โบราณว่ากันว่า น้ำหยดลงหินทุกวัน หินมันยังกร่อน...
รัก,ตลก,ชาย-ชาย,ไทย,วัยว้าวุ่น,โรแมนติก,รักวัยรุ่น,ศิลาของอาโป,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ศิลาของอาโป (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 1)- SCENE 3 -
อิหยังวะ
ผมเดินเข้าไปเอาจักรยานที่จอดไว้บริเวณด้านหน้ามหา’ลัย สองขาก้าวกระโดดขึ้นคร่อมแล้วออกแรงปั่นเข้าไปยังคณะของตัวเอง ลมร้อนในช่วงกลางวันพัดปะทะหน้าผมตลอดเวลาที่จักรยานเคลื่อนที่ไปข้างหน้า แม้จะทำให้รู้สึกเย็นสบายขึ้นบ้าง แต่ก็ไม่สามารถบรรเทาความร้อนที่ปะทุขึ้นรอบกายของผมได้ เม็ดเหงื่อที่กำลังผุดขึ้นตามผิวหนังของผมช่วยการันตีเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี
จักรยานที่ผมออกแรงปั่นมาตั้งแต่หน้ามหา’ลัย ตอนนี้มันค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้ามาจอดนิ่งสนิทที่หน้าตึกคณะ ผมก้าวลงจากจักรยานแล้วกระชับกระเป๋าเป้ที่สะพายบนหลังให้พอดีตัว ก่อนจะเดินเข้าคณะไป
รุ่นน้องรุ่นพี่หลายคนเอ่ยทักทายผมตามรายทาง ผมก็ได้แต่ยิ้มตอบแต่ไม่ได้หยุดคุยหรือทักทายอะไรเพิ่มเติม เพราะว่าใกล้จะเลยเวลานัดแล้ว สองเท้าของผมจึงก้าวต่อไปข้างหน้าแบบที่ไม่มีอะไรจะสามารถหยุดมันได้แล้วในตอนนี้
“กูนึกว่ามึงจะมาไม่ทันเสียละ” ไอ้เตเอ่ยแซวทันทีที่ผมเปิดประตูแล้วเดินเข้าไปในโรงละครของคณะ
ไอ้เตทำเรื่องขอใช้โรงละครของคณะเพื่อใช้เป็นสถานที่ทำเวิร์กช็อปให้กับนักแสดง ผมเองก็เลยชิลมาก เพราะเคยมาเรียนที่นี่อยู่บ่อยครั้งจึงทำให้กะเวลาเดินทางได้แบบแม่นยำ ไม่ต้องกลัวว่าจะมาเลทเท่าไหร่นัก
“ที่นี่ก็บ้านหลังที่สองของกูมะ” ผมยักคิ้วกวนตีนใส่มัน
“จะแดกไรเปล่า แยมมันออกไปซื้อข้าวอะ จะได้ฝากมันซื้อเข้ามาให้” ไอ้เตถามผม
“ไม่อะ กินมาจากบ้านละ”
“เออ งั้นฝากช่วยตามพี่อาโปกับน้องศิลาหน่อยดิ ใกล้ถึงเวลานัดละ ไม่รู้ถึงไหนกันแล้ว” ไอ้เตออกปากสั่งแล้วก็เดินกลับไปคุยกับน้องๆ สต๊าฟที่เอามาช่วยงานวันนี้ที่มุมด้านในสุดของโรงละคร
ผมเอามือล้วงหยิบมือถือในกระเป๋ากางเกงขึ้นมา เพื่อที่จะกดโทรออกหาพี่อาโป ขณะที่กำลังไล่หาเบอร์โทรของพี่อาโปอยู่นั้น เสียงประตูโรงละครที่ถูกผลักเข้ามาก็ดังขึ้น ผมก็เลยละสายตาจากหน้าจอมือถือแล้วหันไปมอง
โอ้โห.. พี่อาโปนี่มันพี่อาโปจริงๆ
เหมือนอาบแสงออร่าก่อนออกจากบ้านมาอะ
