โบราณว่ากันว่า น้ำหยดลงหินทุกวัน หินมันยังกร่อน...

ศิลาของอาโป (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 1) - Chapter 2 นัดเจอกันนอกรอบ โดย Run_Kantheephop @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,ตลก,ชาย-ชาย,ไทย,วัยว้าวุ่น,โรแมนติก,รักวัยรุ่น,ศิลาของอาโป,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ศิลาของอาโป (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 1)

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,ตลก,ชาย-ชาย,ไทย,วัยว้าวุ่น

แท็คที่เกี่ยวข้อง

โรแมนติก,รักวัยรุ่น,ศิลาของอาโป

รายละเอียด

ศิลาของอาโป (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 1) โดย Run_Kantheephop @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

โบราณว่ากันว่า น้ำหยดลงหินทุกวัน หินมันยังกร่อน...

ผู้แต่ง

Run_Kantheephop

เรื่องย่อ

สารบัญ

ศิลาของอาโป (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 1)-Action! บทนำ,ศิลาของอาโป (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 1)-Chapter 1 เจอกันวันแคสติ้ง,ศิลาของอาโป (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 1)-Chapter 2 นัดเจอกันนอกรอบ,ศิลาของอาโป (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 1)-Chapter 3 อิหยังวะ,ศิลาของอาโป (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 1)-Chapter 4 เพราะใจมันเต้นแรงกว่าที่เคย,ศิลาของอาโป (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 1)-Chapter 5 เพราะความหิวจึงเกิดปัญหา,ศิลาของอาโป (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 1)-Chapter 6 โลกเอยจงซับซ้อนยิ่งขึ้น,ศิลาของอาโป (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 1)-Chapter 7 ออกกองเดย์,ศิลาของอาโป (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 1)-Chapter 8 ขอเคลียร์หน่อย,ศิลาของอาโป (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 1)-Chapter 9 เรียกเดทได้ใช่มั้ย,ศิลาของอาโป (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 1)-Chapter 10 วันเกิดศิลา,ศิลาของอาโป (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 1)-Chapter 11 ปีใหม่แต่หัวใจดวงเดิม,ศิลาของอาโป (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 1)-Chapter 12 ของขวัญวันเกิด,ศิลาของอาโป (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 1)-Chapter 13 ตอนพิเศษ : สุขสันต์วัน Halloween,ศิลาของอาโป (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 1)-Chapter 14 ตอนพิเศษ : ไอ้ศิลาเรียนจบแล้วโว้ยยยย,ศิลาของอาโป (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 1)-Chapter 15 ตอนพิเศษ : มีอะไรอยู่ในกอไผ่,ศิลาของอาโป (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 1)-Chapter 16 ตอนพิเศษ : ไม่มีอะไรจะทำร้ายเธอได้เท่ากับเธอทำตัวของเธอเอง

เนื้อหา

Chapter 2 นัดเจอกันนอกรอบ


เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ปลุกผมให้ตื่นจากการหลับใหลตั้งแต่เช้า เปลือกตาของผมยังคงหนักอึ้ง เพราะเมื่อคืนนอนดึกไปหน่อย แต่มือผมก็ยังควานหาโทรศัพท์จนเจอก่อนจะกดรับสาย 

“อยู่ไหนวะมึง” เสียงไอ้เตดังทะลุโทรศัพท์ทันทีที่ผมกดรับสาย 

“มีอะไรวะ โทรมาแต่เช้า”

“เช้าเหี้ยอะไร 10 โมงละเนี่ย!” ไอ้เตตะโกนลั่น

หนวกหูฉิบหาย..

