โบราณว่ากันว่า น้ำหยดลงหินทุกวัน หินมันยังกร่อน...
รัก,ตลก,ชาย-ชาย,ไทย,วัยว้าวุ่น,โรแมนติก,รักวัยรุ่น,ศิลาของอาโป,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ศิลาของอาโป (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 1)ความวุ่นวายและยุ่งเหยิงของชีวิตผมมันถาโถมเข้ามาตั้งแต่วันที่ผมรู้ว่าจะต้องเริ่มลงมือทำหนังสั้นธีสิสเพื่อจบการศึกษา
ไอ้ที่ผมเคยพูดเอาไว้ว่า ‘อยากทำหนัง อยากเป็นผู้กำกับ’ เนี่ย พอมาเจอแบบนี้เข้าจริงก็อยากจะเลิกเรียนไปเสียดื้อๆ อยากรู้เหมือนกันว่าเรียนจบกับตายอันไหนจะมาก่อนกัน!
ตอนปีสามผมก็ว่าเรียนหนักจนแทบเป็นบ้าแล้วนะ แต่ยังไม่สู้ปีสี่เลยจ้า เจอธีสิสเข้าไป ทุกอย่างที่ผ่านมาคือเรื่องขี้หมาไปเลย แม่เจ้า! อยากให้อาจารย์ที่แข่งกันสั่งงานช่วยฉุกคิดหน่อยว่านักศึกษาจะมีเวลานอนไหม เห้อออ
นี่แหละครับตัวผม ขี้บ่นหนึ่ง ขี้รำคาญหนึ่ง ขี้หงุดหงิดหนึ่ง!!
“ไอ้เต! มึงจะหลับถึงพรุ่งนี้เช้าเลยไหมห้ะ!” ผมกระทุ้งศอกเขาไปที่สีข้างของเตชินท์ทีหนึ่ง หลังจากที่อาจารย์เพิ่งจะเดินออกจากห้องไป ดีที่เป็นคลาสเรียนรวม อาจารย์เลยไม่ทันได้สังเกตว่าไอ้เตชินท์มันหลับตั้งแต่เริ่มเรียนไปได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง
“เลิกแล้วเหรอวะ” เสียงงัวเงียของไอ้เตทำเอาผมเกือบจะคลั่งขึ้นมาอีกครั้ง แหม่ ทีกลางคืนละไม่ยอมหลับยอมนอน
“ยังมั้ง มึงดูดิ ทั้งห้องเหลือแต่มึงกับกูเนี่ย ขี้เซาฉิบหาย”
“โอ่ยย ไอ้กานต์ เลิกบ่น!!” ไอ้เตมันถลึงตาใส่ผมว่ะ
กวนตีน!!
ผมง้างหมัดทำท่าจะต่อยมัน แต่ไอ้เตมันก็หัวเราะใส่ ก็เป็นอย่างนี้แหละครับ เราสองคนสนิทกันมาตั้งแต่ปีหนึ่ง ตอนแรกไม่ชอบขี้หน้ากัน แต่กวนตีนกันไปมา จนตอนนี้ก็เลยรู้ใจกันมากเวอร์
ผมวางใจเรื่องหนังธีสิสไปได้เยอะ ก็เพราะได้ไอ้เตชินท์คนดีคนเดิมนี่แหละครับที่คอยเป็นมือเป็นเท้าช่วยอำนวยความสะดวกให้ผมทุกอย่าง มันเป็นคนเก่งครับ เรื่องการจัดการนี่คือยืนหนึ่ง ทั้งประสานงาน วางคิวถ่าย ติดต่อใดๆ ดีลทุกดีลที่สำคัญ มันก็จัดการปิดจ๊อบให้ผมได้ทั้งหมด ผมก็เลยไว้ใจมันมากเป็นพิเศษ ส่วนหนึ่งคงเพราะผมโง่ด้วยแหละ เลยต้องร้องขอความช่วยเหลือจากมันอยู่ตลอดตั้งแต่ปีหนึ่งจนปีสี่
บรรยากาศหน้ามหา’ลัยคึกคักอยู่เสมอในยามเย็น ผมกับไอ้เตเดินออกมาหาอะไรกินที่ร้านสเต๊กชื่อดังหน้าม. ที่รสชาติหมาไม่รับประทาน แต่เพราะปริมาณที่ร้านให้ไม่อั้น ทำให้พวกผมจำใจเลือกเอาที่ความคุ้มมากกว่าความอร่อย ผมสั่งเซตพอร์คช็อป ส่วนไอ้เตสั่งเซตสเต๊กไก่ นั่งรอจนพนักงานประกาศออกไมค์เรียกให้เดินไปรับอาหารที่เคาท์เตอร์
โอ้โห!! พนักงานก็หน้าตาไม่รับแขกเวอร์ โดนชาวพันทิปด่าไปรอบหนึ่งยังไม่เข็ด
“ไอ้ห่า หงุดหงิด” ผมกระแทกจานสเต๊กลงกับโต๊ะเสียงดัง จนไอ้เตตกใจแล้วบอกให้ผมใจเย็นๆ
“ใจเย็นก่อนพ่อหนุ่ม มึงยังไม่ชินอีกเหรอ มาทุกรอบ เป็นงี้ทุกรอบ เผลอๆ เหี้ยกว่าเดิม”
“เออ ถ้าไม่เห็นว่าถูกนะ กูเปลี่ยนไปกินร้านอื่นละ” ผมรีบหั่นสเต๊กเข้าปาก เคี้ยวตุ้ยโดนไม่สนใจจะเปิดบทสนทนาอะไรต่ออีก
ก็คนมันหิวนี่หว่า...
