดออกไปโดยไม่คิดอะไรมากนักและพูดคุยในฐานะเด็กคนหนึ่งที่มองโลกอย่างเป็นกลาง โดยไม่รู้เลยว่าสิ่งที่เขาพูดในวันนั้นจะถูกบันทึกไว้บนหน้าประวัติศาสตร์และเป็นต้นเหตุที่ทำให้แผ่นดินลุกเป็นไฟด้วยภัยสงครามไว้ขึ้นกว่าต้นฉบับ
ในวันที่ลมพายุหิมะโหมกระหน่ำ อุณหภูมิลดต่ำและหิมะโปรยปรายลงมาทั่วทุกทิศทุกทางจนชวนหนาวสั่น แต่ใบหน้าของเหล่าทหารเดนตายในวันนั้นกลับร้อนผ่าวไปด้วยไอ้ร้อนที่เกิดจากเปลวไฟ ประหลาดที่กำลังเผาผลาญศัตรู
เอครินาสในวัย 15 ปีที่ถูกผลักออกไปแนวหน้าได้สำแดงฤทธิ์เดชของพลังเวทมนตร์อันยิ่งใหญ่ สังหารหมู่กองทัพศัตรูไปเป็นจำนวนมาก
ดวงตาสีแดงประหลาดของผู้ที่ถูกเรียกว่า 'ปีศาจ' กวาดมองไปในอากาศอย่างเลื่อนลอยแล้วหยุดลงที่แม่ทัพใหญ่ผู้กำลังเฝ้ามองเข้าด้วยใบหน้าที่กำลังหวาดกลัวและแสนรังเกียจ
"เจ้าปีศาจ..."
สำหรับทุกคนในที่แห่งนั้น เอครินาสก็ไม่ต่างอะไรจะปีศาจที่กำลังกัดกินมนุษย์