มันรู้สึกมีแสงสว่างวาบรอบตัวพี่อาโปทันทีที่พี่เขาเปิดประตูเข้ามา แต่ยังไม่ทันที่ความรู้สึกเหล่านั้นจะหายไป ภาพที่น้องศิลาเดินตามหลังพี่อาโปเข้ามา ก็ปรากฏขึ้นมาให้เห็นติดๆ กัน แม่เจ้า นี่มันศูนย์รวมความเพอร์เฟคชัดๆ
“สวัสดีครับ” พี่อาโปทักผม
“หวัดดีพี่ นั่งก่อนๆ” ผมผายมือให้พี่อาโปนั่งที่เก้าอี้ที่น้องๆ สต๊าฟได้จัดเตรียมเอาไว้ให้
พี่อาโปยิ้มแล้วเดินมานั่งที่เก้าอี้ที่ผมยืนอยู่ข้างๆ ส่วนศิลาก็เดินแยกไปนั่งตรงพื้นมุมห้องอีกฝั่ง ผมมองสลับไปมาด้วยความงง อะไรวะ วันก่อนยังเห็นออกไปสยามด้วยกันอยู่เลย วันนี้ทำไมทำเหมือนไม่สนิทกัน
“นั่งพักก่อนนะพี่” ผมหันไปบอกกับพี่อาโปแล้วเดินก็แกล้งๆ เดินเลียบๆ เคียงๆ ไปทางที่ศิลานั่งขัดสมาธิจุ้มปุ๊กอยู่อีกฝั่งของห้อง
ศิลามองมาที่ผมด้วยใบหน้านิ่งๆ โอ่ย... ตอนแรกก็ว่าจะเข้าไปคุยด้วยเสียหน่อย เจอแบบนี้ผมเลยต้องเลี้ยวหักศอกออกมาตั้งหลักใหม่กันเลยทีเดียว
ผมเดินออกจากบริเวณที่ศิลานั่งแล้วตรงเข้าไปหาไอ้เตที่ยืนบ่นเพื่อนๆ ในกลุ่มที่ทำงานไม่ได้ดังใจมัน เวลาไอ้เตทำงานนี่ก็โคตรน่ากลัว ดุดัน มุ่งมั่น ทุกอย่างต้องเป๊ะตามแผน พอมีอะไรผิดพลาดก็ด่ายกใหญ่ ทั้งๆ ที่ปกติเป็นคนใจเย็น แต่พอเป็นเรื่องงานทีไรมันหัวร้อนง่ายทุกที
“ใจเย็นมึง เพื่อนกันทั้งนั้น” ผมเดินเข้าไปตบบ่าไอ้เตเบาๆ เพื่อให้มันลดความบ้าคลั่งของมันลงบ้าง
“มึงก็เป็นเงี้ย ชิลเกินไปเปล่า นี่งานธีสิสนะเว้ย มึงก็ด้วย เป็นผู้กำกับแต่ไม่มีความเป็นผู้นำเลย งานมันจะออกมาดีได้ไงวะ”
เห้อออ
โดนบ่นยับเลยจ้ะ ไม่น่าเลยกู น่าจะเข้าไปตอนที่มันใจเย็นมากกว่านี้
“เออ ขอโทษ กูจะตั้งใจให้มากกว่านี้ครับ”
ผมบอกมันก่อนจะถอนหายใจแล้วเดินเลี่ยงออกมาด้านนอกโรงละคร งง เป็นอะไรกันไปหมดไม่รู้ ทั้งน้องศิลา ทั้งไอ้เต
ผมที่ออกมายืนอยู่ข้างนอกก็เริ่มชะเง้อมองว่าไอ้แยมจะกลับมาถึงตอนไหน เห็นบอกว่าจะไปซื้อข้าว ผมก็เลยฝากมันซื้อขนมขบเคี้ยวมาด้วย แต่จนป่านนี้ก็ยังไม่กลับมาสักที่เนี่ย มันไปซื้อข้าวถึงไหนก่อน
ผมหย่อนตัวลงนั่งที่ม้านั่งด้านหน้าโรงละคร ลมเย็นพัดโชยมาก็ช่วยคลายความร้อนไปได้บ้าง โชคดีที่โรงละครตั้งอยู่ข้างสระน้ำใหญ่ของมหา’ลัย จึงมีลมโชยให้ชื่นใจอยู่ตลอดวัน