“เออ กูเพิ่งตื่นอะ ละสรุปมีไร” ผมถามไอ้เตอีกครั้ง 

“อ่อ เออออ กูลืมเลย มึงเห็นไอจีสตอรีพี่อาโปยัง” 

“ยังอะ ทำไมวะ” ผมยังคงแปลกใจว่าไอ้เตมันจะตื่นเต้นทำไม กะอีแค่พี่อาโปอัปสตอรีเนี่ย

“มึงไปดูเอง เดี๋ยวรู้เลย”  

ไอ้เตพูดจบก็รีบตัดสายไปเลย ไอ้เพื่อนเวร 

คนเพิ่งตื่น ยังงัวเงียอยู่เลย สรรหาเรื่องมาให้ทำแต่เช้า

ผมขยี้ตาเพื่อให้สามารถลืมตาตื่นได้เต็มที่ แล้วขยับตัวบิดขี้เกียจยกใหญ่ จากนั้นจึงค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งแล้วเข้าแอปพลิเคชันไอจีเพื่อไปตามดูไอจีสตอรีของพี่อาโป อยากจะรู้นักว่ามันมีอะไรน่าสนใจนักหนา

ผมเลื่อนหาไอจีของพี่อาโป ก่อนจะกดเข้าไปดูสตอรี ภาพที่เห็นก็ทำเอาผมอดแปลกใจได้ไม่น้อย คลิปบูมเมอแรงของพี่อาโปกับน้องศิลาถ่ายด้วยกันโดยมีฉากหลังเป็นสยามเซ็นเตอร์ น้องศิลายิ้มแย้มแจ่มใสในแบบที่ผมไม่เคยเห็น ส่วนพี่อาโปก็ยังคงหน้าตาเปื้อนสุขเหมือนทุกทีที่ผมเจอ

ผมกดส่งข้อความทันทีที่ดูสตอรีของพี่อาโปเสร็จ

มีคนหนีเที่ยวววววว

ไม่นานพี่อาโปก็ตอบกลับมาว่า 

ไม่ได้หนีเที่ยว ออกมาคุยงานกันเฉยๆ

ผมก็ได้แต่กดไลก์กลับไป พยายามทำเป็นเข้าใจว่าเป็นเรื่องส่วนตัวของเขา แต่ก็นะ ไอ้ความสงสัยในตัวของผมดันมีมากกว่า มันก็เลยอดใจไม่ไหวที่จะต้องเข้าไปส่องไอจีของน้องศิลาต่อ 

เงียบกริบ....

ไม่มีอะไรอัปเดทเลยจ้ะ 

ก็เข้าใจได้นะ เพราะน้องศิลามันก็สายนี้อยู่แล้ว เงียบๆ ดูเก็บตัว ไม่ค่อยเล่นโซเชียล 

เอาไงดีวะ ความอยากรู้ของผมมันคับอกไปหมด 

ผมลุกเดินวนไปมา เพื่อคิดหาวิธีสืบเสาะว่าทั้งสองออกไปด้วยกันได้ยังไง แล้วออกไปทำไม ผมคิดอยู่พักใหญ่ก่อนจะหยิบมือถือแล้วไลน์ไปหาไอ้เต



ผมรีบวางมือถือลงบนโต๊ะหลังจากคุยกับไอ้เตเสร็จ แล้วคว้าผ้าขนหนูที่แขวนไว้ข้างประตูวิ่งเข้าห้องน้ำไป ความไวในการอาบน้ำของวันนี้ทวีเพิ่มขึ้นเป็นสิบเท่า เพราะใจของผมมันไปปักหลักรออยู่ที่สยามแล้วครับ 

พออาบน้ำเสร็จผมก็รีบคว้าเสื้อผ้าชุดที่อยู่ใกล้มือที่สุดมาใส่ รีบเสียจนไม่ได้สนใจด้วยซ้ำว่าเสื้อยืดที่หยิบมาใส่มันจะเต็มไปด้วยรอยยับแค่ไหน กางเกงยีนที่เมื่อวานใส่ไปแล้วถูกพาดไว้ในตะกร้าข้างตู้เสื้อผ้า ผมก็ไปคว้ามาสวมแบบลวกๆ ก่อนจะหยิบสร้อยคอและสร้อยข้อมือมาใส่ ตามด้วยฉีดน้ำหอมเล็กน้อยตามจุดสำคัญ แล้วคว้ามือถือเพื่อนกดเรียกรถแท็กซี่ให้ไปส่งที่สยาม

12:10 น.