“กูรู้ละไอ้กานต์ มึงโมโหหิวใช่ไหม ไอ้สัตว์ กูก็ว่าพูดเป็นต่อยหอย บ่นไม่หยุด” ไอ้เตเอาส้อมชี้หน้าด่าผม แต่ถามว่าผมแคร์เหรอ ก็ไม่นะ
“เรื่องของกู”
มันหัวเราะออกมา เพราะผมเองก็เป็นแบบนี้ทุกทีเวลาที่หิว แต่ก็นะเรียกว่าเป็นนิสัยส่วนตัวไปแล้ว เวลาหิวนี่ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้สักที
“ละที่กูให้มึงไปหานักแสดงอะ ได้ยัง” ผมถามมันหลังจากนั่งกินสเต๊กไปสักพัก
“ยังงงง ก็กูบอกว่าให้เปิดแคสไปเลย แทนที่จะมาคอยเดินหางี้ เหนื่อยฉิบหาย”
ผมวางมีดกับส้อมลงที่จาน ก่อนจะจ้องหน้ามันนิ่ง “งั้นก็ตามนั้น หาวันมา แล้วก็ทำเรื่องขอใช้ห้องประชุมของคณะอะ น่าจะได้อยู่ละ”
“ให้กูทำ?” เตชินท์ชี้นิ้วที่ตัวเอง
“ก็เออดิ อย่าลืมทำประกาศด้วย เอาไปติดที่บอร์ดมหา’ลัย กับลงในเฟสบุ๊คอะ” ผมย้ำเพิ่ม
“ใครทำ?”
“ก็มึงไงไอ้เต ถามแปลกๆ ไอ้ห่า” ผมตอบกลับเสียงแข็ง ยังจะมีหน้ามาถามอี๊กกกก ที่ผ่านมาก็ให้มันทำทั้งนั้น ไม่เข้าใจว่างงทำไม
“ละมึงจะไม่ทำอะไรเลยหรือไง!!!” เตชินท์ตอบกลับเสียงดัง
“อย่าขึ้นเสียงดิ” ผมสวนกลับด้วยเสียงอ่อนลง คุยกันดีๆ ก็ได้นี่หว่า ไม่เห็นต้องขึ้นเสียงเลย
“เออๆ กูขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจ”
“ก็กูเขียนบทยังไม่เสร็จ มึงก็ช่วยหน่อยดิ น้าาา เพื่อนรักกกก” ผมอ้อน เพราะรู้ดีว่าคนอย่างมันแพ้ลูกอ้อนของผมมากแค่ไหน
แล้วก็ได้ผล ไอ้เตมันท่าทีอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด
“จริงๆ เรื่องนักแสดงอะ กูก็มีคนในใจแหละ แต่ยังไม่แน่ใจว่ามาเล่นด้วยกัน เคมีจะได้มากน้อยแค่ไหน เลยอยากให้ลองมาแคสดูก่อน” ไอ้เตเริ่มพูดให้ผมฟัง “กูก็เลยคิดว่า ไหนๆ จะต้องแคสสองคนนี้อยู่แล้ว ก็เปิดแคสจริงจังไปเลย เผื่อได้บทอื่นๆ ด้วยไง จะได้ไม่ต้องเสียเวลางี้”
“อ่อ เออ เข้าท่าๆ” ผมพยักหน้ารับ
ไอ้เตหยิบมือถือขึ้นมาเปิดไอจีของสองคนที่มันบอกว่าดูเข้าทีให้ผมได้พิจารณา
เออ! หล่อ
ตรงตามคาแรกเตอร์ที่ผมเขียนไว้ในบทเลย
“ใช้ได้นะมึง ตรงคาแรกเตอร์ที่กูเคยบอกมึงเลย” ผมตอบตามความรู้สึก ถึงแม้ตอนนี้จะยังไม่เห็นฝีมือด้านการแสดง แต่อย่างน้อยภาพลักษณ์ภายนอกก็ได้คะแนนเต็มจากผมไปละ
“ใช่มะ กูก็เก่งเหมือนกันนะเนี่ย” อะ ก็ต้องยอมให้มันหนึ่งวัน เพราะเก่งจริง หาคนตรงตามความต้องการของผมได้เนี่ย
“ชื่ออะไรนะสองคนนี้” ผมถาม
“คนนี้ชื่ออาโป เป็นพี่ป. โทที่กูรู้จัก” ไอ้เตชี้ไปที่หน้าจอมือถือของมัน ที่โชว์หน้าไอจีของพี่เขา
หล่อ คม ผิวดี ดูมีชาติตระกูล
นี่แหละ ถึงเรียกว่า หล่อสุดดุจเทพสร้าง!!