ผมนั่งยืดเหยียดแขนขาไล่ความขี้เกียจและเมื่อยล้าตามกล้ามเนื้อ แล้วเอนหลังพิงม้านั่งก่อนจะมองดูวิวต้นไม้ ใบหญ้า ท้องฟ้า ไปเรื่อยเปื่อย เพื่อซึมซับบรรยากาศผ่อนคลายไว้ให้ได้มากที่สุด ก่อนจะกลับเข้าไปพบกับความเครียดและความกดดันข้างในโรงละครอีกครั้งหนึ่ง
จริงๆ แค่หนังสั้นธีสิส ก็ไม่เห็นจะต้องมาเวิร์กช็อปจริงจังอะไรขนาดนี้เลยนะ แต่ไอ้เตนั่นแหละที่เคี่ยวเข็ญ เพราะอยากให้ได้งานที่ออกมาดีที่สุด อยากได้งานที่จะโด่งดังจนไวรัลไปทั่วโลกออนไลน์งี้
ความคิดของผมไหลเข้ามาในหัวเรื่อยๆ ขณะที่นั่งอยู่ตรงนั้น ไม่นานก็มีเสียงหนึ่งทักผมให้หลุดออกจากภวังค์
“สวัสดีครับ”
ผมสะดุ้งนิดหน่อยเพราะกำลังคิดอะไรเพลินๆ ก่อนจะหันไปมองตามเสียงเรียก
“ครับ?” ผมตอบรับด้วยความสงสัย
ใครวะ? ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลย
“พี่เตอยู่ไหมครับ”
ถามถึงไอ้เตด้วย รู้จักกันเหรอวะ
“อยู่ข้างในครับ” ผมตอบ
“ขอบคุณครับ” น้องคนนั้นยิ้มตอบแล้วเดินเข้าไปข้างในโรงละคร
ผมที่ยังงงๆ อยู่ก็ได้แต่มองตามน้องเขาเดินเข้าไป ไม่นานแยมก็ขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามาจอดหน้าโรงละคร พร้อมด้วยถุงข้าวกล่องจำนวนมาก
“เอ้า มึง มาช่วยกูขนหน่อย” ไอ้แยมร้องทักเมื่อเห็นผมนั่งอยู่ข้างหน้าโรงละคร
“เออๆ” ผมรีบลุกขึ้นแล้วเดินไปช่วยมันถือถุงข้าวกล่องเข้าไปข้างใน
ผมเอาหลังดันประตูโรงละครเข้าไป เพราะมือสองข้างถือถุงข้าวกล่องอยู่ แล้วผมจึงค่อยๆ เดินเข้าไป คนส่วนใหญ่ยังกระจายอยู่ทั่วโรงละคร ยังไม่ได้เริ่มกิจกรรมเวิร์กช็อป เพราะรอกินข้าวกันก่อน ผมเดินถือเอาถุงข้าวกล่องไปวางไว้แถวห้องคอนโทรล
“ข้าวมาแล้วนะทุกคน!” ผมตะโกนบอกทุกคนในนั้น
เพื่อนแต่ละคนเริ่มทยอยมาหยิบข้าวกัน พี่อาโปก็หยิบไปสองกล่อง แล้วเดินเอาไปให้ศิลาด้วย แต่พอศิลารับข้าวกล่องไปก็เดินไปนั่งหลบมุมตามเคย พี่อาโปก็เลยยืนมองอยู่พักหนึ่งก่อนจะเดินแยกไปนั่งกินข้าวอีกมุมกับพวกเพื่อนๆ ผม
“มึงจะกินไรอะ” ผมเอ่ยถามไอ้เตที่เดินเข้ามาพร้อมน้องคนนั้น คนที่ผมเจอข้างหน้าโรงละคร
“อะไรก็ได้” ไอ้เตตอบ
“อะไรก็ได้ไม่มี” ผมตอบกลับ คนอย่างไอ้เตอะนะ เรื่องเยอะขนาดนี้ ให้มันเลือกเองดีสุด
“กวนตีน”
“ก็มึงอะ เดี๋ยวพอกูเลือกให้แล้วไม่ถูกใจ ก็ขอเปลี่ยนอยู่ดี”
ผมเปิดถุงข้าวกล่องให้ไอ้เตมันเลือกเอาตามใจชอบ แต่ปรากฏว่าไอ้เตยังไม่ทันจะได้เลือกเลย ไอ้รุ่นน้องหน้าใสกิ๊งคนนั้นก็เบียดแทรกขึ้นมาแล้วหยิบกล่องข้าวในถุงไปยื่นให้ไอ้เตเสียงั้น