เลทไปหน่อย แต่ก็ยังพอได้อยู่

ไม่รู้ว่าป่านนี้พี่อาโปกับน้องศิลาย้ายไปที่อื่นแล้วหรือยัง แต่ก็เอาวะ ลองเสี่ยงๆ เดินหาดูก่อน 

เอ้อ! ลืมโทรหาไอ้เตเลย

ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออกหาไอ้เต ไม่นานมันก็รับสาย แต่ผมยังไม่ทันจะได้พูดอะไร มันก็ชิงพูดตัดหน้าผมเสียก่อนว่ามันถึงสยามแล้ว กำลังหาที่จอดรถอยู่ ผมเลยบอกมันไปว่ากำลังยืนรออยู่แถวหน้าร้านไก่ทอดร้านดังสีแดงแป๊ด

ผมยืนรอไม่นานไอ้เตก็เดินเข้ามาสะกิดหลังผม

“มาละเหรอ” ผมหันไปมอง

“มายืนรอไรตรงนี้วะไอ้กานต์ มึงไม่ร้อนอ่อ” 

“ร้อนดิ ร้อนฉิบหาย” ผมเอามือโบกไปมาพัดเอาลมให้ปะทะหน้าตัวเองเพื่อระบายความร้อน

“ไป เข้าข้างในห้างเหอะ” ไอ้เตเดินนำผมเข้าไปในสยามวัน

เอาจริงๆ สยามมันก็ไม่ได้แคบสักเท่าไหร่ ผมกับไอ้เตเดินวนสยามวันตามหาทุกชั้นก็ยังไม่เห็นเจอ ข้ามไปสยามฝั่งร้อน เดินเข้าทุกซอกทุกซอยจนเหนื่อย ก็ยังไม่เห็นวี่แวว เลยตัดสินใจว่าจะข้ามไปดูฝั่งพารากอนสักหน่อย

“เห้ยมึง” ไอ้เตที่กำลังดูมือถืออยู่ หยุดชะงัก

“อะไรวะ”

“ดูนี่” มันยื่นมือถือของมันที่เปิดไอจีสตอรีของพี่อาโปมาให้ผมดู

เพิ่งอัปเมื่อ 7 นาทีที่แล้ว  

พี่อาโปกับน้องศิลานั่งกินขนมอยู่ในคาเฟ่ร้านดังในพารากอน ผมกับไอ้เตเห็นแบบนั้นก็หันมองหน้ากันก่อนจะยิ้มออกมาอย่างมีเลศนัย 

ได้เวลาเสาะหาความจริงแล้วสินะ!

“รู้ใช่ไหมว่าต้องทำไง” ผมยิ้มถาม

“หึหึ แค่มองตาก็เข้าใจแล้วกูอะ” ไอ้เตยักคิ้ว ส่งสายตาเจ้าเล่ห์ให้ผม

“ลุย!” ผมกับไอ้เตรีบสาวเท้าวิ่งข้ามไปพารากอนทันที 


---------- The Story of Water and Stone ----------


ผมกับไอ้เตเร่งฝีเท้าไปยังคาเฟ่ร้านที่พี่อาโปกับศิลานั่งอยู่ เพราะกลัวจะไม่ทันได้เห็นภาพอะไรดีๆ 

เราทั้งสองคนกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาจนเกือบถึงหน้าร้าน แล้วเราก็ต้องหยุดยืนหันมองหน้ากันเพื่อเช็กความเรียบร้อยของกันและกัน เพื่อที่จะได้ไม่โป๊ะว่าเรามาวิ่งตามหาพี่อาโปกับน้องศิลา

“มึงเช็ดเหงื่อด้วย” ผมหยิบทิชชูออกมาจากกระเป๋าเป้แล้วซับเหงื่อที่หน้าผากของไอ้เต “เดี๋ยวแม่งโป๊ะ”