“ละอีกคนอะ” ผมหันไปถามชื่อของอีกคนที่ผิวออกแทน แต่หน้าคมไม่แพ้กัน เพียงแต่รายนี้จะแอบมีความหวาน ความน่ารักมากกว่า
“คนนี้เป็นรุ่นน้องพวกเรา ชื่อศิลา คนนี้เคยเป็นเดือนคณะด้วยนะเว้ย โปรไฟล์สุดปัง” ไอ้เตมันขายเต็มที่ ผมล่ะอยากรู้จริงๆ ว่ามันมีส่วนได้ส่วนเสียอะไรกับน้องเขาไหมเนี่ย
ผมแอบเข้าไปกดติดตามในไอจีของทั้งพี่อาโปและน้องศิลา หลังจากที่ไอ้เตชินท์มันมาขายให้ฟัง เอาจริงๆ ปกติผมไม่ค่อยได้สนใจพวกโซเชียลเท่าไหร่หรอกนะ แต่หลังจากนี้ก็คงจะต้องส่องให้บ่อยขึ้นหน่อยแล้วแหละ เผื่อว่าจะได้ไอเดียอะไรจากสองคนนี้ไปเติมในบทบ้าง
เห้ย! พูดเหมือนสองคนนี้ได้เล่นหนังสั้นของผมแล้วเลยอะ!!!
ฮ่าๆ แต่เอาจริงก็ 70% แล้วล่ะครับ ลุคตรงใจผมขนาดนี้คงปล่อยผ่านไม่ได้ ที่เหลือก็ค่อยมาดูกันวันแคสติ้งละกัน
---------- The Story of Water and Stone ----------
ผมนั่งรออยู่ตรงโต๊ะตัวยาวที่ถูกคลุมด้วยผ้าสีขาวตั้งอยู่กลางห้องแคสติ้ง หรือที่จริงก็คือห้องประชุมของคณะผมนั่นแหละครับ ใกล้เวลาแคสติ้งเข้ามาทุกที ใจผมก็เต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ ไม่หยุด ถามว่าตื่นเต้นเหรอ ก็มีส่วน แต่ไม่ได้ตื่นเต้นเพราะงานวันนี้หรอกนะครับ แต่ตื่นเต้นที่จะได้เจอพี่อาโปกับน้องศิลาตัวเป็นๆ มากกว่า
การแคสติ้งก็ทยอยเริ่มไปเรื่อยๆ ด้วยเพราะเป็นงานนักศึกษา คนที่สมัครมาเข้าร่วมการแคสส่วนใหญ่ก็คือบรรดานักศึกษาในมหา’ลัยนั่นแหละ อาจจะมีบ้างที่มาจากมหา’ลัยอื่นๆ แต่ผมก็ไม่ค่อยได้ใส่ใจเท่าไหร่ เห็นไหมครับว่าผมนิสัยเสียขนาดไหน ความขี้เกียจมันครอบงำอะเนอะ หน้าที่ของผู้กำกับชัดๆ ที่ต้องเลือกนักแสดงให้ตรงกับบทบาท แต่กลับละเลยไม่สนใจ เพียงเพราะว่ามันน่าเบื่อ แล้วผมก็โฟกัสแต่ว่าเมื่อไหร่จะได้เจอพี่อาโปกับน้องศิลาสักที
อยากจะตีตัวเอง แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะว่าน่ารักเกินไป เห้ออออ~~
“คนต่อไปเลยค่า” เสียงของ แยม เพื่อนสาวของผมซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกทีมแคสติ้งที่คอยจัดคิวผู้สมัครให้เข้ามาในห้องแคสฯ ดังขึ้น เพราะแหกปากเรียกคิวถัดไปที่จะเข้ามาแคส
โว้วววว...