“ขอบใจมาก” ไอ้เตยิ้มแป้นแล้วขอบคุณน้องคนนั้น
แหม่ หน้าบานเชียวนะ
ผมเดินตามไอ้เตไปยังบริเวณที่มันนั่งอยู่กับน้องคนนั้น แล้วผมก็หย่อนตัวนั่งลงข้างไอ้เตเสียเลย อยากรู้นักว่าน้องคนนี้มันเป็นใครกันแน่
“ใครวะ” ผมถามไอ้เตพลางพยักเพยิดไปทางน้องคนนั้น
“อ๋อ น้องมังกรอะ”
“สวัสดีครับ” น้องที่ชื่อมังกรทักทายผมอีกครั้ง ผมก็ได้แต่ยิ้มกลับไป
“ไม่เคยเห็นหน้าเลย เพิ่งรู้จักกันเหรอ?” ผมถามต่อ
“ก็ไม่นานนะ”
“...” ผมพยักหน้ารับก่อนจะหันไปคุยกับน้องมังกร “เรียนอักษรเหรอ พอดีเมื่อกี๊เห็นหัวเข็มขัดแว้บๆ อะ”
“ใช่ครับพี่”
“แล้วมารู้จักกับไอ้เตมันได้ไงอะ”
“พอดีผมไปเข้าชมรมถ่ายภาพอะครับ เลยได้เจอกับพี่เต”
“อ๋อ...” ผมพยักหน้ารับคำตอบที่น้องมังกรให้มา “แล้วมาทำไรที่นี่อะ” ผมถามต่อ
“น้องมันอยากมาช่วยงานอะ มันสนใจเรื่องพวกนี้” ไอ้เตพูดตอบแทนน้องมังกร
“เอ้า! แล้วทำไมไม่เรียนนิเทศอะ ไปเรียนอักษรทำไม”
“พ่อแม่ผมไม่อยากให้เรียนอะ” มังกรตอบแล้วยิ้ม
“อ่อ เข้าใจๆ” ผมพยักหน้ารับ
“ทำไมพี่กานต์ถามเยอะจังครับ เหมือนจะสอบสวนผมเลยอะ ฮ่าๆ” มังกรหัวเราะเบาๆ
“อ่อ ไม่มีไร อยากรู้จักเฉยๆ ก็เพิ่งเจอกันครั้งแรกเนาะ”
“ผมก็นึกว่าพี่เป็นแฟนพี่เต ถามเหมือนหวงเลยครับ” น้องมังกรตอบทีเล่นทีจริง แล้วยิ้มกว้าง
เอาล่ะ ผมไม่ชอบไอ้น้องมังกรอะไรนี่ละ!
“เห้ย ไม่ใช่แฟน เพื่อนกันๆ” ผมหันไปมองไอ้เตแล้วทำท่าขยะแขยง “ให้พี่เอามันเป็นแฟน พี่ขอยอมตายดีกว่า”
“กวนตีน เดี๋ยวกูทุบฟันร่วง” ไอ้เตแกล้งง้างมือจะทุบผม ผมเลยลุกเดินหนีออกมาจากตรงนั้น
หนึ่งคือ รำคาญหน้าไอ้น้องมังกร
สองคือ อยากเข้าไปคุยกับน้องศิลาสักหน่อย เป็นอะไรไม่รู้วันนี้ ดูเงียบๆ ผิดปกติ
“ทำไรน้อง” ผมเอ่ยทักศิลาทันทีที่เดินเข้าไปนั่งใกล้ๆ
“กินไก่ครับ” น้องศิลาตอบผมทั้งที่ในมือยังถือไก่น่องโตเอาไว้
เป็นเด็กที่น่ารักน่าเอ็นดูจริงๆ
ไม่เหมือนไอ้น้องมังกรนั่น...
ใช่ครับ ผมไบแอส
“เออ ถามไรหน่อยดิ”
“ครับ” ศิลาตอบรับพร้อมน่องไก่ที่คาอยู่ที่ปาก
“เป็นไรปะวันนี้ ทำไมดูเงียบๆ อะ”
“เปล่าครับ ผมง่วงเฉยๆ อะพี่” ศิลาตอบแล้วยิ้มมาให้หนึ่งดอก ก่อนจะกลับไปสนใจกับการกินของตัวเองต่อ
“อ่อ พี่ก็นึกว่าเราอารมณ์ไม่ดี เห็นหน้าตึงๆ ไม่คุยกับใครเลย”
“มันง่วงๆ เพลียๆ อะพี่ ผมเลยไม่อยากคุยกับใคร อยากอยู่เงียบๆ”
เข้าใจละ ตกใจหมด ตอนแรกก็นึกว่าทะเลาะกับพี่อาโป
ค่อยยังชั่ว...