“มึงด้วย ดูดิ๊ หัวเปียกเหงื่อไปหมดละเนี่ย” ไอ้เตใช้นิ้วหยิบช่อผมเปียกๆ บนหัวของผมขึ้นมาด้วยท่าทางรังเกียจ

“เวอร์ๆ แค่เปียกเหงื่อ จะมาขยะแขยงอะไรขนาดนั้น” ผมเอามือขยี้หัวตัวเอง เพราะไม่อยากให้มันจับกันเป็นช่อ ถึงแม้จะไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่ก็เหอะ

ผมกับไอ้เตเดินเข้าไปในร้าน สายตาสอดส่องหาพี่อาโปกับน้องศิลา ก่อนที่ไอ้เตจะสะกิดให้ผมหันไปดูโต๊ะที่อยู่มุมในสุดของร้าน

โอ้โห... 

มุมในสุดของร้าน มิดชิด มองจากข้างนอกไม่เห็น แถมเป็นส่วนตัวอีกต่างหาก ต่อมเผือกของผมมันทำงานเต็มที่แล้ว

“มึง โต๊ะข้างๆ ว่างว่ะ ลุย” ผมสะกิดไอ้เตให้มองตามนิ้วของผมไป ก่อนจะค่อยๆ เดินเนียนๆ เข้าไปที่โต๊ะนั้น 

ผมพยายามทำเป็นคุยกับไอ้เต แล้วทำเป็นมองไม่เห็นพี่อาโปกับน้องศิลา แล้วเสียงของพี่อาโปก็ดังขึ้น

“อ้าว เต กานต์” พี่อาโปยกมือทักทายพร้อมยิ้มมาให้อย่างเป็นมิตร

“เอ้า! พี่อาโป! บังเอิญจังเลยนะครับ” ผมแสร้งยิ้มให้พี่อาโป ก่อนจะทำเป็นหันไปเห็นศิลาที่นั่งอยู่ข้างๆ “เอ้า! ศิลา นี่มาด้วยกันเหรอครับ”

“อ๋อ ใช่ๆ พอดีนัดกันออกมาอ่านบทอะ” พี่อาโปยิ้มตอบ 

“พี่อาโปก็เก่งเหมือนกันนะเนี่ย ลากไอ้ศิลาออกมาด้วยกันได้อะ” ไอ้เตเอ่ยแซว เพราะปกติแล้วน้องศิลามันค่อนข้างโลกส่วนตัวสูงมาก ไอ้เตเล่าให้ฟังว่า เคยชวนให้ออกมาร่วมงานของคณะ เพราะว่ามันหล่อ จะได้ใช้เรียกคนให้มาร่วมงานกันเยอะๆ มันยังไม่ยอมออกมาเลย เพราะมันอยากนอนอยู่บ้านเฉยๆ มากกว่า

“ก็อันนี้ออกมาคุยงานครับ” ศิลาตอบกลับ

“ก็ไม่ได้ว่าอะไรเลยยยยยย” ไอ้เตมันลากเสียงยาว แซวน้องศิลา ทำให้ผมได้เห็นว่าน้องมันแอบอมยิ้มเป็นครั้งแรก

เดี๋ยวนะ นี่น้องศิลามันเขินเหรอ?

แต่ช่างเหอะ ต่อมเผือกของผมมันยังคงดีดดิ้นขึ้นมาอย่างหนักหน่วง

นัดออกมาเจอกันสองคน โดยไม่บอกใคร ก็เข้าใจว่าถ้าพี่อาโปกับน้องศิลา ทำหน้าที่ในส่วนของตัวเองได้ดี เข้าใจบทบาทที่ได้รับ มันจะเป็นผลดีกับหนังสั้นธีสิสของผมในอนาคต แต่ว่าแบบ เอ้ออออ นึกออกไหมอะ มันเห็นรังสีบางอย่างออกมาอะ เชื่อตาผมเหอะ มันมี something wrong อะ 

สายตาที่พี่อาโปมองน้องศิลานั้นนนนน !!!!