น้องศิลา!!!! แยมทำปากพูดแบบไม่ออกเสียงให้ผมดู
ผมก็เลยพยักหน้าเบาๆ ตอบกลับไปว่ารับรู้แล้ว
วินาทีแรกที่เดินเข้ามาก็คือ หล่อ ตา จมูก ปาก โครงหน้าได้รูป ดีไปหมด ครบครัน
แต่ใดๆ ก็คือ ใครแกงน้องง!! ผมทรงนี้ใครทำให้เนี่ย ถ้าน้องตอบว่าทำเอง ผมจะตีให้ มันดูแก่เกินวัยไปหน่อยอะ
“สวัสดีครับ ผมชื่อศิลาครับ ปีสามครับ คณะนิเทศครับ”
“มีความสามารถพิเศษอะไรไหมครับ” ผมถาม
“เตะบอลครับ”
“แล้วร้องเพลง เต้น ไรงี้ได้ไหม”
“ร้องเพลงไม่ได้เลยครับ เต้นนี่ ถ้าแบบหมอลำหน้าฮ่านก็พอได้อยู่ครับ” ศิลายิ้มเขินๆ แต่มาทรงนี้ มันมีของแน่นอน เจอหน้าฮ่านเข้าไป ผมก็เคาะเลยแล้วกัน ดูกวนตีนดี ผมชอบ ฮ่าๆ
ผมให้น้องได้ลองเล่นตามบทที่ผมเอามาให้แคส โอ้โห บอกเลยว่าไม่ธรรมดานะ น้องแม่ง เหมือนหลุดออกมาจากตัวละครที่ผมเขียนเลย เป็นธรรมชาติมาก แล้วแบบนี้จะไม่เลือกไหวเหรอ
แต่เอาจริงๆ ผมเคาะในใจผมตั้งแต่เห็นรูปแล้วแหละ อย่างที่ผมบอก ว่าน้องศิลามันตรงตามคาแรกเตอร์ที่ผมวางไว้ทุกอย่างเลย ก็เหลือแต่พี่อาโปแล้วล่ะครับว่าจะยังไง เข้ากันกับน้องได้ไหม
“ขอบคุณนะครับ ยังไงเดี๋ยวพี่ติดต่อไปนะ” ผมยิ้มให้ก่อนจะหันไปมองไอ้เตที่ยืนอยู่มุมห้อง แล้วส่งสัญญาณให้มันว่าผมพอใจกับน้องศิลาเป็นอย่างมาก
อ๊ะๆ อย่าเพิ่งเข้าใจผิดนะครับ ไม่ได้พอใจในเชิงชู้สาวนะครับ
ผมหมายถึงพอใจที่น้องศิลาตรงตามกับคาแรกเตอร์ที่ผมตามหาอยู่ต่างหาก
จะว่าไปนี่ก็นานละนะ พี่อาโปยังไม่มาอีกเหรอ
“ไอ้เต มานี่ดิ๊” ผมกวักมือเรียกให้ไอ้เตเข้ามาหา “พี่อาโปยังไม่มาอีกเหรอวะ”
“อ๋อ กำลังมาอะ พอดีพี่แกลืมว่าเรานัดให้มาแคสวันนี้ เลยตื่นสาย แต่กำลังมาละ รอแป๊บ”
“เห้ย งั้นมึงรีบไปตามน้องศิลาไว้ก่อน เผื่อว่าจะได้ให้มาเจอกันหน่อย กูอยากเห็นเคมีว่ะ” ผมฝากฝังไอ้เต ซึ่งมันก็พยักหน้ารับแล้วรีบออกวิ่งไปนอกห้องทันที
ฝากด้วยนะไอ้เต
มันขายสองคนนั้นให้ผมมาขนาดนี้ ยังไงก็ต้องเอาตัวมาให้ได้นะเว้ย ไหนๆ ก็ไหนๆ ละ จะได้เช็กเรื่องเคมีไปเลยทีเดียว
ให้มันเห็นกันชัดๆ ไปเลย ว่าเข้ากันได้มากน้อยแค่ไหน
ผมนั่งรออยู่พักใหญ่ ใจผมร้อนรุ่ม เพราะครึ่งหนึ่งก็หงุดหงิดที่พี่อาโปยังไม่มาสักที แต่อีกครึ่งหนึ่งก็กังวลว่าเขาอาจจะไม่มา แล้วจะต้องหาคนใหม่ ขอร้องว่าอย่าเป็นอย่างหลังเลย เพราะว่าขี้เกียจหาคนใหม่โว้ยยยย
มันยากเสียยิ่งกว่าการงมเข็มในมหาสมุทรอี๊กกกกก
ศิลาก็มานั่งรอแล้วเนี่ยยยย เกรงใจน้องจะตายละ
“มาละมึง” เตชินท์วิ่งมากระซิบที่ข้างหู
ผมถอนหายใจโล่ง เมื่อได้ยินว่าพี่อาโปมาแล้ว
“กว่าจะมา” ผมได้ยินศิลาบ่นแว่วๆ ใจนี่หล่นไปอยู่ตาตุ่ม เวรเอ๊ยยย อย่าเพิ่งตีกันนะ
“สวัสดีครับ” พี่อาโปเอ่ยทักทุกคนในห้อง