“เออๆ งั้นกินข้าวไปเหอะ พี่ไม่กวนละ”
ผมลุกเดินออกมาจากตรงที่ศิลากินข้าวอยู่หลังจากที่ชวนน้องคุยจนเข้าใจแล้ว เลยตัดสินใจเดินไปคุยกับพี่อาโปด้วย เพื่อที่ว่าจะได้ข้อมูลที่ครบถ้วนจริงๆ
กับเรื่องเรียนยังไม่ตั้งใจขนาดนี้เลยนะเนี่ย
ขอใส่ใจก่อนละกันเนอะ
“ไงพี่” ผมทักพี่อาโปก่อน
พี่อาโปยิ้มแล้ววางกล่องข้าวลงข้างๆ ตัว
“ว่าไงน้อง”
“พี่ทะเลาะกับน้องศิลาเหรอ”
“หื้ม เปล่านะ ไม่มีอะไร” พี่อาโปตอบผมกลับมางงๆ
“อ่อ เห็นวันนี้ดูน้องมันตึงๆ ใส่พี่ เลยนึกว่ามีปัญหากัน” ผมพยายามจะถามต่อ
“ไม่ๆ ไม่มีไรเลย พี่ก็งงอยู่ คงยังไม่ตื่นมั้ง” พี่อาโปหัวเราะบางๆ
เวรเอ๊ยยย หล่อจังวะ คนอะไรไม่รู้
“อ่อ โอเคพี่ กินข้าวต่อเหอะ ใกล้จะได้เวลาเริ่มละ” ผมลุกเดินออกไปจากตรงนั้นแล้วไปนั่งข้างๆ ไอ้เตกับน้องมังกร
ส่วนไอ้เตสงสัยจะเอ็นดูน้องหนักจัด คุยแต่กับน้อง ไม่เห็นมั้งว่าผมมานั่งอยู่ข้างๆ แล้วอะ
“มึง เดี๋ยวกูจะเริ่มละนะ” ผมสะกิดบอกไอ้เต
“เออๆ” มันหันมาตอบแบบรวดเร็วแล้วก็กลับไปคุยกับน้องมังกรต่อ
เอาเถอะ คุยกับน้องไปละกัน น้องมันจะได้ไม่เหงา อุตส่าห์มาช่วยงานทั้งทีเนอะ
“ทุกคน มาเริ่มกันเถอะครับ”
ผมตะโกนเรียก ทุกคนวางข้าวของแล้วลุกเดินตรงเข้ามาหาผม พี่อาโปกับศิลาก็เดินมายืนข้างๆ กัน
ผมก็เริ่มอธิบายงานคร่าวๆ ของวันนี้ ว่าจะมีการทำอะไรกันบ้าง หลังจากนั้นการเวิร์กช็อปดำเนินไปตามกระบวนการของมัน แต่สิ่งที่แปลกตาผมคือ พี่อาโปกับน้องศิลากลับมาดูสนิทสนมกัน เข้าคู่กันได้ดีมาก ไม่เหมือนตอนมาถึงที่ต่างคนต่างอยู่ ไม่พูดไม่จา ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าอะไรที่ทำให้บรรยากาศมันเปลี่ยนไปจากตอนแรกได้มากขนาดนี้
หรือจะเป็นตอนที่ทั้งคู่เดินออกไปข้างนอกกันสองคนก็ไม่รู้ ช่วงที่ผมไปนั่งคุยกับไอ้เตและน้องมังกรนั่นแหละ แต่ก็เอาเถอะ อย่างน้อยงานมันก็จะได้ผ่านไปได้ด้วยดี ไม่ว่าจะซีนสวีทหวานแค่ไหน ทั้งพี่อาโปและน้องศิลาก็ไม่ทำให้ผิดหวังเลยอะ เลิฟซีนก็คือหวานจนทุกคนที่อยู่ตรงนั้นอดหวีดไม่ไหว เขินบิดตัวเป็นเกลียวกันไปหมด
ผมว่า มันต้องใช่แน่ๆ สองคนนั้นต้องออกไปคุยหรือไปทำอะไรมาแน่ๆ กลับมาถึงได้ดูผ่อนคลายขึ้นจากตอนที่เพิ่งมาถึงเยอะเลยอะ ผมล่ะอยากรู้จริงจริ๊ง มันต้องมีอะไรในกอไผ่แล้วปะหรือว่าแอบแซ่บหรอ?