คนเราถ้ามันไม่คิดอะไรมันจะส่งสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกขนาดนั้นไหมอะ งงไปหมด

เอาล่ะ ขอดูสักหน่อยว่าเขาทำอะไรกันไปถึงไหนละ

“แล้วนี่ทำอะไรกันอยู่เหรอครับ” ผมแกล้งถาม

“ก็อ่านบท แล้วก็ทำความเข้าใจกับบทอะ” พี่อาโปตอบ

“อ่อ มีสงสัยตรงไหนไหม เผื่ออยากถาม” ผมพูดแทรกขึ้น

“จริงๆ ผมมีติดนิดหน่อยครับ ตรงที่...” ศิลากำลังจะเอ่ยถามผม แต่พี่อาโปก็เอื้อมมือไปจับแขนของศิลาไว้แล้วบอกว่า

“อ๋อ ตรงนี้เหรอ พี่เข้าใจอยู่นะ เดี๋ยวพี่ช่วยบอกให้เอาไหม” พี่อาโปพูดกับน้องศิลา ก่อนจะหันมาหาผมแล้วบอกว่า “น้องกานต์กับน้องเตชินท์ไม่สั่งอาหารกันเหรอครับ”

อิเวร!! ผมกับไอ้เตหันหน้ามองกันทันที เลิ่กลั่กไปหมด หลังจากที่ได้ยินคำพูดนั้นจากปากพี่อาโป

ไล่กันทางอ้อมแหละ

แหม่ อยากอยู่ด้วยกันสองคนก็มาแอบกระซิบกันก็ได้ ทำแบบนี้ตกใจหมด ตาแข็งมาเชียวพี่อาโปปปป...

“อ่อ ว่าจะย้ายร้านอยู่พอดีเลยครับ อยู่ๆ ก็อยากกินบุฟเฟต์มากกว่าของหวานละครับ” ผมรีบดึงไอ้เตเป็นสัญญาณว่าให้เตรียมตัวย้ายร้าน อุตส่าห์ว่าจะตามมาสืบให้ได้ความมากกว่านี้สักหน่อย แต่ก็ดูเหมือนว่าพี่อาโปจะไหวตัวทัน 

“กินร้านนี้แหละมึง กูขี้เกียจเดินแล้ว” ไอ้เตงอแงเพราะยังไม่เข้าใจสิ่งที่ผมจะสื่อ

“ไปร้านอื่นนนนน เราจะมากินของหวานก่อนของคาวได้ยังไงล่ะ ห้ะ!” ผมพยายามทั้งดึงทั้งลากไอ้เตให้เดินตามผมออกมา ก่อนที่ไอ้เตจะเข้าใจในสิ่งที่ผมพยายามจะบอก แล้วรีบปล่อยตัวให้เดินมาตามแรงดึงของผม

“ไอ้ห่า กูก็ว่า ทำไมมึงดูลุกลี้ลุกลน น่าจะแอบบอกกูหน่อย ปล่อยกูยืนเบลอตั้งนาน” ไอ้เตโวยวายหลังจากที่ผมพามันออกมานอกร้านแล้ว

“เออดิ มึงไม่เห็นเหรอว่าพี่อาโปแกตาแข็งใส่พวกเราขนาดนั้น คงแบบไม่อยากให้ใครมายุ่ง อยากอยู่กันสองคนงี้มั้ง” ผมก็พูดไปเรื่อยตามความคิดของผมเอง 

“กูมาเห็นตอนที่มึงพยายามดึงกูให้ย้ายร้านนั่นแหละ น้ำเสียงเยือกเย็น แต่สายตาทิ่มแทงมากพ่อ กูเห็นแล้วสะดุ้งเลย” ไอ้เตพูดจบก็ทำท่าขนลุกไปทั้งตัว