“สวัสดีครับพี่อาโป” ผมเอ่ยทักก่อนโดยไม่ได้ให้โอกาสพี่อาโปได้แนะนำตัว จากนั้นผมก็เลยให้พี่อาโปลองแคสบทที่ผมได้เตรียมไว้ให้ ก็ตามคาดอะนะ ทำได้ดีจนผมไม่ต้องติอะไรเลย เอาจริงๆ พี่แกก็เคยผ่านงานในวงการมาบ้างเล็กๆ น้อยๆ ผมก็เลยค่อนข้างมั่นใจว่าพี่แกจะต้องทำได้ แล้วแกก็ทำได้จริงๆ
“เดี๋ยวผมขอพี่อาโปกับน้องศิลาลองเข้าบทด้วยกันหน่อยนะครับ” ผมยิ้มแล้วพูดกับทั้งสองคน ก่อนจะให้ไอ้เตเอาบทไปยื่นให้พี่อาโปกับน้องศิลา
“สองคนลองคุยกันดูนะครับ ผมให้เวลาเตรียมตัวประมาณ 10 นาที แล้วเดี๋ยวมาลองเข้าบทกันนะครับ” ผมปล่อยให้พี่อาโปกับน้องศิลาได้ลองซ้อมบทกันก่อนที่จะให้เล่นให้ผมและทีมงานดู
ผมเดินออกมาหน้าห้อง เพราะไม่อยากอยู่ให้พี่อาโปกับน้องศิลารู้สึกกดดัน อีกอย่างจะออกมาเข้าห้องน้ำด้วย ขอล้างหน้าล้างตาหน่อย ง่วงฉิบหาย
หลังจากผมเข้าห้องน้ำเสร็จแล้วเดินกลับมาก็เจอแยมกับไอ้เตยืนคุยกันอยู่หน้าประตู ด้วยความสงสัยในท่าทางของแยมที่ดูหน้าตาตื่น ผมก็เลยรีบบึ่งเข้าไปหาเพราะกลัวว่าจะมีปัญหาอะไรเกิดขึ้น
“มีไรกันวะ” ผมถาม
แยมเม้มปากแน่น เหมือนอยากจะกรี๊ดแต่ต้องกลั้นไว้
“ไอ้กานต์ มึงเอาซีนพีคให้พี่อาโปกับน้องศิลาเขาแคสต์เลยเหรอ” แยมถามผม
“เออดิ ถ้าเล่นซีนนี้ได้ ซีนอื่นก็ได้หมดละ”
“มึงเอ๊ยยยย สุดปัง อิเวร นี่แค่ลองต่อบทกันเองนะเนี่ย!!” แยมตีไหล่ผมรัวๆ
“อะไรวะ” งงเป็นไก่ตาแตกเลยผม
“มึงรอเข้าไปดูเองละกัน โอ่ย กูไม่ไหว จะเป็นลม” แยมโบกมือพัดหน้าตัวเองรัวๆ หูมันแดงจัดเลย ไปเห็นอะไรมาวะ สองคนนั้นทำอะไรเหรอ เอาเสียอยากรู้เลย
ผมรีบกลับเข้าไปในห้องทันที จริงๆ ก็ยังไม่ถึง 10 นาทีที่ผมตั้งไว้หรอก แต่เห็นปฏิกิริยาของนังแยมแล้วก็อดใจไม่ได้ที่อยากจะเห็นไวๆ ด้วยสัญชาตญาณของผมมันบอกว่าจะต้องเป็นเรื่องที่ดีแน่ๆ
“เป็นไงบ้างครับพี่อาโปกับน้องศิลา” ผมเอ่ยทักทันทีที่เดินเข้ามาใกล้ แต่ทั้งสองคนไม่ได้ตอบอะไร แค่ยิ้มๆ ให้ผม แต่ผมก็ไม่ได้อะไรหรอกครับ แค่รู้สึกว่าบรรยากาศรอบๆ ตัวไม่ได้อึดอัดเหมือนตอนแรกที่ทั้งสองคนเจอหน้ากัน
“ลองเล่นดูเลยไหมครับ” ผมเสนอ “ถ้าพร้อมก็เริ่มได้เลยนะครับ”
ทั้งสองคนพยักหน้า ก่อนจะหลับตาทำสมาธิ เพียงครู่เดียวพี่อาโปและน้องศิลาก็ลืมตาขึ้นพร้อมแววตาที่นิ่งสนิท เป็นสัญญาณบอกว่าทั้งคู่มีสมาธิพร้อมที่จะเริ่มแสดงความสามารถให้ผมได้เห็น
ซีนที่ผมได้ให้บทไปนั้นเป็นซีนที่จำลองขึ้นมาว่าทั้งสองคนอยู่ในช่วงทะเลาะกันและมาง้อกัน ทั้งพี่อาโปและน้องศิลาเริ่มต้นได้ดีเลยครับ ธรรมชาติเสียเสียจนผมอยากจะลุกขึ้นปรบมือให้ แต่ก็ต้องอดทนไว้ก่อน เพราะจุดพีคความยากของซีนนี้อยู่ที่จูบครับ
ใช่ครับ จูบ!