ไม่ๆๆๆๆ อย่าเพิ่งคิดไปเอง ของแบบนี้มันต้องตามสืบ ต้องเอาให้ชัวร์แบบแก้ตัวไม่ได้ไปเลย
ผมตั้งสติแล้วกลับมาจดจ่อกับการเวิร์กช็อปตรงหน้าจนเสร็จ ไอ้ที่เคยคิดว่าง่ายกลับไม่เป็นอย่างงั้น ไอ้เตก็ปล่อยให้ผมทำคนเดียว ดูดิ ไปนั่งคุย นั่งเมาท์ หัวเราะคิกคักอยู่กับน้องมังกรนู่น ไม่มาช่วยกูเลย ไอ้เวรเอ๊ย!!
เห้อออ โคตรเหนื่อย ไม่อยากทำแล้ว
ตอนแรกผมก็คิดว่า เออ มันไม่น่าจะยากหรอก ในกลุ่มก็มีเพื่อนช่วยกันตั้งหลายคน แต่พอเริ่มลงมือทำจริงๆ มันยากไปหมดเลยอะ ท้อจัง แค่เวิร์กช็อปเองนะเนี่ย ยังไม่ทันได้เริ่มอะไรจริงจังเลยก็เหนื่อยเสียแล้ว
จริงๆ มีความสุขนะที่พี่อาโปกับน้องศิลาทำออกมาได้ดีขนาดนี้ แต่ไม่รู้ทำไมพอเวิร์กช็อปเสร็จปุ๊บ ความเหนื่อยมันถาโถมเข้ามาหาผมทันทีเลยอะ
หันไปดูไอ้เต จนถึงเวลานี้แทนที่จะมาช่วยผมสักหน่อย ก็ดันไปดูแลแต่ไอ้น้องมังกร ไอ้ห่าเอ๊ยยยย!!! หงุดหงิดนะเนี่ย แต่ก็ว่ามันไม่ได้ เพราะผู้กำกับก็คือผมอะ ส่วนนี้ไม่ใช่หน้าที่ของไอ้เตมัน มันไม่เข้ามายุ่งก็ถูกแล้วแหละ
“วันนี้ขอบคุณทุกคนมากครับ ไว้เจอกันรอบหน้าครับ” ผมพูดขอบคุณนักแสดงและเพื่อนๆ ทุกคนก่อนเดินถอยมานั่งที่เก้าอี้แล้วเอนหลังพิงกำแพง เพราะความเหนื่อยล้า
พี่อาโปกับศิลาเดินออกไปจากโรงละครพร้อมกัน ตอนแรกก็แอบคิดว่าพี่อาโปจะไปส่งศิลากลับบ้านหรือเปล่า แต่ดันหูดีได้ยินว่าแม่ศิลาขับรถมาจอดรอรับที่หน้าโรงละครแล้ว ก็เลยต้องพับเก็บความมโนของตัวเองไป
เอาน่ะ พักเรื่องมโนสักวันแล้วกัน เหนื่อยไม่ไหว ไม่อยากตามแล้ว ปล่อยพี่อาโปกับน้องศิลาไปตามทางของเขาแล้วกันวันนี้
“มึง เดี๋ยวกูไปส่งมังกรมันก่อนนะ” ไอ้เตเดินเข้ามาหาแล้วบอกกับผมแบบนั้น ผมก็ได้แต่มองจ้องไปที่มันกับน้องมังกร แล้วทำได้แค่พยักหน้าให้
“อือ” ผมส่งเสียงผ่านลำคอก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่
หลังจากไอ้เตกับน้องมังกรเดินออกไป ผมก็ค่อยๆ หลับตาลง เพราะทนความหนักของเปลือกตาตัวเองไม่ไหว
เหนื่อยจัง...
“เหนื่อยอ่อ” ไอ้แยมเดินเข้ามาตบบ่าแล้วนั่งลงข้างๆ ผม
“อือ ขอกอดหน่อยดิ” ผมพูดจบก็คว้าตัวไอ้แยมเข้ามากอดแน่น มันรู้สึกอยากได้กำลังใจอะ ไม่รู้เป็นอะไร จู่ๆ ใจมันก็หวิวแปลกๆ งงๆ คงจะเพราะเหนื่อยแหละ รู้สึกหมดกำลัง หมดแรงจริงๆ ขอกลับไปนอนดีกว่า ไม่อยากเจอใครแล้วเนี่ยวันนี้...
เรื่องพี่อาโปกับน้องศิลาค่อยว่ากันวันหลังแล้วกันเนอะ