“ช่างแม่งเหอะ เอาเป็นว่าตอนนี้เราเบรกก่อน ค่อยตามส่องในไอจีเอา” ผมเสนอ

“แล้วงี้จะทำอะไรอะ ว่างเลย”

“ดูหนังไหม” ผมเอ่ยถาม เพราะว่าเพิ่งออกมาอะ ยังไม่อยากกลับบ้าน

“เอาดิ ดูเรื่องไรอะ”

“อะลาดินไหม น่าดูสุดละตอนนี้” ผมเปิดแอพของโรงหนังขึ้นมาเพื่อเช็กรอบก่อนส่งให้ไอ้เตดู

“แล้วแต่เลย ดูที่พารากอนช้ะ” 

“ไม่เอาอะ คนเยอะ ไปดูที่ MBK ดีกว่า เงียบดี ไม่ค่อยมีคน” ผมบอกก่อนจะกดจองตั๋วหนังรอบเย็นไปสองที่นั่งสำหรับผมกับไอ้เต

“เดี๋ยวกูเลี้ยงเองค่าตั๋วหนังอะ” เพราะผมตัดบัตรเครดิตไปละ 

“โอ้โห นานๆ ทีจะเห็นมึงป๋านะเนี่ย” 

“ธรรมด๊าาา” ผมยักไหล่ก่อนจะโอบไหล่ไอ้เตแล้วเดินออกจากคาเฟ่ในพารากอน เพื่อเดินไปยัง MBK 

เอาจริงๆ ก็นานมากแล้วนะเนี่ยที่ผมกับไอ้เตไม่ได้มาดูหนังด้วยกัน นี่ก็ครั้งแรกในรอบหลายเดือนเลย เพราะที่ผ่านมาต่างฝ่ายต่างก็ยุ่งเรื่องเรียนของตัวเอง

ผมและไอ้เตเดินเรื่อยเปื่อยมาจนถึง MBK จอยักษ์ใหญ่หน้าตึกฉายภาพศิลปินทั้งไทยและเทศเป็นที่น่าสนใจสำหรับเหล่าบรรดาแฟนคลับที่มายืนรอถ่ายรูปกันเนืองแน่น ผมกับไอ้เตหยุดยืนมองอยู่สักพักก็ตัดสินใจเดินเข้าไปข้างใน

ผมเดินนำไปขึ้นบันไดเลื่อนเพื่อตรงขึ้นไปยังชั้นโรงหนัง ไอ้เตเดินตามมาสายตาสาดส่องไปทั่ว ตอนแรกผมก็กะว่าจะแวะเดินดูมือถือใหม่สักหน่อย แต่พอเดินเข้าไปในโซนไอทีแล้วก็รีบหาทางออกมาทันที เพราะนอกจากที่ผมจะเกิดกิเลสอยากได้นู่นนี่นั่นเต็มไปหมดแล้วนั้น เสียงเรียกลูกค้าที่ดังลั่นไปทั่วทั้งชั้นก็ทำเอาผมเวียนหัวไปมากเหมือนกัน

“มึงจะกินอะไรก่อนเปล่า ยังไม่ได้กินอะไรกันเลยนะ” ผมถามไอ้เต เพราะเริ่มรู้สึกหิว

“กลัวอิ่มเกินแล้วหลับในโรงว่ะ” 

เออ ก็จริงแฮะ ผมนะกินอิ่มทีไร ก็คือดูหนังไม่เคยจบเรื่องเลย เพราะหลับตลอด มันแบบ หนังท้องตึงหนังตาก็หย่อนอะเนอะ

ผมกับไอ้เตเดินเล่นฆ่าเวลาไปเรื่อยจนได้เวลาหนังฉาย ก็เลยแวะซื้อป๊อปคอร์นกับขนมและน้ำแล้วเดินเข้าโรงไป โชคดีที่ผมซื้อตั๋วออนไลน์มา ก็เลยแค่แสกนคิวอาร์โค้ดที่ด้านหน้าแล้วเดินเข้ามาได้เลย แต่โชคร้ายที่ตอนกดเลือกที่นั่งผมลืมดูให้ดีว่ามันไม่ใช่ที่นั่งธรรมดา แต่มันดันเป็น honeymoon seat !!! 