แบบดูดดื่มเสียด้วย
ยอมรับว่าผมกังวลนะว่าเขาจะเล่นกันได้ไหม แต่ต้องบอกว่าทั้งพี่อาโปและน้องศิลาเข้าถึงอารมณ์ตัวละครมากๆ ครับ ผมไม่ได้คาดหวังเรื่องจูบเท่าไหร่หรอก อย่างน้อยๆ ก็แกล้งทำเป็นจูบ หรือภาษาชาวบ้านก็คือใช้มุมกล้อง ไม่ต้องจูบจริงก็ได้ แค่เวิร์กช็อปเอง
“เชี่ย..” ผมเผลอหลุดอุทานออกมาเบาๆ เมื่อเห็นว่าพี่อาโปกับน้องศิลาจูบกันจริงๆ
แบบปากชนปาก..
ผมถึงกับต้องชะเง้อมองให้ชัดเจนด้วยตาตัวเอง ว่าสองคนนี้จูบกันจริงๆ ใช่ไหม พอหันไปดูเพื่อนๆ ที่นั่งอยู่ข้างกันกับผม ก็ได้คำตอบละครับ ทุกคนการันตีจากหลายๆ มุมว่าเขาจูบกันจริงๆ
โอ้โห ใจกล้าขนาดนี้ ผมก็ปลื้มสิครับ
ยิ่งตอนนี้ภาพที่อยู่ตรงหน้าคือภาพที่พี่อาโปกับน้องศิลากำลังจูบกัน ยิ่งทำให้ผมมั่นใจว่าทั้งสองคนคือตัวละครที่ผมกำลังตามหาอยู่
เคมีโคตรดี!!!!
“คัท” ผมรีบสั่งคัทก่อนที่สาวๆ ที่นั่งอยู่ในห้องจะกลั้นใจตายกันไปเสียก่อน
เสียงกรี๊ดดังลั่นห้อง พี่อาโปกับน้องศิลาผละออกจากกันแล้วต่างฝ่ายต่างยิ้มแป้น น้องศิลาเอาเสื้อเช็ดปาก ส่วนพี่อาโปอะเหรอ ยกเอาหลังมือเพียวๆ ขึ้นมาเช็ดเลยจ้าาา
“ดีมากเลยครับเมื่อกี๊ ตกใจนิดหน่อย ไม่คิดว่าจะจูบจริง” ผมยิ้มให้ทั้งคู่
“ยังไงถ้าได้เล่นด้วยกัน ตอนถ่ายก็ต้องจูบจริงอยู่แล้ว ผมเลยชิงจูบจริงไปเลย จะได้รู้ด้วยว่าตัวเองทำได้หรือไม่ได้” น้องศิลาตอบเสียงนิ่ง
“พี่ก็ว่า... ตอนแรกก็คิดอยู่ว่าจะจูบหลอกเอา แต่น้องพุ่งตัวมาแล้วจูบจริงเลย พี่ไม่รู้จะทำไงก็เลยต้องตามน้ำไป เห็นน้องกำลังอิน ฮ่าๆ” พี่อาโปพูดแซว ศิลาก็หูแดงไปตามระเบียบ
“ผมเคาะเลย ผมเลือกพี่อาโปกับน้องศิลานี่แหละ ถูกใจผมสุดละ” ผมรีบตัดสินใจทันที
“เดี๋ยวยังไงให้ทีมติดต่อหาอีกทีนะครับ ทั้งสองคนเลย” ผมพูดต่อ ในใจนี่กระดี๊กระด๊าจะแย่ แต่ก็ต้องคีปลุคผู้กำกับไว้ก่อน ถึงแม้จะเป็นแค่งานนักศึกษา แต่นักแสดงอย่างเราก็ไม่ธรรมดาอยู่น้าาาาา
“โอ้โหมึง น้องเขาใจกล้าจัดๆ เลย” ไอ้เตชินท์เดินเข้ามาคุยกับผมหลังจากที่ปล่อยให้พี่อาโปกับน้องศิลากลับบ้านไปแล้ว
“เออดิ กูหัวใจจะวาย อิห่าเอ๊ยยยย!!” แยมพูดเสริม พร้อมเอามือพัดหน้าแรงๆ อยู่หลายทีเพราะความรู้สึกเขิน
“จริง กูก็อึ้งเหมือนกัน แต่ดีละ ซีนนี้เล่นได้ อันอื่นก็ไม่ห่วงละ” เอาจริงๆ ตอนนี้ผมสบายใจมาก หลังจากที่เห็นเหตุการณ์เมื่อกี๊ เพราะรู้แน่ๆ ว่างานของผมจะต้องออกมาดีแน่ๆ อาจารย์จะถูกใจไหมไม่รู้ แต่ถ้าผมเอางานลงในยูทูบรับรองว่าไวรัลแน่ๆ