เอาล่ะ ฟีลออกเดทกับไอ้เตไปอี๊กกกก

“ไอ้ควายยยย!! ใครใช้ให้มึงซื้อ honeymoon seat เนี่ย” ไอ้เตบ่นผมลั่น หลังจากที่รู้ว่าตั๋วที่ผมซื้อคือที่นั่งที่เหล่าบรรดาคู่รักชอบเลือกเวลามาเดทกัน

“ก็กูรีบซื้อนี่หว่า เลยไม่ทันได้มองอะ” ผมเถียงกลับ “ดูๆ ไปเหอะน่ะ มันก็ไม่ต่างกับที่นั่งธรรมดาเสียหน่อย” 

“กูล่ะอยากทุบ อย่าให้ใครมาเห็นเชียว โดนล้อแย่” 

“อะไรของมึง ใครมันจะมาเห็น โรงหนังมืดขนาดนี้” ผมส่ายหัวแล้วบ่นตอบกลับไอ้เตไป ไอ้เตมันค่อนข้างซีเรียสเรื่องพวกนี้นิดหน่อย เพราะมันเป็นที่รู้จักของคนในมหา’ลัยจำนวนมาก ก็คงจะมีความระแวงกลัวใครจะมาเห็นแล้วเอาไปเมาท์ล่ะมั้ง

ผมกับไอ้เตเดินเข้าไปนั่งยังที่นั่งของตัวเอง ผมวางแก้วน้ำอัดลมไว้ในช่องสำหรับใส่แก้วที่พนักวางมือทางด้านซ้ายมือของตัวเอง ส่วนถังป๊อปคอร์นไอ้เตมันรับผิดชอบกอดไว้ในอ้อมแขนของมัน ส่วนถุงขนมที่เหลือก็อยู่ในมือของผมเอง 

ตัวอย่างหนังหลากหลายเรื่องเริ่มดำเนินขึ้น แสงสว่างวาบตามภาพของหนัง ทำให้เห็นภาพโดยรอบเป็นแสงสลัวๆ แบบไม่สามารถเห็นรายละเอียดของแต่ละอย่างได้ ผู้คนทยอยกันเดินเข้ามานั่งประจำที่ของตัวเอง แล้วก็ปรากฏร่างสองร่างที่คุ้นตาเดินเข้ามาในแถวที่อยู่ด้านหน้าของผมกับไอ้เต 

คุ้นมาก

คุ้นมากๆ เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน

“มึงว่าสองคนนั้นท่าทางคุ้นๆ ปะ” ผมสะกิดแล้วบอกให้ไอ้เตหันตามไปดู

“เชี่ย!! นั่นพี่อาโปกับน้องศิลาหนิ” ไอ้เตตกใจแต่ก็ยังพยายามพูดด้วยน้ำเสียงที่เบาที่สุด เพราะกลัวจะโดนคนในโรงหนังด่าเอา

“จริงปะเนี่ยยยยย?? โคตรพีค”

ผมแย่งเอาถังป๊อปคอร์นจากมือไอ้เตมาถือไว้เอง เพราะความตื่นเต้นและความอยากรู้อยากเห็น ทำให้ผมต้องหาที่วางมือสักหน่อย มันเป็นเลิ่กลั่ก ไม่รู้จะเอามือไปวางไปตรงไหน ขอกอดถังป๊อปคอร์นไว้หน่อยละกัน

ระหว่างที่หนังกำลังดำเนินไป ผมบอกตรงๆ ว่าถึงแม้มันจะเป็นเรื่องที่ผมอยากดูมากที่สุด แต่จิตใจกับสายตาของผมมันดันไปโฟกัสอยู่ที่พี่อาโปกับน้องศิลามากกว่า ซึ่งถามว่าได้อะไรเด็ดๆ เพิ่มมาไหม ก็ต้องขอบอกตรงๆ ว่าไม่มีอะไรเลย ทั้งพี่อาโปและน้องศิลามีช่วงเวลาที่พูดคุยและดูใกล้ชิดกันอยู่บ้าง แต่มันก็ไม่ได้มีอะไรที่ดูเกินเลยกว่าคำว่าเพื่อนหรือรุ่นพี่รุ่นน้องเลยแม้แต่นิดเดียว 

“เห้อออ” ผมถอนหายใจแรง เพราะคิดว่าจะได้เห็นอะไรเด็ดๆ แต่ก็ดันไม่มีหลุดลอดมาเลยสักนิด แถมยังไม่ได้ดูหนังอีกด้วย 

เสียดายเงินมากกกกก

พอหนังจบผมก็จับแขนไอ้เตว่าให้นั่งรอก่อน เพราะจะรอให้พี่อาโปกับน้องศิลาออกไปก่อน แล้วค่อยตามออกไป เพราะใจยังอยากสอดส่องไปเรื่อยๆ เผื่อเจอเมจิกโมเมนต์ที่ผมกำลังรอคอย

เพราะผมต้องรู้ความจริงให้ได้

มันจะได้เป็นประโยชน์กับธีสิสผมไง ยิ่งอยู่ในช่วงเขียนบทแบบนี้ เผื่อจะได้ไอเดียอะไรใหม่ๆ จากทั้งสองคนนี้ด้วย

จริงไหมครับทุกคน 

ถ้าไม่เกี่ยวกับงาน ผมก็ไม่ได้อยากมาใส่ใจเล้ยยยยยย!!! 

เนอะะะะะะ!!!

พอพี่อาโปกับศิลาเดินออกไปจากโรงหนังแล้ว ผมก็รีบลากไอ้เตให้ลุกขึ้น แล้วค่อยๆ ตามหลังออกไปทันที

ถามว่ากลัวเขารู้ตัวไหม ก็กลัวแหละ แต่ความอยากรู้อยากเห็นมันมากกว่า

เอ้า!! พี่อาโปกับน้องศิลาหายไปแล้ว !! อุตส่าห์เดินตามเนี่ย

โคตรเสียดาย....

หลังจากที่พี่อาโปกับน้องศิลาหายไปจากระยะสายตา ผมก็ได้แต่ถอนหายใจ ก่อนจะหันไปชวนไอ้เตคุยถึงเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น

“มึงว่ามันแปลกๆ ปะ อยู่ๆ ก็มาดูหนังกันสองคนอะ” ผมเอ่ยถามไอ้เตด้วยความสงสัย

“กูว่าปกตินะ ไม่เห็นแปลก กูกับมึงก็ยังมาดูด้วยกันสองคนเลย”

เออว่ะ ก็จริง 

“แต่...” ผมยังคงลังเล เพราะเซนส์ข้างในของผมมันเต้นแรงมาก

“แต่อะไรอีก” ไอ้เตมองหน้าผมแล้วส่ายหัว “เอาเวลาที่ไปใส่ใจเรื่องพี่อาโปกับน้องศิลา มาสนใจเรื่องธีสิสก่อนไหม ไอ้บทที่บอกจะเขียนอะ ถึงไหนละ”

“เออน่า เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว” ผมบอกปัด

“ถ้ามึงใส่ใจกับเรื่องเรียนได้มากเท่ากับการเผือกเรื่องคนอื่น ก็คงจะดีเนอะ จะได้ไม่ต้องมาเหนื่อยเพื่อนอย่างกูคอยติวให้” ไอ้เตพูดจบก็เดินนำไปเลย ไม่รอผมสักนิด ไอ้ที่ว่าจะไปตามสืบเรื่องพี่อาโปกับน้องศิลาก็เลยต้องเบรกไปกะทันหัน ขอกลับไปโฟกัสเรื่องเรียนแป๊บ ไม่งั้นไอ้เตมันด่าผมตายแหงๆ