---------- The Story of Water and Stone ----------
ผมกับเพื่อนๆ แยกย้ายกันหลังจากที่พวกเราเก็บข้าวเก็บของกันเสร็จเรียบร้อย ใครจะไปคิดว่าการแคสติ้งเล็กๆ มันก็กินพลังงานมากอยู่เหมือนกัน แยมก็แยกตัวไปกินข้าวกับแฟน คนอื่นๆ ที่เหลือก็แยกย้ายกลับห้องไปพักผ่อน ส่วนผมก็มากินข้าวกันต่อกับเตชินท์เพื่อนรักของผม
ไอ้เตมันบ่นว่าอยากกินหมูกระทะร้านดังหน้าม. ผมก็เลยตามใจมันเสียหน่อย ถึงแม้ว่าจะเหนื่อยจนอยากจะนอนตายแค่ไหน แต่ก็ยอมตามใจเดินตามหลังมันมาต้อยๆ จนถึงร้าน
“สองคนครับ” ไอ้เตชูสองนิ้วบอกกับพี่พนักงานในร้าน ก่อนที่เราจะเดินเข้าไปนั่งโต๊ะในสุดของร้าน
ร้านหมูกระทะแบบบ้านๆ แต่รสชาติระดับเชฟ ที่ถึงแม้ราคาจะแรงกว่าร้านหมูกระทะร้านอื่นๆ ในละแวกนี้ แถมยังไม่ใช่บุฟเฟต์ แต่บรรดานักศึกษาก็ยังตั้งหน้าตั้งตามารอคิวกันตั้งแต่หัววัน
โชคดีที่วันนี้ผมมาตอนไม่มีคิวพอดี ก็เลยได้เข้าไปนั่งแบบไม่ต้องรอ
“กูกินได้ไม่เยอะนะ กูเหนื่อย” ผมบอกไอ้เตที่กำลังดูเมนูที่พนักงานเอามาให้เลือก พร้อมพยักหน้าทันทีที่ได้ยินผมพูด
“งั้นเอาหมูชุดเล็กหนึ่งชุดครับ” ไอ้เตหันไปบอกพนักงานร้าน “แล้วก็น้ำเปล่าครับ น้ำแข็งสอง”
แหม่ สบายเลย รอกินอย่างเดียว มีคนสั่งให้หมด ฮ่าๆ
ระหว่างรออาหารมาเสิร์ฟ ผมก็เล่นมือถือไป พลางมองอะไรไปเรื่อยเปื่อย แต่แล้วก็ต้องไปสะดุดตากับภาพของคนๆ หนึ่งที่เพิ่งลงมาจากรถเก๋งฝั่งคนขับ แล้ววิ่งมาเปิดประตูอีกฝั่งให้อีกคนเดินลงมา
สองคนที่คุ้นตา เหมือนเพิ่งเจอมาเมื่อครู่
“เห้ยมึงๆ” ผมสะกิดไอ้เตให้หันไปมองตาม
“อะไรวะ” ไอ้เตถาม
“มึงดูสองคนนั้น ใช่พี่อาโปกับน้องศิลาปะวะ”
“อือ ใช่ ทำไมวะ”
“ก็เพิ่งเจอกันตอนแคสเองไม่ใช่เหรอ ทำไมมาด้วยกันละวะ”
“กูจะไปรู้กับมึงไหมล่ะ ก็นั่งอยู่ด้วยกันอะ” ไอ้เตส่ายหัว ไม่ได้สนใจว่าผมจะพูดอะไรต่อ
พนักงานเอาชุดหมูกระทะมาเสิร์ฟ ในขณะที่ไอ้เตหันไปสนใจกับอาหารตรงหน้า แต่ผมก็ยังคงสะกดสายตาตัวเองให้จดจ้องอยู่กับพี่อาโปและน้องศิลาที่มาด้วยกัน
ระดับพี่อาโปเนี่ยนะ มานั่งกินหมูกระทะร้านแบบนี้?
ผมเอาแต่คิดอยู่ในหัวอย่างหนัก แล้วทำไมมาด้วยกันได้วะ ก็เพิ่งจะเคยเจอกันเมื่อกี๊เองไม่ใช่เหรอวะ
แต่ก็เอาเถอะ มันเรื่องของเขาอะเนอะ
แชะ!
ฉิบหาย รู้ตัวอีกทีก็หยิบมือถือขึ้นกดถ่ายรูปไปเสียละ ฮืออออ เกลียดตัวเองที่นิสัยแบบนี้ เห็นอะไรเป็นไม่ได้ ชอบหยิบมือถือมาถ่ายเก็บไว้ก่อน
ผมพยายามทำเนียนกลับไปย่างหมูในกระทะแล้วชวนไอ้เตคุยไปเรื่อย เผื่อว่าพี่อาโปกับน้องศิลาจะไม่เห็น จะได้ไม่ต้องมาทักทายกัน ผมยังไม่พร้อม อยากนั่งกินกับเพื่อนเงียบๆ ไม่อยากเจอใคร
“เอ้า กานต์ หวัดดี”
ว้อยยยย!!! มึงจะทักทำไมเนี่ย ไอ้พี่อาโป!!!!
“หวะ หวัดดีครับพี่” ผมแสร้งทำเป็นเพิ่งเห็นครั้งแรก “ไม่คิดว่าจะเจอกันที่นี่...” ผมพยายามทักทาย แล้วลดความกระอักกระอ่วนของตัวเอง แต่ก็ไม่ช่วยเท่าไหร่ เห้ออ
“พี่ กินร้านแบบนี้เป็นด้วยเหรอ” นี่คือประโยคที่ไอ้เตทักพี่อาโป
“เออดิ แดกได้หมดแหละ แค่ปกติไม่ชอบมา มันร้อน”
“อ่าว” น้องศิลาหลุดคำแรกออกมาจากปากตั้งแต่เดินเข้ามาในร้าน
“ไม่ๆๆ พี่หมายถึงปกติไม่ชอบมา แต่วันนี้พอพี่ชวนกินข้าว แล้วเราบอกว่าอยากกินหมูกระทะไง พี่เลยพามา”
“นั่งด้วยกันไหม กินกันหลายๆ คน อร่อยดี” ไอ้เตชวนพี่อาโปกับน้องศิลานั่งร่วมโต๊ะ ผมก็ได้แต่เลิ่กลั่กไปสิ
น้องศิลาพยักหน้าแล้วนั่งลงข้างๆ ผม “นั่งด้วยนะพี่”
ผมได้แต่พยักหน้ารับแล้วยิ้มให้ จะไม่ให้นั่งก็กระไรอยู่ ส่วนพี่อาโปก็เดินไปนั่งข้างเตชินท์แทน
“ทำไมมาด้วยกันอะพี่ เพิ่งเจอกันเองไม่ใช่เหรอ” ไอ้เตถาม
“ก็เห็นกานต์บอกว่าเลือกพี่กับศิลาแล้ว พี่ก็เลยคิดว่าน่าจะดีนะ ถ้าจะเริ่มทำความรู้จักกัน” พี่อาโปพูดกับผมเสร็จก็หันมองไปหาศิลา
ศิลาพยักหน้า แล้วเรียกพนักงานมาสั่งชุดหมูเพิ่มอีกชุดหนึ่ง
“ดีแล้วพี่ สนิทกันไว้ งานจะได้ออกมาดีๆ” ผมบอกตามที่ผมคิด
พี่อาโปยักคิ้วรับคำที่ผมพูด ก่อนจะเริ่มเอาหมูที่มาเสิร์ฟใหม่ลงไปย่างในกระทะ พอสุกก็คีบให้ศิลาที่นั่งเล่นมือถืออยู่
เอ่อ.. เพิ่งรู้จักกัน ทำให้กันขนาดนี้ได้เลยเหรอวะ ผมงง แต่ก็เก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ
“ดูสนิทกันไวจังนะครับ” ผมแซว
“...” ศิลายิ้มบางๆ ไม่ตอบอะไร
ส่วนพี่อาโปยิ้มแฉ่งจนตาหยี “พี่อยากสนิทกับศิลาไวๆ อะ”
ศิลาเงยหน้าจากหมูในจานมามองหน้าพี่อาโป ส่วนผมเองก็เริ่มเอะใจกับฟิลเตอร์ละมุนๆ ที่มันแผ่กระจายอยู่รอบตัวพี่อาโป ก่อนจะอดใจไม่ได้จนต้องถามออกไป
“ทำไมอะพี่”
“ถ้าสนิทกันไว มันก็ดีกับงานของกานต์ไม่ใช่เหรอ”
“ก็จริง...”
แต่ดูจากสายตาพี่อาโปตอนพูดแล้วน้านนนน!! ผมชักไม่แน่ใจว่ามันดีกับงานของผมจริงๆ หรือดีกับอะไรกันแน่!